แต่ว่ายาของอวิ๋นฝูหลิงเป็นของดี ได้มาก่อนสองขวดก็ยังดี “จิงมั่วเป็นเด็กฉลาด ข้าชอบมาก เจ้าวางใจได้ ข้าจะสอนเขาอย่างดี!”หลังจากทั้งสองคุยกันครู่หนึ่ง ก็แยกย้ายกลับไปเก็บของแล้วเวลานี้ หัวหน้าหมู่บ้านโจวได้เริ่มเร่งเร้าให้ทุกคนออกเดินทางแล้วหลังจากทุกคนเก็บของเสร็จ ก็ก้าวเข้าบนเส้นทางอีกครั้งอากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมีชาวบ้านทนไม่ไหวจนเป็นโรคลมแดดภายใต้คำแนะนำของอวิ๋นฝูหลิง หัวหน้าหมู่บ้านโจวเปลี่ยนเวลาการเดินทางของทุกวันเป็นสองช่วง คือตั้งแต่ฟ้าสว่างจนถึงก่อนที่อากาศจะเริ่มร้อนในตอนเที่ยง กับช่วงบ่ายหลังจากที่ไม่ค่อยร้อนแล้วจนถึงฟ้ามืดเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงสามารถเลี่ยงการเดินทางในช่วงอากาศร้อนที่สุด และยังสามารถรับประกันระยะการเดินทางทุกคนล้วนอยากเดินออกจากเขาเฟิ่งลั่วเพื่อตั้งรกรากใหม่โดยเร็ววันนี้ทุกคนเร่งเดินทางตลอดทั้งช่วงเช้า เมื่อเห็นว่าแดดเริ่มแรง หัวหน้าหมู่บ้านโจวให้ทุกคนหาสถานที่พักผ่อนทันทีอวิ๋นฝูหลิงพบพื้นที่โล่งที่หนึ่ง นางตั้งหม้อ เริ่มต้นชาคลายร้อนตั้งแต่มีชาวบ้านเป็นโรคลมแดดเมื่อหลายวันก่อน อวิ๋นฝูหลิงก็เริ่มต้มชาคลายร้อนวันละหลายหม้อชาคลายร
เซียวจิ่งอี้มองเด็กสาวที่งดงามตรงหน้า เขาขมวดคิ้วแน่น“เจ้ามีธุระอะไร?”เขาถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างแนบเนียน ประสบการณ์ในวัยเด็ก ทำให้เขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิงฟางหลานกัดริมฝีปาก อ้ำอึ้งครู่หนึ่งจึงจะกล่าว “พี่หวัง ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่าน”นางเดินออกไปครึ่งก้าว จู่ๆ ก็เหมือนเท้าสะดุด โซเซยืนไม่มั่นคง ร่างกายเอียงไปทางเซียวจิ่งอี้ทันทีเซียวจิ่งอี้รีบเอียงตัวหลบ ในแววตาเต็มไปด้วยการเย้ยหยันเขาเห็นวิธีการมากมายในการชิงความโปรดปรานของสตรีวังหลังตั้งแต่เด็ก กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของฟางหลาน ในสายตาเขามันเงอะงะมากเขาไม่มองฟางหลานแม้แต่แวบเดียว ยกเท้าก็เดินจากไปโดยตรงฟางหลานล้มลงพื้น มองแผ่นหลังที่เดินจากไปของเซียวจิ่งอี้อย่างไม่เชื่อสายตานางจะล้มอยู่แล้ว ผู้ชายคนนี้กลับไม่คิดจะประคองนางเลยและยังมองนางล้มลงพื้นต่อหน้าต่อตา เดินจากไปโดยไม่ถามสักคำนี่…นี่ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเกินไปแล้วกระมัง? แผนของฟางหลานพังไม่เป็นท่า โมโหจนใช้กำปั้นทุบพื้นหลายที จึงจะลุกขึ้นจากไปอย่างคอตกหารู้ไหมว่าทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของอวิ๋นฝูหลิงที่อยู่ไม่ไกลนักช่วงนี้มีเด็กผู้หญิงหลายคนพยายามเข้าใ
