“นี่มิแปลกยิ่งกว่าเดิมหรือ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของเครื่องประดับหรือจะเป็นลวดลายของอาภรณ์ก็ดี ล้วนแต่ซุกซ่อนชื่อของข้าและเขาเอาไว้ เจ้าดูลายดอกไม้อันนี้ ดูผิวเผินจะคล้ายเป็นดอกไม้ แท้จริงแล้วเป็นคำที่เปลี่ยนรูปทรงจากคำว่าเหยี่ยนเย่ว์”นางชี้ไปที่บุปผาปักบนเสื้อ“
สีหน้าของซูเตี่ยนฉิงพลันแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์มากยิ่งขึ้นถูกด่าว่าเป็นหนูต่อหน้าทุกคน ทำเอารู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี นางโมโหเสียจนใจสั่น กลับพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว“ท่านว่าผู้ใด?” ซูเตี่ยนซวงถลาออกมา มือเท้าสะเอว ท่าทางต้องการจะหาเรื่องตงฟางซวี่เหลือบมองนางเพียงแวบเดียว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้
“กินเนื้อวัวหรือไม่?” นางเอ่ยถามรอยยิ้มที่มุมปากตงฟางซวี่คลี่ออกกว้างขึ้น จากนั้นจึงยื่นชามเข้ามา “กิน”ฉินเหยี่ยนเย่ว์คีบเนื้อวัวให้นางตงฟางซวี่กินเข้าไปหนึ่งคำ แล้วพยักหน้า “มิแปลกใจที่พี่เจ็ดบอกว่าข้าจะต้องชอบท่านแน่นอน พี่สะใภ้เจ็ด ท่านแตกต่างจากผู้อื่นจริง ๆ”“พี่เจ็ดของเจ้าให้เจ้ามางั้นรึ?”
“อย่าขยับ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ขวางตงฟางซวี่ไว้ “พวกเราไม่รู้ถึงเป้าหมายของนักฆ่า ง่ายที่จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”“อีกอย่าง นักฆ่าก็ไม่จำเป็นจะต้องพุ่งมาทางพวกเรา...”“ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว” เสียงของฉินเหยี่ยนเย่ว์ยังมิทันจบ พลันมีคนร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจท่ามกลางฝูง “ฮูหยินเหยาฮวาลื่นล้ม เร็
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เรี่ยวแรงของหญิงมีครรภ์ถดถอยลงไปเรื่อย ๆ ทว่าปากมดลูกเพิ่งจะเปิดสองนิ้วฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงรู้สึกร้อนรนสักเล็กน้อยหลังจากหญิงมีครรภ์ลื่นล้ม เดิมอาการก็มิสู้ดีอยู่แล้ว ทั้งยังมีภาวะคลอดยาก เป็นเสมือนกับการเติมแผ่นน้ำค้างแข็งลงบนหิมะยิ่งเวลายืดเยื้อออกไปนานก็จะยิ่งเกิดอันตรา
“สตรีผู้นั้นช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริง” ซูเตี่ยนซวงเอ่ยขึ้นด้วยความเกลียดชัง “ท่านพี่ ข้าจะไปกระแทกประตูให้เปิดออก จะปล่อยให้นางสังหารคนไม่ได้”ซูเตี่ยนฉิงรั้งตัวนางกลับมา ก่อนจะยิ้มแย้มพร้อมทั้งเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าโง่หรือเปล่า?”ฐานะของหญิงมีครรภ์ผู้นั้นมิธรรมดาภายใต้สายตาของหลายคนคอยจับจ
ยายสตรีผู้เฒ่าผู้นี้ก่อเรื่องขึ้นไม่หยุด พากันเอะอะโวยวายไม่หยุดหย่อน ทั้งยังพาคนมากระแทกเข้ากับประตู ทำให้นางไม่มีสมาธิหากถูกรบกวนในระหว่างทำการผ่าตัด หญิงมีครรภ์ผู้นั้นรวมทั้งเด็กจะต้องตายตกไปจริง ๆ คนโง่เขลาพวกนี้!ฉินเหยี่ยนเย่ว์ยกมือขึ้น ยามที่ฮูหยินโจวพุ่งเข้ามา ฝ่ามือก็ได้สะบัดลงไปอย่างแรง
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตกใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบเข้ามาดูอย่างรวดเร็วใบหน้าของเด็กเป็นสีม่วงคล้ำ มิมีลมหายใจ ทั้งยังไม่มีเสียงร้องไห้อีก คุณแม่มีภาวะคลอดบุตรยาก เด็กจึงอยู่ด้านในท้องนาน ทำให้เกิดการขาดอากาศหายใจอย่างรุนแรง“วางเด็กลง” เหงื่อเย็น ๆ ปกคลุมบนหน้าผากของฉินเหยี่ยนเย่ว์ในทันทีมีนางอยู่เพียงคนเดียวเช
“อ้อ? วีรบุรุษช่วยสาวงามหรือ?”ใบหน้าช่างปักเสิ่นแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม “พวกเรามาที่เมืองเหวินจิงเป็นครั้งแรก ไม่คุ้นเคยกับผู้คนและพื้นที่ จึงถูกคนหลอกเอาเงินไป บ่าวกับบุตรสาวเกือบจะถูกเอาตัวไปขาย เป็นพี่ใหญ่ตู้เห็นว่าไม่ยุติธรรมจึงเข้าช่วยเหลือพวกเรา พอเขารู้ว่าบ่าวปักผ้าเป็น ยังแนะนำโรงปักให้บ่าวทำงาน
“หม่อมฉันมิได้ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กลืนขนมลงไป “หม่อมฉันรู้สึกว่าขุนนางใหญ่คนนั้นโดนหลอกเพคะ”“จะว่าไป ตู้จ้งได้ให้กำเนิดบุตรกับสตรีคนสนิทหน้าตางดงามเหล่านั้นบ้างหรือไม่?”“พี่ชายกระหม่อมยังรักษาตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ บางครั้งกระทั่งมือของสตรียังไม่เคยจับมาก่อน จะมีลูกได้อย่า
เขากุมมือของนาง “ยัยหนู นี่เจ้า...จำได้แล้ว?”“บอกไปแล้วว่าเป็นความฝัน หม่อมฉันในยามนั้นฝันเช่นนี้” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “ตอนที่หม่อมฉันกับท่านไม่ชอบหน้ากัน หลังจากฝันเช่นนั้นแล้ว คิดไปว่าเป็นสิ่งที่ใจคิด จึงเก็บไปฝัน ด้วยคิดว่าหม่อมฉันเข้าไปยุ่งเรื่องของท่านกับซูเตี่ยนฉิง ยังรู้สึกขยะ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์นิ่งงันตงฟางหลีเคยถามนางหลายครั้งแล้วจริง ๆตอนที่เขาถามนั้น ระหว่างพวกเขาสองคนยังไม่ทันได้มีความรู้สึกที่ตรงกันตอนนั้น ไม่ว่าจะพูดอะไร ทำอะไร หากไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ร่ำไป ก็พูดออกไปโดยไม่คิดว่าจะทำให้ตนเองอับอายหรือไม่อย่างไรเสียก็มิอาจจริงใจต่อกันได้ ถ้อยคำที่กล่าวออกมาก็เลย
“ภายหลัง ตู้จ้งได้เจอกับหญิงม่ายคนหนึ่ง หญิงม่ายยังมีบุตรวัยสามขวบด้วยคนหนึ่ง” สายตาของเขาผินมองไปนอกหน้าต่าง “นั่นก็คือช่างปักคนนั้น เป็นเพราะเขาถูกหลอกมาหลายครั้ง ข้าถึงได้ฝากให้เจ้าช่วยสืบสักหน่อย”ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอามือเท้าคาง นิ้วก็เคาะที่โต๊ะอย่างไม่เป็นจังหวะช่างปักคนนั้นหน้าตาหมดจด ใบหน้าดูใ
“พระชายาคิดว่าข้าโง่ เช่นนั้นข้าก็โง่” ตงฟางหลีฉวยจังหวะจุมพิตหน้าผากของนางก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากที่ไกล ๆตู้จ้งและตู้เหิงเกรงว่าคงจะมากันแล้วเขามุ่นหัวคิ้ว ประทับบนริมฝีปากของนางหนัก ๆ “ตู้จ้งจะมารายงานข่าว”“ต้องให้หม่อมฉันหลบหรือไม่?”ตงฟางหลีนัยน์ตาเป็นประกาย “อืม ข้าได้ให้คนตัดเย
“ท่านอธิบายให้หม่อมฉันฟังเสียดี ๆ!” ฉินเหยี่ยนเย่ว์หน้าบึ้งหันหน้าไปอีกทาง“ยามเช้าข้าให้เฝ่ยชุ่ยเอายาไปให้เจ้า เจ้าไม่ได้รับหรือ?” ตงฟางหลีผินใบหน้านางให้หันกลับมา เผชิญหน้ากับนาง “ข้าตั้งใจให้ลู่ซิวทำขึ้นมาในคืนเดียวเชียวนะ”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกถึงขวดขนาดเล็กที่เฝ่ยชุ่ยมอบให้นาง
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจนิสัยของสองพี่น้องนี้ ช่างมีนิสัยตรงข้ามกันเสียจริงตงฟางหลีดื่มชาในถ้วยรวดเดียวหมดไอจากชาลอยบดบัง แสงดาวที่หว่างคิ้วน่ามองคู่นั้นประกายวับวาบยามที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์เหลือบตาขึ้นมอง ได้เห็นแสงดาวในแววตาของตงฟางหลีเข้าพอดีแสงนั้นสองสว่าง ดั่งดวงดาวนับพันหมื่นดวง
“ข้าถูกใส่ร้าย” ตงฟางหลีชูมือขึ้น “อยู่ดี ๆ คิดไปถึงเรื่องพวกนั้นได้อย่างไรกัน? มิใช่ตกลงกันแล้วหรือว่าจะไม่เอาเรื่องเก่าขึ้นมาพูดอีก? เรื่องในอดีตเป็นความผิดของข้า มิใช่ว่าเจ้าลงโทษข้าไปแล้วหรือ? พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้วมิใช่หรือ?”“ลงโทษแล้ว แล้วก็ทุบตีไปแล้ว แต่หม่อมฉันยังอารมณ์ไม่ดีอยู่เพคะ”