พระสนมซูล้มลงกับพื้นอย่างอับจนหนทาง ออกแรงบีบคอเหล่าขันทีมีความชำนาญมาก หลังจากกรอกเข้าปากไปแล้ว คนก็จะกลืนมันลงไปเอง แม้อยากจะอาเจียนก็อาเจียนไม่ออก“พระสนมซู พระองค์ต้องทำเช่นนี้เลยหรือ?” ขันทีหลานทนไม่ไหวอีกต่อไป “ฝ่าบาททรงได้ยินเสียงตะโกนของพระองค์ และคิดว่าพระองค์เสียสติไปแล้ว จึงให้คนไปทำน้ำแ
“ไม่อนุญาตให้พูดคำเช่นนี้” คำพูดของฉินเหยี่ยนเย่ว์ยังไม่จบ จู่ ๆ นิ้วของตงฟางหลีก็ทาบบนริมฝีปากของนางน้ำเสียงของเขาจริงจัง และใบหน้าเย็นเยียบ “ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย”เขาเพียงแค่กำลังกลัวกลัวว่านางจะเข้าไปพัวพันกับคลื่นลมแห่งการต่อสู้ของราชวงศ์เมื่อเทียบกับการต่อสู้ของแว้นเคว้นแล้ว การเสียสละชีว
หลังจากอยู่ในวังมาเป็นเวลานาน ของแปลก ๆ เช่นนี้เขาไม่กล้ากินทว่า เมื่อฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดถึงยาลูกกลอนแล้วดวงตากระจ่าง ท่าทีมั่นคง และใจกว้างตลอดกระบวนการ อีกทั้งยังสอนวิธีกินให้เขาอย่างใกล้ชิดที่สุดอีกด้วย ไม่หลีกเลี่ยงคนข้างตัว คำพูดและท่าทีเหมือนเป็นห่วงสหาย เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ดูเหมือนเขาเสียเอง
อ๋องอี๋หยางฟังอยู่ด้านข้าง เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาฉินเหยี่ยนเย่ว์ผู้นี้ มีนิสัยแข็งกระด้างราวกับก้อนหินจริง ๆ ด้วย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็มีเพียงนางคนเดียวที่กล้าพูดเช่นนี้“ฉินเหยี่ยนเย่ว์คนสารเลว ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท เจ้ายังกล้าไม่ยอมรับ” พระสนมซูเห็นฉินเหยี่ยนเย่ว์ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
ปฏิกิริยานี้ของขันทีหลาน แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาได้พูดบางอย่างกับฉินเหยี่ยนเย่ว์สำหรับเขา ขันทีหลานเป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งสหาย เมื่อก่อนตอนที่เขายังไม่เรืองอำนาจ ก็ล้วนอาศัยการคุ้มครองของขันทีหลานถึงสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าเจ็ดและภรรยาจะติดสินบนขันทีหลานได้เว้นเสียแต่ว่าพวก
หลังจากที่ฮ่องเต้ได้ยินคำตอบของนาง การแสดงออกจางหายไป และจ้องมองนางด้วยแววตาลึกล้ำ “เจ้า แน่ใจหรือ?”“ลูกแน่ใจเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าวอย่างหนักแน่นหลังจากเอ่ยคำเหล่านี้ ฮ่องเต้จึงเงียบไปฮ่องเต้ไม่พูด จึงไม่มีผู้ใดในห้องโถงใหญ่กล้าส่งเสียง ทุกคนล้วนกลั้นหายใจและมีสมาธิจดจ่อ เงียบมากจนได้ยินเพียงเ
เขาลุกขึ้นจากรถเข็นราวกับคนบ้าคลั่ง “ฉินเหยี่ยนเย่ว์ คนสารเลว”คนที่เพิ่งถูกตอนจนกลายเป็นขันทีร่างกายจะอ่อนแอมาก แม้ว่าเขาจะฝืนลุกจากเตียงได้ภายใต้การรักษาของลู่จิ้น ทว่าเขาก็ยังไม่สามารถเดินเหินได้ตามปกติทันทีที่เขายืนขึ้น เขาเจ็บไปทุกหนแห่ง สีหน้าซีดขาว และจำต้องนั่งลงอีกครั้ง“เสด็จพี่สามพระวรกา
“พูดจาเหลวไหล” ตงฟางหลีโกรธจัดจนหน้าซีดเผือดเขาไม่เคยพูดคำหยาบคายเลย ทว่าตอนนี้มีคำพูดหยาบคายมากมายที่อยากจะพูดใส่พี่สามและยังอยากตบพี่สามให้ตายไปเลยด้วยซ้ำ“อย่าหุนหันพลันแล่นเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์คว้าแขนเสื้อของตงฟางหลีตงฟางหลีขบกรามแน่นเขาจะไม่หุนหันพลันแล่นได้อย่างไร!ชื่อเสียงของสตรีสำคัญเพี
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได