เมื่อเทียบสองอย่างเข้าด้วยกัน ชื่อก็ปรากฎขึ้นมาทันทีหลังจากเห็นสองชื่อนี้ นอกจากฉินเหยี่ยนเย่ว์และตงฟางหลีแล้ว ทุกคนล้วนตกตะลึงกันหมดตัวอักษรสองตัวนั้นซุกซ่อนไว้อย่างลึกล้ำมาก หากมิใช้วิธีนี้ดู ก็คงมองไม่ออกแน่นี่ยังบ่งบอกเป็นนัยได้ว่า ระหว่างพี่สามและพระสนมผิง มีเรื่องปิดบังจริง ๆ “ระหว่างที่เป
สายพระเนตรของฮ่องเต้กวาดไปทางเจ้าสามและพระสนมซู ท้ายที่สุดก็หยุดอยู่ที่พระสนมผิงพระสนมผิงคุกเข่าอยู่ที่พื้น เหงื่อบนหน้าผากไหลโซมลงมาไม่ขาดสายดวงตาที่เป็นเอกลักษณ์คู่นั้น ฉายถึงความหวาดกลัวฮ่องเต้หลุบพระเนตรลงเห็นปฏิกิริยาของพระสนมผิงกับเจ้าสาม พระองค์ก็ทรงคาดเดาได้แล้วว่าระหว่างสองคนนี้ต้องไม่บ
อาภรณ์เปียกชุ่มอยู่นานแล้ว เหงื่อเย็นยังคงหลั่งไหลไม่หยุด ดวงตาถูกหยาดเหงื่อบดบังท่ามกลางสายหมอกที่ปกคลุม เขามองเห็นเพียงริมฝีปากของพระสนมซูกำลังอ้าหุบ กลับฟังเนื้อหาได้ไม่ชัด เสียงรอบด้านราวกับดังมาจากสถานที่ที่ไกลออกไป มีเพียงเสียงหึ่ง ๆ ดังก้องอยู่ในสมองเขา ราวกับถูกอะไรบางอย่างกดทับเอาไว้“ลั
พระสนมผิงเห็นสายตาของอ๋องสาม พลันนิ่งชะงักไปวูบหนึ่งสายตานั้น นางเข้าใจแล้วเขาให้นางร่วมมือกับเขา เพื่อเติมเต็มคำโกหกของเขาให้สมบูรณ์หากช่วยเขาปกปิดช่องโหว่ของคำโกหก นางที่เป็นผินเฟยลักลอบคบชู้กับผู้อื่น มีเพียงความตายเส้นทางเดียวเท่านั้น ท่านอ๋องสามเป็นองค์ชาย แค่เอ่ยประโยคเดียวว่าร่วมรักหลังจาก
“ตงฟางลั่ว เป็นหม่อมฉันที่ตาบอด ก็ถือเสียว่าเวลาหลายปีของหม่อมฉันทิ้งให้สุนัขกินเถอะ นับจากนี้ บุญคุณพวกเราจบสิ้นกันแค่นี้” พระสนมผิงแทบจะกัดฟันพูดประโยคนี้ออกมาเมื่อนางพูดจบ พลันคว้าฝ่ามือของพระสนมซูที่ตวัดมาพระสนมซูดิ้นรนสองสามครั้ง น่าตกใจที่ไม่สำเร็จ“ปล่อยข้า” พระสนมซูคิดจะใช้มืออีกข้างฉีกทึ้
“สนมผิง เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอะไรกันแน่?” อ๋องสามถูกตบหน้าอยู่หลายฝ่ามือ ใบหน้าซีดบวม และปวดแสบปวดร้อนอยู่ที่ตำหนักไท่อี๋เขาไม่กล้าโมโหโทโส ทำได้เพียงกลืนเลือดในปากลงไป และกดเสียงลงต่ำ “เชื่อฟัง อย่าสร้างปัญหา”“เชื่อฟังหรือ? ข้ายังเชื่อฟังไม่เพียงพออีกหรือ?” พระสนมผิงมองเขา “นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าได
พระสนมผิงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดตบอ๋องสาม หลังจากถูกบังคับให้หยุด นางก็หมดเรี่ยวแรงทันทีและคุกเข่าลงกับพื้นเบา ๆ“ฝ่าบาท” พระสนมผิงสงบลงครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ด้วยน้ำตาคลอหน่วยตาอันเป็นเอกลักษณ์คู่นั้น และดึงรอยยิ้มเศร้าอาดูรบนมุมริมฝีปากของนาง “หม่อมฉันขออภัยเพคะ”หัวใจของฮ่องเต้บีบรัดพระสนมผิ
ฮ่องเต้จ้องมองเข้าไปในดวงตาของพระสนมผิง บนใบหน้าไร้การแสดงออกใดเป็นพิเศษพระสนมผิงดูเหมือนจะรู้คำตอบนี้แล้ว และไม่ได้ฝืนบังคับใด ๆ นางลุกขึ้นเบา ๆ แล้วเดินออกไป“ฝ่าบาท นี่เป็นคำขอครั้งสุดท้ายของหม่อมฉัน โปรดอนุญาตให้หม่อมฉันออกจากตำหนักไท่อี๋ด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่อยากจะทำให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
นอกจากกำแพงที่มิอาจเข้าใกล้ได้แล้ว อีกสามทิศที่เหลือล้วนถูกยึดครองทั้งหมดภายใต้วงล้อมที่โอบล้อมหลายชั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์และองครักษ์จื่ออวี๋เหลือเรี่ยวแรงเพียงเล็กน้อยฝั่งตรงข้ามมีคนจำนวนมาก ส่วนพวกเขามีกันเพียงสองคน การต่อสู้แบบเวียนเทียนสามารถทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าจนหมดแรงได้เช่นกัน“รีบสู้รีบจบเถิ
