เวินจือเหิงเห็นผู้มา ดวงตาลุกวาวเป็นประกายเขากล่าวกับมั่วซู “เจ้าไปเฝ้าที่หน้าประตู อย่าให้ใครเข้าใกล้”ซูมั่วพยักหน้าอย่างเข้าใจ รีบออกไปเฝ้าที่หน้าประตูทันทีเวินจือเหิงมองไปทางผู้มา “ลุงหง สืบพบที่อยู่และตัวตนของนักฆ่าในคืนนั้นหรือยัง?”ลุงหงที่เวินจือเหิงเป็นชายฉกรรจ์อายุประมาณสี่สิบปีคนคนนี้ก็คือผู้ที่แอบดูพร้อมกับจ้าวเสวียซือที่หอจินอวี้ในคืนนั้น กลับเผลอส่งเสียงจนคนรู้ และยังทำให้จ้าวเสวียซือซวยไปด้วยคืนนั้นลุงหงสวมชุดสีดำและปิดใบหน้า และยังหาโอกาสหลบหนีไปได้ ด้วยเหตุนี้คนของเวินเจาค้นหาไปทั่วทั้งเมืองในช่วงนี้ กลับสาวมาไม่ถึงตัวเขาแต่เป็นจ้าวเสวียซือที่คืนนั้นไม่ระวัง เผลอทำผ้าคลุมหน้าหลุดตอนต่อสู้ มีคนเห็นใบหน้าแล้วคืนนั้นลุงหงกลับมารายงาน เวินจือเหิงให้เขาไปตามหาจ้าวเสวียซือและช่วยเขาแม้เวินจือเหิงพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ดูเหมือนไม่สนใจอะไรเลย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอก กลับไม่มีเรื่องไหนที่สามารถหนีพ้นเขาตั้งแต่บิดาเสียชีวิต บ้านรองสกุลเวินก็เผยความทะเยอทะยานฉวยโอกาสตอนที่เขาล้มป่วย ร่วมมือกับคนสกุลอื่น คิดจะยึดอำนาจขึ้นตำแหน่งแทนเดิมทีเวินจือเหิงก็อยากหาโ
ลุงหงกล่าว “คนผู้นั้นสวมหน้ากากตลอด ข้าน้อยเฝ้าดูเขาอยู่นาน แต่ก็ไม่เคยพบใบหน้าที่แท้จริงของเขา”“คนผู้นั้นระวังตัวมาก นอกจากพบกับเวินเจา น้อยมากที่จะออกไปข้างนอก เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องทั้งวัน”“แต่ว่าคืนนั้นที่หอจินอวี้ ตอนสู้กันข้าน้อยได้ยินเขาเรียกเวินเจาว่านายน้อย”“แค่คำเดียว อีกทั้งตอนนั้นวุ่นวายมาก ข้าน้อยก็ไม่กล้ามั่นใจว่าฟังผิดหรือไม่ ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงไม่ได้รายงาน”“แต่เมื่อลองกลับมาคิดดูดีๆ ข้าน้อยมั่นใจว่าตอนนั้นเขาเรียกเวินเจาว่านายน้อยจริงๆ ข้าฟังไม่ผิดแน่นอน”เวินจือเหิงเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจคำว่า ‘นายน้อย’ ไม่สามารถใช้ได้ตามอำเภอใจเวินจือเหิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยปากกล่าว “เจ้าส่งคนมาเพิ่มทางนี้ จับตาดูพวกเขาให้ดี!”เวินเจากับผู้ชายลึกลับที่สวมเสื้อคลุมต้องมีปัญหาแน่นอนเพียงแต่ไม่รู้ว่า พวกเขาอยากใช้สกุลเวินทำอะไร?นึกถึงตรงนี้ เวินจือเหิงรู้สึกเดือดพล่านรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ตอนนั้นใช้แผนซ้อนแผน ปล่อยให้บ้านรองยึดอำนาจถ้าหากไม่ได้เป็นเช่นนี้ บ้านรองก็ไม่ก่อปัญหามากมายเช่นนี้แม้กระทั่งทำให้เรื่องราวอยู่เหนือการควบคุมของเวินจือเหิงเวินจือเ
แต่ท่านจอมปราชญ์เหวินคนนี้กลับโชคดีหนีรอดไปได้ต่อมาเขาไปเมืองหลวง สวามิภักดิ์ต่อองค์ชายสามบนใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากของท่านจอมปราชญ์เหวินมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น“ข้าก็รู้มาโดยบังเอิญว่าญี่ปุ่นมีขี้ผึ้งทอง จึงได้ใช้ความพยายามมากมาย เพื่อบรรลุข้อตกลงกับพ่อค้าญี่ปุ่น”“ทางเมืองหลวงมีลูกหลานชนชั้นสูงมากมายเริ่มสูบขี้ผึ้งทองแล้ว”“ก็แค่ใช้ขี้ผึ้งทองควบคุมเมืองหลวงได้ วันที่พวกเราจะฟื้นฟูแคว้นก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว!”เมื่อเวินเจาได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งลึกแล้วเขาเคยคิดว่าตัวเองเป็นเพียงลูกหลานสาขาย่อยทั่วไปของตระกูลขุนนางความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอนาคต อาจจะแค่สอบติดขุนนาง พยายามไต่เต้าตำแหน่งในราชสำนักหรือได้รับความสำคัญจากผู้นำตระกูล เป็นมือซ้ายมือขวาของผู้นำตระกูลนี่ก็คือชีวิตที่ดีที่สุดที่เขาสามารถจินตนาการได้แล้วแต่มีวันหนึ่ง จู่ๆ มีคนคนหนึ่งมาหาเขา บอกว่าเขาไม่ใช่ลูกหลานสกุลเวินเขาคือคนเผ่าเยว่ มีสายเลือดของราชวงศ์สกุลเยว่ไหลอยู่ในร่างกาย ในปีนั้น เพื่อปกป้องเขา เพื่อทำให้เขามีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น จึงนำเขาไปสลับกับคุณชายรองสกุลเวินที่แท้จริงและเพื่อป้องกันไม่ให้คน
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงฟังข้อมูลที่พวกจางซานมู่หามาได้ทีละคน อดไม่ได้ที่จะถือถ้วยน้ำชา เริ่มครุ่นคิดอย่างขมวดคิ้วนางรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาในหลายวันนี้หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ความสนใจของนางไปตกที่คนคนหนึ่งเวินจือเหิง คุณชายใหญ่สกุลเวินเวินจือเหิงเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของนายท่านผู้เฒ่าใหญ่เวิน ลูกบ่มเพราะในฐานะผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปตั้งแต่เด็กได้ยินมาว่าเขามีพรสวรรค์เหนือคนตั้งแต่เด็ก ฉลาดมีไหวพริบทุกคนล้วนบอกว่าเขาคืออัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีสักคนแต่คนเช่นนี้กลับป่วยเป็นโรคร้าย รักษาไม่หายเสียทีโดยเฉพาะหลังจากนายท่านผู้เฒ่าใหญ่เวินเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เดิมทีเวินจือเหิงในฐานะผู้สืบทอดควรก้าวออกมาควบคุมสถานการณ์ ใครจะรู้ว่าอำนาจของสกุลเวินกลับตกไปอยู่ในมือของบ้านรองเวินจือเหิงที่เป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรมคนนี้ ก็แทบจะไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอีกเลยนี่เป็นเพราะป่วยหนัก ไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน?หรือมีสาเหตุอย่างอื่นที่พูดไม่ได้?และยังมีโรคของเวินจือเหิง ป่วยได้บังเอิญเกินไปแล้วกระมังนายท่านผู้เฒ่าใหญ่เวินรักลูกชายคนนี้มาก ทุกอย่างในชีวิตประจำวันได้รับการดู
หลังจากนางมาถึงจินโจว ก็อยู่ข้างกายอวิ๋นฝูหลิงมาโดยตลอดข้อมูลในเมืองจินโจว ส่วนใหญ่จางซานมู่พาคนไปตรวจสอบคราวนี้ถ้าหากกลับไปรายงานอวิ๋นฝูหลิง เหยากวงก็รู้สึกว่านางดูไร้ประโยชน์มากอีกทั้งในบรรดาคนที่ตามอวิ๋นฝูหลิงมาจินโจวครั้งนี้ ไม่มีใครที่วิชาตัวเบาดีกว่านางแล้วผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดี ต้องรู้จักแบ่งเบาภาระและแก้ปัญหาแทนเจ้านายอย่างไรแต่ไม่ใช่มาสร้างปัญหา ให้เจ้านายไปหาวิธีแก้ปัญหาเหยากวงครุ่นคิด ไม่นานก็คิดแผนได้แล้วพลันนางเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าไปยังร้านวัตถุโบราณเมื่อกลางวันทันทีหลี่หยวนกำลังกินข้าวเย็นกับบริกรสองคนบริกรสองคนนี้ดูผิวเผินเป็นบริกร แต่ที่จริงเหมือนกับหลี่หยวน ล้วนเป็นคนของหน่วยกระบี่เงาหลี่หยวนกำลังคีบผัก จู่ๆ สองหูก็ขยับเล็กน้อยทันใดนั้นเขาขว้างตะเกียบในมือขึ้นไปที่หลังคา ตะเกียบคู่นั้นเหมือนอาวุธลับ พุ่งทะลุหลังคาด้วยแรงอันมหาศาล หลังจากเสียงแตกดังขึ้น เศษกระเบื้องตกลงมา ขณะเดียวกันก็มีคนตกลงมาจากรูหลังคาที่แตกเมื่อบริกรสองคนนั้นเห็นดังนี้ ลุกขึ้นยืน และร่างกายหดเกร็งทันที แสดงท่าทางของการหวาดระแวงศัตรูออกมาเหยากวงตกลงมา เมื่อเห็นก็รีบกล่
แสงจันทร์กระจ่างแสงสีเงินเย็นยะเยือกสาดส่องไปทั่วห้องสายลมแผ่วเบาหอบหนึ่งพัดผ่าน ต้นไม้นอกหน้าต่างส่งเสียงกรอบแกรบ กิ่งไม้ของต้นไม้ก็พลิ้วไหวราวกับสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่แยกเขี้ยวกางกรงเล็บ ทอดเงาลงมาบนบานหน้าต่างเวินจือเหิงสะดุ้งตื่นจากนิทราอย่างกะทันหันทันทีที่เขาลืมตา ก็เห็นเงาต้นไม้บนบานหน้าต่างเงาไม้นั้นดูน่ากลัวเล็กน้อยแต่ช่วงนี้เวินจือเหิงมักจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ทุกคราที่ตื่นขึ้นมา ก็จะเห็นเงาไม้นั้นเขารู้ว่านั่นคือเงาของต้นไห่ถังต้นหนึ่งนอกหน้าต่าง ดังนั้นเมื่อเห็นมาหลายครั้งแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกกลัวเวินจือเหิงรู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อย กำลังจะเรียกคนมารินน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง คาดไม่ถึงว่ากลับเห็นเงาคนร่างหนึ่งเดินออกมาจากเงาต้นไม้ต้นนั้นอย่างกะทันหันเวินจือเหิงตกใจจนชะงักค้างไปทันทีเงาร่างนั้นค่อย ๆ เดินมาทางเขาเวินจือเหิงนึกถึงนิทานแปลกประหลาดเหล่านั้นที่เขาเคยอ่านขึ้นมาโดยพลันนี่ นี่ นี่...นี่คงมิใช่ว่าต้นไห่ถังต้นนั้นนอกหน้าต่างของเขากลายเป็นวิญญาณไปแล้วกระมัง?สัตว์ประหลาดแบบที่เคยกล่าวในหนังสือ ชื่นชอบการดูดกลืนพลังวิญญาณของมนุษย์เป็นที่สุดมันปร
“แต่ยามนี้ผู้ที่กุมอำนาจในสกุลเวินกลับเป็นบ้านรอง”“ตรงกันข้ามท่านที่เป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรมกลับเป็นโรคร้าย ป่วยมานานรักษาไม่หาย”“ท่านคิดว่าหากท่านตายไป คนของบ้านรองสกุลเวินจะดีใจ หรือว่าเสียใจเล่า?”เวินจือเหิงเหลือบมองเหยากวง “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดจายั่วยุข้า”“สกุลเวินเป็นอย่างไร ข้าย่อมรู้ดียิ่งกว่าผู้ใด”“เจ้ากับนายท่านของเจ้าทุ่มเทความพยายามเช่นนี้ เพราะต้องการรักษาข้า คิดว่าคงมิใช่การกระทำจากความเมตตา เพราะอยากช่วยชีวิตข้ากระมัง?”แม้เหยากวงจะไม่รู้แผนการทั้งหมดของอวิ๋นฝูหลิง แต่ก็พอเดาได้บางส่วนเดิมทีที่ผ่านมาพวกเขาต่างกำลังตามสืบหอจินอวี้กับบ้านรองสกุลเวินจู่ ๆ อวิ๋นฝูหลิงก็หันเหความสนใจมาที่ตัวคุณชายใหญ่เวินผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าสำหรับพวกนางแล้ว เขามีประโยชน์มิเช่นนั้นอวิ๋นฝูหลิงซึ่งอยู่ในช่วงเวลาเช่นนี้ คงมิเสียเวลาและความคิด เพื่อมารักษาคนที่ไม่สำคัญผู้หนึ่งเมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยของเวินจือเหิง เหยากวงก็ยิ้มบาง “เมื่อท่านได้เจอนายท่านของข้า นายท่านของข้ามีเงื่อนไขอันใด ก็จะมาหารือกับท่านเอง”เวินจือเหิงใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับ“ได้”เขารู้สึกได้ว่าร่
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงได้รับรายงานของเหยากวง บนใบหน้าก็ฉายความแปลกใจออกมาเล็กน้อยนางคาดเดาไว้ว่าคุณชายใหญ่เวินผู้นั้นมีโอกาสสูงมากที่จะไม่ปฏิเสธการรักษาแต่กลับคาดไม่ถึงว่าแม้แต่นางจะเข้าไปในสกุลเวินอย่างไร เขาก็ล้วนคิดวิธีไว้แทนนางแล้วดูท่าอาการป่วยของเวินจือเหิงผู้นั้น จะมีส่วนที่แปลกประหลาดอยู่มากยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้อาจจะฉลาดกว่าที่นางคิดอยู่บ้างหากทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกันได้ บางทีการเคลื่อนไหวที่เจียงหนานครั้งนี้ อาจจะราบรื่นกว่าที่คิดไว้วันรุ่งขึ้นอวิ๋นฝูหลิงตื่นขึ้นมาเตรียมตัวเพื่อการรักษาในวันนี้ตั้งแต่เช้าช่วงเวลาการรักษาระหว่างสกุลเวินกับสำนักโซ่วอันคือช่วงต้นยามซื่ออวิ๋นฝูหลิงมาก่อนล่วงหน้าครึ่งชั่วยาม ช่วงกลางยามเฉินก็มาถึงสกุลเวินแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนของสำนักโซ่วอัน อวิ๋นฝูหลิงยังให้จางซานมู่พาคนไปจับตามองในตรอกนอกสกุลเวินเป็นพิเศษเมื่อหมอจ้าวจากสำนักโซ่วอันมาถึง ก็ให้หาวิธีถ่วงเวลาเขาไว้ถ่วงเวลาไว้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ในระยะเวลาเท่านี้ ก็คงเพียงพอที่นางจะรักษาให้เวินจือเหิงแล้วอวิ๋นฝูหลิงคิดแผนไว้เป็นอย่างดี คาดไม่ถึงว่าทันทีที่มาถึ
หมอจ้าวได้ยินก็ขมวดคิ้ว หลังจากได้รับการอนุญาตจากเวินจือเหิง ก็ตรวจชีพจรของเขาอีกครั้งครั้งนี้ หมอจ้าวตรวจชีพจรนานขึ้นแต่หลังจากเขาตรวจอยู่นาน ก็ยังตรวจชีพจรออกแค่ว่าเป็นโรคต้องลมเย็น ส่วนอาการปอดร้อน ฟังชีพจรไม่ออกแม้แต่นิดเดียวจริง ๆเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยในทักษะแพทย์ของตัวเองไปชั่วขณะหนึ่งแอบคิดว่าทักษะแพทย์ของเขาสู้เด็กวัยรุ่นที่อายุยี่สิบปีคนหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ?อวิ๋นฝูหลิงมองท่าทางสงสัยในชีวิตของหมอจ้าวออก ในใจก็แอบขอโทษประโยคหนึ่งดูจากชีพจรของเวินจือเหิง เหมือนเป็นแค่อาการป่วยจากการต้องไอเย็นจริง ๆ ส่วนอาการปอดร้อนอันใด ล้วนเป็นนางที่พูดไร้สาระเท่านั้นในส่วนของอาการกระหายน้ำปวดหัวที่นางถามเวินจือเหิง และเวินจือเหิงก็พยักหน้าตอบรับ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นอาการป่วยที่เกิดจากการถูกวางยาพิษอาการเหล่านี้คล้ายกับอาการปอดร้อนอยู่บ้าง ดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงใช้โรคปอดร้อนเป็นข้ออ้างนางต้องการแทนที่หมอจ้าว กลายมาเป็นหมอประจำตัวของเวินจือเหิง จึงต้องมีเหตุผลดี ๆ สักข้อหนึ่งเดิมทีวิธีที่ดีที่สุดก็คือการขัดคอหมอจ้าว และตอกย้ำถึงทักษะแพทย์ที่โดดเด่นกว่าของนางแต่หลังจากพูดคุย
หมอจ้าวลูบเคราขาว และพยักหน้ากล่าวว่า “หมอหางพูดมีเหตุผล”“ในวงการแพทย์ แม้คนที่มีอายุมากกว่า จะยิ่งมีประสบการณ์มาก และทักษะแพทย์ก็ย่อมยอดเยี่ยม”“แต่ก็มิใช่ว่าจะเป็นเช่นนี้ทุกคน”“ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่อวิ๋นท่านนั้นจากสกุลอวิ๋นจวนจี้ชุนโหว อายุเพียงยี่สิบปี ทักษะแพทย์กลับเทียบเคียงเจ้าสำนักโอวหยาง ถึงขั้นเก่งกาจกว่าในการรักษาบางโรคด้วย”“ทักษะแพทย์สูงส่ง จนคนต้องชื่นชมว่าสมกับที่เป็นทายาทของผู้อาวุโสอวิ๋น”“ด้วยเหตุนี้ เรื่องในวงการนี้จึงไม่อาจสรุปได้ด้วยมาตรฐานเดียว!”อวิ๋นฝูหลิงเห็นว่าคำพูดหมอจ้าวมีความยุติธรรม ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีต่อเขามากขึ้นเดิมทีนางวางแผนว่าหากเวินเจายังพูดจ้อต่อไป ก็จะใช้ความล้มเหลวในการรักษาเวินจือเหิงของหมอจ้าวที่ผ่านมาเป็นเหตุผลโต้แย้งแต่เมื่อเห็นหมอจ้าวไม่เหมือนว่าจะเป็นหมอไร้คุณธรรมที่สมรู้ร่วมคิดกับเวินเจา นางก็ล้มเลิกแผนการนี้ทันทีหมอจ้าวคนนี้ดูเป็นคนที่ไม่เลวทีเดียว นางแค่คิดจะมารักษาเวินจือเหิง เพื่อเป็นพันมิตรกับเขา และเพื่อได้รับความช่วยเหลือจากเขาไม่ได้มีความแค้นกับหมอจ้าว จึงไม่จำเป็นต้องเหยียบย่ำเขาขึ้นไป ทำลายชื่อเสียงของเขา จนทำให้
หมอจ้าวรู้ดีว่าสกุลใหญ่ล้วนมีแผนการเบื้องหลังมากมายที่ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณชนได้โดยเฉพาะสกุลเวินที่กำลังอยู่ในช่วงต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในคุณชายใหญ่เวินที่ร่างกายแข็งแรงมาตลอด กลับล้มป่วยอย่างกะทันหัน ย่อมทำให้คนคิดมากจริง ๆหมอจ้าวไม่กล้าพูดว่าทักษะแพทย์ของตัวเองยอดเยี่ยมที่สุดในแคว้นต้าฉี แต่จริยธรรมแพทย์ที่พึงมี เขาไม่กล้าละทิ้งมันไปเด็ดขาดเขาสามารถทนฟังคนอื่นบอกว่าทักษะแพทย์ของเขาไม่ดีได้ แต่ไม่อาจทนถูกคนอื่นสงสัยในการกระทำได้โดยเด็ดขาดมิเช่นนั้นในภายภาคหน้าเขาจะยังยืนหยัดอยู่ในวงการแพทย์ได้อย่างไร?หลังจากมั่วซูถูกเวินจือเหิงดุ ก็ขอโทษหมอจ้าวทันที “หมอจ้าว ขออภัยขอรับ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”หมอจ้าวได้ยินคำพูดนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง“ไม่ทราบว่าในจวนยังมีกากยาที่เคยต้มอยู่หรือไม่?”มั่วซูตอบกลับ “เมื่อเช้าเพิ่งต้มยา น่าจะยังมีกากยาอยู่ขอรับ”หมอจ้าว “เช่นนั้นรบกวนคุณชายใหญ่ส่งคนไปนำกากยามา มีปัญหาหรือไม่ ข้าเห็นก็ย่อมรู้ได้”เวินจือเหิงพยักหน้าให้มั่วซูพลางกล่าว “ไปนำกากยามา”เวินเจาเห็นมั่วซูไปนำกากยามา แม้กากยานั้นย่อมตรวจไม่พบปัญหา
เวินเจาหวั่นใจ รีบผลักคนเฝ้าประตูออก และก้าวไล่ตามไปอย่างรวดเร็วมั่วซูนำทั้งกลุ่มไปยังเรือนชิวถังที่เวินจือเหิงพักอยู่อย่างว่องไวเวินจือเหิงเห็นมั่วซูนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา ในกลุ่มนั้นยังมีหมอจ้าวจากสำนักโซ่วอันด้วยเมื่อมองพิจารณาอีกครา สตรีผู้นั้นที่บุกรุกเข้ามาในห้องของเขาเมื่อคืนก็อยู่ด้วยเช่นกัน เพียงแต่วันนี้แต่งกายเป็นบุรุษเขาอดไม่ได้ที่จะตกใจคนทั้งสองกลุ่มมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?นี่มันสถานการณ์อันใดกัน?คนทั้งสองกลุ่มเผชิญหน้ากันตอนนี้ สตรีผู้นั้นไม่เพียงแต่ไม่ถูกคนเปิดโปง ทว่ากลับเข้ามาในสกุลเวินอย่างเปิดเผย ดูท่าจะมีความสามารถอยู่บ้าง!เวินจือเหิงทั้งรู้สึกสับสนทั้งรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แต่ภายนอกกลับยังสงบนิ่งโชคดีที่มั่วซูเป็นคนมีไหวพริบเมื่อเข้ามาในห้องก็ตะโกนว่า “คุณชาย ท่านมิได้บอกว่าไม่สบาย จึงให้ข้าไปเชิญหมอมาให้ท่านหรือ ท่านเดาสิขอรับว่าเป็นอย่างไร?”เขาส่งเสียง “นี่” ครั้งหนึ่ง และกะพริบตาให้เวินจือเหิง พลางแสดงละครต่อไปขณะพูด “ช่างบังเอิญเสียจริง ทันทีที่ข้าไปถึงประตูใหญ่ ก็บังเอิญเจอหมอจ้าว ทั้งยังมีหมอหางจากสำนักผิงอันท่านนี้ด้วยขอรับ”“ข้ารีบเชิญพวก
แม้ว่าเวินเจาจะมั่นใจว่าหมอธรรมดา ไม่อาจมองปัญหาบนร่างของเวินจือเหิงออกตั้งแต่เวินจือเหิงป่วย ก็ได้เชิญหมอมาไม่รู้ตั้งกี่คน หมอชื่อดังใกล้จินโจวก็เชิญมาไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มีหนทางทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด วันนี้เมื่อเห็นอวิ๋นฝูหลิง จู่ ๆ เขาก็รู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมาเมื่อครู่เขาได้ยินหมอจ้าวบอกแล้ว ป้ายหยกลายเห็ดหลินจือชิ้นนั้นในมือของอวิ๋นฝูหลิงไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งมีเพียงทายาทสายตรงหรือศิษย์สายตรงของสกุลหางเท่านั้น ที่จะได้รับอนุญาตให้พกติดตัวทักษะแพทย์ของสกุลหางได้รับสืบทอดมาจากผู้อาวุโสอวิ๋นจี้ชุนโหวทักษะแพทย์ของคนผู้นั้นไม่เป็นสองรองใคร เป็นผู้ที่ได้บรรดาศักดิ์โดยอาศัยแค่ทักษะแพทย์คนเช่นนี้ คาดว่าในปัจจุบันมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น!หมอคนอื่นมองลับลมคมในบนร่างของเวินจือเหิงไม่ออก แต่คนของสกุลหาง อาศัยทักษะแพทย์ของพวกเขา คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่ออกดังนั้นตั้งแต่เวินจือเหิงป่วย เวินเจาก็หลีกเลี่ยงการเชิญหมอจากสำนักผิงอันมาตรวจอาการมาโดยตลอดแม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็หาหมอที่มีทักษะแพทย์ธรรมดาจากสำนักผิงอันมาหมอเหล่านั้นที่เป็นสายตรงของสกุลหาง เขาล้วนไม่กล้าพามาทุกอย่างตั้
