“ช้าก่อน!”ทันใดนั้นก็มีเสียงหยาบกระด้างดังขึ้นมาจากฝูงชนหลังจากนั้น ชายรูปร่างเตี้ยม่อต้อ ใบหน้าดุร้ายผู้หนึ่งก็เดินออกมาเขากวาดสายตามองอวิ๋นฝูหลิงขึ้นลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลง “ยาลูกกลอนเป็นของดั้งเดิมจากสำนักช่วยชีพของพวกเรา มีเพียงสำนักช่วยชีพของพวกเราเท่านั้นที่ขายได้ เจ้าโผล่มาจากไหน มีสิทธิอะไรมาทำยาขาย?”บนใบหน้าของอวิ๋นฝูหลิงยังคงมีรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับเย็นชาโดยไม่รู้ตัว “หืม? แคว้นต้าฉีมีกฎหมายข้อไหนที่บอกว่าข้าทำยาขายไม่ได้ด้วยหรือ?”ชายวัยกลางคนผู้นั้นพูดไม่ออกโดยพลัน และยิ่งเดือดดาลมากกว่าเดิม“ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียจริง เจ้ากล้ามาต่อกรกับสำนักช่วยชีพหรือ? รู้หรือไม่ว่าเจ้าของสำนักช่วยชีพของพวกเราคือผู้ใด?”หลิงโหยวไม่รู้เบียดมาอยู่ข้างอวิ๋นฝูหลิงตั้งแต่เมื่อใด และเตือนด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “คนผู้นี้คือนายท่านของสำนักช่วยชีพแห่งเขตปกครองเจียงหนิง แซ่สวี่ เป็นญาติห่าง ๆ จากครอบครัวเดิมของฮูหยินรองอวิ๋น”อวิ๋นฝูหลิงเข้าใจโดยพลัน คนผู้นี้กล้ามาทำตัวหยิ่งผยองถึงเพียงนี้ เป็นเพราะอำนาจของจวนจี้ชุนโหวยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มของนายท่านใหญ่ขอ
“พูดตามตรง สำนักช่วยชีพในยามนี้ ความจริงก็น่าผิดหวังนัก ไม่ต้องพูดถึงสมัยของนายท่านผู้เฒ่าอวิ๋น เพราะยังเทียบกับครึ่งหนึ่งของตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ”“ได้ยินว่าหลังจากตายของคุณหนูใหญ่อวิ๋น ตระกูลอวิ๋นก็ไร้คนสืบทอด ดังนั้นนายท่านรองอวิ๋นจึงรับช่วงต่อทรัพย์สินของสกุลอวิ๋น”“นกพิราบครองรังของนกกางเขนนานแล้ว ก็คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของจริง ๆ หรือ?”“สำนักช่วยชีพหาได้มีความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีและความเมตตาแบบเมื่อก่อนไม่ ผู้นำไม่ดีผู้ตามก็ย่อมไม่ดีจริง ๆ!”เมื่ออวิ๋นฝูหลิงพูดคำพูดนี้ ก็ทำให้คนรอบข้างแตกตื่นเพราะเป็นคนในแวดวงแพทย์เหมือนกัน พวกเขาจึงย่อมรู้เรื่องของสกุลอวิ๋นอยู่บ้างแต่คำพูดเมื่อครู่ของแม่นางอวิ๋น เห็นได้ชัดว่ายังมีเรื่องราวภายในอยู่ด้วยทันใดนั้น ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนก็เปิดออกผู้ที่ตกใจมากที่สุด ย่อมเป็นนายท่านหางเขามองอวิ๋นฝูหลิง ทันใดนั้นก็คิดบางอย่างขึ้นได้ ทั้งร่างจึงสั่นสะท้านเล็กน้อยหลิงโหยวยืนอยู่ข้างอวิ๋นฝูหลิงด้วยลำตัวยืดตรงหลังจากการตายของท่านโหวตระกูลเขา สำนักช่วยชีพก็ตกมาอยู่ในกำมือของอวิ๋นกานซง ที่นับวันก็ยิ่งไร้เหตุผลมากขึ้น
