“ฉู่เชียนหลี!”พลันเฟิงเย่เสวียนแน่นหน้าอก มือที่จับไหล่ของนางเปลี่ยนเป็นช้อนอุ้มขึ้นมา เขาถีบประตูห้องหนังสือ ก้าวเท้ายาวเดินเข้าไป“ใครก็ได้ ไปเอายามา!”วางคนลงบนเก้าอี้นวมเล็ก จับเท้าข้างที่ได้รับบาดเจ็บของนางไว้ ถอดรองเท้าปักลายดอกไม้ ดึงถุงเท้าออก นิ้วเท้าที่เรียบเนียนได้บวมฉึ่งเหมือนกับตุ๊กตาหัวอ้วนสีแดงห้าตัวสาวใช้เดินเข้ามา เห็นภาพนี้แล้วตกใจจนสะดุ้งท่านอ๋องปฏิบัติต่อพระชายา…นางไม่กล้าพูดมาก รีบก้มหน้าลง ระงับความตกใจในใจ ส่งยาเสร็จก็ออกไปแล้วเฟิงเย่เสวียนรีบควักยามาทาที่นิ้วเท้าของนางฉู่เชียนหลีตกใจจนถีบเท้า “เจ้าทำอะไร…”“อย่าขยับ!”เสียงของเขาทุ้มต่ำ ฝ่ามือใหญ่และมีกำลังจับข้อเท้าของนางไว้แน่น ทายาที่อยู่บนปลายนิ้วลงไป และเริ่มลูบเบาๆ ให้กระจายออกซี้ด…เย็นจังร่างกายของฉู่เชียนหลีหดเกร็งโดยไม่รู้ตัว มองผู้ชายที่คุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าเท้า และทายาให้นางอย่างคาดคิดไม่ถึงเล็กน้อย ในศีรษะเต็มไปด้วยความตะลึงงันเขาบ้าไปแล้ว?เมื่อก่อนเขาตบตีดุด่าว่านาง จอมเผด็จการผู้หล่อเหลาที่ใช้สายตาฆ่านางคนนั้นไปไหนแล้ว?เฟิงเย่เสวียนพลางทายาให้นาง พลางกล่าวตำหนิอย่างเย็
เขายกใบหน้าผิวสีแทนขึ้น น้ำเสียงหนักแน่นทรงพลัง เสียงดังชัดเจน ไม่สามารถรู้สึกถึงเจตนาขอโทษใดๆ ในน้ำเสียงของเขา กลับกันให้ความรู้สึกไม่กลัวเพราะมีคนหนุนหลังเล็กน้อยเฟิงเย่เสวียนวางฉู่เชียนหลีลง กวาดมองเขาอย่างเฉยเมยแวบหนึ่ง “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?”ด้านข้าง ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งตอบอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย“นิ้วข้างขวาของรองแม่ทัพเจียงถูกฟัน…ขาดไปสี่นิ้ว เหลือ เหลือแค่นิ้วโป้ง…”ในกองทัพ ความพิการคือข้อห้ามสูงสุด บาดแผลตรงมือยิ่งสำคัญอย่างยิ่งไม่มีนิ้วมือจะถือกระบี่อย่างไร? จะเข้าสนามรบอย่างไร?รองแม่ทัพเจียงนิ้วมือขาด ไม่สามารถฆ่าศัตรูบนสนามรบอีกต่อไป ทั้งชีวิตจบสิ้นแล้ว…“ข้าน้อยไม่มีเจตนาขอรับ” รองแม่ทัพโหวเอ่ยปากอีกครั้ง “ตอนประลองยุทธ์ กระบี่ที่ข้าน้อยฟันออกไปเก็บไม่ทัน นี่ถึงได้พลาดทำร้ายรองแม่ทัพเจียง ข้ารู้สึกเสียใจยิ่งนัก”พูดจบ เขาถอนหายใจอย่างเสียดายฉู่เชียนหลีมองคนคนนี้แวบหนึ่ง ความกล้าหาญแฝงระหว่างคิ้ว เยือกเย็นทั่วร่าง แต่ดวงตาคู่นั้นแคบยาว ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนจิตใจคับแคบ ชอบคิดเล็กคิดน้อยเวลานี้ หานอิ่งเดินออกมาจากในกระโจม“นายท่าน ห้ามเลือด
หานอิ่งตะลึงงันหนึ่งวินาที พลันพยักหน้าอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”“พระชายา เชิญตามข้ามา” นางเดินนำหน้า ฉู่เชียนหลีเดินกะเผลกตามหลังเฟิงเย่เสวียนเห็นแล้ว คิ้วขมวด ก้าวออกไปกอดเอวของนาง ยกขึ้นเบาๆ อุ้มคนเข้าไปในกระโจมข้างนอกหลังจากอ๋องเฉินเข้าไปในกระโจม มีทหารหลายคนล้อมรอบรองแม่ทัพโหว กล่าวอย่างเลื่อมใส“ใต้เท้าโหว วรยุทธ์และความสามารถของท่านอยู่เหนือรองแม่ทัพเจียง ท่านสมควรนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการมากกว่า”“วรยุทธ์ของใต้เท้าโหว พวกเราเลื่อมใส…”“ร้ายกาจมาก…”รองแม่ทัพโหวถูกทหารกลุ่มหนึ่งล้อมรอบ ฟังคำพูดประจบสอพลอเหล่านั้น ศีรษะของเขายกขึ้นเล็กน้อย เชิดคาง มีความภาคภูมิปรากฏขึ้นในแววตาหลายส่วนความสามารถของเขาแข็งแกร่งกว่ารองแม่ทัพเจียง เหตุใดท่านอ๋องไม่ให้ความสำคัญเขา?นี่ก็คือผลของการไม่ให้ความสำคัญเขา!เขาใช้ความสามารถพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ารองแม่ทัพเจียงเป็นคนไร้ประโยชน์ อีกอย่าง ประลองยุทธ์พลาดบาดเจ็บเป็นเรื่องปกติ ต่อให้ท่านอ๋องไม่พอใจ ก็ไม่สามารถลงโทษเขาตำแหน่งผู้บัญชาการ ต้องเป็นของเขาเท่านั้น!ภายในกระโจมกลิ่นคาวเลือดโชยมาเตะจมูก บนเตียงเล็ก มีชายหนุ่มที่อยู่ในช่วงวัยก
ภายในกระโจม ฉู่เชียนหลีเริ่มทำการผ่าตัดอย่างจริงจัง ภายนอกกระโจม ก็เป็นภาพอีกฉากหนึ่งบนเวทีประลอง ร่างเงาสองสายยืนประจันหน้าเข้าหา รองแม่ทัพโหวถือกระบี่ไว้ในมือ ฝั่งตรงข้าม ชายชุดผาวสีหมึกยืนมือไขว้หลัง ชายเสื้อยาวพลิ้วไหวไปตามสายลม กลิ่นอายที่สูงศักดิ์ก่อเกิดตามธรรมชาติใต้เวทีประลอง ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนยืนล้อมข้างในสามชั้น ข้างนอกสาม มองดูภาพนี้อย่างประหม่าท่านอ๋องเสนอจะประลองยุทธ์กับรองแม่ทัพโหวความแข็งแกร่งของท่านอ๋องเป็นที่ประจักษ์ของผู้คน รองแม่ทัพโหวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านอ๋องเลย ประลองกับท่านอ๋อง ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ?รองแม่ทัพโหวพลางเช็ดคมกระบี่ พลางชำเลืองมองชายฝั่งตรงข้ามอ๋องเฉินอายุน้อยกว่าเขาถึงสิบสามปี กลับกลายเป็น ‘เทพสงครามไร้พ่าย’ ในใจราษฎร แต่คนที่ขายชีวิตเพื่ออ๋องเฉินคือเขาและเหล่าทหารนับไม่ถ้วนคนที่ตายคือทหารคนที่เสียสละคือทหารคนที่บ้านแตกคนสิ้นก็คือทหารเช่นกันอ๋องเฉินนอกจากบัญชาการ เขายังเสียสละอะไรอีก?ในเมื่ออ๋องเฉินจะออกหน้าแทนรองแม่ทัพเจียง เช่นนั้นก็ให้เขามาลองเจอกับเด็กน้อยอายุยี่สิบต้นๆ คนนี้เสียหน่อย“ท่านอ๋อง เชิญ!” เขาเตรียมพร้อม