หมอจ้าวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะประสานมือให้อวิ๋นฝูหลิงโดยพลัน และพูดอย่างมีมารยาทว่า “ที่แท้ก็เป็นสหายจากสกุลหาง เสียมารยาทแล้ว ๆ!”อวิ๋นฝูหลิงประสานมือกลับทันที และพูดอย่างสุภาพว่า “หมอจ้าวเกรงใจกันเกินไปแล้ว ท่านเป็นผู้อาวุโส ผู้น้อยเดินทางมาเพื่อหาประสบการณ์ ในเรื่องทักษะแพทย์ยังต้องเรียนรู้จากท่านอีกมาก!”ป้ายหยกลายเห็ดหลินจือชิ้นนี้ในมือของอวิ๋นฝูหลิง เป็นนายท่านผู้เฒ่าหางมอบให้นาง ก่อนที่จะออกเดินทางจากเมืองหลวงเผื่อว่าวันใดนางออกเดินทาง และมีช่วงเวลาที่ไม่สะดวก ก็สามารถใช้สถานะของสกุลหางจัดการได้นี่คือเจตนาดีของนายท่านผู้เฒ่าหาง ทั้งยังเป็นความรู้สึกรักและอยากปกป้องที่มีต่อนางด้วยในตอนนั้นอวิ๋นฝูหลิงไม่อาจปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงรับไว้เดิมทีนางไม่คิดจะใช้แผ่นป้ายชิ้นนี้เพียงแต่วันนี้สถานการณ์บังคับ จึงจำต้องเอาออกมาใช้แก้ไขสถานการณ์เดิมนางยังกังวลว่าป้ายหยกลายเห็ดหลินจือชิ้นนี้จะใช้ไม่ได้ผลคาดไม่ถึงว่าหมอจ้าวเห็นป้ายหยกชิ้นนี้แล้ว จะรู้ตัวตนของนาง จึงลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่งโดยพลันดูท่านายท่านผู้เฒ่าหางจะไม่ได้หลอกนางสำนักผิงอันมีชื่อเสียงมากที่เจียงหนานแม้แต่สก
เหยากวงได้ยินเช่นนี้ ในใจก็พลันเต้น ‘ตึกตัก’ ขึ้นมาแอบคิดว่าเมื่อครู่โชคดีที่อวิ๋นฝูหลิงดึงนางไว้ได้ทันเวลา นางจึงยังไม่ได้พูดคำว่า ‘ใช่’ ออกไปมิเช่นนั้นเมื่อบังเอิญพบตัวจริงในยามนี้ พวกนางย่อมถูกเปิดโปงว่าเป็นตัวปลอม แล้วหลังจากนี้จะเข้าไปดูอาการป่วยของเวินจือเหิงในจวนสกุลเวินได้อย่างไร?หลังจากคนเฝ้าประตูทักทายหมอจ้าวด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้จึงเพิ่งนึกถึงอวิ๋นฝูหลิงกับเหยากวงทั้งสองคนที่มาเยือนได้“คุณชายรอง สองคนนี้ก็บอกว่ามาตรวจอาการให้คุณชายใหญ่เหมือนกันขอรับ”“พวกเขาบอกว่าตัวเองเป็นคนของสำนักโซ่วอัน หมอจ้าว ท่านดูหน่อยเถิดขอรับว่าพวกเขาใช่หรือของสำนักโซ่วอันหรือไม่?”สายตาของเวินเจากับหมอจ้าวหันไปมองอวิ๋นฝูหลิงกับเหยากวงทั้งสองคนนี้ทันทีไม่รอให้หมอจ้าวเอ่ยปาก อวิ๋นฝูหลิงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “พี่ชายคนนี้ ทำไมจึงพูดจาไร้มูลเหตุใส่ร้ายคนตามใจชอบเช่นนี้เล่า?”“พวกข้าบอกเมื่อใดว่าตัวเองเป็นหมอจากสำนักโซ่วอัน?”คนเฝ้าประตูอ้าปากแย้งทันที “ก็เมื่อครู่ พวกท่านบอกว่ามารักษาคุณชายใหญ่ ข้าถามพวกท่านว่าเป็นหมอจากสำนักโซ่วอันใช่หรือไม่...”อวิ๋นฝูหลิงมองเขาด้วยรอยยิ้ม“เจ้าถามเช่นนี้