เดิมทีท่านหมอซุนคิดว่าแม่นางอวิ๋นเป็นเพียงหมอบ้านนอกธรรมดาผู้หนึ่ง จึงคิดใช้ชื่อของสำนักช่วยชีพกับจวนจี้ชุนโหวมาสร้างความตื่นตระหนกให้นางใครเล่าจะรู้ว่ายังไม่ทันเริ่มก็พังไม่เป็นท่าแล้ว ไม่เพียงแค่ทำให้นางตกใจกลัวไม่ได้ แต่นายท่านสวี่ยังถูกจัดการอย่างโหดเหี้ยมกลับมาอีกด้วยแม่นางอวิ๋นผู้นี้ถึงกับไม่กริ่งเกรงต่ออำนาจบารมีของจวนจี้ชุนโหว เป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่าง?ท่านหมอซุนคิดระแวงอยู่ในใจ ทั้งกังวลไม่หายทว่าครั้นได้รับสัญญาณจากสายตาของนายท่านสวี่ เขาเลยจำต้องกัดฟันก้าวออกมาเขาอยากไปสำนักช่วยชีพในเมืองหลวงมาโดยตลอด และในที่สุดช่วงนี้ก็พอจะมีเค้าลางขึ้นมาบ้างแล้วแม้เขตปกครองเจียงหนิงจะพรั่งพร้อมอุดมสมบูรณ์ ทว่าความเจริญกลับเทียบไม่ได้กับเมืองหลวงทั้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่และคนชั้นสูงเองก็มากกว่าหากได้รับความชื่นชมจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านใดสักท่าน กอปรกับชื่อเสียงของสำนักช่วยชีพ ไม่แน่ว่าการจะเข้าสำนักหมอหลวงก็ไม่นับว่าเป็นการเพ้อฝันเกินไปนักท่านหมอซุนเองก็ไม่อยากดักดานติดอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ อย่างเขตปกครองเจียงหนานเช่นนี้ไปชั่วชีวิตแม้ว่าเขาจะเป็นเพ
“พวกเจ้าว่า แม่นางอวิ๋นจะกล้ารับคำท้าหรือไม่?”เหล่าผู้คนที่มุงดูเหตุการณ์ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันจนบรรยากาศคึกคัก ทว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับตกอยู่ในอาการสับสนมึนงงประลองวิชาแพทย์? นี่มันเรื่องอะไรกัน?แล้วประลองอย่างไร?เคราะห์ดีที่หลิงโหยวกระซิบอธิบายให้ฟังได้ถูกเวลา “ประลองวิชาแพทย์เป็นธรรมเนียมที่มีมาอยู่ตลอดในแวดวงการแพทย์ขอรับ”“แรก ๆ นั้นมีไว้เพียงเพื่อขัดเกลาฝีมือการแพทย์ พัฒนาก้าวข้ามตนเองเท่านั้น”“หลัง ๆ มาความหมายของมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป”“วิถีทางการแพทย์พัฒนามาได้จวบจนถึงทุกวันนี้ เพราะโดยทั่วไปแล้วในแต่ละพื้นที่ล้วนมีตระกูลแพทย์ที่มีอิทธิพลแสนมั่นคงร่วมมือกันแบ่งอำนาจไป”“หากหมออยากทำงาน โดยทั่วไปแล้วก็จะเลือกพึ่งพาอาศัยสำนักแพทย์ประจำท้องที่ เมื่อทำเช่นนี้ก็จะลดความยุ่งยากไปได้มากขอรับ”อวิ๋นฝูหลิงแสดงท่าทีเข้าใจ ความหมายก็คือเมื่อมีคนใหม่เข้ามาร่วมวง ก็จำต้องทำความเคารพผู้เป็นหัวหน้าเสียก่อนมีคนคอยคุ้มกะลาหัว จึงจะไม่ถูกกลั่นแกล้งรังแกอีกทั้งสำนักแพทย์ที่แบ่งเขตอิทธิพลกันเรียบร้อยเหล่านั้นก็ไม่คาดหวังว่าจะมีคนใหม่เข้ามาแบ่งเค้กชิ้นนี้เพิ่มอีก“ไม่อย่างน
