หลังจากข่าวที่อวิ๋นฝูหลิงจะไปร่วมงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อแพร่กระจายออกไป เหล่าคนที่อยากพบอวิ๋นฝูหลิงสักหนแต่กลับไม่ได้เจอ พลันพากันใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีคิดหาวิธีการที่จะทำให้ได้มาซึ่งเทียบเชิญงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อด้วยจับจ้องที่จะอาศัยงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อให้ได้พูดคุยกับอวิ๋นฝูหลิงสักครั้งวันงาน เมื่อได้เห็นแขกเหรื่อมากมายพากันตบเท้าเข้ามาร่วมงาน องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อในฐานะแม่งานก็ถึงกับตกตะลึงไปเลยทีเดียวครั้นเข้าใจสาเหตุของเรื่องราว องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อก็หลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้อย่าว่าแต่คนอื่นเลย นางอาศัยเหตุผลที่ว่าดอกชิงไห่ถังผลิบานมาจัดงานเลี้ยงชมบุปผา ด้วยหนึ่งในเป้าหมายก็คืออวิ๋นฝูหลิงนี่ละงานเลี้ยงพระราชวังเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ก่อนหน้านี้ เนื่องด้วยพระวรกายขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อไม่แข็งแรง เลยไม่อาจเข้าร่วมงานเลี้ยงได้เพราะจะว่าไป นางเองก็ยังไม่เคยได้พบหน้าอวิ๋นฝูหลิงผู้เป็นพระชายาอี้อ๋องผู้นี้เลยและไม่กี่วันมานี้ เรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงผ่าท้องเอาเด็กออกให้ฮูหยินน้อยฉู่นั้นแพร่กระจายออกไปจนเป็นที่ฮือฮา ฉยงอวี้จวิ้นจู่สนิทชิดเชื้อกับฮู
ถึงอย่างไรท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดนี้ นางเชื่อว่าองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อไม่กล้าทำอันใดนางมากนักอวิ๋นฝูหลิงกล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงข้าง ๆ องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อด้วยท่าทางสง่างามองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อมองแล้วลอบพยักหน้าให้เจ้าเจ็ดตาดีไม่เลว เลือกแม่นางผู้นี้มา นางมองแล้วสบายตายิ่งเมื่อนั่งลงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงถึงได้เงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ทั้งสองฟากฝั่งฝั่งหนึ่งมีคนที่คุ้นหน้าคุ้นตานั่งอยู่สองสามคน คงจะเป็นฮูหยินจากจวนขุนนางบรรดาศักดิ์ที่เคยพบหน้ากันที่งานเลี้ยงพระราชวังครั้งก่อนส่วนอีกฝั่งมีพระชายาองค์ชายใหญ่ พระชายาองค์ชายสาม และพระชายาองค์ชายห้าประทับอยู่อวิ๋นฝูหลิงแย้มยิ้มพลางผงกศีรษะให้พวกนาง นับเป็นการทักทายกันบรรดาฮูหยินขุนนางหลายคนมีฐานะสูงไม่สู้อวิ๋นฝูหลิง จึงพากันลุกขึ้นยืนทำความเคารพพระชายาองค์ชายใหญ่กับพระชายาองค์ชายสามเพียงแค่พยักหน้าให้อวิ๋นฝูหลิงเท่านั้น นี่นับว่าเป็นการตอบกลับแล้วส่วนพระชายาองค์ชายห้านั้นยิ้มตอบให้อวิ๋นฝูหลิงขณะที่ทักทายกันอยู่นั้น ไม่รู้ว่าฉยงอวี้จวิ้นจู่ที่เดิมทีกำลังต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ในสวน พาสหายที่เที่ยวเล่นด้วยกันเดินมาหาตั้งแต่เมื่อไรหญิ
