ฝนตกหนักมากป่าเริ่มเปียกชื้นและหนาวเย็นมากยิ่งขึ้นใบไม้ที่ประปรายเหนือศีรษะไม่สามารถกำบังฝนได้อีก น้ำฝนที่สะสมบนใบไม้ก็ไหลลงมา และรดไปที่บนตัวของหลินซวงเอ๋อร์หลินซวงเอ๋อร์ไม่สามารถหาที่ซ่อนได้ ร่างที่ผอมบางขดอยู่ในโพรงไม้ที่ทรุดโทรมโพรงต้นไม้มีลมพัดเข้ามาทั่วทุกสารทิศ ต้านทานฝนที่กระหน่ำลงมาไม่ได้เลยแม้แต่น้อยมีฟ้าแลบฟ้าร้องเหนือศีรษะ ฝนตกลงมาหนักมาก ทำให้นางไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ จึงกอดเข่านั่งยองๆอยู่ใต้โพรงไม้ ทำให้นางดูโดดเดี่ยวเดียวดาย และน่าสงสารไร้ที่พึ่งพิงมากขึ้นเมื่อมองดูภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า นางหวนนึกถึงค่ำคืนที่ฝนตกหนักอย่างเหม่อลอยคืนที่พี่ชายกกระแสน้ำพัดพาไปในคืนนั้น ก็มีฝนตกหนักมาจากบนท้องฟ้า และมีฟ้าร้องฟ้าผ่าเหมือนกับวันนี้ ฝนซัดสาดลงมาเหนือศีรษะ หลังคาที่ทรุดโทรมไม่สามารถต้านทานได้ฝนที่ตกหนักได้ เม็ดฝนค่อยๆไหลมารวมกัน ไหลเข้ามาตามรูที่ทรุดโทรมของบ้าน หยดลงมาบนร่างกายของนางทีละหยด...ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็กลัวค่ำคืนที่ฝนตก กลัวฝนที่ตกหนักเช่นนี้ และกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าที่ดังกึกก้องเช่นนี้หลินซวงเอ๋อร์ขดตัว ก้มศีรษะลง เขาคางวางไว้บนเข่า ฝนตกลงม
นางจับมันเอาไว้แน่นไม่ยอมคลายมือ งูก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้นาง อ้ากว้างปากกัดลงบนหลังมือของนาง ไม่ยอมปล่อยพิษแทรกซึมเข้าไปในกระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกเวียนศีรษะทันที นางกลัวว่าตนเองจะทนไม่ได้นาน จึงโยนงูใส่ลงในกระบุงที่อยู่บนหลังงูที่ถูกโยนลงไปในกระบุงยังคงกัดหลังมือของนางอยู่ หลินซวงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว จนทำให้เนื้อหย่อมเล็กๆหลุดออกไปจากหลังมือถึงแม้ว่ามันจะกัดไม่ยอมปล่อย แต่ใช่ว่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของมันในขณะที่บาดแผลที่หลังมือเปิดออก เลือดก็เป็นสีดำ และไหลออกมาจากบาดแผลอย่างต่อเนื่องหลินซวงเอ๋อร์ใช้ของปิดกระบุงเอาไว้อย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้งูเลื้อยหนีออกมาจากด้านในนางเริ่มวิงเวียนศีรษะมากขึ้น พร้อมด้วยอาการคลื่นไส้อาเจียน หลินซวงเอ๋อร์หยิบยาแก้พิษที่แพทย์มอบให้ออกมาจากในอ้อมแขน แล้วกลืนมันลงไปภายในรวดเดียว จากนั้นก็ทายาแก้พิษลงไปบนบาดแผลนางนั่งยองๆอยู่บนพื้น บาดแผลยังคงเจ็บมากอยู่ อาการวิงเวียนศีรษะไม่ได้ทุเลาลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรุนแรงมากยิ่งขึ้นอาจจะเป็นเพราะว่างูตัวนั้นกัดลึกจนเกินไป พิษจึ
