ตำหนักไท่อี๋เป็นสถานที่ที่เคร่งครัดและศักดิ์สิทธิ์มาตลอด ถูกฉินเหยี่ยนเย่ว์นำถังสำหรับขับถ่ายเข้ามาก่อน และถูกเจ้าสามอาเจียนราดรดซ้ำอีกครั้งมีแบบนี้เสียที่ไหนกัน!“ฉินเหยี่ยนเย่ว์!” พระองค์ตบที่วางแขน ตรัสด้วยความโกรธเคือง “เจ้าทำอะไรกันแน่? จะนำของสกปรกเช่นนี้มาแปดเปื้อนตำหนักไท่อี๋ได้อย่างไร?”ฉิ
ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตรัสด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าสาม เผลอตกจากรถม้าโดยไม่ทันระวัง ให้พักรักษาตัวอยู่ในจวนอ๋องสามเป็นเวลาสามปี และห้ามออกไปข้างนอก”พระสนมซูพลันเปลี่ยนสีหน้า “ฝ่าบาท นี่ไม่ยุติธรรมเพคะ บุตรชายของหม่อมฉันหาใช่ตกจากรถม้าไม่ เขา...”“สนมซู” พระสุรเสียงของฮ่องเต้พลันแปรเปลี่ยนเป็น
เป็นเพราะความลับนี้น่าตกใจจนเกินไป จึงทำให้ทุกคนตื่นตะลึงอยู่ตรงนั้นพระพักตร์ของฮ่องเต้พลันเปลี่ยนเป็นแข็งค้างอย่างยากจะหาสิ่งใดเทียบได้ การแสดงออกก็แข็งค้างไปเช่นเดียวกันตงฟางหลียังคงใช้นำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์พูดต่อไปว่า “บิดาของพระสนมผิง มีฐานะซับซ้อนยิ่งนัก ดูผิวเผินเขาเป็นขุนนางตำแหน่งซื่อหลา
หลังจากองครักษ์จื่ออวี๋รับคำสั่งไปตรวจสอบ ไม่นานก็กลับมาหลังจากพวกเขาเอนตัวไปพูดสองสามประโยคที่ข้างพระกัณฑ์ของฮ่องเต้ ก็หายตัวไปจากที่เดิมราวกับสายลมฮ่องเต้มีพระพักตร์ปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ พิเศษพระสนมซูและท่านอ๋องสามไม่รู้ว่าผลเป็นอย่างไร จึงลอบกังวลจนเหงื่อเย็นไหลโดยเฉพาะท่านอ๋องสาม หัวใ
แม้ว่าเขาจะไม่พูด ทว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์กลับมองเข้าใจสายตาของอ๋องอี๋หยางคงประมาณว่า : ศีรษะเสด็จพ่อของพวกเจ้ามีหญ้าเขียวขึ้นอยู่ กำลังอารมณ์ไม่ดี พวกเจ้าสองคนก็ไม่ต้องแสดงความรักกันที่นี่แล้ว...”ฉินเหยี่ยนเย่ว์อยากจะตำหนินัก ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้กลับไม่กล้า ได้แต่ก้มหน้าเป็นนกกระจอกเทศแต่โดยดีหลังจ
ฮ่องเต้มิพอใจการมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นของอ๋องอี๋หยางเป็นอย่างมากเจ้าเจ็ดเจ้าสารเลวคนนั้นถึงกับเอาเรื่องที่พระสนมผิงลักลอบคบชู้กับเจ้าสามมาพูดต่อหน้าธารกำนัล พระพักตร์ของพระองค์ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้วเจ้าเจ็ดเป็นการปกป้องครอบครัวก็ช่างเถิด กระทั่งอ๋องอี๋หยางก็ยังตามมาดูเป็นเรื่องตลกด้วยแต่ละ
“เจ้ารู้ผิดหรือไม่?” ฮ่องเต้ตรัสถามเสียงเย็นชาพระสนมผิงสะดุ้งตกใจ ในใจก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้นฮ่องเต้เรียกนางมาโดยไม่มีเหตุผล ประโยคแรกที่มาถึงตำหนักไท่อี๋แห่งนี้ก็คือถามคำถามนี้ จะต้องมีเรื่องผิดปกติแน่นอนนางคล้ายกับตกลงไปในหุบเขาน้ำแข็ง เย็นยะเยือกไปทั่วทั้งร่าง“หม่อมฉันโง่เขลา ขอฝ่าบาทช
“เจ้าเจ็ด เจ้าขัดแย้งกับลั่วเอ๋อร์ครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจเจ้าคิดอะไรกันแน่?” พระสนมซูชี้ที่ตงฟางหลีด้วยความโกรธ “อาภรณ์ของสนมผิงจะปักชื่อของลั่วเอ๋อร์ได้อย่างไร? เจ้าอย่ารังแกคนให้มากเกินไปนะ”ตงฟางหลีพูดเสียงราบเรียบ “พระสนมซูจะรีบร้อนไปไย อาภรณ์ตัวนั้นก็อยู่ตรงนี้ มิสู้คลี่ออกดูสักหน่อย ดูให้เห็นด
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได