“สิ่งที่มู่เหยี่ยพูดมาเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ?” สีหน้าฮ่องเต้เปลี่ยนเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา“เป็นความจริงเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์หยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋าลับในแขนเสื้อ ปิ่นปักผมใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อเอาไว้ บนผ้าเช็ดหน้ายังเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดอีกเล็กน้อย“นี่คืออาวุธที่ใช้สังหารคนเพคะ”
ฉินเหยี่ยนเย่ว์มีสีหน้าลึกล้ำเป็นอย่างยิ่งมาถึงจุดนี้แล้ว องค์หญิงมู่เหยี่ยยังคงตะโกนออกมาแต่ละคำว่าหญิงชั่วพูดกันตามตรง หากไม่ใช่เพราะมู่เหยี่ยมีนิสัยใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นคนอยู่ในสายตา ละเมิดกฎเกณฑ์ และเอาชีวิตผู้คนได้ทุกเมื่อ ไป๋โค้ว เฝ่ยชุ่ยรวมถึงนาง ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่ต้องเจอกับประสบการณ์ที่
พระสนมเจิ้นที่ปกป้องบุตรีด้วยความร้อนรน เดิมทีก็หาได้คิดถึงจุดนี้ไม่เมื่อถูกฉินเหยี่ยนเย่ว์เตือน ก็พลันตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวทันทีมู่เหยี่ยชินกับนิสัยอยากพูดอะไรก็พูดไปเสียแล้ว หากเป็นในยามปกติ คงไม่มีผู้ใดคิดเล็กคิดน้อยกับนางทว่าตอนนี้เป็นสถาณการณ์ที่กำลังตึงเครียด โดยเฉพาะคำเรียกว่าหญิงชั่ว
เขาได้ยินคำพูดยาวเหยียดที่ซื่อสัตย์และจริงใจของนาง ในใจก็มีความประหลาดใจผุดขึ้นมาเขาได้ยินคำพูดเช่นนี้ของนางเป็นครั้งแรก กลับรู้สึกว่าค่อนข้างมีเหตุผลตอนนั้น หลังจากที่เสด็จแม่ของเขาเกิดเรื่อง เขาในวัยเยาว์ ในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้น จากนั้นก็ค่อย ๆ จมลงสู่ความมืดมิดอย่างช้า ๆ กระหายเลือด เหี้ยมโ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ฟังบทสนทนาที่เหล่านางสนมพูดคุยกันจนเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งนางสนมเหล่านี้ตำแหน่งต่ำต้อย นางจึงจำไม่ค่อยได้ราวกับว่า ตอนที่ข่าวมู่เหยี่ยและซูเตี่ยนฉิงได้รับบาดเจ็บแพร่เข้ามาถึงตำหนักฮองเฮา นางสนมที่เข้ามาคารวะยามเช้าเหล่านี้ก็อยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน พวกนางจึงตามมาพร้อมกันส่วนใหญ่เป็นพ
“เสด็จพ่อ” ขณะที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ตงฟางหลีก็กล่าวขึ้น “ให้ลูกดูอาการบาดเจ็บของฉิงเอ๋อร์ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”เมื่อนางได้ยินคำพูดนี้ หัวใจพลันร่วงลงสู่ก้นเหวทันทีมุมปากมีความเย้ยหยันผุดขึ้นมาอะไรกัน...เหตุใดนางถึงได้สมองบิดเบี้ยวไปเชื่อเขาได้?ตงฟางหลีเชี่ยวชาญด้านเสแร้งเป็นที่
ตงฟางหลีหนักใจตอนนี้เขามิอาจเอื้อนเอ่ยออกไปได้หากห้ามปราม หญิงผู้นี้จักต้องคิดว่าเขาปกป้องซูเตี่ยนฉิงอย่างไร้สมองเป็นแน่ และทำให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อถึงตอนนั้น ก็จะยิ่งจบยากมากขึ้นพูดกันตามตรงแล้ว หากมิใช่นิสัยที่แข็งกร้าวจนถึงที่สุดของนาง คงไม่ทำพฤติกรรมอย่างเช่นปะทะกับเสด็จพ่อ หรือเผชิญหน้าแ
พระสนมเจิ้นเห็นฮ่องเต้ไม่แสดงท่าที ก็ลอบร้อนใจอยู่เงียบ ๆ“พระสนมเจิ้นไม่อยากรู้ตัวการที่ทำให้มู่เหยี่ยเป็นเช่นนี้หรือเพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยถามเสียงเบา“ตัวการมิใช่เจ้าหรอกหรือ?” พระสนมเจิ้นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน“ฮ่าฮ่า ข้าและมู่เหยี่ยหาได้มีความแค้นคืองต่อกันไม่ เหตุใดต้องลงมือกับมู่เหยี่ยด้วยเล่
