"เจียงหว่าน ถ้าเจียงอี๋เป็นอะไรขึ้นมา ผมจะคอยดูว่าคุณจะอธิบายยังไง!" กู้เยี่ยนชิงจ้องฉันด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและดุดัน ก่อนอุ้มเจียงอี๋แล้วรีบพาเธอออกไปทันทีฉันยืนนิ่งอยู่นาน ในหัวเต็มไปด้วยภาพใบหน้าของกู้เยี่ยนชิงที่โกรธเกรี้ยวและไร้เยื่อใยต่อฉันคำสาบานรักที่เคยมีให้กันกลายเป็นเรื่องน่าขันในวินาทีนี้ เขาเปลี่ยนใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้ตัวเลยฉันจมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความเจ็บปวด จนกระทั่งเสี่ยวอิงเถาเข้ามาในห้องและถามด้วยความเป็นห่วง ฉันถึงได้สติกลับมาไม่คุ้มค่าที่จะเสียใจกับผู้ชายเลว ๆ แบบนี้ ฉันสูดหายใจลึก ๆ แล้วตั้งใจทำงานต่อจนเกือบเที่ยงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นสายจากถังซิ่วเอ๋อ ฉันก็กดตัดสายทันทีไม่นานนักโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้เป็นพ่อของฉันโทรมาฉันเริ่มสงสัย หรือว่าเจียงอี๋ทนไม่ไหวจนตายไปแล้ว?ลังเลอยู่ไม่กี่วินาที ฉันก็ตัดสินใจรับสายแต่ไม่ทันที่โทรศัพท์จะแนบหู เสียงตะโกนก้องของพ่อก็ดังสนั่นราวกับเสียงคำรามของสิงโต ทำเอาหูฉันสั่นสะเทือน"เจียงหว่าน! แกมันบ้าไปแล้วหรือไง! เจียงอี๋อ่อนแออยู่แล้ว ยังจะทำร้ายเธอ ผลักเธอลงพื้นอีก!
ฉันใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดดวงตาที่แสบร้อน แล้วหายใจเข้าลึก ๆ โดยไม่มีแก่ใจจะมองว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เป็นใครแต่แล้วพ่อของฉันก็ปรากฏตัวขึ้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและอ่อนน้อมยิ่ง "คุณชายรองซู ต้องขออภัยที่ให้เห็นเรื่องน่าอับอาย ตรงนั้นเป็นที่นั่งของแขกพิเศษ ขอเชิญท่านย้ายไปนั่งที่นั่นเถอะครับ""ไม่จำเป็น ผมจะนั่งตรงนี้" ชายที่ถูกเรียกว่าคุณชายรองซูกล่าวตอบ น้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบสงบนิ่งทว่าแฝงไปด้วยอำนาจที่สูงส่งพ่อฉันทำท่าจะพูดอะไรอีก แต่บนเวทีพิธีกรได้เชิญผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายขึ้นไป ถังซิ่วเอ๋อจึงรีบเข้ามาดึงตัวเขาออกไปฉันเงยหน้าขึ้นพยายามสงบจิตใจ ยังไม่ทันได้คืนผ้าเช็ดหน้า ก็ได้ยินเสียงจากลำโพงดังขึ้น "ขอเชิญผู้ประกาศคำปฏิญาณในพิธีวันนี้ คุณเจียงหว่าน ขึ้นเวทีค่ะ"ไฟสปอร์ตไลต์ฉายมาที่ฉันอย่างกะทันหัน จนฉันตั้งตัวไม่ทันบรรยากาศที่เคยจอแจเงียบลงในทันที ฉันรู้ว่าทุกคนต่างตกตะลึง บางคนรู้สึกสงสารเห็นใจฉัน ขณะที่บางคนรอดูเรื่องตลกฉันรีบยืดหลังตรง สวมเกราะแห่งความเข้มแข็งเพื่อปกปิดความอ่อนแอทุกอย่างและลุกเดินขึ้นไปบนเวทีเสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นอีกครั้งและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ
เจียงอี๋น้ำตาคลอเต็มดวงตา เธอพูดปนสะอื้นจนแทบไม่เป็นคำฉันฟังไปได้ครึ่งทางก็เข้าใจทันที นี่เธอกำลังเล่นบทน่าสงสารต่อหน้าฝูงชน บีบบังคับให้ทุกคนต้องเห็นใจเธอด้วยตรรกะทางศีลธรรม!"ขอบคุณพี่ที่ยอมให้ฉันได้สมหวังกับพี่เยี่ยนชิง ขอบคุณที่ทำให้ฉันสามารถจากโลกนี้ไปโดยไม่มีความเสียใจ หวังว่าทุกคนจะไม่หัวเราะเยาะพี่สาวของฉัน เพราะเธอคือพี่สาวที่ดีที่สุดในโลก"หลังจากที่เจียงอี๋พูดจบด้วยน้ำตา ทั้งงานก็เงียบกริบ ทุกคนตั้งใจมองไปที่เวที ไม่มีใครพูดจาเสียดสีอีกฉันมองลงไปที่กลุ่มแขก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ฉันเห็นใบหน้าหนึ่งที่หล่อเหลาสุดขั้ว ดวงตาเป็นประกายคมกริบ ริมฝีปากบางของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเขายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ดูเหมือนจะไม่ได้สะเทือนใจกับละครเรียกคะแนนสงสารของเจียงอี๋แม้แต่น้อยเจียงอี๋หันมามองฉันด้วยดวงตาแดงช้ำ น้ำตาคลอเต็มหน่วย ก่อนจะพูดเสียงสะอื้น "พี่คะ… ขอบคุณนะคะ ฉันอยากฟังความในใจของพี่ พี่… เกลียดฉันหรือเปล่า?"ฉันสะดุ้งเฮือก ไม่อยากเชื่อเลยว่าเจียงอี๋จะเล่นใหญ่ขนาดนี้!เธอบีบให้ทุกคนต้องเห็นใจเธอ แล้วยังจะกดดันให้ฉันต้องแสดงออกต่อหน้าฝูงชน เพื่อร่วมเล่นละครครอบครัวรั
สถานการณ์วุ่นวายถึงขีดสุด แขกที่อยู่ด้านล่างต่างยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปกันอย่างบ้าคลั่งฉันตัวคนเดียว ไม่มีแรงต้านทานจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ดีที่พ่อแม่ของกู้เยี่ยนชิงยังรู้จักรักษาหน้า รีบเข้ามาห้าม"คุณเจียง! คุณเจียง! นี่เป็นงานแต่งของลูก ๆ นะ แขกตั้งมากมายกำลังดูอยู่! รีบหยุดเถอะ!""อย่ามาห้ามฉัน! ฉันจะตีนังลูกเนรคุณนี่ให้ตาย! นังตัวซวย! เกิดมาเพื่อเป็นตัวหายนะของฉัน!"เจียงไห่หยางถูกฉันยั่วจนโกรธจัด ใบหน้าเหยเกจนดูน่ากลัว เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้แต่พ่อแม่ของ กู้เยี่ยนชิงก็ยังห้ามไม่อยู่ทันใดนั้นถังซิ่วเอ๋อก็ตะโกนเสียงดัง "หยุดตีได้แล้ว! เสี่ยวอี๋เป็นลมแล้ว! ใครก็ได้! เรียกคนมาช่วยเร็ว!"เจียงไห่หยางชะงัก หันกลับไปมองก่อนจะผลักฉันออกอย่างแรงแล้วพุ่งเข้าไปหา "เกิดอะไรขึ้น? รถพยาบาลล่ะ? รีบโทรเรียกรถพยาบาลสิ!"ฝูงชนที่รายล้อมฉันอยู่เมื่อครู่สลายตัวไปในพริบตา ทุกคนต่างกรูกันเข้าไปหาตัวเจ้าสาวที่หมดสติกู้เยี่ยนชิงหน้าตื่น พุ่งไปช้อนตัวเจียงอี๋ขึ้น "เสี่ยวอี๋ อดทนไว้นะ! เธอต้องอดทนไว้! พี่จะพาเธอไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!"ฉันอยู่ในสภาพย่ำแย่ ใบหน้าปวดร้าวไปหมดแต่เมื่อเห็นพวกเข
ทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวในงานแต่งของฉันกับกู้เยี่ยนชิงได้?ฉันคิดไม่ตกสงสัยว่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า?คนอย่างเขาไม่ค่อยปรากฏตัวง่าย ๆ แต่พอมาปรากฏตัวก็ได้ชมละครฉากใหญ่ขนาดนี้ ถือว่าไม่เสียเที่ยวแล้วโทรศัพท์ดังขึ้นกะทันหัน ดึงฉันออกจากความคิดที่ยุ่งเหยิงหลี่อวิ๋นเวยตะโกนลั่นผ่านสายด้วยความโมโห "กู้เยี่ยนชิงกับเจียงอี๋มันน่าขยะแขยงสุด ๆ! ฉันโมโหจนเกือบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง! แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้เลยนี่นา สวนกลับได้โคตรดี โคตรเฉียบ จนไอ้พวกเวรนั่นดิ้นพล่าน!"ฉันถอนหายใจ เอนพิงพนักเบาะพลางเอามือกุมขมับ "อย่าบอกนะว่ามันกระจายไปทั่วเน็ตแล้ว?""เธอคิดว่าไงล่ะ? เรื่องแบบนี้หายากจะตาย แม้แต่ละครน้ำเน่ายังเขียนบทไม่ได้ขนาดนี้เลย! ตอนนี้ชาวเน็ตแบ่งเป็นสองฝั่ง ด่ากันไฟแลบ!""..." ฉันหลับตาลง รู้สึกปวดหัวยิ่งกว่าเดิมฉันอยากแก้แค้นพวกเขาจริง ๆ แต่ฉันไม่ได้อยากลากตัวเองลงไปในวังวนโคลนตมนี้ด้วยถ้าปล่อยให้เรื่องนี้บานปลาย ฉันเองก็อาจโดนผลกระทบไปด้วย"เสี่ยวหว่าน เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ฉันเห็นเธอโดนตบ" หลังจากโมโหเสร็จ หลี่อวิ๋นเวยก็ถามไถ่ฉันด้วยความเป็นห่วงฉันตอบเรียบ ๆ "ไม่เป็นไร แค่โดนตบไปไม่กี่ทีเ
จะตายแล้วเหรอ?ฤทธิ์ยานอนหลับทำให้ฉันเบลอไปหมด ฉันเปิดประตูมองกู้เยี่ยนชิงแล้วถามอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นว่า “เจียงอี๋จะตายแล้วเหรอ?”คำพูดนี้ทำให้เขาโกรธมาก“เจียงหว่าน! คุณอย่าร้ายกาจให้มันมากนัก!” กู้เยี่ยนชิงสีหน้าบึ้งตึงซึ่งเป็นท่าทางที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนฉันขมวดคิ้วแน่น ไม่อยากจะทะเลาะกับเขาเลยผลักเขาออกไปแล้วเตรียมจะปิดประตูแต่กู้เยี่ยนชิงไวกว่าฉัน เขาใช้เท้าถีบประตูเข้ามาอย่างแรงและจับแขนฉันไว้“กู้เยี่ยนชิง นี่คุณทำอะไร! บุกรุกเข้ามาในบ้านคนอื่นแบบนี้ ฉันจะแจ้งตำรวจ!” ฉันโกรธมากพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง และตบหน้าเขาไปอีกหนึ่งฉาดด้วยความโมโหสุดขีดกู้เยี่ยนชิงไม่สนใจ เขาดึงฉันออกจากบ้านแล้วยัดฉันเข้าไปในรถของเขา“กู้เยี่ยนชิง คุณเป็นบ้าอะไร! ปล่อยฉันลงจากรถนะ!”“เจียงอี๋ป่วยหนักใกล้ตายแล้ว คุณต้องไปโรงพยาบาลกับผม!” กู้เยี่ยนชิงเหยียบคันเร่ง รถพุ่งทะยานไปในความมืดมิดยามราตรีฉันไม่เข้าใจ “เธอใกล้ตายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย? ฉันไม่ใช่หมอสักหน่อย”กู้เยี่ยนชิงไม่พูดอะไร ใบหน้าด้านข้างเคร่งขรึม สีหน้าตึงเครียด เขาเอาแต่เร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆฉันรู้สึกก
ฉันมองไปที่กู้เยี่ยนชิง รู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไปแล้วจึงพูดเย้ยหยันว่า “คุณเพิ่งจะรู้ตอนนี้เหรอ? ทั้งเจียงอี๋และเจียงฮ่าวเป็นน้องพ่อเดียวกันกับฉัน”กู้เยี่ยนชิงตกใจยิ่งกว่าเดิม “พ่อเดียวกัน? แต่พวกเขาอายุน้อยกว่าคุณแค่สองปี…”“ใช่แล้ว พ่อใจร้ายของฉันนอกใจแม่ตอนฉันอายุได้แค่หนึ่งขวบหรืออาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ เขาพยายามทำทุกวิถีทางบีบให้แม่หย่า เพื่อที่จะได้พานางจิ้งจอกนั่นกับลูกเข้ามาอยู่ในบ้าน”สายตาตกตะลึงของกู้เยี่ยนชิงมองสลับไปมาระหว่างเจียงไห่หยางกับถังซิ่วเอ๋อ“เรื่องนี้...คุณไม่เคยบอกผมเลย” เขาพึมพำเสียงเบา สีหน้าสับสนและยากจะอ่านออก ราวกับว่าเขาตระหนักได้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไป“เรื่องน่าอายในครอบครัวไม่ควรป่าวประกาศ แล้วฉันจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม? คุณเองก็อวดฉลาดมาตลอดไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่เคยรู้เลยล่ะ?”กรุ๊ปเลือดหายากขนาดนี้ ฉันกับเจียงอี๋ดันมีเลือดกรุ๊ปเดียวกัน เป็นใครก็ต้องสงสัยใช่ไหมล่ะ?เมื่อเห็นกู้เยี่ยนชิงเงียบไม่พูดอะไร ฉันจึงถามต่อว่า “ตอนนี้คุณคงเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงได้รังเกียจเจียงอี๋ขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ยอมช่วยชีวิตเธอ”ฉันคิดว่ากู้เยี
พยาบาลขมวดคิ้วถามฉันว่า “คุณกินยานอนหลับไปเหรอคะ?”“ค่ะ ก่อนนอนกินไปสองเม็ด จนถึงตอนนี้…” ฉันเหลือบมองนาฬิกาตรงประตูห้องฉุกเฉิน “น่าจะราว ๆ สี่ชั่วโมงแล้วค่ะ”พยาบาลส่ายหน้าทันที “ไม่ได้นะคะ แบบนี้ตรวจเลือดไม่ผ่านค่ะ”ฉันแบมือทั้งสองข้างอย่างช่วยไม่ได้พลางมองสายตาตื่นตระหนกของพวกเขาแล้วพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “ขอโทษด้วยนะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วย แต่ฉันช่วยอะไรไม่ได้จริง ๆ”เจียงไห่หยางโกรธจัด ตะคอกใส่ฉันว่า “เจียงหว่าน เธอหลอกพวกเรา! รู้ทั้งรู้ว่าบริจาคเลือดไม่ได้ ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?”“มาโทษฉันแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ จู่ ๆ กู้เยี่ยนชิงลากฉันออกมาจากบ้านเอง ฉันไม่รู้อะไรด้วยเลย” ฉันกะพริบตาปริบ ๆ อย่างใสซื่อ มองสบตาพวกเขาไปทีละคน“เจียงหว่าน คุณ…” กู้เยี่ยนชิงจ้องฉันเขม็ง เขากัดฟันกรอดอย่างขุ่นเคืองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางจนตรอกของพวกเขา อารมณ์ฉันก็ดีขึ้นมาทันทีทันใดนั้นประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก พยาบาลวิ่งหน้าตาตื่นออกมาถามว่า “เลือดสำรองไม่พอแล้ว หาคนบริจาคเลือดได้หรือยัง เร็วเข้า!”ถังซิ่วเอ๋อได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนเข่าอ่อน รีบคว้าตัวเจียงไห่หยางแล้วผลักไป “รีบไปบริจาคเลือ
หากไม่ใช่เพิ่งได้ประจักษ์ถึงความน่าเกรงขามอันทรงอานุภาพของเขาเมื่อครู่ ก็แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าบุรุษผู้นี้คือคนเดียวกับเทพแห่งการพิพากษาอันเฉียบขาดเมื่อสักครู่“คุณซูพูดเกินไปแล้วค่ะ เป็นฉันต่างหากที่รบกวนเวลาทำงานของคุณ” ฉันใช้คำยกย่องอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวเพราะตระหนักได้อย่างชัดเจนอีกครั้งถึงความแตกต่างอันใหญ่หลวงระหว่างเราเลขาจี้เดินตามฉันเข้ามาในห้อง ก้มลงเก็บเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นอย่างคล่องแคล่ว เขารวบรวมและจัดเรียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินออกจากห้องไปฉันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ราวกับไม่รับรู้เรื่องราวใด ๆ“คุณเจียงออกแบบเสื้อผ้าของผมเสร็จแล้วหรือครับ?” ซูเซิ่งหลินเอ่ยถามขึ้นก่อน ทำลายภวังค์ความคิดของฉันให้กลับคืนมาฉันชะงักงัน คำพูดติดค้างอยู่ที่ลำคอไม่อาจเปล่งออกมาได้ซูเซิ่งหลินสังเกตเห็นความผิดปกติของฉัน แต่ยังคงเอ่ยถามอย่างใจเย็น “มีอะไรหรือครับ หรือว่าคุณแม่ของผมทำให้คุณกดดัน?”“ไม่ ไม่ใช่ค่ะ!” ฉันรีบปฏิเสธ ลนลานจนลิ้นแทบพันกันฉันไม่ได้เอาแบบร่างมาด้วยเลยสักนิด และไม่ได้ตั้งใจจะมาคุยเรื่องตัดเสื้อกับเขาด้วยตอนนี้นอกจากพูดความจริงแล้ว ก็ไม่เหลือทางอื่นใด“คุณซ
บนตึกนั้นมีตัวอักษรสีแดงแปดตัวที่เขียนไว้อย่างสง่าและเป็นระเบียบว่า กองทัพแข็งแกร่งเพื่อปกป้องชาติ องค์กรแข็งแกร่งเพื่อสร้างความมั่งคั่งแก่ประชาชน ทำให้ความรู้สึกเคารพยำเกรงที่เอ่อล้นอยู่ในใจของฉันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นครั้นเมื่อมาถึง ก็มีคนรออยู่แล้วที่ชั้นล่างของอาคารฉันเคยเห็นคนผู้นั้นเขาคือคนที่เข้ามาเตือนซูเซิ่งหลินให้รีบออกเดินทางตอนที่เราคุยกันอยู่ที่หน้าประตูสวนซูเมื่อคราวก่อนฉันจอดรถเรียบร้อยแล้วจึงหยิบกระเป๋าเอกสารลงมา“สวัสดีครับคุณเจียง ผมชื่อจี้หมิง เป็นเลขาของประธานซูครับ” เขาแนะนำตัวอย่างสุภาพนอบน้อมฉันตอบกลับด้วยความสุภาพเช่นกัน “สวัสดีค่ะเลขาจี้ รบกวนคุณแล้ว”เขาพาฉันเข้าไปในอาคาร สแกนใบหน้าผ่านประตูกั้นแล้วจึงเดินไปยังโถงลิฟต์เมื่อเข้ามาในลิฟต์ จี้หมิงก็เอ่ยกับฉันว่า “คุณเจียงครับ คุณซูท่านกำลังติดธุระอยู่ คุณอาจจะต้องรอสักครู่นะครับ”ฉันยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนคุณซูโดยไม่ได้นัดหมายก่อน”เมื่อขึ้นมาถึงชั้นบนสุดและออกจากลิฟต์ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือพื้นที่สำนักงานที่กว้างขวางและสะอาดตาเป็นระเบียบพนักงานทุกคนต่างทักทายจี้หมิงด้วยคว
“ใครขอให้คุณมาช่วยกัน?” ฉันหัวเราะเยาะเย้ยพลางเหน็บแนม “อย่าสำคัญตัวผิดไปหน่อยเลย ถึงคุณจะยัดเยียดให้ ฉันก็ไม่เอาสักแดงเดียว เอาเงินคุณไปไถ่กำไลหยกของแม่ฉัน ฉันกลัวจะทำให้ทางไปเกิดใหม่ของแม่ฉันต้องมัวหมอง”“เจียงหว่าน ทำไมเดี๋ยวนี้คุณพูดจาได้ร้ายกาจขนาดนี้?” กู้เยี่ยนชิงทั้งเจ็บปวดและโกรธแค้น“หึ ฉันพูดจาร้ายกาจ ก็ยังสู้ความร้ายกาจในการกระทำของคุณไม่ได้หรอก”ฉันตัดบทด้วยความโมโห ไม่อยากฟังเขาพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว จึงตัดสายทิ้งอย่างไม่ลังเลฉันรู้สึกโมโหจนแทบคลั่ง!แต่พอตั้งสติได้ ความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีก็ยิ่งทวีคูณกู้เยี่ยนชิงรู้เรื่องนี้แล้ว มีหวังเจียงอี๋ก็คงจะรู้ด้วยดูจากนิสัยที่ชอบแย่งของรักของฉันไปทุกอย่างแล้ว ยัยนั่นจะต้องมาแย่งกำไลหยกวงนี้กับฉันแน่ ๆไม่ได้!ฉันจะปล่อยให้เจียงอี๋แย่งกำไลวงนี้ไปไม่ได้เด็ดขาดฉันต้องเตรียมเงินให้มากพอแต่เหลือเวลาอีกแค่สองวัน ฉันจะไปหาหยิบยืมเงินจากที่ไหนได้อีก?ใจฉันร้อนรุ่มราวกับไฟสุมทรวง ชั่วขณะนั้นสติกระเจิดกระเจิงไปหมดสิ้น แต่แล้วก็รีบข่มใจให้กลับมาสงบนิ่งแม่พร่ำสอนมาตั้งแต่เด็กว่า หากเผชิญหน้ากับปัญหา อย่าตื่นตระหนก อย่าลน
หึ ข่มขืนสมควรแล้ว กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนองฉันเผลอหัวเราะออกมา ทำให้กู้เยี่ยนชิงโกรธจัด “เจียงหว่าน คุณเปลี่ยนไปเป็นคนใจดำอำมหิตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”“ฉันเรียนรู้มาจากคุณไงล่ะ”“...” เขาโกรธจนพูดไม่ออกฉันกล่าวเตือนว่า “เอาเถอะ อย่างไรซะเขาก็ทำผิดกฎหมาย ฉันก็แค่ผดุงความยุติธรรม พวกคุณจะสมรู้ร่วมคิดกันก็เชิญ แต่อย่าได้คิดลองดีกับกฎหมาย ไม่อย่างนั้นคุณเองก็จะหมดอนาคตไปด้วย”กู้เยี่ยนชิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง คงเริ่มรู้สึกตัวและละอายใจอยู่บ้าง จึงเปลี่ยนประเด็น “ได้ยินมาว่าคุณกำลังต้องการเงินมาก คุณจะเอาไปทำอะไร?”“ไม่เกี่ยวกับคุณ”“คุณต้องการเงินเท่าไร ผมจะให้คุณเอง”ฉันถามกลับทันที “ห้าร้อยล้าน คุณให้ได้ไหม?”“ห้าร้อยล้านเหรอ?” กู้เยี่ยนชิงอุทานด้วยความประหลาดใจ “นี่คุณจะเอาไปทำอะไร? บริษัทมีปัญหาทางการเงินหรือ?”“เปล่า”จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกเบื่อหน่ายไปเสียหมด ต่อให้เขายอมให้หยิบยืมหรือให้เปล่า ฉันก็ไม่คิดจะรับเงินของเขาหากเอาเงินของเขาไปไถ่กำไลหยกของแม่คืนมา เกรงว่าแม่คงโกรธฉันจนตัดขาด แม้จะถูกฝังอยู่ในหลุมก็เถอะ“ช่างเถอะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ฉันยังยุ่งอยู่ ข
ผู้หญิงคนนั้นเสื้อผ้าหลุดลุ่ย รูปร่างอวบอัดเซ็กซี่ของเธอเปิดเผยออกมาอย่างหมดเปลือกเนื่องจากห้องอยู่ติดกับลิฟต์และเป็นช่วงเวลาที่มีแขกขึ้นลงลิฟต์จำนวนมาก ทำให้คนได้ยินเสียงและพากันมามุงดูอย่างรวดเร็ว ทางเดินเต็มไปด้วยไทยมุง แต่ละคนถือโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปและอัดวิดีโอไว้“หยุดนะ! ตำรวจมาแล้ว! หยุดเดี๋ยวนี้!”ทันใดนั้นประตูลิฟต์ที่อยู่ข้าง ๆ ก็เปิดออก ตำรวจตะโกนเสียงดัง ทำให้ฝูงชนที่มุงดูอยู่เปิดทางให้แต่การมาถึงของตำรวจก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ถังซิ่วเอ๋อกลายร่างเป็นนักรบผู้กล้าหาญ เธอต่อยตีเจียงไห่หยางจนเขาไม่มีทางสู้จนเกือบจะเปลือยกายอยู่รอมร่อสุดท้ายตำรวจต้องเข้ามาควบคุมตัวเธออย่างอุกอาจ ความวุ่นวายจึงยุติลงเนื่องจากเป็นการทะเลาะวิวาทในที่สาธารณะและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี ตำรวจจึงจำเป็นต้องนำตัวพวกเขาทั้งหมดไปสอบสวนถังซิ่วเอ๋อโกรธจัดและโวยวายใส่ตำรวจว่า “จับฉันทำไม? ถ้าจะจับก็ต้องจับชายชู้กับหญิงแพศยาคู่นั้นสิ ฉันตบนังจิ้งจอกนี่แล้วผิดตรงไหนกัน!”“อยู่ในความสงบ! ทุกคนต้องให้ความร่วมมือในการสอบสวน!” ตำรวจตวาดเสียงเข้ม ควบคุมตัวถังซิ่วเอ๋อไว้อีกครั้งเจียงไห
