“ฮูหยินเหลยอันโหว” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยขึ้น “ข้าถามเจ้าอีกสักครั้ง เจ้ายังคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดคนอื่นอยู่หรือไม่?”ฮูหยินเหลยอันโหวยังคงเบิกตาจ้องนางอย่างเหี้ยมโหดเช่นเคย “ข้าไม่เสียใจ ถือสิทธิ์อันใดท่านช่วยเหลือฮูหยินขุยอันโหวแม่ลูกได้กลับช่วยลูกข้าไม่ได้เล่า ท่านไม่ช่วยก็คือคนผิด แม้ข้าตายก็จ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์หัวเราะเบา ๆ การรับมือคนไร้เหตุผลง่ายดายนัก เพียงแค่จะต้องไร้เหตุผลยิ่งกว่านางก็จักรับมือได้แล้ว“ท่านพี่รอง ท่านเลิกล้อข้าได้แล้วเพคะ หากเป็นไปได้ หม่อมฉันไม่คิดจะยั่วยุคนเช่นนี้หรอก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าวพลางถอนหายใจ“เวลาไม่เช้าแล้ว รอให้เสด็จพ่อมาถึง ก็ให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารขึ้นมา
ไป๋โค้วรู้สึกถึงโทสะจากท่านอ๋องของตนเอง พลันรีบวิ่งไปด้านหลังอู๋ฉิ่งเหยียน สองมือจับบ่าของเขา ก่อนผลักเขาออกมาข้างหน้า “ท่านอ๋อง มิเกี่ยวข้องกับหม่อมฉันนะ คนที่แย่งพระชายาจากท่านเป็นเจ้าหนุ่มคนนี้”อู๋ฉิ่งเหยียนถูกไป๋โค้วโอบไหล่เช่นนี้ ใบหน้าแดงแล้วแดงอีก ทำตัวไม่ถูก“เจ้าขี้ขลาดอันใด?” ไป๋โค้วเห็นห
ทุกคนได้รับอิทธิพลมาจากเขา ก็มิสนใจกฎเกณฑ์ บรรยากาศในงานเลี้ยงจึงนับว่าดีมากฉินเหยี่ยนเย่ว์อดโลภมากดื่มไปหลายจอกไม่ได้เช่นกันฤทธิ์สุราลามเลียไปถึงที่แก้ม จนกลายเป็นสีแดง ชาดทาแก้มที่แต่งแต้มบนใบหน้าจางหาย ดั่งกลิ่นหอมที่หลอมรวมเข้ากับหิมะฤดูใบไม้ผลิในแววตาคู่งามเป็นสีขุ่นมัว น้ำในดวงตาไหลวน หยาดห
เมื่อหลินเฟยจิ้งเดินออกไปจากงานเช่นนี้ บรรยากาศโดยรอบพลันตกสู่ความเงียบงันไปในทันใดตงฟางอิงแลบลิ้นปลิ้นตาออกมา เขาหาได้รู้ตัวไม่ว่าตนเองดันยั่วยุในเรื่องที่ไม่ควรขึ้นมาแล้วตงฟางเจวี๋ยจ้องมองไปยังถ้วยชาที่แตกสลายไป พลางเม้มริมฝีปากเล็กลงด้วยท่าทีครุ่นคิดสายตาของฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันกวาดตามองไปยังแผ่
หลังจากขึ้นมาบนรถม้าแล้วนั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงเอนตัวนอนไปด้านข้างพร้อมผล็อยหลับไปในทันทีตงฟางหลีที่กลัวว่านางจะปวดเมื่อยตัวนั้น จึงประคองหัวของนางมานอนอยู่บนขาของเขา พร้อมทั้งปัดปอยผมของนางไปไว้ข้าง ๆ แทน “ดูสภาพเจ้าสิ อะไรจะเมามายขนาดนี้?”เมื่อฉินเหยี่ยนเย่ว์พบท่านอนที่ทำให้ตัวเองนอนหลับสบายแล้
จากที่นางเข้าใจในตัวของตงฟางหลีแล้วละก็ เขาไม่มีทางที่จะก้มหน้ามาพูดถึงเรื่องเร้าร้อนบนเตียงข้างหูนางอย่างแน่นอนทว่า หากเขามิใช่ตงฟางหลีจริง ๆ แล้วละก็ จักรู้เรื่องราวที่ลึกซึ้งขนาดนั้นได้อย่างไรกัน?“เดี๋ยวเดี๋ยวเดี๋ยว ตงฟางหลี เป็นท่านจริง ๆ งั้นหรือ?” เมื่อฉินเหยี่ยนเย่ว์คิดว่าตงฟางหลีอาจจะเป็นต
พี่ชายคนรองหน้าตาหล่อเหลา หลินเฟยจิ้งหน้าตาก็ไม่เลวเช่นกันตงฟางหลีพลันหลับตาลงเมื่อเห็นนางหัวเราะออกมาแปลก ๆ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยท่าทีขนหัวลุกว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไร?”“ตงฟางหลี” ฉินเหยี่ยนเย่ว์มองเขาด้วยท่าทีจริงจัง “พี่ชายรองที่มิยอมแต่งงานมาโดยตลอดนั้น เป็นเพราะว่าเขา ชอบบุรุษงั้นหรือ?”ตงฟางหลีพล