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงได้รับรายงานของเหยากวง บนใบหน้าก็ฉายความแปลกใจออกมาเล็กน้อยนางคาดเดาไว้ว่าคุณชายใหญ่เวินผู้นั้นมีโอกาสสูงมากที่จะไม่ปฏิเสธการรักษาแต่กลับคาดไม่ถึงว่าแม้แต่นางจะเข้าไปในสกุลเวินอย่างไร เขาก็ล้วนคิดวิธีไว้แทนนางแล้วดูท่าอาการป่วยของเวินจือเหิงผู้นั้น จะมีส่วนที่แปลกประหลาดอยู่มากยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้อาจจะฉลาดกว่าที่นางคิดอยู่บ้างหากทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกันได้ บางทีการเคลื่อนไหวที่เจียงหนานครั้งนี้ อาจจะราบรื่นกว่าที่คิดไว้วันรุ่งขึ้นอวิ๋นฝูหลิงตื่นขึ้นมาเตรียมตัวเพื่อการรักษาในวันนี้ตั้งแต่เช้าช่วงเวลาการรักษาระหว่างสกุลเวินกับสำนักโซ่วอันคือช่วงต้นยามซื่ออวิ๋นฝูหลิงมาก่อนล่วงหน้าครึ่งชั่วยาม ช่วงกลางยามเฉินก็มาถึงสกุลเวินแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนของสำนักโซ่วอัน อวิ๋นฝูหลิงยังให้จางซานมู่พาคนไปจับตามองในตรอกนอกสกุลเวินเป็นพิเศษเมื่อหมอจ้าวจากสำนักโซ่วอันมาถึง ก็ให้หาวิธีถ่วงเวลาเขาไว้ถ่วงเวลาไว้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ในระยะเวลาเท่านี้ ก็คงเพียงพอที่นางจะรักษาให้เวินจือเหิงแล้วอวิ๋นฝูหลิงคิดแผนไว้เป็นอย่างดี คาดไม่ถึงว่าทันทีที่มาถึ
“แต่ยามนี้ผู้ที่กุมอำนาจในสกุลเวินกลับเป็นบ้านรอง”“ตรงกันข้ามท่านที่เป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรมกลับเป็นโรคร้าย ป่วยมานานรักษาไม่หาย”“ท่านคิดว่าหากท่านตายไป คนของบ้านรองสกุลเวินจะดีใจ หรือว่าเสียใจเล่า?”เวินจือเหิงเหลือบมองเหยากวง “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดจายั่วยุข้า”“สกุลเวินเป็นอย่างไร ข้าย่อมรู้ดียิ่งกว่าผู้ใด”“เจ้ากับนายท่านของเจ้าทุ่มเทความพยายามเช่นนี้ เพราะต้องการรักษาข้า คิดว่าคงมิใช่การกระทำจากความเมตตา เพราะอยากช่วยชีวิตข้ากระมัง?”แม้เหยากวงจะไม่รู้แผนการทั้งหมดของอวิ๋นฝูหลิง แต่ก็พอเดาได้บางส่วนเดิมทีที่ผ่านมาพวกเขาต่างกำลังตามสืบหอจินอวี้กับบ้านรองสกุลเวินจู่ ๆ อวิ๋นฝูหลิงก็หันเหความสนใจมาที่ตัวคุณชายใหญ่เวินผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าสำหรับพวกนางแล้ว เขามีประโยชน์มิเช่นนั้นอวิ๋นฝูหลิงซึ่งอยู่ในช่วงเวลาเช่นนี้ คงมิเสียเวลาและความคิด เพื่อมารักษาคนที่ไม่สำคัญผู้หนึ่งเมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยของเวินจือเหิง เหยากวงก็ยิ้มบาง “เมื่อท่านได้เจอนายท่านของข้า นายท่านของข้ามีเงื่อนไขอันใด ก็จะมาหารือกับท่านเอง”เวินจือเหิงใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบรับ“ได้”เขารู้สึกได้ว่าร่