“ด้วยฮูหยินน้อยฉู่มีข้อจำกัดหลายอย่างทางร่างกาย กอปรกับตั้งครรภ์เด็กแฝด ไม่อาจให้กำเนิดได้อย่างราบรื่น ทั้งยามให้กำเนิดก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่อาจจะทำให้กลายเป็นหนึ่งศพสามวิญญาณ”“ท่ามกลางความอับจนหนทาง ถึงได้จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกเช่นนี้”เมื่ออวิ๋นฝูหลิงมองไป ก็ได้เห็นว่าหลายคนมีสีหน้าไม่เห็นด้วยว่าเป็นเช่นนั้นนางชะงักไปเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อไป “อย่างที่พวกท่านทราบ วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกนี้ข้าไม่ได้คิดขึ้นมาเป็นคนแรก ก่อนหน้านี้มีคนที่ผ่าท้องเอาเด็กออกแล้ว แต่เหตุใดวิธีนี้ถึงไม่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางกัน?”หญิงสาวผู้มีดวงตากลมโตที่เอ่ยปากออกมาเป็นคนแรกคิดดูเล็กน้อย แล้วลองตอบหยั่งเชิงไปว่า “เพราะทำให้คนตายได้หรือ?”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ไม่ผิด วิธีการผ่าท้องเอาเด็กออกนี้ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย”“การผ่าท้องเอาเด็กออกในสมัยก่อน มักผ่าท้องเอาบุตรออกมาจากท้องมารดาหลังจากมารดาผู้ให้กำเนิดสิ้นชีวิต” “เช่นนี้ทั้งรักษาชีวิตชีวิตหนึ่งไว้ได้ ทั้งไม่ได้เป็นการโหดร้ายถึงขั้นที่ผ่าท้องคนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่จนทำให้มารดาผู้ให้กำเนิดถึงแก่ชีวิต”“วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกของข
“หากพวกท่านไม่เชื่อ ก็รอให้ฮูหยินน้อยฉู่พ้นจากการอยู่ไฟไป แล้วพวกท่านค่อยไปถามนางดูก็ได้”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวสรุปในท้ายที่สุด“ดังนั้น การผ่าท้องเอาเด็กออกจึงเป็นวิธีการที่อยู่ในสถานการณ์ที่ทำอย่างอื่นอย่างใดไม่ได้แล้วถึงจะนำมาใช้ ด้วยวิธีนี้ยังมีอันตรายอยู่”“พวกท่านจะเอาไว้เป็นตัวเลือดสุดท้ายได้ แต่ไม่ควรนำมาเป็นตัวเลือกแรก”การแพทย์และอนามัยในยุคนี้นั้นยังด้อยอยู่มากจริง ๆที่อวิ๋นฝูหลิงกล้าทำการผ่าคลอด ก็เพราะมีนิ้วทองคำอยู่ในมิติ กอปรกับประสบการณ์การผ่าตัดของนางเมื่อชาติก่อนเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่กล้าชะล่าใจเพียงแค่การเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด อวิ๋นฝูหลิงก็ต้องใช้ความคิดและจิตใจไปตั้งไม่รู้มากน้อยเท่าไร พยายามรักษาความสะอาดทางอนามัยในห้องผ่าตัดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และนางยังต้องคอยจับตามองอาการฟื้นตัวของฮูหยินน้อยฉู่หลังผ่าตัดอีกด้วยด้วยกลัวว่าหากประมาทเลินเล่อไปเพียงอย่างเดียว บาดแผลจะติดเชื้อและอัดเสบ จนกระทบต่อการฟื้นฟูนางกลัวมากว่าทุกคนจะไม่เข้าใจ แล้วเกิดมีหมอไร้จรรยาบรรณผู้ขวัญกล้าเทียมฟ้า นำความสำเร็จในการผ่าท้องเอาเด็กออกของนางในครั้งนี้ไปอวดอ้าง
อวิ๋นฝูหลิงเพิ่งฟื้นคืนสติอย่างงงงวย ก็ถูกตบหน้าอย่างแรง“นังตัวดี ข้าชอบเจ้านั้นเป็นวาสนาของเจ้า!”“เจ้ายังกล้ากัดข้าอีกหรือ? แรงแค่นี้คิดว่าสามารถหนีพ้นจากเงื้อมมือของข้าได้งั้นหรือ?”“ปรนนิบัติข้ากับพวกพี่น้องให้มีความสุขแต่โดยดี แล้วข้าจะปล่อยเจ้ากับเจ้าเด็กนั่น!”“ไม่เช่นนั้น รอพวกเราพี่น้องทุกคนสนุกกับเจ้าจนพอแล้ว จะขายพวกเจ้าสองแม่ลูกให้ซ่องเสีย!”ความรู้สึกเจ็บแสบที่แก้ม ทำให้สติของอวิ๋นฝูหลิงแจ่มชัดขึ้นหลายส่วนความโกรธอันไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านอยู่ในก้นบึ้งหัวใจนางนางเป็นหมอเทวดาที่ได้รับความเคารพมากที่สุดในฐานปฏิบัติการโลกวิบัติ ใครหน้าไหนมันอยากตายถึงกล้าทำแบบนี้กับนาง?นางลืมตาขึ้น ก็มองเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังกุมใบหูที่มีเลือดไหลพลางฉีกกระชากเสื้อผ้าของนางด้วยสีหน้าหื่นกามและยังมีผู้ชายอีกหลายคนยืนเยาะเย้ยอยู่ข้างๆ อย่างหยาบคาย“นังตัวดีนี่นิสัยรุนแรงใช้ได้ เมื่อครู่เกือบกัดหูลูกพี่ขาด”“นิสัยรุนแรงแบบนี้สิถึงจะมีรสชาติ…”“ลูกพี่ ท่านรีบจัดการเถอะ พวกเรายังรอสนุกอยู่นะ อีกเดี๋ยวมีคนมาก็อดหรอก”“วางใจเถอะ วันนี้ฝนตกหนักเช่นนี้ ไม่มีคนมาแน่นอน พวกเรามีเวลาอีกเยอะ ค
ระหว่างฟ้าดินที่ถูกหมอกปกคลุม เรือนไผ่สองชั้นหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางภายในเรือนไผ่เก็บทรัพยากรต่างๆ ที่อวิ๋นฝูหลิงรวบรวมมาได้ในโลกวิบัติ อวิ๋นฝูหลิงเดินวนในเรือนไผ่หนึ่งรอบ พบว่าทรัพยากรเหล่านั้นยังอยู่ นางรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในทันทีด้านซ้ายของเรือนไผ่เป็นแปลงสมุนไพร ปลูกสมุนไพรนานาชนิดส่วนด้านขวามีหินย้อยก้อนหนึ่ง ห้อยอยู่กลางอากาศตรงปลายแหลมของหินย้อย มีน้ำหยดหนึ่งเกาะอยู่ หยดน้ำจะร่วงแหล่มิร่วงแหล่ส่วนด้านล่างของหินย้อยมีชามหินหนึ่งใบ ใช้สำหรับรองหยดน้ำที่หยดลงมาจากหินย้อยเวลานี้ในชามหินรองน้ำได้ครึ่งชามแล้วน้ำนี้เทียบได้กับยาวิเศษ เป็นของที่ดีมากคนทั่วไปดื่มสามารถเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย ร้อยโรคไม่กล้ำกราย คนป่วยดื่มสามารถขจัดร้อยโรค ฮึกเหิมประดุจมังกรและเสือผาดโผนในพริบตาเวลาปรุงยาเพิ่มหนึ่งหยด สามารถกระตุ้นสรรพคุณยา เพิ่มประสิทธิภาพเพียงแต่หยดน้ำแห่งจิตวิญญาณนี่หยดช้ามาก เก็บมานานสามเดือนกว่าเพิ่งจะได้แค่ครึ่งชามแต่สามารถมีหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณเช่นนี้ครึ่งชาม อวิ๋นฝูหลิงก็ดีใจมากแล้วนางรีบนำหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณจากมิติมาดื่มสองอึกทันทีกระแสอุ่นสายหน