ฉันหันกลับไปมองแผ่นหลังของหญิงคนนั้นอย่างเงียบ ๆ เห็นเธอเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องทำงานของเจียงไห่หยางอย่างไม่ลังเลสัญชาตญาณบอกฉันว่าผู้หญิงคนนี้กับเจียงไห่หยางต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนเมื่อขึ้นมาบนรถ ฉันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโทรศัพท์หาหลี่อวิ๋นเวย“เวยเวย รบกวนเธอช่วยอะไรหน่อยได้ไหม ช่วยหาคนสะกดรอยตาม...”ถ้าฉันไม่ติดงานเร่งทำตามกำหนดส่งของตระกูลซูจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ ฉันคงตามสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเองไปแล้วตอนแรกฉันคิดว่าคงต้องใช้เวลาสักสองสามวัน กว่าจะจับพิรุธของเจียงไห่หยางได้ใครจะรู้ว่าเย็นวันนั้น ขณะที่ฉันยังคงทำงานล่วงเวลาอยู่ที่สตูดิโอ หลี่อวิ๋นเวยก็ส่งข่าวมา“หว่านหว่าน พ่อตัวแสบของเธอ ควงผู้หญิงหน้าสวยไปที่โรงแรมฮิลตัน ห้อง 8868 จะไปจับให้ได้คาหนังคาเขาเลยไหม?”ฉันวางเข็มกับด้ายลงข้าง ๆ แล้วตอบกลับไปอย่างใจเย็นว่า “ฉันไปจับเองจะมีความหมายอะไร ให้คนอื่นไปจับสิถึงจะดี”ฉันโทรศัพท์หาถังซิ่วเอ๋อ“เจียงหว่าน? โทรมาหาฉันอีกทำไม?” ถังซิ่วเอ๋อพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดทุกครั้งแต่ฉันก็ยังพูดด้วยความสุภาพ “แม่เลี้ยงคะ พ่ออยู่บ้านไหม?”“ไม่อยู่! ฉันได
วันรุ่งขึ้นฉันตรงดิ่งไปยังบริษัทของเจียงไห่หยางเพื่อพบเขาเมื่อเห็นฉัน สีหน้าของเจียงไห่หยางก็เย็นชา เขาปรายตามองเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากเสียดสี “แกมาทำไมอีก? ยังคิดว่าทำให้บ้านนี้วุ่นวายไม่พออีกหรือ?”ฉันเดินไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขา แล้วเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา “ฉันกำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน ถ้าคุณไม่คืนหุ้นของแม่ให้ฉัน ก็เอาเงินมาให้ฉันซะ”เจียงไห่หยางชะงักไปเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองฉันด้วยสีหน้าดำทะมึนยิ่งกว่าเดิม “เจียงหว่าน สมองเพี้ยนไปแล้วหรือไง? หุ้นของแม่แก ฉันก็ให้ไปครึ่งหนึ่งแล้วยังไม่พออีกเหรอ?”“ในเมื่อมันเป็นของแม่ฉัน มันก็ควรจะเป็นของฉันทั้งหมด ถ้าคุณไม่แย่งธุรกิจของตาและยายฉันไป คุณจะมีวันนี้ที่รุ่งโรจน์เฟื่องฟูได้หรือ?”“...” เจียงไห่หยางจ้องฉันเขม็งบรรยากาศตึงเครียดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นเดินตรงมาหาฉันแล้วกระชากฉันให้ลุกขึ้น “แกออกไปซะ อย่าให้ฉันต้องเรียก รปภ.”“ถ้าคุณให้เงินฉัน ฉันก็จะไปเอง ไม่มากหรอกแค่ห้าสิบล้านก็พอ”“ห้าสิบล้านเหรอ?” เจียงไห่หยางอุทานเสียงหลง “ฝันไปเถอะ! ต่อให้ฉันต้องเอาเงินไปโยนทิ้งน้ำ ก็ไม่มีวันให้แก!”“เจียงไห่หยาง คุณคิดให้