องครักษ์จื่ออวี๋หยุดชะงักไปชั่วขณะศัตรูมีจำนวนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด สถานการณ์อยู่ในขั้นวิกฤต เขาเพียงคนเดียวรับมือกับคนจำนวนมากเพียงนี้ อาจทำให้มิอาจดูแลไปพร้อม ๆ กันได้“สวมสิ่งนี้ไว้” เขาถอดเกราะเม่นอ่อนของตนเองออก“นี่คือ...” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตกตะลึงเกราะเม่นอ่อนที่ดาบแทงไม่เข้า เป็นสิ่งของในตำน
องครักษ์จื่ออวี๋มีวรยุทธ์ที่สูงส่ง มีความเป็นไปได้ที่จะหลบหนีออกไปได้“มิอาจให้พวกเขาหลบหนีออกไปได้” ป้าหวนกำหมัดแน่นอย่างดุดัน “ตามไป จะต้องสงหารพวกเขาในกองรักษาระเบียบนี้ให้ได้”“หากพวกเขาออกจากกองรักษาระเบียบไปได้แล้ว พวกเราทั้งหมดก็ต้องตาย”สีหน้าของเหล่านางกำนัลพลันกลายเป็นเหี้ยมโหดขึ้นมามีนาง
“ไม่ได้” ใบหน้าเล็ก ๆ ของตงฟางอิงซีดขาว “พวกนางล้วนมีวรยุทธ์กันทั้งนั้น ท่านไม่เป็นวรยุทธ์ สู้พวกนางไม่ได้หรอก”นางกำนัลเหล่านี้ไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร แต่ละคนล้วนมีฝีมือสูงส่งทั้งนั้นด้วยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ อย่างมากที่สุดก็คืออาศัยวิชาตัวเบาที่ซุยเยียนสอนหลบหนีไป คิดจะเอาชนะพวกเขาได้นั้นเป็นไปไม
ป้าหวนจับจ้องกระดาษแผ่นนั้นสักพัก ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นเปี่ยมล้นด้วยรังสีอาฆาตเสียงของนางแทบจะเค้นลอดไรฟันออกมา “ฝ่าบาทให้ท่านมารับตัวพระสนมเหยาหรือ?”“ถูกต้อง” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูด “คดีของพระพันปีเป่าเปิดเผยความจริงทั้งหมดแล้ว พระสนมเหยาเป็นผู้ถูกข้อครหา เสด็จพ่อจึงมีพระราชโองการให้ข้ากับองค์ชายสิบมาร
“องครักษ์จื่ออวี๋” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ขานเรียกคำหนึ่ง“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จื่ออวี๋สองนายปรากฎตัวขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน“พวกเจ้าใครก็ได้ช่วยข้าถีบกำแพงนี่ให้เปิดออกหน่อย” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดกำชับ“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์จื่วอวี๋ไม่ลังเลแม้แต่น้อยหนึ่งในนั้นก้าวขึ้นมาข้างหน้า กำหมัดแน่น รวบรวมพลังเงียบ ๆต่อ
ครั้นมองจากมุมของพวกเขา ข้างในยังคงว่างเปล่าไร้ผู้คน“ไม่มีกับดัก และไม่มีคนด้วย” ตงฟางอิงห่อไหล่ลง “แต่ข้าได้ยินเสียงจริง ๆ นะ” ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาซีดเผือดลงอีกครั้ง “พี่สะใภ้เจ็ด คงมิได้มีผีจริง ๆ กระมัง?”“ผีมิทำเรื่องไร้สาระพรรค์นี้หรอก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ก้าวเข้าไปข้างในกลิ่นเลือดภายในห้องรุนแรง
สีหน้าของฉินเหยี่ยนเย่ว์ก็ดูไม่ดีเช่นกันกองรักษาระเบียบเป็นหน่วยตรวจสอบของวังหลวง หัวหน้าหน่วยตรวจสอบใช้บทลงโทษอะไรมาลงโทษลูกน้อง มิอาจใช้บทลงโทษกับผู้กระทำความผิดโดยไร้เหตุผลได้กองรักษาระเบียบแห่งนี้ผิดปกติจจริง ๆเห็นได้ชัดว่าแม่นมสองคนที่หน้าประตูก็ปิดบังเรื่องบางอย่างจากพวกเขา ท่าทีอึกอัก สีหน
นางยื่นกระดาษขาวไปตรงหน้าพวกนาง “หรือว่า พวกเจ้าคิดจะขัดพระราชโองการ?”เหล่าแม่นมมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาที่หน้าผากเล็กน้อยพวกนางขัดขวางไว้ไม่ได้ ทำได้เพียงเปิดประตูให้ “พระชายาอ๋องเจ็ด องค์ชายสิบ เชิญเข้าไปได้เพคะ”ครั้นฉินเหยี่ยนพับกระดาษเก็บไว้ในแขนเสื้อเรียบร้อยแล้ว ก็พาเจ้าสิบเดินเข้าไปข้างในแม่