หลังจากส่งฮุ่ยอี๋กลับวังไปแล้ว ไป๋อวี้ถังก็ตรงดิ่งกลับจวนไป๋ทันทีทันทีที่เข้าจวน พ่อบ้านตระกูลไป๋ก็รีบมารายงานไป๋อวี้ถัง ว่าก่อนหน้านี้เยี่ยเป่ยเฉิงได้มาเยือน เห็นเขายังไม่กลับมา จึงไปรอในห้องหนังสือเมื่อได้ยินดังนี้ ไป๋อวี้ถังก็พลันใบหน้าเปลี่ยนสี รีบเดินไปยังห้องหนังสือทันทีพ่อบ้านรีบร้อนเดินตามมาด้วยไป๋อวี้ถังกวาดสายตามองดูรอบห้อง สุดท้ายไปหยุดที่แจกันบนโต๊ะทำงาน เพียงพริบตาเขาก็ดูออกว่า มีคนมาแตะต้องแจกันนี้เข้า และไม่ต้องคิด เขาก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเขาหันมาจ้องหน้าพ่อบ้าน พลางตวาดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ข้าเคยสั่งเอาไว้ อย่าให้ผู้ใดมาเข้าใกล้ห้องนี้ เหตุใดท่านยังปล่อยคนเข้ามาอีก”พ่อบ้านปาดเหงื่อเย็นเต็มหน้าผาก พลางกล่าว “ใต้เท้าโปรดอภัย เป็นความผิดของบ่าวเอง บ่าวห้ามเขาไม่อยู่จริงๆ ขอรับ”พ่อบ้านผู้นี้ทำงานอยู่จวนไป๋มาสิบกว่าปี ไม่เคยเห็นไป๋อวี้ถังโมโหโกรธาเช่นนี้มาก่อน จึงอดรู้สึกหวาดกลัวมิได้แต่เขามองดูแล้ว ห้องหนังสือก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดไป๋อวี้ถังต้องโมโหถึงเพียงนี้“ไป ไสหัวออกไป!” ไป๋อวี้ถังพยายามระงับไฟโทสะ ไล่พ่อบ้านออกจากห้องไปพ่อบ้านตา
หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย นางยกโคมไฟในมือและยื่นให้แก่ไป๋อวี้ถัง เอียงศีรษะเล็กน้อยพลางกล่าว “เรามาอธิษฐานด้วยกัน ขอให้เราสองไม่มีวันพรากจาก อยู่ด้วยกันตลอดไป ท่านว่าดีหรือไม่?”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ดี...”......หลังอาบน้ำเสร็จ หลินซวงเอ๋อร์เอนกายลงบนเตียงเมื่อนึกถึงความผิดปกติของเยี่ยเป่ยเฉิงในวันนี้ นางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากวันนี้ นางได้คิดทบทวนหลายอย่าง จริงอยู่ที่ว่ามีหลายครั้ง นางเองก็พาลหาเรื่องเกินไป เยี่ยเป่ยเฉิงยอมรับนางได้เช่นนี้ นางไม่ควรปั้นสีหน้าใส่เขาอีก และยิ่งไม่ควรทำเย็นชาใส่ด้วยแม้มีเรื่องเข้าใจผิดอันใด ก็ควรสงบสติอารมณ์แล้วค่อยๆ อธิบายฮุ่ยอี๋กล่าวถูกแล้ว สามีภรรยาควรเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ควรถือโทษโกรธเคืองเนิ่นนาน นางครุ่นคิด ขอเพียงนางยอมผ่อนปรนท่าที พูดคุยกับเขาดีๆ มีปัญหาใดก็ล้วนคลี่คลายได้ง่ายเมื่อนึกถึงตรงนี้ หลินซวงเอ๋อร์พลันสูดลมหายใจเข้าลึก คิดว่าอีกสักพักหากเจอเยี่ยเป่ยเฉิง ควรพูดกับเขาอย่างไรดีนางรออยู่เนิ่นนาน จึงได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก มีเงาคนทาบที่ประตูอยู่ครู่ใหญ่ จึงได้ผลักประตูเข้ามาเมื่อเห็นเยี่ยเป่ยเฉิง หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกดีใ
“ท่านพี่…ท่านจะไปไหนหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์ขวางเขาไว้อย่างลืมตัวเยี่ยเป่ยเฉิงชะงักฝีเท้า เขาไม่ได้หันกลับมา แต่เลือกที่จะหันหลังให้นาว เสียงราบเรียบแฝงไปด้วยความเย็นชาไปหลายส่วน“ไปห้องหนังสือ!”“เราจะคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยหรือ?” มือน้อยของหลินซวงเอ๋อร์จับชายเสื้อของเขาไว้แน่น ไม่ง่ายเลยกว่านางจะโน้มน้าวตัวเองได้ ปล่อยวางความรู้สึกทุกอย่าง และคุยเรื่องขัดแย้งระหว่างพวกเขาสองคนกับเขาอย่างสงบใจนางรู้สึกว่าหากไม่คุยกันให้ชัดเจนวันนี้ ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาก็จะยิ่งบานปลายขึ้นเรื่อยๆแต่เหมือนเยี่ยเป่ยเฉิงจะไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้กับนางยามนี้เขามีโทสะอยู่เต็มเปี่ยมไร้ที่ระบายเขาไม่อยากจะคิดเลย ช่วงเวลานั้นที่เขาไม่อยู่ เกิดอะไรขึ้นระหว่างนางกับไป๋อวี้ถังบ้าง!นอกจากในภาพพวกนั้นแล้ว ยังมีการกระทำที่เกินเลยไปกว่านี้อีกหรือไม่…เขาควรถามเธอไปตรงๆ …แต่ไม่รู้ทำไม พอคำพูดมาถึงปาก เขาก็ถามมันออกมาไม่ได้!เขาเหมือนกับไม่มีความกล้าจะรู้เรื่องเหล่านี้ แม้กระทั่งกลัวที่จะเผชิญหน้าต่อหน้านาง…อย่างไรเสีย ในใจเขา ไป๋อวี้ถังคือสามีในฝันของสตรีทุกคน เขาใส่ใจอบอุ่น สูงส่งมีอำนาจ สะอาดบริสุทธิ์ หน
ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่หัวใจดังกระแสน้ำก็ไม่ปาน มิอาจหยุดยั้งได้สุดท้าย นางฝืนทนไม่ไหว กระอักเลือดออกมาการกระอักเลือดออกมาครั้งนี้ แรงเฮือกสุดท้ายในตัวหลินซวงเอ๋อร์ถูกสูบไปจนหมด และล้มพับไปกับพื้นบนพื้นเย็นมาก นางนอนอยู่บนพื้นทั้งอย่างนั้น จวบจนครึ่งค่อนคืน ร่างกายถึงค่อยๆ มีแรงขึ้นมาเล็กน้อยนางหยัดกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แล้วเดินไปที่เตียงที่ละก้าวใจยังคงเจ็บปวด นางล้วงเอาขวดแก้วออกมา เทยาเม็ดออดมาสองสามเม็ด เอาใส่ปากแล้วกลืนมันลงไป ถึงได้รู้สึกว่าดีขึ้นไปมามุมเปื้อนไปด้วยคราบเลือด นางยกชายกระโปรงขึ้นมา เช็ดด้วยมือที่สั่นเทามองเลือดที่เปื้อนบนกระโปรง ใจของนางเหน็บหนาวลงไปกว่าครึ่งนางคิดว่าตัวเองใกล้จะหายแล้ว แต่ทำไม…อาการนี้ถึงได้กำเริบรุนแรงขึ้น…หลินซวงเอ๋อร์กล่าวปลอบตัวเองด้วยเสียงอันสั่นเทา “ห้ามโกรธ ต้องรีบมีความสุขขึ้นมา แบบนี้อาการจะได้ดีขึ้น”แต่ยิ่งนางควบคุม น้ำตาก็ยิ่งไหลพรั่งพรูออกมาราวกับว่านางรู้สึกว่ามีภูเขาลูกใหญ่ระเบิดพังลงมาอยู่ในใจเยี่ยเป่ยเฉิงละทิ้งนางแล้ว แม้แต่คำอธิบายก็ไม่อยากฟังนางพูดเขาชอบท่าทางของนาง นางเคยเห็นกับตา ดังนั้น ท่าทีที่เขาละ
มือที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มค่อยๆ กำแน่น หลินซวงเอ๋อร์พยายามระงับความรู้สึกสุดแรง“ทำไม? เจียงหว่าน! ข้าไปทำอะไรให้เจ้า!”“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?” เจียงหว่านกล่าวอย่างยิ้มเยาะ “เจ้ามักรู้สึกว่าข้ากำลังทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าสองคน ความจริงแล้วเจ้าเคยคิดบ้างไหม ว่าแกคือนังสารเลวที่เข้ามาเป็นมือที่สามคนนั้น!”“ข้าไม่ใช่!”หลินซวงเอ๋อร์โต้กลับนางไม่เคยคิดจะเข้าไปเป็นมือที่สามของใคร เป็นเยี่ยเป่ยเฉิงสัญญากับนางมาตลอด บอกว่าทั้งชีวิตนี้จะชอบนางคนเดี๋ยว เป็นเขาที่ตื๊อนาง ให้นางแต่งงานกับเขา ก็เป็นเขาอยากแต่ง และรับปากนางไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะปกป้องนาง เจียงหว่านกล่าว “ข้ารู้จักท่านอ๋องมาตั้งแต่น้อย เราสองคนรักกัน และกำหนดการแต่งงานไว้นานแล้ว พ่อข้าตายก็เพื่อช่วยเขา! ท่านอ๋องเคยบอกกับพ่อข้าว่าจะดูแลข้าไปตลอดชีวิต”นางชี้หน้าด่าหลินซวงเอ๋อร์ “เป็นแก! หลินซวงเอ๋อร์! เป็นเพราะการปรากฏตัวกะทันหันของแกทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนความคิด!หากไม่ใช่เพราะแกใช้อุบายน่าละอายท่านอ๋องจะลืมสัญญาที่ให้ไว้กับข้าได้อย่างไร!”“ดังนั้นเจ้าเลยทำร้ายข้า วางยาข้า แถมยังทำร้ายลูกข้าด้วยหรือ?” มือของหลินซวงเอ๋อร์สั่นเทาเ
นางถึงขั้นทำร้ายเยี่ยเป่ยเฉิงไปแล้วจริงๆ...นางทำร้ายเยี่ยเป่ยเฉิงไปได้อย่างไร...“ซวงเอ๋อร์...เจ้าเป็นอะไรไปกันแน่?” เยี่ยเป่ยเฉิงกุมบาดแผล มองนางด้วยแววตาสับสนเจียงหว่านข้างๆเอ่ย “ท่านอ๋อง แม่นางซวงเอ๋อร์สติฟั่นเฟือน อาการกำเริบขึ้นอีกแล้ว...”“ข้าเปล่า...ท่านพี่ ข้ามิได้อาการกำเริบ ข้ามิได้ตั้งใจทำร้ายท่าน เพราะเจียงหว่าน เจียงหว่านทำร้ายลูกข้า นางยังวางยา นางยอมรับเองกับปาก...” หลินซวงเอ๋อร์อธิบายไปคนละทิศไม่สอดคล้องเจียงหว่านเอ่ย “น้องซวงเอ๋อร์ เจ้าป่วยหนักแล้ว เจ้าเห็นภาพหลอนแล้ว ซ้ำยังพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว”“ข้าเปล่า! เจียงหว่าน คนที่พูดจาเหลวไหลคือเจ้า! ข้าไม่ได้ป่วย!” หลินซวงเอ๋อร์จับมือเยี่ยเป่ยเฉิงไว้ ราวกับกำลังจับฟางเส้นสุดท้ายของชีวิตไว้ “ท่านเชื่อข้าได้ไหม? เจียงหว่านทำร้ายข้าจริงๆ นางคือต้นตอของทุกอย่าง ข้าขอร้องล่ะ ท่านเชื่อข้า ได้ไหม...”แค่เยี่ยเป่ยเฉิงเชื่อนางก็พอแล้ว...“เสวียนอู่!” เยี่ยเป่ยเฉิงมองหลินซวงเอ๋อร์ด้วยสายตาสับสน ตะโกนเรียกเสวียนอู่ข้างนอก “ตามหมอหลวงมา!”หลินซวงเอ๋อร์ค่อยๆปล่อยมือจากเยี่ยเป่ยเฉิง นางเดินถอยหลังไม่หยุดด้วยจิตใจแหลกสลาย “ท่านไม