อวิ๋นฝูหลิงยิ้มซาบซึ้งไปทางนายท่านหางและท่านหมอหางจากนั้นจึงหันไปทางท่านหมอซุนแล้วกล่าววาจาเสียงดัง “ประลองวิชาแพทย์ก็ประลองวิชาแพทย์ ท่านคิดจะประลองเช่นไร?”เหล่าผู้คนที่มุงดูต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงกันในบัดดลนึกไม่ถึงว่าแม่นางอวิ๋นจะกล้ารับคำท้าแต่พอลองคิดดูอีกที หากแม่นางอวิ๋นคิดจะเป็นหมออยู่ที่เขตปกครองเจียงหนิง นอกจากรับคำท้าแล้ว ก็ไม่มีหนทางอื่นให้เลือกอีกท่านหมอซุนเห็นแม่นางอวิ๋นรับคำท้า จึงยกยิ้มมุมปากด้วยท่าทีหยิ่งยโสนางสตรีไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!เขาจะทำให้นางได้รู้ซึ้ง จะเป็นหมอรักษาคนนั้นมิใช่เรื่องที่สตรีเช่นนางจะทำได้!สตรีน่ะ ก็ควรทำตัวว่าง่ายอยู่แต่ในเรือนหลัง คอยเกื้อกูลสามีอบรมสั่งสองบุตรให้ดี ประพฤติตนให้เหมาะสม!ท่านหมอซุนเอ่ยปากว่า “เจ้ากับข้าจะไปนั่งตรวจไข้ที่ริมถนน แล้วตรวจโรคให้กับคนไข้ที่มาหา”“แต่ไม่ว่าจะเป็นคนไข้คนไหนที่มารักษา ก็ห้ามปฏิเสธทั้งสิ้น”“กำหนดจำนวนอยู่ที่สิบคน ใครที่สามารถรักษาอาการให้คนไข้ได้มากที่สุดภายในระยะเวลาสามวัน ก็จะเป็นผู้ชนะ”“คนที่แพ้ ต้องไสหัวออกไปจากเขตปกครองเจียงหนิง ชั่วชีวิตนี้ห้ามเป็นหมอรักษาคนอีก!”อวิ๋นฝูห
“หากถึงตอนนั้นแล้วยาสมุนไพรไม่พอ แล้วข้าทำเพียงได้แต่ควักเงินของตัวเองจ่ายออกไปก่อนเล่า!”“สำนักช่วยชีพมั่งมีไปด้วยเงินทองและอำนาจ เงินหนึ่งพันตำลึงนี้ถือว่าน้อยนัก สู้ให้มาสักสองพันตำลึงไม่ดีกว่าหรือ?”ในเวลาเพียงไม่นาน เงินหนึ่งพันตำลึงแปรเปลี่ยนกลายเป็นเงินสองพันตำลึงเสียแล้วนายท่านสวี่รู้สึกได้ว่าตนเองแทบจะหายใจไม่ออกอยู่รอมร่อเขาโบกมือขึ้นมาแล้วพูดออกไปโต้ง ๆ ว่า “หนึ่งพันตำลึงก็หนึ่งพันตำลึง!”เขาล้วงเสื้อผ้าบนกาย ไม่นานนักก็ล้วงตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาได้ แล้วยื่นให้อวิ๋นฝูหลิงไปอวิ๋นฝูหลิงรับไปด้วยอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ขอบคุณนายท่านสวี่เป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ!”ต่อให้นำไปซื้อยาสมุนไพร เงินหนึ่งพันตำลึงนี้ก็ใช้ไม่หมดส่วนหลังจากนี้ที่ว่าหากมีเหลือก็คืนให้ หากขาดไปก็ต้องชดนั้น จะคืนน่ะย่อมไม่อาจเป็นไปได้อยู่แล้ว แต่เงินชดน่ะต้องได้ชดแน่นอน!นึกไม่ถึงเลยว่าร่วมประลองวิชาแพทย์แล้ว นางยังจะถือโอกาสหลอกเอาเงินจำนวนหนึ่งมาจากสำนักช่วยชีพได้ที่อวิ๋นฝูหลิงทำเช่นนี้ อย่างแรกเลยคือเพราะนางเชื่อใจสำนักช่วยชีพไม่ลง กังวลว่าพวกเขาจะเล่นแง่กับยาสมุนไพรอย่างที่สองคือนางคิดจะใช้ย
อวิ๋นฝูหลิงเห็นลูกพี่อู๋เดี๋ยวหดมือเดี๋ยวหดเท้าดูไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว ก็อดหัวเราะพลางเอ็ดให้ไม่ได้ “ดูท่าทางเงอะงะของเจ้าสิ!”“ตอนกลับค่อยห่ออาหารขึ้นชื่อของที่นี่กลับไปสักสองสามให้ เอากลับไปให้พวกสวี่ตงได้ลองกินกัน”ลูกพี่อู๋หัวเราะแหะ ๆ “ขอบคุณแม่นางอวิ๋น”ที่นี่เป็นหอสุราอันดับหนึ่งประจำหัวเมืองเลยนา!หากเป็นเมื่อก่อน กระทั่งเขาจะเข้ามาในนี้ยังเข้ามาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเรื่องได้ลิ้มลองอาหารของที่นี่เลยทว่ายามนี้เขากลับได้นั่งกินอาหารบนโต๊ะอยู่ในห้องอาหารนี่ช่างวันชีวิตดี ๆ ที่เมื่อก่อนกระทั่งคิดก็ยังไม่กล้าเลยทีเดียวเชียวไว้กลับไปแล้ว เขาต้องไปคุยโวกับจางซานมู่และพรรคพวกของเขาอีกสองสามคนนั่นสักหน่อยแล้วว่าเขาเองก็เป็นคนที่เคยไปหอจุ้ยเซียนมาก่อนคนหนึ่ง!ครั้นกินมือกลางวันกันเสร็จ อวิ๋นฝูหลิงก็ไปเลือกสั่งอาหารอร่อย ๆ มาจำนวนหนึ่งเพื่อห่อกลับไปให้พวกสวี่ตงหลังจากออกมาจากหอจุ้ยเซียนแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ไปตลาดม้าล่อที่เมืองบูรพาหนหนึ่งก่อนตลาดม้าล่อเป็นสถานที่ขายปศุสัตว์โดยเฉพาะอวิ๋นฝูหลิงตั้งใจจะซื้อรถม้าคันหนึ่งไว้เป็นพาหนะแทนการเดินเท้าทว่าพอเดินดูตลาดม้าล่อไปรอบหนึ
นายท่าหางเดินทางไปในครานี้ เกรงว่าพรุ่งนี้เช้านั่นแหละจึงจะกลับมาได้ยังไม่ทันที่ท่านหมอหางจะได้เอ่ยถามไถ่ นายท่านหางก็กระโดดขึ้นรถม้าจากไปแล้วส่วนอวิ๋นฝูหลิงก็นั่งโยกเยกอยู่บนรถม้าไปตลอดทางจนกลับไปถึงหมู่บ้านซวงหลินเรือนของสกุลอวิ๋นกำลังอยู่ในช่วงสร้างใหม่ ยามนี้พอจะเริ่มเห็นเป็นเค้าโครงขึ้นมาแล้วอวิ๋นฝูหลิงเดินดูลานก่อสร้างรอบหนึ่งเพื่อดูความก้าวหน้า และพอทักทายกับทุกคนแล้ว นางจึงไปจัดการกิจของตนเองนางคิดจะจัดการกับยาสมุนไพรในมิติสักเล็กน้อย ลองดูว่ามียาสมุนไพรตัวไหนหยิบออกมาใช้ได้บ้างส่วนลูกพี่อู๋ก็ถือกล่องอาหารไปหาพวกจางซานมู่เทียนเฉวียนหาโอกาสได้ จึงนำเรื่องที่สำนักช่วยชีพจะทำการประลองวิชาแพทย์กับแม่นางอวิ๋นไปรายงานแก่เซียวจิ่งอี้ครั้นเซียวจิ่งอี้ได้ฟัง ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ฝีมือการแพทย์ของแม่นางอวิ๋นสูงยิ่ง นางกล้ารับคำท้า ก็คงจะเอาชนะได้นั่นแหละ”“แต่กลัวว่าสำนักช่วยชีพจะเล่นลูกไม้ใส่”“นายท่านสวี่ผู้นั้นดำเนินกิจการอยู่ในเขตปกครองเจียงหนิงมานานหลายปี ไม่ว่าจะเส้นสาย เงินทอง หรืออำนาจล้วนเหนือกว่าแม่นางอวิ๋นทุกด้าน”“ในเมื่อพวกเขากล้าเป็นฝ่ายเสนอตัวต้องการประลอ
ทันทีที่เจ้าของร้านเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ ความง่วงงุนก็สลายหายไปทันทีเขาประสานมือให้อวิ๋นฝูหลิง พลางกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านใต้เท้าโปรดตามข้ามา!”กล่าวจบ เจ้าของร้านก็ลุกขึ้นออกไปจากโต๊ะต้อนรับ เอาป้ายปิดร้านแขวนไว้ที่หน้าประตู หลังจากนั้นก็ปิดประตูร้านจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ เขาจึงเพิ่งนำทางพวกอวิ๋นฝูหลิงไปที่หลังร้านเมื่อเข้ามาที่เรือนหลักหลังร้าน เจ้าของร้านผู้นั้นก็ทำความเคารพอย่างจริงจังและนอบน้อมอีกครั้ง “ข้าน้อยหลี่หยวน ขอทำความเคารพท่านใต้เท้า!”