“อ้อ? วีรบุรุษช่วยสาวงามหรือ?”ใบหน้าช่างปักเสิ่นแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม “พวกเรามาที่เมืองเหวินจิงเป็นครั้งแรก ไม่คุ้นเคยกับผู้คนและพื้นที่ จึงถูกคนหลอกเอาเงินไป บ่าวกับบุตรสาวเกือบจะถูกเอาตัวไปขาย เป็นพี่ใหญ่ตู้เห็นว่าไม่ยุติธรรมจึงเข้าช่วยเหลือพวกเรา พอเขารู้ว่าบ่าวปักผ้าเป็น ยังแนะนำโรงปักให้บ่าวทำงาน
“หม่อมฉันมิได้ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กลืนขนมลงไป “หม่อมฉันรู้สึกว่าขุนนางใหญ่คนนั้นโดนหลอกเพคะ”“จะว่าไป ตู้จ้งได้ให้กำเนิดบุตรกับสตรีคนสนิทหน้าตางดงามเหล่านั้นบ้างหรือไม่?”“พี่ชายกระหม่อมยังรักษาตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ บางครั้งกระทั่งมือของสตรียังไม่เคยจับมาก่อน จะมีลูกได้อย่า
เขากุมมือของนาง “ยัยหนู นี่เจ้า...จำได้แล้ว?”“บอกไปแล้วว่าเป็นความฝัน หม่อมฉันในยามนั้นฝันเช่นนี้” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “ตอนที่หม่อมฉันกับท่านไม่ชอบหน้ากัน หลังจากฝันเช่นนั้นแล้ว คิดไปว่าเป็นสิ่งที่ใจคิด จึงเก็บไปฝัน ด้วยคิดว่าหม่อมฉันเข้าไปยุ่งเรื่องของท่านกับซูเตี่ยนฉิง ยังรู้สึกขยะ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์นิ่งงันตงฟางหลีเคยถามนางหลายครั้งแล้วจริง ๆตอนที่เขาถามนั้น ระหว่างพวกเขาสองคนยังไม่ทันได้มีความรู้สึกที่ตรงกันตอนนั้น ไม่ว่าจะพูดอะไร ทำอะไร หากไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ร่ำไป ก็พูดออกไปโดยไม่คิดว่าจะทำให้ตนเองอับอายหรือไม่อย่างไรเสียก็มิอาจจริงใจต่อกันได้ ถ้อยคำที่กล่าวออกมาก็เลย
“ภายหลัง ตู้จ้งได้เจอกับหญิงม่ายคนหนึ่ง หญิงม่ายยังมีบุตรวัยสามขวบด้วยคนหนึ่ง” สายตาของเขาผินมองไปนอกหน้าต่าง “นั่นก็คือช่างปักคนนั้น เป็นเพราะเขาถูกหลอกมาหลายครั้ง ข้าถึงได้ฝากให้เจ้าช่วยสืบสักหน่อย”ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอามือเท้าคาง นิ้วก็เคาะที่โต๊ะอย่างไม่เป็นจังหวะช่างปักคนนั้นหน้าตาหมดจด ใบหน้าดูใ
“พระชายาคิดว่าข้าโง่ เช่นนั้นข้าก็โง่” ตงฟางหลีฉวยจังหวะจุมพิตหน้าผากของนางก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากที่ไกล ๆตู้จ้งและตู้เหิงเกรงว่าคงจะมากันแล้วเขามุ่นหัวคิ้ว ประทับบนริมฝีปากของนางหนัก ๆ “ตู้จ้งจะมารายงานข่าว”“ต้องให้หม่อมฉันหลบหรือไม่?”ตงฟางหลีนัยน์ตาเป็นประกาย “อืม ข้าได้ให้คนตัดเย
“ท่านอธิบายให้หม่อมฉันฟังเสียดี ๆ!” ฉินเหยี่ยนเย่ว์หน้าบึ้งหันหน้าไปอีกทาง“ยามเช้าข้าให้เฝ่ยชุ่ยเอายาไปให้เจ้า เจ้าไม่ได้รับหรือ?” ตงฟางหลีผินใบหน้านางให้หันกลับมา เผชิญหน้ากับนาง “ข้าตั้งใจให้ลู่ซิวทำขึ้นมาในคืนเดียวเชียวนะ”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกถึงขวดขนาดเล็กที่เฝ่ยชุ่ยมอบให้นาง
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจนิสัยของสองพี่น้องนี้ ช่างมีนิสัยตรงข้ามกันเสียจริงตงฟางหลีดื่มชาในถ้วยรวดเดียวหมดไอจากชาลอยบดบัง แสงดาวที่หว่างคิ้วน่ามองคู่นั้นประกายวับวาบยามที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์เหลือบตาขึ้นมอง ได้เห็นแสงดาวในแววตาของตงฟางหลีเข้าพอดีแสงนั้นสองสว่าง ดั่งดวงดาวนับพันหมื่นดวง
“ข้าถูกใส่ร้าย” ตงฟางหลีชูมือขึ้น “อยู่ดี ๆ คิดไปถึงเรื่องพวกนั้นได้อย่างไรกัน? มิใช่ตกลงกันแล้วหรือว่าจะไม่เอาเรื่องเก่าขึ้นมาพูดอีก? เรื่องในอดีตเป็นความผิดของข้า มิใช่ว่าเจ้าลงโทษข้าไปแล้วหรือ? พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้วมิใช่หรือ?”“ลงโทษแล้ว แล้วก็ทุบตีไปแล้ว แต่หม่อมฉันยังอารมณ์ไม่ดีอยู่เพคะ”