หมอหลวงยังไม่มา เยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มหลินซวงเอ๋อร์มาไว้บนเตียงมุมปากนางเต็มไปด้วยคราบเลือด ทำให้ใบหน้าซีดเซียวยิ่งกว่าเดิมเยี่ยเป่ยเฉิงเช็ดคราบเลือดมุมปากนางด้วยมือสั่นระริก แต่ไม่ว่าจะเช็ดอย่างไรก็เช็ดไม่สะอาดในมือเขาเต็มไปด้วยเลือด ไม่เพียงเช็ดไม่สะอาด แต่กลับทำให้ใบหน้านางเปรอะยิ่งกว่าเดิมเยี่ยเป่ยเฉิงบัดแขนเสื้อมาดหมายเช็ดให้นาง ทว่าเขาคงลืมไปว่าไหล่ของตนก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ทั้งแขนเสื้อจึงชุ่มไปด้วยเลือด ทว่าเหมือนเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด กระทั่งเจียงหว่านเอ่ยเตือนขึ้นข้างๆ “ท่านอ๋อง ท่านพันแผลให้ตัวเองก่อนเถิด”“ไปให้พ้น!” เยี่ยเป่ยเฉิงไม่แม้แต่มองเจียงหว่าน ยังคงเช็ดหน้าตาให้หลินซวงเอ๋อร์ต่อเจียงหว่านกำปลายเสื้อแน่น กัดปากเอ่ยต่อ “ท่านอ๋อง ข้ามิได้ตามทำร้ายน้องซวงเอ๋อร์จริงๆ เมื่อครู่ข้าเดินผ่านมา ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้องนอน ข้ากลัวว่านางจะทำร้ายตัวเอง จึงคิดเข้ามาดู แต่ใครเล่าจะรู้ว่านางอาการกำเริบอีก ทั้งยังไม่ระวังทำร้ายท่าน...”“เจ้าหุบปากสักที!” เยี่ยเป่ยเฉิงหยัดกายยืน ปรี่เข้ามาบีบคอนางทันใด กดนางไว้บนบานประตูสายตาเขาดุร้ายน่าสะพรึงกลัวสุดขีด “ซวงเอ๋อ
คนบนเตียงไม่มีการตอบสนอง นางหลับตาสนิท ราวกับไร้ลมหายใจเยี่ยเป่ยเฉิงกุมมือนางไว้ในอุ้งมือของเขา พบว่ามือของนางเย็นเฉียบ ไร้ไออุ่นแม้แต่น้อยเขากุมปลายนิ้วอันเย็นเฉียบของนางแน่น ในลำคอกลืนกลั้นความเจ็บปวดที่ไร้เสียง“เหตุใดจึงเย็นเช่นนี้...ซวงเอ๋อร์ หนาวใช่หรือไม่?”คนบนเตียงยังคงไม่ตอบสนองต่อเขา ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตามเยี่ยเป่ยเฉิงประคองมือนาง วางไว้บนอกของตนเพื่อให้ความอบอุ่น แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ไม่อาจทำให้อุ่นขึ้นได้แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างตกกระทบใบหน้านาง ทว่ากลับทำให้ผิวพรรณนางขาวซีดดั่งดอกไม้ ทั้งร่างราวกับถูกน้ำค้างแข็งเกาะเยี่ยเป่ยเฉิงโอบกอดนางแน่น สายใยในใจตึงเครียดราวกับจะขาดในชั่วขณะถัดไปโชคดีที่หมอหลวงมาถึงทันเวลาเมื่อเห็นหมอหลวงมาถึง เยี่ยเป่ยเฉิงไม่สนใจบาดแผลของตน สั่งให้หมอหลวงช่วยชีวิตหลินซวงเอ๋อร์ให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดหมอหลวงไม่ทันได้คำนับ รีบวางหีบยาลง แล้วจับชีพจรหลินซวงเอ๋อร์เยี่ยเป่ยเฉิงยืนอยู่ข้างๆ หัวใจบีบรัดแน่น“นางเป็นอย่างไรบ้าง?”หมอหลวงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ทูลท่านอ๋อง พระชายาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ทำให้โทสะพลุ่งพล
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