“เหยี่ยนเย่ว์!”ในตอนที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์คิดว่าตนกำลังจะตาย สุ้มเสียงที่เป็นกังวลก็ดังขึ้น“เหยี่ยนเย่ว์ เจ้าเป็นไรหรือไม่?”“ยัยหนู เจ้าห้ามเป็นอะไรเด็ดขาดนะ”เสียงหนึ่ง ตอนแรกฟังดูเหมือนมาจากมิติอันไกลโพ้น ยากที่จะได้ยินชัดเจนแต่แล้วเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆผ่านชั้นสีเลือด ขจัดความกลัว ข
หลังจากที่ป้าหวนออกคำสั่ง ทุกคนต่างรวมตัวกันรอบฉินเหยี่ยนเย่ว์และเฟิ่งหลีกระบี่ยาวหอบลมปะทะมา ทั้งหมดโจมตีลงมาที่พวกเขาฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อนครั้งก่อนที่ถูกคนของอีกาดำโจมตี อีกาดำตัวนั้นไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาเลย และการเคลื่อนไหวของฝ่ามือช่างเชื่องช้ายิ่งนัก นางหลบหนีได้ภา
ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้สึกว่าเถาวัลย์โลหิตถูกคนตัดออกไป ร่างกายเบาขึ้นดูเหมือนมีคนตบใบหน้านางอย่างแรงคนผู้นั้นยังคงพูดอะไรบางอย่างร้อนใจด้วยเสียงที่ห่างไกลฟื้นคืนกลับมาทีละน้อย และสมองที่ค้างเติ่งว่างเปล่าก็เริ่มต้นใหม่เช่นกัน“สาวน้อย ตื่นได้แล้ว”ฉินเหยี่ยนเย่ว์มองไปยังแหล่งที่มาของเสียงด้านหน้า ใบ
องครักษ์จื่ออวี๋ในยามนี้ตกอยู่ภายใต้การโจมตีจากทั้งสองด้านแล้วหลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ สีหน้าย่ำแย่อย่างรวดเร็วบนกระบี่มีพิษ!ภายใต้ผลกระทบของพิษ สติขององครักษ์จื่ออวี๋พร่ามัวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะรีบผนึกจุดฝังเข็มที่สำคัญหลายจุดจุดฝังเข็มถูกผนึกกะทันหัน และเมื่อเลือดลมพุ่งทะยานขึ้น เขาจึงกระอัก
นอกจากกำแพงที่มิอาจเข้าใกล้ได้แล้ว อีกสามทิศที่เหลือล้วนถูกยึดครองทั้งหมดภายใต้วงล้อมที่โอบล้อมหลายชั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์และองครักษ์จื่ออวี๋เหลือเรี่ยวแรงเพียงเล็กน้อยฝั่งตรงข้ามมีคนจำนวนมาก ส่วนพวกเขามีกันเพียงสองคน การต่อสู้แบบเวียนเทียนสามารถทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าจนหมดแรงได้เช่นกัน“รีบสู้รีบจบเถิ
องครักษ์จื่ออวี๋หยุดชะงักไปชั่วขณะศัตรูมีจำนวนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด สถานการณ์อยู่ในขั้นวิกฤต เขาเพียงคนเดียวรับมือกับคนจำนวนมากเพียงนี้ อาจทำให้มิอาจดูแลไปพร้อม ๆ กันได้“สวมสิ่งนี้ไว้” เขาถอดเกราะเม่นอ่อนของตนเองออก“นี่คือ...” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตกตะลึงเกราะเม่นอ่อนที่ดาบแทงไม่เข้า เป็นสิ่งของในตำน
องครักษ์จื่ออวี๋มีวรยุทธ์ที่สูงส่ง มีความเป็นไปได้ที่จะหลบหนีออกไปได้“มิอาจให้พวกเขาหลบหนีออกไปได้” ป้าหวนกำหมัดแน่นอย่างดุดัน “ตามไป จะต้องสงหารพวกเขาในกองรักษาระเบียบนี้ให้ได้”“หากพวกเขาออกจากกองรักษาระเบียบไปได้แล้ว พวกเราทั้งหมดก็ต้องตาย”สีหน้าของเหล่านางกำนัลพลันกลายเป็นเหี้ยมโหดขึ้นมามีนาง
“ไม่ได้” ใบหน้าเล็ก ๆ ของตงฟางอิงซีดขาว “พวกนางล้วนมีวรยุทธ์กันทั้งนั้น ท่านไม่เป็นวรยุทธ์ สู้พวกนางไม่ได้หรอก”นางกำนัลเหล่านี้ไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร แต่ละคนล้วนมีฝีมือสูงส่งทั้งนั้นด้วยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ อย่างมากที่สุดก็คืออาศัยวิชาตัวเบาที่ซุยเยียนสอนหลบหนีไป คิดจะเอาชนะพวกเขาได้นั้นเป็นไปไม
ป้าหวนจับจ้องกระดาษแผ่นนั้นสักพัก ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นเปี่ยมล้นด้วยรังสีอาฆาตเสียงของนางแทบจะเค้นลอดไรฟันออกมา “ฝ่าบาทให้ท่านมารับตัวพระสนมเหยาหรือ?”“ถูกต้อง” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูด “คดีของพระพันปีเป่าเปิดเผยความจริงทั้งหมดแล้ว พระสนมเหยาเป็นผู้ถูกข้อครหา เสด็จพ่อจึงมีพระราชโองการให้ข้ากับองค์ชายสิบมาร