จี๋เฟิงเร่งรีบเดินทาง ขี่ม้าพาหลินซวงเอ๋อร์ฝ่ายามวิกาลกลับมาถึงจวนหย่งอันเมื่อมาถึงหน้าจวน ไม่รอให้จี๋เฟิงได้หยุดก่อน หลินซวงเอ๋อร์พลันพลิกตัวลงจากหลังม้าในทันใดขณะเท้าเหยียบลงพื้น นางยืนไม่มั่น ร่างกายจึงเซล้มฟาดลงพื้นไปตงเหมยเห็นเข้าก็รีบวิ่งมาพยุง“ตายจริง พระชายา เนื้อตัวไฉนมีบาดแผลมากมายเช่นนี้เจ้าคะ?” ตงเหมยเพ่งดูสภาพของหลินซวงเอ๋อร์ เห็นนางสะบักสะบอมไปเกือบทั้งตัว ขากางเกงยังเปื้อนด้วยโลหิต ก็ให้รู้สึกตกใจยิ่งหลินซวงเอ๋อร์ไม่สนใจความเจ็บตามร่างกาย ภายใต้การประคองของตงเหมย นางฝืนยืนมั่นคง เดินไปปลดเอาชะลอมใส่งูดำหางไหม้ที่อยู่หลังม้า พลางยื่นส่งให้ตงเหมยและกล่าวต่อ “งูดำหางไหม้ข้าหาพบแล้ว เจ้ารีบนำไปช่วยท่านอ๋อง...”ขณะที่พูด นางรู้สึกอ่อนแรงเต็มที ร่างกายฝืนทนจนถึงขีดสุดแล้วตงเหมยรีบประคองร่างโงนเงนของหลินซวงเอ๋อร์ให้ยืนมั่นคงไว้ พร้อมเรียกเสวียนอู่ให้ช่วยเอางูเข้าไปในจวนเสวียนอู่รับเอาชะลอมใส่งูไป แล้วรีบเดินเข้าด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านบาดเจ็บไม่น้อย บ่าวจะตามหมอมาดูก่อนนะเจ้าคะ”หลินซวงเอ๋อร์รีบจับมือตงเหมยไว้ กล่าวด้วยความร้อนใจ “ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึ
หลินซวงเอ๋อร์เห็นการเปลี่ยนแปลงเบื้องหน้าจนทำให้ตะลึงอยู่กับที่ กว่าจะตั้งสติกลับมา นางรีบโผเข้าไปพร้อมเอามือตะกุยดิน พยายามจะนำร่างพี่ชายออกจากใต้พื้นดินให้จงได้“พี่ชาย ไม่...ไม่นะ ท่านออกมาเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้ออกมา...”“ไม่ ต้องไม่เป็นเช่นนี้ ท่านต้องไม่เป็นอะไร พี่ชาย พี่ชายรีบออกมาเร็วๆ ออกมาเร็วเข้าเถิด...”“อย่าได้ทอดทิ้งซวงเอ๋อร์ไป พี่ชาย ไม่นะ...ไม่จริง...”หลินซวงเอ๋อร์รร่ำไห้ปานใจจะขาด นิ้วมือก็ตะกุยจนมีเลือดซิบๆ ตามด้วยความปวดใจแสนสาหัส แต่นางก็มิได้นำพา ยังคงค้นหาต่อไปไม่หยุดทันใดนั้น จินตภาพก็เปลี่ยนไปอีกนางกลับไปยังกระท่อมไม้ซอมซ่อในอดีตหลังนั้น ที่ๆ เคยเป็นบ้านอันอบอุ่น พร้อมหน้าท่านพ่อท่านแม่ และยังมีพี่ชายที่รักนางที่สุดแต่บัดนี้ เหลือนางเพียงคนเดียวอยู่ในมุมบ้านโดดเดี่ยวอ้างว้าง ไร้ผู้เหลียวแลภายนอกเกิดเสียงฟ้าร้องคำราม ตามด้วยฝนตกหนัก หยาดฝนไหลมาตามหลังคาที่ปริขาด ทำให้นางแทบจะจมอยู่ในสายฝนทั้งตัวชั่วขณะนั้น นางเกิดความรู้สึกว่าโลกนี้กำลังจะทอดทิ้งนางไป...ต่อมา ก็มีเสียงคนย่ำสายฝนมาถึงข้างกายนาง ร่างสูงใหญ่นั้นสามารถบดบังร่างเล็กของนางไว้จนมิดหลิน