เมื่อสิ้นคำพูดนั้น ฉันรู้สึกกังวลว่าเขาจะตำหนิที่ฝีมือฉันยังไม่ดีพอจึงรีบเอ่ยเสริมขึ้นว่า “ฉันจะเร่งมือให้เต็มที่ ไม่ให้งานวันเกิดของคุณหญิงเสียหายแน่นอนค่ะ”“อืม ไม่ต้องรีบร้อนหรอกครับ หากเวลาไม่พอจะตัดเพียงสองชุดก่อนก็ได้ สุขภาพสำคัญกว่า อย่าฝืนทำจนป่วยไปเสียล่ะครับ”คำกำชับของเขาทำให้ฉันนึกถึงเรื่องน่าอายที่เผลอหลับบนรถม้าเมื่อเช้า ความรู้สึกละอายใจก็ท่วมท้นขึ้นมาทันทีซูเซิ่งหลินสังเกตเห็นความกระอักกระอ่วนของฉัน จึงก้าวเข้ามาใกล้อีกสองก้าว “ในเมื่อคุณเจียงมีนัดตอนกลางวัน อย่างนั้นผมก็จะไม่รั้งไว้ วันหลังค่อยคุยกันใหม่นะครับ”ฉันได้สติกลับคืนมาแล้วพยักหน้ารับคำอย่างรวดเร็ว “ได้ค่ะ ไว้พบกันค่ะคุณชายซู”“ไว้พบกัน”ฉันก้าวขึ้นรถอย่างไม่คาดคิดว่าเขาจะเดินตามมาปิดประตูให้ด้วยตนเอง แถมยังโบกมือลาผ่านกระจกหน้าต่างฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฉันมองคนรวยผ่านแว่นกรองที่สวยงามเกินไปหรือไม่แต่ฉันกลับรู้สึกว่า ทุกท่วงท่า ไม่ว่าจะแย้มยิ้มหรือขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะยามเคลื่อนไหวหรือหยุดนิ่ง แม้เพียงเส้นผมปลิวไสวตามสายลม เมื่ออยู่บนร่างของเขา ช่างดูพิเศษและแตกต่างจากผู้อื่นเหลือเกินการอบรมบ่มเพาะท
ฉันตกใจมาก รีบเปิดประตูลงจากรถ “ขอโทษค่ะพ่อบ้านโจว ในรถสบายมากจนฉันเผลอหลับไป คุณน่าจะปลุกฉันนะคะ”“คุณเจียงไม่ต้องกังวลครับ คุณชายรองสั่งไม่ให้ปลุกบอกว่าคุณคงเหนื่อยจากงานมาก” พ่อบ้านโจวตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนผายมือเชื้อเชิญให้ฉันเข้าไปฉันหิ้วถุงเสื้อผ้าตามไป ในใจยังครุ่นคิดถึงคำพูดของพ่อบ้านโจว“ฉันเผลอหลับในรถ คุณชายรองซูก็รู้งั้นหรือคะ?”ให้ตายสิ! อับอายขายหน้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว“ครับ ตอนรถของพวกคุณมาถึง คุณชายรองกำลังจะออกไปข้างนอกพอดีแล้วบังเอิญเจอกัน คนขับรถบอกว่าคุณหลับอยู่ในรถ คุณชายรองมองแล้วก็สั่งไม่ให้ปลุกคุณครับ”อะไรนะ?ซูเซิ่งหลินมองฉันด้วยเหรอ?ฉันสับสนไปหมด รีบยกมือขึ้นแตะมุมปากอย่างไม่รู้ตัว ฉันไม่ได้น้ำลายไหลใช่ไหม!อยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด…เมื่อได้พบหน้าคุณหญิงซู ฉันรีบชี้แจงถึงเหตุที่มาล่าช้า แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรคุณหญิงซูก็เอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน“ไม่เป็นไร พวกหนุ่มสาวสมัยนี้สร้างเนื้อสร้างตัวก็ลำบากแบบนี้ทั้งนั้น ต้องลำบากกันทุกคน จะว่าไปก็เป็นความผิดของฉันเอง ที่ไม่ได้รู้จักเธอเร็วกว่านี้ ทำให้เธอต้องเหนื่อยเพราะเวลากระชั้นชิดแบบนี้”คุณหญิงซูเอ่ยอย