“ท่านอ๋อง…ท่าน…เอ่อ…อ๊า!”“อุ๊ก…”ต่อจากนั้น รองแม่ทัพโหวโดนซัดจนไม่มีแม้แต่โอกาสจะพูด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอบโต้แล้ว ถูกโจมตีถอยอย่างต่อเนื่อง แม้ล้มลงพื้นไปแล้ว ก็ยังไม่หยุดเหล่าทหารดูจนตกตะลึง นี่ท่านอ๋องกำลังโกรธ!สุดท้ายรองแม่ทัพโหวล้มลงพื้นอย่างอ่อนระทวย ไม่มีแรงลุกขึ้นอีกแล้ว ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด ลมหายใจรวยริน ดวงตาทั้งคู่ไร้ชีวิตโดยเฉพาะมือขวาของเขามือขวาของเขาถูกเฟิงเย่เสวียนเตะจนหัก กระดูกที่แหลมคมแทงทะลุข้อมือออกมาให้เห็นโดยตรง ดูสยดสยองน่ากลัวเป็นยิ่งนัก…ฉู่เชียนหลีผ่าตัดเสร็จ เดินออกมาจากในกระโจมก็มองเห็นภาพนี้พอดี :สีหน้าของเฟิงเย่เสวียนเย็นชา เยือกเย็นราวกับดอกไม้น้ำค้างแข็งในเดือนสิบสอง ชายเสื้ออันสูงศักดิ์มีเลือดหยด ทำให้อุณหภูมิโดยรอบของเขายิ่งเย็น ช่วยสะท้อนบุคลิกโหดของเขาหลายส่วนรองแม่ทัพโหวหอบหายใจอย่างหนัก แหงนหน้ามองร่างเงาอันสูงศักดิ์สายนั้น ปากแทบไม่สามารถพูดเป็นประโยคที่สมบูรณ์“เจ้า…จง จงใจ…อ๊า!”พลันเฟิงเย่เสวียนกระทืบลงไปอย่างเย็นชา เหยียบอยู่บนมือที่หักของเขา ทำให้เขากรีดร้องราวกับเสียงฆ่าหมูทุกคนขมวดคิ้ว มองดูภาพนี้ ยิ่งไม่กล้ากระท
เฟิงเย่เสวียนเห็นมือขวาของเขาถูกห่อด้วยผ้าพันแผล นิ้วมือทั้งห้าล้วนอยู่ครบ ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่นิ้วเดียว และยังสามารถขยับเบาๆ ทันใดนั้น สายตาที่มองไปทางฉู่เชียนหลีซับซ้อนขึ้นหลายส่วนนางมักทำให้เขาประหลาดใจเสมอ…นางก็เหมือนหมอกก้อนหนึ่ง ลึกลงไปในหมอกซ่อนความลับที่ไม่มีใครรู้เอาไว้ ยิ่งแผ่เสน่ห์ที่ดึงดูดใจคนทั่วร่าง ทำให้เขาอยากเข้าใกล้ ทำให้เขาอยากสำรวจนางอยากได้หนังสือหย่า แต่เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะปล่อยนางไป…“รองแม่ทัพเจียง เจ้าพักฟื้นให้เต็มที่ หากมีเรื่องอะไรก็มาจวนอ๋องเฉิน”“ขอรับ ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณพระชายา!”หลังจากรองแม่ทัพเจียงขอบคุณอย่างจริงใจ เฟิงเย่เสวียนก็พาฉู่เชียนหลีจากไปแล้วระหว่างทางกลับความคิดในใจฉู่เชียนหลีค่อนข้างไม่มั่นคง——ผู้ชายคนนี้ทำร้ายรองแม่ทัพโหวสาหัส เพราะเรื่องของรองแม่ทัพเจียง แค่ดูก็รู้ว่าให้ความสำคัญรองแม่ทัพเจียงมาก เธอช่วยต่อนิ้วคืนให้รองแม่ทัพเจียง สามารถขอรางวัลหรือเปล่านะ?——ถ้าหากเธออยากหย่า…อย่าแม้แต่จะคิด!เฟิงเย่เสวียนกำหมัด เอ่ยปากกะทันหัน “มีเรื่องที่พระชายาไม่รู้ ข้านำทัพขึ้นเหนือครั้งนี้ เพื่อสยบซยงหนู ในกองทัพปรากฏคนทรยศห
เหตุใดนางถึงไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นนะ?เฟิงเย่เสวียนเม้มริมฝีปากบาง “ศึกใหญ่ครั้งนี้ เดิมทีข้าได้วางแผนไว้อย่างรอบคอบ เตรียมตัวปราบซยงหนูให้ราบคาบ แต่ในกองทัพกลับมีคนทรยศ ส่งผลให้ฝ่ายเราบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ต้องหนีเอาชีวิตรอดจากความตาย”“หากไม่ใช่เพราะฝ่าฟันจนสามารถเปิดเส้นทางเลือดสายหนึ่ง ข้าก็ไม่มีทางได้กลับมา”เอ่ยถึงเรื่องของศึกใหญ่ครั้งนี้ น้ำเสียงของเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึม แววตายิ่งมืดครึ้มสงบ เยือกเย็น เงียบสงัด…ภาพที่มีเลือดนองเต็มพื้น มือขาดขาขาด ศพกองเป็นภูเขา ธรรมดาราวกับการกินข้าวดื่มน้ำ“หลายปีมานี้ ทุกเส้นทางที่ข้าเคยเดิน ล้วนเหยียบย่ำศพนับไม่ถ้วน” เสียงของเขาเฉยเมย เงยหน้าขึ้นมองนาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงรังเกียจเจ้า?”ฉู่เชียนหลีมองเขาอย่างตะลึงงัน นางส่ายศีรษะ“เมื่อสามเดือนกว่าก่อนหน้านี้ เรื่องที่เจ้าวางยาข้า”สิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดในชีวิตคือการใช้กลอุบาย และพวกคนประเภทจงใจเข้าหาเขา ภายใต้หน้ากากที่ประจบสอพลอและใจแคบ“จุดประสงค์ที่เจ้าเข้าหาข้าไม่บริสุทธิ์ หากข้าไม่ระแวดระวัง ท่ามกลางความผันผวนที่วุ่นวายในมุมมืดของราชวงศ์ ไม่รู้ว่าข้าจะ
ฉู่เชียนหลีตะลึงงันแล้วนี่เขาขอโทษนาง?ไม่ใช่กระมัง?ในความทรงจำ เขาทั้งเย็นชาทั้งพูดน้อย และยังลงมือโหดเหี้ยมมาก เหมือนเทพสงครามที่สังหารคนมากมายในสนามรบ คนเช่นนี้หรือจะยอมก้มศีรษะอันสูงส่งของตนเอง?ต้องเป็นภาพหลอนแน่!ฉู่เชียนหลีคิดเช่นนี้ ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้ม“ท่านอ๋องกล่าวหนักแล้ว ข้าลืมเรื่องในวันนั้นไปนานแล้ว ในสายตาของข้า ท่านอ๋องมีภาพลักษณ์ที่สง่าองอาจ สูงส่ง ไร้ข้อผูกมัด หล่อเหลา รอบคอบมีไหวพริบ และอ่อนโยนเสมอ”“และตอนนี้ท่านก็ยังอุ้มข้าด้วยตัวเอง ข้ารู้สึกดีใจมาก”——ก่อนหน้านี้พาฉันเข้าวังร่วมงานเลี้ยง แล้วก็ไปร่วมงานเลี้ยงจวนอัครมหาเสนาบดีฉู่ ตอนนี้ยังอุ้มฉันอีก ถ้านายบอกว่านายไม่มีแผน ฉันยอมเด็ดหัวลงมาเตะแทนบอลเลย!เฟิงเย่เสวียนสูดลมเข้าลึกๆ รักษาการแสดงออกบนใบหน้าไว้สิ่งที่สมควรพูดก็พูดไปแล้ว ในเมื่อนางไม่เชื่อ เช่นนั้นก็คอยดูกันต่อไปในไม่ช้าก็เร็วสักวัน เขาจะทำให้นางรักเขา ไปจากเขาไม่ได้!จวนอ๋องเฉินหลังจากกลับมาถึงฟ้าก็มืดแล้ว ทั้งสองแยกทางกัน ฉู่เชียนหลีกลับเรือนข้างของตนเอง ส่วนเฟิงเย่เสวียนไปเรือนหมิงเยว่ในเรือนหมิงเยว่อาหารบนโต๊ะอุ่นแล้วถูกปล่
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋
ตอนที่ตื่น ก็เป็นเที่ยงของวันใหม่แล้ว เฟิงเย่เสวียนรู้จักเตียงนานแล้ว หลังจากฉู่เชียนหลีกินอะไรง่ายๆ ก็ไปที่สำนักหมอหลวง หมกมุ่นอยู่กับตำราแพทย์พริบตาเดียวก็กลางคืนแล้วนางกำนัลมารายงาน ฮ่องเต้ฟื้นแล้ว ฉู่เชียนหลีไปตำหนักผานหลง ฮ่องเต้นอนตัวเกร็งอยู่บนเตียง นิ้วมือหยิกงอ ร่างกายครึ่งหนึ่งแข็งเหมือนท่อนไม้ ปากก็เบี้ยวจนมีน้ำลายไหลยืดเขาเบิกตากว้างจนลูกตาแทบทะลักออกมาแล้ว นางกำนัลที่ปรนนิบัติกลัวเล็กน้อย ไม่กล้าเข้าไปปรนนิบัติฉู่เชียนหลีเดินเข้ามา“ฝ่าบาททรงฟื้นเมื่อไร”“เมื่อหนึ่งเค่อก่อนเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบ“ดื่มโอสถหรือยัง?”“หนึ่งวันสามมื้อ ป้อนตรงเวลาเจ้าค่ะ”“อืม”นางเดินไปที่หน้าเตียง จับชีพจรของฮ่องเต้ ลักษณะชีพจรคงที่ ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ร่างกายได้รับหญ้าหมาเฟ้ยมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายชาจนไม่ตอบสนอง อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี จึงจะสามารถสลายหญ้าหมาเฟ้ยเหล่านี้หมดถึงเวลา ก็สามารถกลับมาเป็นปกติ“ดูแลดีๆ ต้องมีคนเฝ้าอยู่ข้างพระวรกายตลอดอย่างน้อยสองคน” นางกำชับนางกำนัลเวลานี้เอง ที่นอกประตู อวิ๋นอิงอุ้มน้องสาวมาแล้ว“พระชายา ท่านเอาแต่ยุ่งทั้งวัน ลู่ฉิ
ฉู่เชียนหลีมองนาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า อ๋องหลีก็ไม่สามารถก่อเรื่องมากมายเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าจัดการเจ้าอย่างไรจึงจะดี?”ถ้าไม่มียาอายุวัฒนะ อ๋องหลีจบสิ้นไปนานแล้วและยาชนิดนี้ก็มาจากมือของอูหนูอูหนูยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา ยืดอกหลังตรง การแสดงออกบนใบหน้าไม่เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ถ่อมตน นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วหนึ่งครั้ง ย่อมไม่กลัว“จะฆ่าจะแกง เชิญตามสะดวก”นางเงยหน้า หลับตา“เจ้าเป็นผู้ช่วยที่ดีของอ๋องหลี ข้าฆ่าเจ้าทั้งเช่นนี้ จะไม่เสียดายแย่หรือ?” ฉู่เชียนหลีเดินไปที่ตรงหน้านาง “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำอะไรกับฝ่าบาท? เหตุใดจู่ๆ เขาก็เป็นอัมพาตเฉียบพลัน”อูหนูย่อมไม่อยากพูดไม่รอนางเอ่ยปาก ฉู่เชียนหลีเสริมอีกประโยค“ตายเป็นแค่ผลลัพธ์อย่างหนึ่ง แต่ขั้นตอนการตาย ควรตายอย่างไร ขึ้นอยู่กับข้า”“เจ้าสามารถปากแข็ง แต่ปากแข็งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ และยังจะเพิ่มความเจ็บปวด เจ้าเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรเลือกอย่างไร”อูหนู “...”ข่มขู่อย่างโจ่งแจ้งถ้าหากนางยอมพูด มอบความตายที่ไม่เจ็บปวดให้นางถ้าหากนางไม่ยอมพูด คิดวิธีทรมานสารพัด เพื่อทำให้นางยอมพูด สุดท้ายก็ตายอยู่