น้ำท่วมที่โหมกระหน่ำกลืนกินบ้านเรือนและไร่นาในพริบตาบ้านเรือนต้านแรงซัดของกระแสน้ำไม่ไหว ถูกซัดจนพังทลาย กลายเป็นเศษซากกระจัดกระจายไปทั่วชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้น ก็ถูกน้ำท่วมม้วนเข้าไปในพริบตาคนเหล่านี้ไม่ทันได้ส่งเสียงขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ หลังจากลอยคออยู่ในน้ำครู่หนึ่ง ก็ถูกน้ำท่วมพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอยชาวบ้านคนอื่นเห็นสถานการณ์ อดไม่ได้ที่จะหน้าซีด ตอนนี้แทบจะใช้มือและเท้าปีนขึ้นยอดเขาอย่างสุดชีวิตโดยเฉพาะพวกชาวบ้านที่อยู่ท้ายขบวน พวกเขาเห็นคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขาถูกน้ำท่วมกลืนกินต่อหน้าต่อตาอีกเพียงนิดเดียว พวกเขาก็เกือบจะถูกฝังท่ามกลางน้ำท่วมแล้ว!ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลาสนใจสัมภาระที่หนักอึ้งบนแผ่นหลังแล้ว โยนของทิ้งก็ปีนขึ้นเขาอย่างสุดชีวิตในเวลาเช่นนี้ สิ่งของจะสำคัญกว่าชีวิตได้อย่างไร!อวิ๋นฝูหลิงกุมศีรษะปีนขึ้นเขา ระหว่างนั้นหันกลับมาดูสถานการณ์ของน้ำท่วมแวบหนึ่งน้ำท่วมที่อยู่ใต้เขาสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมู่บ้านจมไปแล้ว อีกทั้งปริมาณน้ำยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มว่าจะท่วมสูงถึงไหล่เขาอวิ๋นฝูหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจเวลานี้เอง หญิงสาวคนห
อวิ๋นฝูหลิงเงยหน้ามอง ก็มองเห็นตรงจุดที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าเมตร มีชายฉกรรจ์รวมกลุ่มกันห้าหกคน คนกลุ่มนี้กำลังคุยอะไรบางอย่าง และยังชี้มาทางนางเป็นระยะหนึ่งในนั้นก็คือชายที่ผอมเหมือนลิง คนที่หนีออกจากบ้านนางก่อนหน้านี้สายตาของลิงผอมปะทะสายตาของอวิ๋นฝูหลิงพอดี เขาจ้องเขม็งใส่นางแวบหนึ่ง เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีเจตนาร้ายแตกต่างจากคนที่วิ่งหนีกระเจิงก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เหมือนมีที่พึ่งอะไรบางอย่างอวิ๋นฝูหลิงขมวดคิ้ว เกิดความหวาดระแวงขึ้นในใจทันทีนางจมจิตใต้สำนึกเข้าไปในมิติ เริ่มรื้อค้นในเรือนไผ่ชาติที่แล้วนางปรุงผงยาป้องกันตัวไว้ไม่น้อย อีกทั้งทำมาจากวัตถุดิบที่ปลูกในมิติทั้งหมด ประสิทธิภาพรุนแรงกว่าผงยาทั่วไปหลายเท่าอวิ๋นฝูหลิงเลือกผงยามาสองสามห่อ นำออกมาจากมิติโดยอาศัยการบดบังของแขนเสื้อ แล้วแอบใส่เข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อนางเหลือบมองพวกลิงผอมแวบหนึ่งถ้าหากคนเหล่านี้ไม่ยุ่งกับนางก็ช่างเถอะ แต่ถ้าหากกล้าลงมือกับนาง นางจะให้พวกเขาได้ลิ้มลองรสชาติของการตายทั้งเป็นแน่นอนขณะเดียวกัน ชายที่ผอมเหมือนลิงกำลังฟ้องพรรคพวก“ลูกพี่อู๋ ที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริงนะ พวกพี่ใหญ่ข้าล้
“หากพวกท่านไม่เชื่อ ก็รอให้ฮูหยินน้อยฉู่พ้นจากการอยู่ไฟไป แล้วพวกท่านค่อยไปถามนางดูก็ได้”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวสรุปในท้ายที่สุด“ดังนั้น การผ่าท้องเอาเด็กออกจึงเป็นวิธีการที่อยู่ในสถานการณ์ที่ทำอย่างอื่นอย่างใดไม่ได้แล้วถึงจะนำมาใช้ ด้วยวิธีนี้ยังมีอันตรายอยู่”“พวกท่านจะเอาไว้เป็นตัวเลือดสุดท้ายได้ แต่ไม่ควรนำมาเป็นตัวเลือกแรก”การแพทย์และอนามัยในยุคนี้นั้นยังด้อยอยู่มากจริง ๆที่อวิ๋นฝูหลิงกล้าทำการผ่าคลอด ก็เพราะมีนิ้วทองคำอยู่ในมิติ กอปรกับประสบการณ์การผ่าตัดของนางเมื่อชาติก่อนเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่กล้าชะล่าใจเพียงแค่การเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด อวิ๋นฝูหลิงก็ต้องใช้ความคิดและจิตใจไปตั้งไม่รู้มากน้อยเท่าไร พยายามรักษาความสะอาดทางอนามัยในห้องผ่าตัดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และนางยังต้องคอยจับตามองอาการฟื้นตัวของฮูหยินน้อยฉู่หลังผ่าตัดอีกด้วยด้วยกลัวว่าหากประมาทเลินเล่อไปเพียงอย่างเดียว บาดแผลจะติดเชื้อและอัดเสบ จนกระทบต่อการฟื้นฟูนางกลัวมากว่าทุกคนจะไม่เข้าใจ แล้วเกิดมีหมอไร้จรรยาบรรณผู้ขวัญกล้าเทียมฟ้า นำความสำเร็จในการผ่าท้องเอาเด็กออกของนางในครั้งนี้ไปอวดอ้าง
“ด้วยฮูหยินน้อยฉู่มีข้อจำกัดหลายอย่างทางร่างกาย กอปรกับตั้งครรภ์เด็กแฝด ไม่อาจให้กำเนิดได้อย่างราบรื่น ทั้งยามให้กำเนิดก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่อาจจะทำให้กลายเป็นหนึ่งศพสามวิญญาณ”“ท่ามกลางความอับจนหนทาง ถึงได้จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกเช่นนี้”เมื่ออวิ๋นฝูหลิงมองไป ก็ได้เห็นว่าหลายคนมีสีหน้าไม่เห็นด้วยว่าเป็นเช่นนั้นนางชะงักไปเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อไป “อย่างที่พวกท่านทราบ วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกนี้ข้าไม่ได้คิดขึ้นมาเป็นคนแรก ก่อนหน้านี้มีคนที่ผ่าท้องเอาเด็กออกแล้ว แต่เหตุใดวิธีนี้ถึงไม่ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางกัน?”หญิงสาวผู้มีดวงตากลมโตที่เอ่ยปากออกมาเป็นคนแรกคิดดูเล็กน้อย แล้วลองตอบหยั่งเชิงไปว่า “เพราะทำให้คนตายได้หรือ?”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ไม่ผิด วิธีการผ่าท้องเอาเด็กออกนี้ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย”“การผ่าท้องเอาเด็กออกในสมัยก่อน มักผ่าท้องเอาบุตรออกมาจากท้องมารดาหลังจากมารดาผู้ให้กำเนิดสิ้นชีวิต” “เช่นนี้ทั้งรักษาชีวิตชีวิตหนึ่งไว้ได้ ทั้งไม่ได้เป็นการโหดร้ายถึงขั้นที่ผ่าท้องคนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่จนทำให้มารดาผู้ให้กำเนิดถึงแก่ชีวิต”“วิธีผ่าท้องเอาเด็กออกของข
ถึงอย่างไรท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดนี้ นางเชื่อว่าองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อไม่กล้าทำอันใดนางมากนักอวิ๋นฝูหลิงกล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงข้าง ๆ องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อด้วยท่าทางสง่างามองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อมองแล้วลอบพยักหน้าให้เจ้าเจ็ดตาดีไม่เลว เลือกแม่นางผู้นี้มา