ใบหน้าหลิงซวงเอ๋อร์ยังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตาผ่านการร้องไห้จนบวมปูดตงเหมยเห็นเข้าก็ปวดใจยิ่ง พลางกล่าวปลอบใจ “วางใจเถิดเจ้าค่ะ มีแม่นางเจียงอยู่ทั้งคน ท่านอ๋องจะต้องปลอดภัย”“แม่นางเจียง?” หลินซวงเอ๋อร์เพิ่งจะนึกได้ ก่อนหมดสติไป ทั้งตงเหมยและเสวียนอู่ได้เอ่ยถึงชื่อนี้มาแล้วเป็นธิดากำพร้าของแม่ทัพฝ่ายซ้าย ติดตามท่านอ๋องมานานปี มีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ...“ตงเหมย ข้าหมดสติไปนานเท่าใด? มีความรู้สึกคล้ายนอนหลับไปนานมาก และข้ายังฝันสะเปะสะปะ เห็นพี่ชายที่ตายไปแล้ว พี่ฉีก็ตายไป สามีข้าก็ตายไป...”น้ำเสียงหลินซวงเอ๋อร์สั่นเครืออยู่ตลอดเวลา ใบหน้ายิ่งดูซีดเซียวไปอีกนานเต็มทีที่นางไม่เคยฝันร้ายเช่นนี้ แม้ตอนนี้จะตื่นขึ้นมา แต่ยังมิวายรู้สึกใจหาย ในฝันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง สลัดเท่าใดก็ไม่อาจหลุดพ้น ต่อให้ตื่นมาแล้ว นางยังมีความรู้สึกว่าตนได้ถูกโลกนี้ทอดทิ้งไปอยู่ดี...ตงเหมยโอบกอดนางไว้ พลางปลอบใจเสียงเบา “หมดเรื่องแล้ว ไม่มีเรื่องอันใดอีก เป็นเพียงความฝัน ฝันมักตรงข้ามกับความเป็นจริงเสมอ พี่ฉีของท่านไม่เป็นอะไร พิษของท่านอ๋องก็ได้ถอนแล้ว ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น...”หลินซวงเอ๋อร์พยายามยัน
หลินซวงเอ๋อร์รีบห้ามตงเหมยไว้ “ช่างเถิด รอหน่อยก็ได้ อย่ารบกวนแม่นางเจียงในการรักษาเลย”โม่อวิ๋นกลับไม่รับน้ำใจจากหลินซวงเอ๋อร์ นางยิ่งแสดงท่าทีโอหังมากขึ้นอีก พลางหัวเราะหยันและกล่าวต่อตงเหมย “ช่างเป็นสาวใช้ที่ปากคอเราะรายนัก เพราะเห็นตระกูลเจียงเราไม่เหลือใครหรือไร? สมัยก่อนท่านแม่ทัพของเราติดตามท่านอ๋องไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย มีความสัมพันธ์แทบตายแทนกันได้ บัดนี้คุณหนูก็มาอยู่กับท่านอ๋องหลายปี ความผูกพันที่มี ย่อมลึกซึ้งมากกว่าคนบางคน...”“ที่สำคัญ คุณหนูเรามีชาติตระกูลสูง เป็นธิดาของแม่ทัพใหญ่ ไม่เหมือนคนบางคน...” สายตาโม่อวิ๋นเหลือบไปทางหลินซวงเอ๋อร์โดยไม่ตั้งใจ แววตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งตงเหมยเดือดดาลเป็นอย่างมาก คิดจะโต้เถียงกับนางอีก พลันประตูห้องได้ถูกเปิดออกเห็นเจียงหว่านเดินมาจากด้านใน“ใครมาเอะอะอยู่แถวนี้ ข้าได้กำชับไว้แล้ว ระหว่างรักษาผู้ป่วย ห้ามรบกวนมิใช่รึ?”หลินซวงเอ๋อร์เหลียวมองไปตามเสียง พลันสบสายตาเข้ากับเจียงหว่านอย่างจังสองสายตาประสาน ต่างเพ่งพินิจกันและกันแววตาหลินซวงเอ๋อร์ปรากฏแววตกตะลึงเจียงหว่านแม้จะติดตามเยี่ยเป่ยเฉิงไปออกศึกเหนือใต้ ดูแลยามบาดเ