กล่าวจบ เขาหมุนกาย นั่งขัดสมาธิลงบนกระดานไม้ที่เย็นเยียบ หันหลังให้นางฉู่เชียนหลีมองไม่เห็นสีหน้าของเขา และไม่แน่ใจคำพูดนี้ของหมายความว่าอย่างไร ยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก็จากไปแล้วออกจากคุกหลวง ข้างนอกท้องฟ้าสดใส อากาศสดชื่น“ส่งพระชายาอ๋องหลีไปอยู่ตำหนักเจาหยางชั่วคราว ปรนนิบัติให้ดี ห้ามละเลยเด็ดขาด” นางสั่งให้องครักษ์ลับคนหนึ่งคุ้มกันส่ง ในความเป็นจริงก็สั่งให้คนจับตาดูฉู่เจียวเจียวด้วยหลังไปแล้วท้องฟ้า ละอองฝนโปรยปรายลงมาเมื่อเงยหน้าก็ปะทะลม ละอองฝนตกใส่ใบหน้า หนาวจนรู้สึกเจ็บแสบเล็กน้อย ใบไม้เหี่ยวหลุดจากกิ่งก้าน ล่องลอยไปตามสายลมรู้ตัวอีกทีก็เข้าหน้าหนาวแล้วมองดูท้องฟ้าอึมครึมที่ถูกเมฆดำปกคลุม นึกถึงคำพูดของอ๋องหลี รู้สึกกดดันอย่างน่าประหลาด และไม่สบายใจเล็กน้อย เหมือนมีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นก้มหน้าอก รีบไปที่ห้องทรงอักษรเฟิงเย่เสวียนยุ่งมากฮ่องเต้ป่วย อ๋องหลีถูกจับ ราชสำนัก บ้านเมือง พรรคอ๋องหลี เรื่องราวต่างๆ มารวมกัน กดทับอยู่บนไหล่เฟิงเย่เสวียนทั้งหมด เขายุ่งจนตัวหมุน ไม่ได้หลับตาพักผ่อนมาสองวันแล้วฉู่เชียนหลีเดินเข้าห้องทรงอักษร “จับอูหนูได้หรือย
ฉู่เชียนหลีกวาดมองหมอหลวงที่อยู่โดยรอบแวบหนึ่ง ยกเท้าเดินออกไป “เจ้าตามข้ามา”เมื่อฉู่เจียวเจียวได้ยินก็ดีใจ รีบกอดลูกแน่น แล้วเดินตามออกไปอย่างไวคุกหลวงองครักษ์เงาเฝ้ายาม เมื่อพวกเขาเห็นผู้มา ก็คำนับอย่างนอบน้อม “พระชายา”ฉู่เชียนหลีพยักหน้า เดินเข้าไปในคุกหลวงหัวใจฉู่เจียวเจียวบีบรัดแน่น ฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเดินผ่านทางเดินยาวที่มืดสลัว มาถึงห้องขังที่อยู่ห้องท้ายสุด เมื่อเห็นผู้ชายที่ถูกขังอยู่ข้างใน รู้สึกเจ็บหน้าอกฉับพลัน“ท่านโหว!”เดินปรี่เข้าไป เอาข้างหนึ่งอุ้มลูก มืออีกข้างจับราวลูกกรงอย่างร้อนใจ“ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง!”ไม่เจอกันแค่คืนเดียว สภาพของเฟิงเจิ้งหลีโทรมมากสภาพแวดล้อมในห้องขังเปียกชื้นมืดสลัว ตรงที่มุมมีแมลงสาบกับหนูเกาะอยู่ ชุดเพ้าสีขาวเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรกและความโชคร้าย ตรงคางเริ่มมีตอนหนวดปรากฏให้เห็น สภาพดูสะบักสะบอมมากผ่านไปครู่หนึ่งเฟิงเจิ้งหลีค่อยๆ เงยหน้า เมื่อเห็นเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ย มีประกายที่ปกปิดสายหนึ่งแลบผ่าน“ถ้าไม่เป็นอะไร…”เขาลุกขึ้นยืน เสียงแหบไร้เรี่ยวแรงฉู่เจียวเจียวตาแดงทันที “คุกหลวงสกปรกเช่นนี้ เหม็นเช่นน