อวิ๋นฝูหลิงเก็บป้ายอาญาสิทธิ์กลับมาในหน่วยกระบี่เงาป้ายอาญาสิทธิ์ที่ครอบครองจะแตกต่างกันออกไป ตามตำแหน่งสูงต่ำป้ายอาญาสิทธิ์ชิ้นนี้ที่ฮ่องเต้จิ่งผิงประทานให้นาง เป็นระดับสูงสุดในหน่วยกระบี่เงา สามารถสั่งการทุกคนในหน่วยกระบี่เงาได้ดังนั้นหน่วยกระบี่เงาซึ่งปลอมตัวเป็นเจ้าของร้านขายของเก่าผู้นี้ เมื่อเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ชิ้นนั้น จึงนอบน้อมต่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นอย่างยิ่งกระบี่เงาในหน่วยกระบี่เงามีจำนวนนับไม่ถ้วน หลายคนเจอหน้าก็ต่างไม่รู้จักกัน ดังนั้นในเวลาส่วนมากแล้ว จึงล้วนใช้ป้ายอาญาสิทธิ์ในการยืนยันตัวตนดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงเพีย
แม้แขกในโรงเตี๊ยมจะไม่น้อย แต่คนที่สามารถเช่าเรือนใหญ่ขนาดนี้ได้กลับมีไม่มากต่อให้จะเป็นแขกที่มีเงินเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเช่าห้องชั้นบนเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น มีน้อยมากที่จะเช่าทั้งเรือนยิ่งไปกว่านั้นคนใจใหญ่แบบอวิ๋นฝูหลิง ซึ่งเป็นแขกที่เช่าคราวเดียวทั้งเดือน ก็มีน้อยยิ่งกว่าเสี่ยวเอ้อเห็นลูกพี่อู๋กับอวิ๋นฝูหลิงคุยกันไม่กี่ประโยค ก็หันกลับมาต้องการจ่ายเงินตามสัญญา หัวใจจึงเพิ่งกลับมาสงบลงโดยพลันพูดจาเกินจริงต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หลังจากจ่ายเงิน ลงชื่อในสัญญา ธุรกิจก็เป็นอันเรียบร้อยสมบูรณ์เจรจาธุรกิจใหญ่ขนาดนี้สำเร็จ ผู้ดูแลร้านจะต้องให้ผลประโยชน์กับเขาเป็นแน่เสี่ยวเอ้อนำลูกพี่อู๋เดินไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ขั้นตอนการเข้าพักจัดการเรียบร้อยเมื่อเสี่ยวเอ้อเดินไป อวิ๋นฝูหลิงก็เริ่มลงมือทำธุระนางออกคำสั่งหัวหน้าองครักษ์หูคุนว่า “เหลือสองคนไว้คอยเฝ้าม้ากับสัมภาระที่โรงเตี๊ยม”หูคุนตอบรับ และเลือกองครักษ์มาสองคนทันทีอวิ๋นฝูหลิงเรียกชื่อจางซานมู่อีกครา และกล่าวว่า “เจ้าพาคนสักสองสามคน ไปสอบถามข้อมูลของหอจินอวี้เสียหน่อย ยิ่งละเอียดยิ่งดี มุ่งเน้นโดยเฉพาะช่วงระยะก่อนหลั
อวิ๋นฝูหลิงแค่อยากหาที่พักสักที่ และไม่ได้มาเพื่อชมทิวทัศน์ จึงกล่าวโดยตรง “เรือนหนึ่งห้องโถงไม่ดูแล้ว พาพวกเราไปดูเรือนสองห้องโถงหน่อย”เมื่อเสี่ยวเอ้อได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งดูจริงใจแล้ว“เรือนฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นสองห้องโถงมีคนพักแล้ว ตอนนี้เหลือแค่เรือนฤดูหนาวที่ยังว่างอยู่ เช่นนั้นข้าน้อยพาท่านไปดูเรือนหรือดูหนาวเดี๋ยวนี้ขอรับ”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้าเสี่ยวเอ้อเดินนำทางข้างหน้า ผ่านไปครู่เดียวก็ถึงแล้วอวิ๋นฝูหลิงเงยหน้ามอง ก็มองเห็นคำว่า ‘เหมันต์’ แกะสลักอยู่บนกำแพงหินที่ข้างประตู เสี่ยวเอ้อผลักประตูเข้าไป “เชิญด้านในขอรับ!”อวิ๋นฝูหลิงก้าวข้ามธรณีประตู เมื่อเดินเข้าไปก็ได้กลิ่นหอมของดอกเหมยเห็นเพียงตรงมุมหนึ่งของลาน ปลูกต้นเหมยขี้ผึ้งไว้หลายต้น เวลานี้กำลังเบ่งบานดูเหมือนคำว่า ‘เหมันต์’ ของเรือนฤดูหนาวแห่งนี้ ก็มาจากดอกเหมยนั่นเองคิดว่าเรือนที่เหลือสามหลัง ก็ปลูกดอกไม้ที่ต่างกันมาเป็นทิวทัศน์ ขณะเดียวกันก็เข้ากับชื่อเรือนอวิ๋นฝูหลิงเดินสำรวจดูหนึ่งรอบ เรือนหลังนี้ได้รับการทำความสะอาดอย่างดี อีกทั้งยังกว้างมากด้วย เพียงพอที่จะรองรับพวกเขาทั้งหมดยิ่งกว่านั้นพวกเขามา