“ลูกพี่อู๋กับสวี่ตงไปเก็บฟืน ข้าให้จางซานมู่กับคังหมิงออกไปดูว่าโดยรอบมีผักป่าหรือไม่ ให้ขุดกลับมาสักหน่อย”กินเนื้อทุกวันจะร้อนในเป็นท้องผูก ต้องกินคู่กับผักบ้าง ผักที่สามารถหาได้ในตอนนี้ ก็มีแต่ผักป่าในเขาแล้วถ้าหากมีคนได้ยินคำพูดในใจเหล่านี้ของอวิ๋นฝูหลิง ไม่แน่อาจโดนกระทืบก็ได้ตอนนี้คนที่สามารถกินเนื้อทุกวัน ก็มีแต่พวกเขาเท่านั้นใครบ้างที่ไม่กินผักป่าจนหน้าเขียวกันหมดแล้ว?ตอนนี้คนของสกุลฟางก็หน้าเขียวกันทุกคนอาหารของพวกเขากินหมดนานแล้ว ช่วงนี้เริ่มอาศัยการขุดผักป่าประทังความหิวแล้วนี่ก็โชคดีที่พวกเขาอยู่ในเขา สามารถขุดเจอผักป่า และยังเจอเห็ดกับผลไม้ป่าเป็นครั้งคราวชาวบ้านของหมู่บ้านหลินซานนับถอยหลังไปสามชั่วอายุคน ล้วนลี้ภัยจากภัยธรรมชาติและภัยสงครามในช่วงปลายราชวงศ์ของราชวงศ์ก่อนคนหนุ่มสาวรุ่นนี้ในหมู่บ้าน บางครั้งก็ได้ยินคนเฒ่าคนแก่ในบ้านพูดถึงเรื่องราวที่พวกเขาลี้ภัยในสมัยนั้นทั่วหล้าเกิดภัยแล้ง ผืนดินแห้งแล้ง ทุกที่เต็มไปด้วยความหิวโหย ระหว่างทางลี้ภัยไม่มีกระทั่งรากหญ้าหรือเปลือกต้นไม้ มีคนมากมายต้องหิวตาย แม้ตอนนี้พวกเขาก็ลี้ภัยเช่นกัน แต่ก็ดีกว่าหนทางก
แม่ฟางมีแผนของตัวเองลูกสาวของนางหน้าตาดี วันข้างหน้าต้องแต่งเข้าตระกูลใหญ่เท่านั้นทั้งครอบครัวของพวกเขายังหวังพึ่งลูกสาวเจริญก้าวหน้าเพียงแต่ตอนนี้กำลังลี้ภัย พวกเขากินผักป่าทุกวัน หิวจนแทบกินม้าได้ทั้งตัวแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงให้ลูกสาวไปยั่วยวนเซียวจิ่งอี้ เพื่อเอาเนื้อจากเขามากินแต่ว่าแม่ฟางไม่ได้อยากได้เซียวจิงอี้มาเป็นลูกเขยคนต่างถิ่นที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แม้มีความสามารถในการล่าสัตว์ แต่ก็ยังห่างไกลจากลูกเขยเศรษฐีในดวงใจนางหลอกเขาสักพัก เพื่อเอาผลประโยชน์จากเขานิดหน่อย แค่ผ่านช่วงลี้ภัยนี้ไปได้ก็พอแล้วจะให้นางยกลูกสาวให้แต่งกับเขาจริงๆ นั่นคงเป็นไปไม่ได้!ฟางหลานได้ยินคำพูดของแม่ฟาง นางพยักส่งๆ บนใบหน้ากลับร้อนวูบวาบแม่ฟางแค่ให้นางเล่นละคร กลับไม่รู้ว่านางชอบเซียวจิ่งอี้จริงๆไม่พูดถึงวรายุทธ์ของเขาก่อน เฉพาะใบหน้านั่น ก็ทำให้ฟางหลานเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงใจเต้นนางไม่เคยเจอบุรุษที่รูปงามเช่นนี้!เพียงแต่นางออกโรงหลายครั้ง เซียวจิ่งอี้ก็เย็นชาตลอด ไม่ค่อยสนใจนางเลยโดยเฉพาะวันนี้ เห็นนางล้มก็ไม่คิดจะประคอง หมุนกายจากไปโดยตรงสิ่งนี้ทำให้ฟางหลานรู้สึกล้มเหล