นางมองแล้วสบายตายิ่งเมื่อนั่งลงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงถึงได้เงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ทั้งสองฟากฝั่งฝั่งหนึ่งมีคนที่คุ้นหน้าคุ้นตานั่งอยู่สองสามคน คงจะเป็นฮูหยินจากจวนขุนนางบรรดาศักดิ์ที่เคยพบหน้ากันที่งานเลี้ยงพระราชวังครั้งก่อนส่วนอีกฝั่งมีพระชายาองค์ชายใหญ่ พระชายาองค์ชายสาม และพระชายาองค์ชายห้าประทับอยู่อวิ๋นฝูหลิงแย้มยิ้มพลางผงกศีรษะให้พวกนาง นับเป็นการทักทายกันบรรดาฮูหยินขุนนางหลายคนมีฐานะสูงไม่สู้อวิ๋นฝูหลิง จึงพากันลุกขึ้นยืนทำความเคารพพระชายาองค์ชายใหญ่กับพระชายาองค์ชายสามเพียงแค่พยักหน้าให้อวิ๋นฝูหลิงเท่านั้น นี่นับว่าเป็นการตอบกลับแล้วส่วนพระชายาองค์ชายห้านั้นยิ้มตอบให้อวิ๋นฝูหลิงขณะที่ทักทายกันอยู่นั้น ไม่รู้ว่าฉยงอวี้จวิ้นจู่ที่เดิมทีกำลังต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ในสวน พาสหายที่เที่ยวเล่นด้วยกันเดินมาหาตั้งแต่เมื่อไรหญิ
หลังจากข่าวที่อวิ๋นฝูหลิงจะไปร่วมงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อแพร่กระจายออกไป เหล่าคนที่อยากพบอวิ๋นฝูหลิงสักหนแต่กลับไม่ได้เจอ พลันพากันใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีคิดหาวิธีการที่จะทำให้ได้มาซึ่งเทียบเชิญงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อด้วยจับจ้องที่จะอาศัยงานชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อให้ได้พูดคุยกับอวิ๋นฝูหลิงสักครั้งวันงาน เมื่อได้เห็นแขกเหรื่อมากมายพากันตบเท้าเข้ามาร่วมงาน องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อในฐานะแม่งานก็ถึงกับตกตะลึงไปเลยทีเดียวครั้นเข้าใจสาเหตุของเรื่องราว องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อก็หลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้อย่าว่าแต่คนอื่นเลย นางอาศัยเหตุผลที่ว่าดอกชิงไห่ถังผลิบานมาจัดงานเลี้ยงชมบุปผา ด้วยหนึ่งในเป้าหมายก็คืออวิ๋นฝูหลิงนี่ละงานเลี้ยงพระราชวังเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ก่อนหน้านี้ เนื่องด้วยพระวรกายขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อไม่แข็งแรง เลยไม่อาจเข้าร่วมงานเลี้ยงได้เพราะจะว่าไป นางเองก็ยังไม่เคยได้พบหน้าอวิ๋นฝูหลิงผู้เป็นพระชายาอี้อ๋องผู้นี้เลยและไม่กี่วันมานี้ เรื่องที่อวิ๋นฝูหลิงผ่าท้องเอาเด็กออกให้ฮูหยินน้อยฉู่นั้นแพร่กระจายออกไปจนเป็นที่ฮือฮา ฉยงอวี้จวิ้นจู่สนิทชิดเชื้อกับฮู
คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วล้วนพบกับฮูหยินฉู่ที่เรือนหลัก แล้วจึงถูกไล่ให้กลับไปด้วยความสุภาพส่วนคนกลุ่มที่ได้เข้าห้องคลอดแล้วเห็นว่าฮูหยินน้อยฉู่ที่ยังมีชีวิตอยู่ตัวเป็น ๆ หลังกลับไปก็อดที่จะนำเรื่องนี้ไปพูดคุยให้คนอื่นฟังอย่างออกรสออกชาติไม่ได้เพียงชั่วเวลาหนึ่ง จากหนึ่งคนสู่สิบคน จากสิบคนแพร่ไปเป็นร้อยคน เรื่องราวแพร่กระจายออกไปกว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากฮูหยินน้อยฉู่เพิ่งได้รับการผ่าท้องเอาเด็กออก จำต้องได้รับการพักผ่อนอย่างสงบ ช่วงนี้จึงไม่เหมาะที่จะเข้าไปรบกวน ครั้นทุกคนไม่ได้เห็นฮูหยินน้อยฉู่ จึงพากันเบนสายตาไปที่อวิ๋นฝูหลิงถึงอย่างไรแล้วนางก็เป็นถึงปรมาจารย์ที่ผ่าคลอดเอาเด็กออกจากท้อง ทั้งยังรักษามารดาให้มีชีวิตรอดอยู่ได้เชียวนะทว่าสองสามวันนี้ใจของอวิ๋นฝูหลิงมัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องทางโรงปรุงยาเท่านั้นโรงปรุงยาตั้งอยู่ที่เรือนด้านในจวนจี้ชุนโหว ประตูใหญ่ปิดสนิท ความวุ่นวายที่ด้านนอกจึงไม่รบกวนไปถึงนางฉะนั้นจึงมีฮูหยินสูงศักดิ์ไม่รู้ตั้งมากมายเท่าไรที่อยากนัดพบอวิ๋นฝูหลิงสักครั้ง ทว่ากลับหาไม่เจอแม้แต่คนของอวิ๋นฝูหลิงวันนี้ ในที่สุดอวิ๋นฝูหลิงก็จัดการสะสางเรื่องทาง
ก่อนหน้านี้จางซานมู่เคยเห็นอวิ๋นฝูหลิงขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดมาก่อน จึงไม่ได้ส่งเสียงรบกวนยามนี้ได้ยินอวิ๋นฝูหลิงเอ่ยถาม เลยรีบรายงานตอบกลับไปว่า“เรื่องนี้ไม่ทราบเป็นที่แน่ชัด แต่ไม่กี่วันก่อนพวกเขาเพิ่งซื้อคฤหาสน์บริเวณชานเมืองทิศอุดรไว้หลังหนึ่ง เจ้าของคฤหาสน์คนเก่าเป็นพ่อค้าเศรษฐีคนหนึ่งของเจียงหนาน เพราะกิจการการค้าเกิดปัญหาเล็กน้อย จำเป็นต้องใช้ทุนทรัพย์ จึงต้องนำคฤหาสน์หลังนี้เปลี่ยนมือให้ผู้อื่น”“สองสามวันมานี้พวกอวิ๋นชิงมู่มักไปพบปะกันที่คฤหาสน์หลังนั้น แถมภายในยังมีคนงานเดินเข้าออก”“ไม่รู้ว่าคฤหาสน์หลังนั้นจะเกี่ยวข้องกับกิจการที่พวกเขาร่วมหุ้นกันหรือไม่?”“แต่อวิ๋นชิงมู่ได้เงินจากที่บ้านไปหนึ่งหมื่นตำลึง บอกว่าเอามาเป็นเงินทุนสำหรับกิจการ”อวิ๋นฝูหลิงขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิมเงินจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงนับว่าไม่ใช่น้อย ๆอีกทั้งนี่ยังเป็นเงินทุนจากอวิ๋นชิงมู่เพียงหนึ่งคนเท่านั้นในเมื่อเป็นการร่วมหุ้น เช่นนั้นพวกซื่อจื่อซุ่นอ๋องก็ต้องลงเงินด้วยเช่นกันดูแล้ว เงินลงทุนสำหรับกิจการนี้จะต้องมิใช่น้อย ๆ แน่ อย่างต่ำก็ต้องหมื่นตำลึงขึ้นไปทว่ากิจการนี้มิได้ซื้อร้านค้าดี ๆ
โชคดีที่พ่อบ้านหยวนช่วยนางจัดการแล้ว“พระชายา ข้าเรียกทางฝั่งนายหน้ามาแล้วขอรับ”“ท่านสะดวกเป็นช่วงยามใดที่จะให้เรียกพวกเขามาหรือขอรับ?”อวิ๋นฝูหลิงครุ่นคิด และกล่าวว่า “วันนี้ช่วงบ่าย”ช่วงบ่ายอวิ๋นฝูหลิงงีบหลับไปครู่หนึ่ง หลังจากตื่นได้ไม่นาน คนของโรงนายหน้าก็มาถึงจวนนายหน้าที่มามีอายุประมาณสี่สิบกว่าปี สวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าก็หวีเป็นระเบียบ ทั้งตัวดูเรียบร้อยมากทีเดียวนางก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับทำความเคารพอวิ๋นฝูหลิง“คารวะพระชายา!”“ได้ยินว่าพระชายาต้องการเลือกคนมาใช้งาน ข้านำคนที่มีอยู่ทั้งหมดมาให้เลือกแล้วเจ้าค่ะ”“ในนี้มีแปดสิบคน เป็นบุรุษสี่สิบคน และสตรีสี่สิบคน”“ขึ้นอยู่กับการเลือกของพระชายาเจ้าค่ะ”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า ดวงตากวาดมองไปยังคนที่ยืนเรียงแถวอยู่ในสวนคนที่ซื้อขายจากโรงนายหน้าล้วนมีที่มาที่ไปชัดเจน ไม่วุ่นวายเหมือนนายหน้าส่วนบุคคล ซึ่งในบรรดาคนที่ทำการซื้อขายมีจำนวนมากที่ใช้วิธีผิดศีลธรรมลักพาตัวมายิ่งไปกว่านั้นนี่คือคนที่ต้องเข้าจวน โรงนายหน้าจึงยิ่งไปไม่กล้าละเลย ก่อนมาก็ล้วนคัดเลือกด้วยตัวเองมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งอวิ๋นฝูหลิงเดิมทีวางแผนจะ
หลังจากอวิ๋นฝูหลิงตรวจชีพจรฮูหยินน้อยฉู่แล้ว ก็ตรวจบาดแผลของนางครู่หนึ่งบาดแผลไม่มีร่องรอยบวมแดงหรืออักเสบอวิ๋นฝูหลิงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังผ่าตัดสิ่งที่กังวลที่สุดคือปัญหาเรื่องแผลติดเชื้อขอเพียงบาดแผลไม่มีการติดเชื้อ ก็ย่อมหายสนิทได้ เช่นนั้นการผ่าตัดก็จะถือว่าประสบความสำเร็จอวิ๋นฝูหลิงทายาและพันแผนให้ฮูหยินน้อยฉู่ใหม่แผลบนท้องของฮูหยินน้อยฉู่ไม่ได้มีปัญหาร้ายแรง แต่จนถึงตอนนี้นางกลับยังไม่ผายลมเลยเพราะที่ผ่านมาผายลมไม่ได้ ฮูหยินน้อยฉู่จึงถูกคนจับตามอง ไม่ให้กินสิ่งใดมาโดยตลอดยามนี้คนจึงหิวจนไม่มีเรี่ยวแรงแล้วอวิ๋นฝูหลิงรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้การที่ฮูหยินน้อยฉู่ยังไม่ผายลมออกมาเสียที อวิ๋นฝูหลิงคิดว่าอาจเกี่ยวข้องกับการที่ฮูหยินน้อยฉู่ไม่ยอมขยับตัวความจริงเมื่อคืนนางแนะนำให้ฮูหยินน้อยฉู่ขยับตัวเล็กน้อยบนเตียงและพลิกตัวแล้วแต่ฮูหยินน้อยฉู่กลัวจะเจ็บแผล ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมขยับตัวอวิ๋นฝูหลิงพูดตามตรงว่า “ฮูหยินน้อยฉู่ ไม่สู้ท่านลงจากเตียงมาเดินจะดีกว่ากระมัง?”“การขยับตัวจะช่วยให้ผายลมได้”“ขอเพียงผายลม ท่านก็จะสามารถกินอาหารได้แล้
แม้หมอหญิงซุนจะโหดเหี้ยม แต่กลับน่าสงสารเช่นกันในยามนี้เอง เหยากวงก็ถือแท่งถ่านกลับมาพอดีอวิ๋นฝูหลิงรับแท่งถ่านแท่งหนึ่งมา ใช้ผ้าห่อ หลังจากนั้นก็เผยส่วนที่ถูกตัดจนเป็นปลายแหลมเล็กออกมานางพูดกับหมอหญิงซุนว่า “เจ้าจำขันทีผู้นั้นที่มาหาเจ้าได้หรือไม่ ว่ามีลักษณะเช่นไร?”หมอหญิงซุนหยักหน้า “จำได้เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าอธิบายมาให้ละเอียด เขามีหน้าตาอย่างไร? ดวงตาเล็กหรือใหญ่? มีลักษณะพิเศษอันใดหรือไม่...”ตามคำอธิบายของหมอหญิงซุน อวิ๋นฝูหลิงถือดินสอถ่านวาดลงบนกระดาษนางไม่ได้วาดรูปมานานมากแล้ว โชคดีที่ทักษะการวาดรูปในชีวิตก่อนยังคงอยู่เซียวจิ่งอี้มองอวิ๋นฝูหลิงที่ขีดเขียนลงบนกระดาษ ผ่านไปไม่นาน ภาพของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏบนกระดาษภาพเหมือนนั้นดูสมจริงมาก วิธีที่อวิ๋นฝูหลิงใช้วาดภาพก็ต่างจากในยุคนี้มากเขาไม่เคยเห็นวิธีวาดภาพเช่นนี้มาก่อนเซียวจิ่งอี้อดไม่ได้ที่จะเผยความแปลกใจจากในก้นบึ้งของดวงตาขึ้นมาพระชายาผู้นี้ของเขา ยังซ่อนความสามารถติดตัวที่เขาไม่รู้ไว้อีกกี่มากน้อยกันแน่?หลังจากหมอหญิงซุนเห็นภาพเหมือนที่อวิ๋นฝูหลิงวาด ก็พยักหน้าซ้ำ ๆ “เป็นเขา! เป็นเขาเจ้าค่ะ!”คิดไม่ถึ