คนในเมืองหลวงที่ไปมาหาสู่กับอวิ๋นฝูหลิงได้ยินว่านางไปถือศีลที่วัดหลิงเจวี๋ย และยังทำเพื่อสักการะบรรพบุรุษ ย่อมไม่มีใครไปรบกวนที่วัดหลิงเจวี๋ยมีเพียงคนสนิทไม่กี่คนที่รู้ว่า วัดหลิงเจวี๋ยเป็นเพียงการบังตาเท่านั้นในความเป็นจริงอวิ๋นฝูหลิงไปเจียงหนานแล้วหลังจากอวิ๋นฝูหลิงที่แต่งตัวเป็นบุรุษออกจากประตูเมืองทางใต้ และรวมตัวกับเหล่าองครักษ์ในเมืองที่ใกล้กับเมืองหลวงที่สุด ก็ทิ้งรถม้า แล้วเดินทางต่อด้วยม้า พวกเขาเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน ใช้เวลาแค่สามวันก็ไปถึงเมืองอวี่แล้ว ผ่านเมืองอวี่ นั่งเรือข้ามแม่น้ำ ก็ถึงจินโจวแล้วตามข้อมูลของหน่วยกระบี่เงา เซียวจิ่งอี้หายตัวไปในจินโจวตอนที่ทางเมืองหลวงได้รับข่าว เซียวจิ่งอี้หายตัวไปสามวันแล้วและตอนนี้ก็ผ่านไปอีกสามวันแล้วอวิ๋นฝูหลิงยืนบนถนนจินโจว ถนนสายนี้พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ร้านค้าเรียงรายอยู่สองข้างทาง ทำให้เกิดบรรยากาศที่รุ่งเรืองบนแม่น้ำชวีหลานที่ล้อมรอบเมืองจินโจวครึ่งหนึ่ง มีเรือที่หรูหราจอดอยู่หลายลำ และมีเสียงดนตรีกับเสียงหัวเราะลอยมาจากแม่น้ำเป็นระยะเสียงที่รื่นรมย์เช่นนี้ ทำให้ผู้คนเพลินจนลืมกลับบ้านจริงๆทว่าอวิ๋นฝ
เซียวจิงมั่วยื่นนิ้วก้อยออกไป“ได้ พวกเราเกี่ยวก้อยกัน” อวิ๋นฝูหลิงก็ยื่นนิ้วก้อยออกไปเช่นกันทั้งสองเกี่ยวนิ้วก้อยสัญญากันคืนนี้อวิ๋นฝูหลิงนอนกับเซียวจิงมั่วเช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นฝูหลิงนั่งรถม้าที่มีสัญลักษณ์ของจวนอี้อ๋อง พาเซียวจิงมั่วไปที่จวนองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อแล้วองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อได้รับจดหมายของอวิ๋นฝูหลิงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วดังนั้นวันนี้จึงมารอตั้งแต่เช้าแล้วอวิ๋นฝูหลิงจูงมือเซียวจิงมั่วเข้ามา หลังจากคำนับก็กล่าว “ท่านป้า ต้องรบกวนท่านดูแลจิงมั่วสักระยะแล้ว”องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อชอบเซียวจิงมั่วมาก ย่อมยินดีที่จะดูแลเขาสักระยะอยู่แล้วเซียวจิงมั่วเงยหน้า ยิ้มหวานให้องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อ “ท่านย่า จิงมั่วเป็นเด็กดี เลี้ยงง่ายมาก จิงมั่วยังสามารถเล่นเป็นเพื่อนท่านย่า และเล่าเรื่องตลกให้ท่านย่าฟังขอรับ”เมื่อองค์หญิงใหญ่ฉางเล่อได้ยินเช่นนี้ ก็ดึงเซียวจิงมั่วเข้ามาในอ้อมแขน หยิกแก้มเขาทีหนึ่งแล้วกล่าว “แก้วตาดวงใจของย่า เจ้าอยู่ที่นี่ก็คิดเสียว่าอยู่บ้านของตัวเอง ย่าชอบจิงมั่วของเรามาก!” องค์หญิงใหญ่ฉางเล่อบีบนวดเซียวจิงมั่วครู่หนึ่ง จึงจะเงยหน้ากล่าวกับอวิ๋นฝูหลิง“ฝากจิง