พวกเด็กน้อยอวิ๋นจิงมั่วทั้งสี่รวมตัวกัน ขุดแล้วขุดอีก…ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้เป็นกลุ่มที่ดังสนั่นลั่นไปทั่วท้องฟ้าดังขึ้นอวิ๋นฝูหลิงเงี่ยหูฟัง ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงของอวิ๋นจิงมั่วในสียงร้องไห้นั่น สีหน้านางเปลี่ยนฉับพลัน และไม่มีเวลาสนใจการทำอาหารแล้ว นางทิ้งช้อนในมือก็วิ่งไปที่เนินเขาทันทีเมื่อมาถึงก็เห็นพวกอวิ๋นจิงมั่วกลิ้งอยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างเกากันไม่หยุด บางคนถึงกับเกาจนเห็นรอยเลือด “มั่วมั่ว แม่มาแล้ว เจ้าเจ็บตรงไหนบอกแม่?”อวิ๋นจิงมั่วเห็นอวิ๋นฝูหลิง กล่าวอย่างสะอึกสะอื้น “คัน ท่านแม่ คันมาก มือของมั่วมั่วคันมาก…”โจวฉางจี๋ก็ร้องไห้ตามเช่นกัน “คันมาก ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าจะคันจนตายหรือไม่?”หู่โถวกับชุนเซิงพลางเกา พลางร้องไห้หนักขึ้นทันทีชาวบ้านได้ยินเสียงก็พากันวิ่งมาดูเจิ้งซื่อวิ่งล้มลุกคลุกคลานลงจากเนินเขา กอดโจวฉางจี๋ไว้ด้วยความกังวลแม่ของหู่โถวกับชุนเซิงวิ่งมาถึง ตกใจจนกอดลูกชายร้องไห้ทันทีอวิ๋นฝูหลิงก็เป็นห่วงเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดก็ใจเย็นลงหลายส่วนนางตำหนิเสียงดัง “เลิกร้องไห้ได้แล้ว เอาแต่ร้องไห้ตอนนี้มีประโยชน์อะไร?”แม่ของหู่โถวกับช
เมื่อครู่พวกชาวบ้านเห็นสภาพน่าเวทนาของอวิ๋นจิงมั่วและเด็กอีกหลายคนล้วนนึกว่าสิ่งที่พวกเด็กสัมผัสคือสิ่งที่มีพิษ คิดว่าพวกอวิ๋นจิงมั่วถูกพิษเข้าให้แล้วขณะนี้เมื่อได้ยินอวิ๋นฝูหลิงบอกว่านั่นคือของดีที่กินได้ แต่ละคนจึงทำหน้าประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อนายท่านหางและติงหมิงรุ่ยรู้เรื่องจึงไปที่นั่นเช่นกันอย่างไรพวกเขาก็เป็นบุคคลในวงการแพทย์ มีจิตเมตตา เมื่อได้ยินว่าเด็ก ๆ เกิดเรื่อง จึงมาดูว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้างขณะนี้ทั้งสองคนนั่งลงตรงหน้าซานเย่านายท่านหางถึงกับนำผ้าเช็ดหน้าออกมาห่อมือ แล้วหยิบซานเย่าขึ้นมาพินิจอย่างละเอียดหลังจากผ่านไปสักครู่ เขาเอ่ยถามอวิ๋นฝูหลิงอย่างไม่แน่ใจ “หรือจะเป็นซู่อวี้?”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นซู่อวี้จริงๆ”“ในคัมภีร์สมุนไพรเสินหนงกล่าวเอาไว้ สรรพคุณเด่นของซู่อวี้ บำรุงร่างกาย ขจัดพิษร้อนชื้น บำรุงกระเพาะและม้าม เสริมสร้างกล้ามเนื้อ เมื่อกินเป็นประจำ การได้ยินและการมองเห็นจะดีขึ้น”“ซู่อวี้มีอีกชื่อเรียกว่าอวี้เหยียน เพราะเนื้อของมันขาวดุจหยก แต่ก็มีคนเรียกว่าซานเย่า หมายถึงสมุนไพรกลางภูเขา”ในชีวิตก่อนของอวิ๋นฝูหลิง ซานเย่าสามารถเพาะปลูก
พวกเขาขุดไปมากหน่อย ไม่เพียงเก็บไว้กินที่บ้าน ยังสามารถเอาไปขายที่โรงโอสถเพื่อทำเงินได้ด้วยมีบางคนแอบสอบถามราคากับนายท่านหางเมื่อได้รู้ว่าสำนักผิงอันรับซื้อซานเย่าในราคาแปดสิบอีแปะต่อหนึ่งชั่ง ทุกคนตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมขณะนี้เนื้อหมูสิบห้าอีแปะต่อหนึ่งชั่ง ขายซานเย่าหนึ่งชั่ง สามารถซื้อเนื้อหมูได้ห้าชั่งกว่าแล้วคราวนี้ทุกคนไม่มีแม้แต่เวลาจะกินข้าวกลางวัน ไม่ว่าจะคนแก่หรือเด็กในบ้าน ล้วนแล้วแต่พากันไปขุดซานเย่าบนเนินเขาแรกเริ่มยังมีคนทะเลาะกันเพราะแย่งซานเหย้าแต่อวิ๋นฝูหลิงมองดูสักครู่ พบว่าบนเนินเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยซานเย่า เพียงพอให้ทุกคนได้ขุดกลับไปเมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น จึงไม่ทะเลาะกันอีกต่อไปอีกอย่างจากนี้พวกเขายังต้องเร่งเดินทาง จำนวนสิ่งของที่แต่ละคนแบกได้มีจำกัดต่อให้ขุดซานเย่าได้มากเพียงใด หากเอาไปไม่ไหวก็ถือว่าเสียแรงเปล่าทว่าอวิ๋นฝูหลิงไม่ต้องหนักใจเรื่องนี้เพราะนางมีมิติของตัวเองเมื่อได้เจอกับผืนซานเย่าขนาดใหญ่ ย่อมต้องขุดให้มากที่สุดหากถือไม่ไหวนางก็เอาไปใส่ไว้ในมิติ ไม่เพียงแต่เก็บไว้เป็นเสบียง ซึ่งสามารถนำออกมากินได้ในภายหลังแต่ยังสามารถนำไปปลูก
อวิ๋นซานหูได้ยินดังนั้นจึงโกรธแค้น แม่นางอวิ๋น แม่นางอวิ๋นอีกแล้ว!เหตุใดหญิงหม้ายผู้นี้จึงมากเรื่องนัก!อวิ๋นซานหูไม่สนใจซานเย่าอะไรนั่นแม้แต่น้อยงอกเงยออกมาจากดินสกปรกสิ้นดี หนำซ้ำสัมผัสโดนมือยังคันอีก จะเป็นของดีได้อย่างไร?นางเพียงอยากเร่งเดินทาง เพื่อให้ออกจากเขาเฟิ่งลั่วในเร็ววันแต่เพราะต้องการขุดซานเย่า คืนนั้นหลังจากหารือกัน ทุกคนจึงตัดสินใจหยุดพักอยู่ที่นี่สองวันหลังจากอวิ๋นซานหูรู้ข่าว ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟกระนั้นพวกชาวบ้านไม่สนใจความเห็นของนางสักนิดตอนนี้มีชาวบ้านนำซานเย่าไปต้มน้ำกินแล้วซานเย่าที่ต้มออกมาอ่อนนุ่มเหนียวหนึบ ซ้ำยังมีรสหวานสดชื่นสิ่งนี้อร่อยกว่าผักป่าบนเขาเสียอีกดังนั้นพวกชาวบ้านจึงอยากจะขุดให้มากที่สุด อีกทั้งสามารถนำไปได้เท่าไหร่ก็นำไปให้ได้มากที่สุดไม่ว่าจะนำซานเย่ามากินระหว่างเดินทางต่อจากนี้ หรือเก็บไว้ขายให้โรงโอสถ ล้วนแต่เหมาะสมทั้งสิ้นดังนั้นความไม่พอใจของอวิ๋นซานหู เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของพวกเขา ไม่อาจเทียบกันได้เลยอวิ๋นซานหูหว่านล้อมพวกชาวบ้านไม่สำเร็จ จึงไปหาติงหมิงรุ่ยแต่ใครจะไปคิดติงหมิงรุ่ยกลับบอกให้นางอย่าหาเรื่อง ซ้ำยั