เจียงหว่านกล่าวเนิบๆ “ท่านอ๋องยังไม่ฟื้น เชิญรออยู่ข้างนอกก่อน รู้สึกตัวเมื่อใดจะบอกให้รู้”กล่าวจบ เจียงหว่านก็หันไปทางโม่อวิ๋น “เจ้าไปเอายาของท่านอ๋องมา”โม่อวิ๋นรับคำ พร้อมหันกายไปยังห้องครัว เพื่อนำยางูที่ต้มไว้เข้าไปในห้องหลินซวงเอ๋อร์กล่าว “ให้ข้าเอายาเข้าไปได้หรือไม่?”นางคิดถือโอกาสนี้ไปดูเยี่ยเฉิงเป่ย แม้เห็นเพียงแวบเดียวก็ยังดีโม่อวิ๋นหันไปทางอื่น จงใจถือชามยาเปลี่ยนทิศทางไป ไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ได้แตะ น้ำเสียงยังคงกล่าวด้วยความยโส “หากไม่เพราะคุณหนูเรามาทันเวลา ยาชามนี้ของท่านก็ใช่ว่าจะได้ใช้ประโยชน์ เวลาคุณหนูตรวจรักษาผู้ป่วย จะไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่าม ท่านรออยู่ข้างนอกก็ดีแล้ว”หลินซวงเอ๋อร์เม้มปากไม่พูดจา นางเป็นคนไม่ชอบโต้ฝีปากกับใครมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วขอเพียงเยี่ยเป่ยเฉิงปลอดภัยก็ดีแล้วตงเหมยเห็นหลินซวงเอ๋อร์ยังเดินกระเผลกอยู่ จึงได้กล่าวเตือน “พระชายา ท่านยังบาดเจ็บที่ขา เชิญกลับไปพักผ่อนจะดีกว่า บ่าวจะคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ให้เอง ท่านอ๋องฟื้นมาเมื่อใด บ่าวจะรีบไปแจ้งทันที”หลินซวงเอ๋อร์เหยียดขานั่งอยู่ที่ขั้นบันได พลางกล่าว “ไม่ต้อง ข้าจะนั่งรออยู่ตรงนี้”นางต้อ
เจียงหว่านยิ้มเล็กน้อย “ข้าติดตามท่านอ๋องมานาน ย่อมรู้นิสัยท่านอ๋องดี ซ้ำยังได้ยินเสียงร่ำลือ ว่าท่านอ๋องได้แต่งงานกับแม่นางผู้หนึ่ง แสดงว่าให้ความสำคัญต่อนางมาก ตอนนี้ดูแล้ว คงเป็นแม่นางผู้นี้กระมัง?”เมื่อได้ยินดังนี้ กงชิงเยวี่ยก็ปรายตาไปยังหลินซวงเอ๋อร์ด้วยความไม่พอใจ พลางกล่าวตอบ “ลูกข้าเลอะเลือนนัก จู่ๆ ตัดสินใจกะทันหัน ปิดบังข้านำชื่อของสาวใช้ผู้นี้ไปใส่ในทะเบียนวงศ์ตระกูล...”ใบหน้าเจียงหว่านยังคงมีแต่รอยยิ้ม แต่ยิ่งดูก็ยิ่งเป็นการฝืนมากกว่า“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แสดงว่าที่คนอื่นเล่าขานเป็นเรื่องจริง ข้ายังนึกว่าเป็นเพียงข่าวลือเสียอีก...”กงชิงเยวี่ยกล่าวตอบ “จะจริงหรือเท็จแล้วเป็นอย่างไร ตราบใดที่ข้ายังอยู่ จะไม่ยอมให้ลูกชายแต่งงานกับตัวกาลกิณีเช่นนี้”ใบหน้าหลินซวงเอ๋อร์ซีดลงในฉับพลันเจียงหว่านพูดเอาใจกงชิงเยวี่ยอีก “นายหญิงใยจึงกล่าวเช่นนี้ สำคัญคือพี่เป่ยเฉิงพึงพอใจ เรื่องของความรัก มิใช่สิ่งที่คนนอกจะควบคุมได้”กงชิงเยวี่ยกล่าวด้วยความเสียดาย “แต่ข้าว่า หากเยี่ยเอ๋อร์ได้แต่งงานกับเจ้า ถึงนับว่าเป็นบุญวาสนามากกว่า”เจียงหว่านหน้าแดงในฉับพลัน “นายหญิง ท่านกล่าวเรื่อ
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก