พ่อบ้านฉินเคยเห็นวิธีการของฉินเหยี่ยนเย่ว์แล้ว และรู้ว่าสิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริง ทันใดนั้นเขาก็ตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวทันทีเขาก้มหน้าลง กลอกตาอยู่หลายครั้งพลางคิดว่าควรพูดอย่างไรดีฉินเหยี่ยนเย่ว์รำคาญเล็กน้อยดวงตาของชายอ้วนน่าตายผู้นี้กลิ้งกลอกตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้ามาแล้ว ช่างน่าสะอิดสะเ
เด็กหนุ่มร่าเริงขึ้นมา “พี่สาวของข้าชื่อหลิ่วชีชี”เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้แนะนำครอบครัวของตนเลย จึงรีบพยายามยันตัวขึ้น “ข้าน้อยชื่อหลิ่วฉือ เป็นคนจากอำเภอหลิ่วอัน สุยโจว พี่สาวมีนามหลิ่วชีชี ตอนอายุสิบปีก็ถูกคนลักพาตัวไป”“ลักพาตัวรึ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์บิดแขนเสื้อตนแน่น “มา พ
ใช้เวลาเพียงสองสามวินาที เมื่อฉินเหยี่ยนเย่ว์ตอบสนองก็ตกอยู่ในอ้อมแขนที่เย็นเยียบแล้วนางสะดุ้งตัว ทว่าหลังได้กลิ่นเย็นสะอาดอันคุ้นเคย ดวงตาก็เบิกกว้างและร้องด้วยความตกใจ “ตงฟาง...”คำพูดของนางยังไม่ได้หลุดออกมา ริมฝีปากก็ถูกปิดไว้เสียแล้วจุมพิตอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเย็นอยู่หลังม่าน เงาแสงเทียนสีแดงไห
เมื่อฉินเหยี่ยนเย่ว์เห็นท่าทีที่อ่อนโยนของเขา จึงแตะริมฝีปากของเขาเล็กน้อย “หยุดทำตัววุ่นวายได้แล้วเพคะ ท่านก็ช่วยตามหาหน่อยเถิด”“ข้าตอบรับได้ แต่พระชายาคิดให้ดี ๆ ว่าจะตอบแทนข้าเยี่ยงไร?” ตงฟางหลีจ้องมองนางที่อยู่ท่ามกลางแสงเทียน โน้มตัวเข้าใกล้ และกระซิบคำสองสามคำข้างหูของนางสุดท้ายก็พ่นลมหายใจอ
“คนงาม ข้ามาแล้ว” คนขี้เมาอัปลักษณ์สะอึก และเหยียดนิ้วอ้วนที่เต็มไปด้วยไขมันชี้ไปทางเตียงเมื่อเขากำลังจะแตะถึงตงฟางหลี ตงฟางหลีก็เตะเขาออกไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วมากคนขี้เมาตกใจในคราแรก เมื่อเห็นใบหน้าที่งามล่มเมืองของเขา ลำคอของเขาเกร็งแน่นขึ้นพลางขยี้ตา “ข้าไม่น่าจะฝันอยู่นะ? ช่าง ช่างงดงามเหลือ
“พาเขาออกไป ปลุกให้ตื่น แล้วถามให้ชัดว่าเป็นคำสั่งของใคร” ตงฟางหลีพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ที่เหลือ เจ้าควรรู้ว่าต้องทำอย่างไรกระมัง?”“กระหม่อมเข้าใจ” เฟยอิ่งคว้าคนขี้เมาแล้วเงาร่างก็แวบหายไปตงฟางหลีเปิดหน้าต่าง ปล่อยให้ลมหนาวพัดพากลิ่นที่น่าขยะแขยงในห้องออกไปสายลมพัดผมยาวของเขา ท่ามกลางแสงสลัวนั้น เส
ในช่วงครึ่งหลังของคืน สีของท้องฟ้ายามค่ำคืนกลายเป็นเสมือนหินฝนหมึกที่มิอาจกระจาย มืดมน และโดดเดี่ยวหมอกเริ่มหนาขึ้นเรื่อย ๆ ดำขาวคละเคล้าพันเกี่ยวกัน บดบังดวงดาวบนท้องฟ้าและบดบังแสงที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวกระแสใต้น้ำที่สาดซัดกระหน่ำราวกับกระแสคลื่น น้ำขึ้นสูงอย่างเงียบเชียบและล่าถอยไปอย่างเงียบเชี
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้ฟังแล้วรู้สึกขยะแขยงเล็กน้อยนางถือปิ่นปักผมไม้ไว้ในมือพลางเคาะเบา ๆ ลงบนโต๊ะ “ผู้ใดคือผู้ที่พบคนแรก”เฟ่ยชุ่ยส่ายหัว “บ่าวเองก็มิรู้เช่นกันเพคะ แต่เรื่องนี้ทุกคนในจวนสกุลฉินล้วนรู้ถ้วน มีคนไม่น้อยที่เห็นกับตาตัวเอง แม้ฮูหยินรองจะห้ามไม่ให้แพร่งพรายออกไปด้านนอกอย่างชัดเจน แต่เรื่อง
“ตงฟางหลี” ฉินเหยี่ยนเย่ว์สาวเท้าเดินไปหยุดข้างกายเขา พลางจับมือเขาแน่น “หม่อมฉัน...”นางมีคำพูดมากมายที่ต้องการพูด ครั้นเห็นความเศร้าโศกในแววตารวมถึงใบหน้าซีดขาวของเขา สุดท้ายก็ต้องกลืนคำพูดกลับเข้าไปพระสนมอวิ๋นจากไปแล้ว ตงฟางหลีน่าจะโทษนางกระมัง“ขอโทษ” นางสูดจมูก“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ” ตงฟางหล
ความรู้สึกต่าง ๆ นานา พวยพุ่งขึ้นมาในใจ จนทำให้ฮ่องเต้นัยน์ตาแดงก่ำร่างกายของเขา เปี่ยมล้นไปด้วยความเศร้า ความเจ็บปวด และความเสียใจ...แตกต่างไปจากความจริงจังในยามปกติ เขาในยามนี้ อ่อนแอจนดูเปราะบาง“เสด็จพ่อ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เห็นปฏิกิริยาของฮ่องเต้ผิดแปลกไป จึงหมายจะก้าวเข้าไปห้ามปราม“ออกไป”“เสด็
ผ่านไปเพียงไม่นาน ฮ่องเต้ก็อุ้มโถยาโถหนึ่งเดินเข้ามา“หาเจอแล้ว” เขาหยิบยาเม็ดที่บรรจุด้วยขี้ผึ้งออกมาจากโถยาหนึ่งเม็ด หลังจากเปิดขี้ผึ้งหนา ๆ ออกหนึ่งชั้นแล้ว ภายในยังห่อด้วยหีบห่อไว้อีกหนึ่งชั้นหีบห่อชั้นนั้น ก็คือลูกบอลพลาสติกที่อยู่ด้านนอกยาลูกกลอนน้ำผึ้งเม็ดใหญ่ครั้นเปิดลูกบอลพลาสติกออก ด้าน
ฮ่องเต้ยืนอยู่ห่างจากเจ้าสิ่งนั้นไม่ไกลมากเขามองสิ่งประหลาดชิ้นนั้นขยายตัวด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลังจากที่มันเจอกับเปลวไฟ พลันเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านในทันทีกลิ่นหอมประหลาดสายหนึ่งฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง“ระบายอากาศเร็วเข้า” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตะโกนร้องหนึ่งคำ ฮ่องเต้รีบเปิดหน้าต
นางกำชับทุกคนให้เปลี่ยนอาภรณ์ให้เรียบร้อยแสงเทียนทั้งหมดกระจุกตัวกันอยู่ในจุด ๆ เดียวเมื่อแสงยังสว่างไม่มากพอ ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้องครักษ์จื่ออวี๋นำไข่มุกราตรีในคลังเก็บสมบัติมาแสงสว่างของไข่มุกราตรีสะท้อนอยู่ภายในห้องจนดูคล้ายกับตอนกลางวันฉินเหยี่ยนเย่ว์มิสนใจพูดขอบคุณ หลังจากแบ่งงานกันอย่างช
ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกลำบากใจยิ่งนักในสายตานาง เทียบกับชีวิตแล้ว ความเป็นส่วนตัวเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอันใดด้วยซ้ำ“ป้าฉา บางครั้งเจ้ามิอาจเข้าใจได้ ทว่าข้ายังจะต้องบอกกับเจ้าว่า ในระหว่างขั้นตอนการผ่าตัด ต่อให้สวมอาภรณ์ก็จำเป็นต้องตัดทิ้ง โดยเฉพาะสถานการณ์ในยามนี้นั้นยากลำบากยิ่งนัก”การผ่าตัดเปิดช่อ
นางจับข้อมือของพระสนมอวิ๋น หากแต่ยังไร้ชีพจร หัวใจก็แทบหยุดเต้น “เสด็จแม่ ขอประทานอภัยเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกผิดอย่างยิ่งยวดนางรู้มาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าพระสนมอวิ๋นสุขภาพไม่ดี ควรจะเตรียมการให้รอบด้านถึงจะถูกนางมั่นใจในตัวเองมากเกินไป มิได้คำนึงว่ากระเพาะอาหารจะยังมีแมลงพิษกู่ด้วยเช่นกัน จึง
ฮ่องเต้ทรงกุมมือของพระสนมอวิ๋นแน่น“เรื่องเช่นนั้น สามารถทำได้หรือ?” เขามองพระสนมอวิ๋นที่อ่อนแรง ก่อนตรัสถามด้วยเสียงเบาทำเอาฉินเหยี่ยนเย่ว์ถอนหายใจยาวเหยียดตามหลักแล้วทำไม่ได้พระสนมอวิ๋นมีความดันโลหิตต่ำ ชีพจรแทบจะไม่มี ไม่เหมาะจะฉีดยาชา และไม่เหมาะจะทำการผ่าตัดเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงื่อนไข
หากมิใช่เพราะนางยังสามารถสัมผัสได้ถึงชีพจรที่เต้นอย่างอ่อนแรง ก็แทบจะคิดว่าพระสนมอวิ๋นตายไปแล้วต้องเกิดปัญหาขึ้นที่ไหนสักที่!ฉินเหยี่ยนเย่ว์กำมือแน่น สมองหมุนวนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกำจัดกู่นั้น นางได้ตรวจร่างกายของพระสนมอวิ๋นแล้ว นอกเสียจากถูกพิษกู่กัดกร่อนจนทำให้รู้สึกเจ็บปวดร่างกาย แล้ว ก็มีเพี