อวิ๋นฝูหลิงเห็นอู๋ปิ่งจื๋อพูดตรงเช่นนี้ จึงไม่อ้อมของกับเขาเช่นกัน “ดูจากบัญชีรายชื่อที่พบในเรือนเสินเซียน มีคนไม่น้อยในเมืองหลวงที่เคยไปซื้อขี้ผึ้งทองในเรือนเสินเซียน”“ตอนนี้แม้พวกเราควบคุมเรือนเสินเซียนไว้แล้ว แต่เมื่อไรที่พวกคนที่สูบขี้ผึ้งทองไม่สามารถซื้อขี้ผึ้งทองจากเรือนเสินเซียน เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย”“แต่ถ้าหากปล่อยขายขี้ผึ้งทอง ไม่เท่ากับช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ ทำให้ผู้เคราะห์ร้ายยิ่งเสพติดหรือ?”“แต่จะปล่อยให้เรือนเสินเซียนเปิดต่อไปเช่นนี้ มันก็ไม่ใช่ทางออก”“ต่อไปถ้าหากมีคนไปซื้อขี้ผึ้งทองที่เรือนเสินเซียนอีก ท่านสามารถโกหกว่ามีของขาย หลังจากล่อคนไปในที่ลับตาและจับตัวได้แล้ว ค่อยส่งให้นายท่านหลิงของสำนักช่วยชีพ เขารู้ว่าควรจะทำอย่างไร”“ถ้าหากสถานการณ์เกินจะควบคุมจริงๆ ท่านสามารถขายขี้ผึ้งทองออกไปบางส่วน ดึงดูดสายตาของคนในเมืองหลวง”“ต้องทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังคิดว่าทุกอย่างในเรือนเสินเซียนยังคงเป็นปกติ จะให้พวกเขาเพ่งเล็งทางเจียงหนานไม่ได้”“ท่านเปิดเรือนเสินเซียนอีกหนึ่งเดือน หลังจากนั้นหนึ่งเดือนปิดโดยตรง”ผู้คนมากมายติดขี้ผึ้งทอง เรื่องนี้ปิดอย่างไรก็ปิดไม่อ
“รายละเอียดต่างๆ ข้าได้เขียนไว้บนเทียบยาหมดแล้ว”“ถ้าหากมีอะไรไม่แน่ใจ สามารถไปขอให้ท่านปู่โอวหยางช่วย”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวจบ มอบเทียบยาหลายใบที่เขียนไว้ก่อนแล้วให้หลิงโหยวหลิงโหยวรับมือด้วยสองมือ “บ่าวเข้าใจแล้ว คุณหนูใหญ่ไปอย่างวางใจเถอะ บ่าวจะดูแลสำนักช่วยชีพให้ดีแน่นอน”หลังจากอวิ๋นฝูหลิงสั่งงานเสร็จแล้ว ก็ให้หลิงโหยวออกไปทางสวนสมุนไพรและโรงปรุงยาล้วนดำเนินการตามปกติ มีผู้ดูแลคอยดูแลอยู่ ประกอบกับสวี่ตงมาตรวจเป็นระยะ ดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงไม่ต้องห่วงอะไรมากกลับกันเป็นทางเรือนเสินเซียนที่ค่อนข้างลำบากเดิมทีเซียวจิ่งอี้เพื่อไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น ปิดข่าวของเรือนเสินเซียนมาโดยตลอด และสร้างภาพให้ภายนอกเห็นว่ายังคงดำเนินกิจการตามปกติรอเขารู้สถานการณ์ทางเจียงหนานชัดเจนแล้ว ก็ย่อมสามารถเก็บงานทางเมืองหลวงแล้วคิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่งอี้จะหายตัวในเจียงหนานกะทันหันและคนที่สูบขี้ผึ้งทองในเมืองหลวง เริ่มแสดงอาการพึ่งพาขี้ผึ้งทองจนกลายเป็นเสพติดแล้ว คนเหล่านี้หาซื้อขี้ผึ้งทองที่เรือนเสินเซียนไม่ได้ เมื่อนั้นวันเข้า ต้องเกิดความวุ่นวายแน่นอนอวิ๋นฝูหลิงไม่รู้ว่านางไปครั้งนี้ ต้องใช้เว
เมื่อเกากงกงตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ รู้ว่าเรื่องเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดก่อนหน้านี้ ในที่สุดก็สบายใจแล้วแต่เมื่อคิดดูอีกที นี่เป็นความลับที่เขาสามารถฟังได้หรือ?เหงื่อเย็นของเกากงกงผุดออกมาทันทีฮ่องเต้จิ่งผิงเหมือนจะเดาความคิดของเกากงกงได้ มองเขาอย่างจะยิ้มไม่ยิ้มแวบหนึ่งแล้วกล่าว “ดูทำเอาเจ้าตกใจซะหน้าซีด!”เกากงกงรีบยิ้มทันที “ความตั้งใจของฝ่าบาท บ่าวแค่ฟังยังซาบซึ้งเลย”ฮ่องเต้จิ่งผิงตอบ “อืม” คำเดียว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกภายในตำหนักมีเพียงฮ่องเต้เจียงผิงกับเกากงกงผ่านไปแล้วครู่หนึ่ง ฮ่องเต้จิ่งผิงจึงจะกล่าว “ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์อยู่ไหน?”เกากงกงรีบตอบทันที “ฝ่าบาท วันนี้ผู้บัญชาการซ่างพักผ่อน คนที่เข้าเวรวันนี้คือรองผู้บัญชาการเหยาพ่ะย่ะค่ะ”“ไปเรียกผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ซ่างผิงมา!”เกากงกงขานรับทีหนึ่ง ออกจากตำหนัก สั่งให้คนไปเรียกซ่างผิงมาพบทันทีทางอวิ๋นฝูหลิงหลังออกจากวังหลวง ก็สั่งให้เหยากวงถือป้ายคำสั่งหน่วยกระบี่เงา ไปเอาข้อมูลทั้งหมดที่หน่วยกระบี่เงาได้รับหลังจากเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนไปถึงเจียงหนานที่หน่วยกระบี่เงาส่วนอวิ๋นฝูหลิงกลับจวนอี้อ๋อง
แต่เรื่องการแต่งตั้งฮองเฮา เกี่ยวอะไรกับพระชายาอี้อ๋อง?ฮ่องเต้จิ่งผิงคงจะไม่ได้สนใจพระชายาอี้อ๋อง อยากแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮากระมัง?แต่พระชายาอี้อ๋องเป็นพระชายาของอี้อ๋อง!แต่เมื่อก่อนก็ใช่ว่าไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ราชวงศ์ที่แล้วก็มีฮ่องเต้องค์หนึ่ง สนใจลูกสะใภ้ของตัวเอง เขาได้มีพระบัญชาสั่งให้ลูกชายหย่ากับลูกสะใภ้ และประทานการแต่งงานใหม่ให้ลูกชาย หลังจากนั้นบังคับลูกสะใภ้เข้าวัง กลายเป็นพระสนมที่โปรดปรานที่สุดในวังหลังฮ่องเต้จิ่งผิงคงไม่ได้คิดเช่นนี้กระมัง?และบังเอิญเกิดเรื่องกับอี้อ๋องในเวลานี้เมื่อเกากงกงคิดเช่นนี้ เหตุใดรู้สึกว่าการหายตัวไปของอี้อ๋อง เหมือนมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกากงกงคิดมาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกว่าเหลวไหลฝ่าบาทรักอี้อ๋องลูกชายคนนี้ที่สุดมาโดยตลอด และอี้อ๋องกับพระชายาอี้อ๋องก็รักกันมากถ้าหากฝ่าบาทสนใจพระชายาอี้อ๋อง พ่อลูกจะไม่เกิดความขัดแย้งกันหรือ?อีกทั้งถ้าหากฝ่าบาทบังคับพระชายาอี้อ๋องเข้าวังจริงๆ ด้วยสถานะเช่นนี้ อยากแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา เกรงว่าไม่เพียงขุนนางของราชสำนัก แม้แต่ไทเฮากับเหล่าสนมในวังหลังก็จะคัดค้านหัวชนฝาลองนึกดูคนราชวงศ์ก่อน ต่อให้ไ