ด้านนอกถ้ำมืดสนิท มีเพียงพระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่เหนือยอดไม้ บางครั้งก็มีเสียงเห่าหอนของหมาป่าดังมาจากระยะไกลเป็นครั้งคราว ทำให้หลินซวงเอ๋อร์หวาดกลัวจนต้องขดอยู่ตรงมุมถ้ำหลินซวงเอ๋อร์หวาดกลัวสุดขีด เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายก็ยังแห้งไม่สนิท นางจึงขดตัวอยู่ที่มุมถ้ำอยู่อย่างนี้ และมองดูกองไฟที่อยู่ตรงหน้าอย่างขี้ขลาดไป๋อวี้ถังอาจจะไม่ชอบนางแล้ว ถึงได้ทิ้งนางเอาไว้ในป่าเขาลําเนาไพรตามลำพัง แล้วจากไปหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกเสียใจสุดขีด น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุดนางคิดถึงเยี่ยเป่ยเฉิงมากขึ้นเรื่อยๆนางคิดว่า ถ้าเยี่ยเป่ยเฉิงอยู่ที่นี่ก็คงจะดี ตอนที่นางหวาดกลัว เขาจะโอบกอดนาง และปลอบโยนนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และเขาจะไม่มีวันทิ้งนางไว้ที่นี่ตามลำพังแต่ว่า เหตุใดเขาถึงไม่อยู่ล่ะ?เหตุใดทุกครั้งที่นางตกอยู่อันตราย เขาถึงไม่อยู่?นัยน์ตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของนางพร่าเลือน จ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอันไร้ขอบเขตอย่างสิ้นหวัง เมื่อความสิ้นหวังที่อยู่ในใจทะลักออกมา ก็เป็นเหมือนกับน้ำท่วมที่เกิดจากเขื่อนแตก“ ท่านอ๋อง ข้ากลัวมากเลย เมื่อไหร่ท่านจะกลับมา...”หลินซวงเอ๋อร์ขยุมแขนเสื้อเอาไว้แล้วเช็
แต่ถนนบนภูเขานั้นขรุขระ เขาไม่กล้าใก้นางเสี่ยงอันตราย จึงทิ้งนางเอาไว้ในถ้ำ เพราะคิดว่า ในถ้ำมีไฟ นางอยู่ที่นี่จะเป็นการดีที่สุดแต่ตอนนี้เมื่อมองดูท่าทางน้ำตานองหน้าของนางแล้ว เขาก็รู้ว่าตนเองทำผิดพลาดครั้งใหญ่นางอยู่ที่นี่คนเดียวจะต้องหวาดกลัวอย่างแน่นอน คงจะทำอะไรไม่ถูก และรู้สึกไม่ปลอดภัยมาก เมื่อสักครู่นี้ คิดไม่ถึงว่านางจะคิดว่าตนเองไม่ต้องการนางอีกต่อไปแล้วเขาจะไม่ต้องการนางได้อย่างไร?แม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตของตนเอง เขาก็จะไม่มีวันทิ้งนางไว้ตามลำพังไป๋อวี้ถังรู้สึกเศร้าใจสุดขีด แล้วกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง กระซิบปลอบใจนางสักพัก คนที่อยู่ในอ้อมแขนขถึงค่อยๆหยุดร้องไห้เมื่อเห็นว่าไป๋อวี้ถังไม่ได้ทิ้งนางไว้ตามลำพัง หัวใจที่สิ้นหวังของหลินซวงเอ๋อร์ก็สงบลงในที่สุดนางสะอื้นไห้อยู่ครู่หนึ่ง มองไป๋อวี้ถังด้วยนัยน์ตาสีแดง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้นว่า: " เมื่อสักครู่นี้ ท่านไปทำอะไรหรือ? เหตุใดถึงได้กลับมาเอาป่านนี้? "เขารู้หรือไม่ว่า นางเกือบจะคิดว่าตนเองจะตายอยู่ที่นี่แล้วเมื่อฟังเสียงเห่าหอนของหมาป่าที่อยู่ข้างนอก หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกกลัวสุดขีดจริงๆไป๋
ภูเขาที่อยู่ด้านนอกเงียบสงบ และมีแต่เสียงแมลงและกบร้องเท่านั้นเมื่อมองผ่านปากถ้ำไป ก็จะมองเห็นดวงดาว พร่างพราวไปทั่วท้องฟ้าอย่างคลุมเครือไป๋อวี้ถังผ่าท้องของปลาไนตัวใหญ่ที่เขาจับมาได้ แล้วใช้ไม้เสียบวางลงบนราวไม้เพื่อย่างไฟหลินซวงเอ๋อร์หิวตั้งนานแล้ว ดวงตาที่เปียกชื้นคู่นั้นจ้องมองไปที่ปลาย่างตาเป็นมัน“พี่ไป๋ ข้าคิดว่าพี่เก่งมากเลย” หลินซวงเอ๋อร์เอามือทั้งสองข้างต้ำคางเอาไว้ และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมไป๋อวี้ถังไป๋อวี้ถังพลิกปลาไนตัวใหญ่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มจางๆว่า: "เก่งตรงไหนหรือ?ถ้าเก่งจริงๆ พี่ก็ไม่ต้องพาเจ้าหนีมาที่ก้นหน้าผา"หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: " นี่ยังไม่เก่งอีกหรือ? ท่านอ๋องบอกว่าท่านเป็นขุนนางที่เก่งมากคนหนึ่ง ท่านเป็นคนที่ควบคุมดูแลขุนนางที่อยู่ในพระราชสำนักทั้งหมด อีกอย่าง ท่านยังมีวรยุทธ์ที่สูงส่งมาก ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเป็นตัวถ่วงของท่าน คนเลวเหล่านั้นก็คงจะทำให้ท่านลงมาที่ก้นหน้าผาไม่ได้ "รอยยิ้มที่มุมปากของไป๋อวี้ถังค่อยๆปรากฏขึ้น เขาถามนางอย่างอบอุ่นว่า: "แค่นี้ก็เก่งกาจแล้วหรือ?"หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหัว: "อืม ~ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นั้น พี่ยังจับปลาเป็นด้วย แถ
หลินซวงเอ๋อร์กินปลาย่างกับผลเบอร์รี่ หลังจากกินอิ่มแล้วก็ค่อยๆผล็อยหลับไปไป๋อวี้ถังปูหญ้าแห้งไว้ในถ้ำ เพื่อให้หลินซวงเอ๋อร์ได้นอนบนหญ้าแห้งเมื่อรู้สึกง่วงพอหิ่งห้อยบินเหนื่อยแล้ว ก็เกาะอยู่บนผนังหินของถ้ำ แมลงที่อยู่นอกถ้ำยังคงร้องเหมือนเดิม หลินซวงเอ๋อร์นอนตะแคงข้างอยู่บนหญ้าแห้ง บนตัวคลุมด้วยเสื้อคลุมที่เพิ่งจะแห้งของไป๋อวี้ถัง เมื่อฟังเสียงแมลงในภูเขา นางก็ค่อยๆผล็อยหลับไปแสงไฟกะพริบไปมา ปกคลุมใบหน้าของไป๋อวี้ถัง เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดเขานั่งข้างกองไฟ แล้วเติมฟืนแห้งเข้าไปในกองไฟเป็นครั้งคราวหุบเขาแห่งนี้เงียบสงบมาก เท่าที่เห็นทุกที่เต็มไปด้วยแมกไม้เขียวขจี ในอากาศยังมีกลิ่นสดชื่นของดินโคลนหลังฝนตกอีกด้วย แต่ทว่า เนื่องจากใกล้จะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ในหุบเขาที่มืดครึ้ม จึงมีอุณหภูมิที่ต่ำมากในตอนกลางคืนดังนั้นในถ้ำจึงต้องการไฟ เขาจึงต้องคอยเฝ้าระวัง เพื่อไม่ให้ไฟดับลงตกกลางดึกหลินซวงเอ๋อร์หนาวจนตัวสั่น เสียงครวญครางเบาๆราวกับว่าเป็นสัตว์ตัวน้อยดังออกมาจากในปากของนางตอนที่หนีเอาชีวิตรอดเมื่อสักครู่นี้ นางไม่รู้ว่า ทั้งร่างกายนางตึงเครียดไปหมด หลังจากหลับไปแล้ว ร่างกายข
อุณหภูมิบนร่างกายของเขาร้อนมากแขนของไป๋อวี้ถังที่โอบกอดนางเอาไว้แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวเขาจ้องมองนางแบบนี้เป็นเวลานาน ถึงลองเอื้อมมือออกไป สัมผัสคิ้วและใบหน้าของนาง อย่างระมัดระวัง การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยน ราวกับว่าได้สัมผัสกับสมบัติล้ำค่า เพราะกลัวว่าจะนางจะบอบช้ำอาจเป็นเพราะอุณหภูมิสูงเกินไป หลินซวงเอ๋อร์จึงผลักเขาเบาๆ แล้วพลิกตัวเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังให้กับเขา และขดตัวเข้าไปในมุมโดยที่ไม่รู้ตัวมือของไป๋อวี้ถังว่างเปล่า คนที่อยู่ในอ้อมแขนขยับออกห่างจากเขาไปเล็กน้อยเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นโอบแขนรอบเอวของนางเอาไว้ ดึงนางกลับมาด้วยความดื้อดึงและเผด็จการเล็กน้อย แล้วกักนางไว้ในอ้อมแขนของตนเขาก้มศีรษะลง เอาหัวซุกเข้าไปในคอพับอันหอมนุ่มนวลของนาง ความใคร่ในนัยน์ตาของเขาก็เพิ่มมากขึ้น“ ท่านอ๋อง …” เสียงพึมพำเบาๆของนางดังก้องอยู่ข้างหู ราวกับว่านางกำลังละเมอ“ร้อนไปนิดหน่อย อย่ากอดแน่นขนาดนั้น…” หลินซวงเอ๋อร์บิดตัวเพราะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และพยายามจะหลุดออกจากอ้อมแขนของเขาอีกครั้งไป๋อวี้ถังกระชับแขนของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้นางหนีไป" ซวงเอ๋อร์ ให้ข้ากอดเจ้าหน่อยเถิด
กองไฟที่อยู่ในถ้ำเหลือเพียงแค่ถ่านไฟ และมีควันลอยขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นรุ่งสางไป๋อวี้ถังนอนไม่หลับทั้งคืน จนกระทั่งชั่วยามสุดท้ายถึงได้นอนหลับแบบตื้นๆทันใดนั้นก็มีเสียงแปลกๆดังมาจากด้านนอกถ้ำ ไป๋อวี้ถังกระตุกคิ้วเล็กน้อย ค่อยๆลืมตาขึ้นมา พร้อมกับแววตาที่เยือกเย็น“ ใต้เท้า ข้าน้อยมาช่วยเหลือล่าช้าเกินไป ใต้เท้าได้โปรดลงโทษด้วย!” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหูของไป๋อวี้ถัง เจตนาฆ่าในดวงตาของเขาจึงค่อยๆลดลงองครักษ์ลับจำนวนนับไม่ถ้วนยืนอยู่นอกถ้ำ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากไป๋อวี้ถัง พวกเขาทั้งหมดทำได้แค่ยืนอยู่ข้างนอกที่รออยู่ข้างนอก คือองครักษ์ลับที่เขาฝึกฝนมาเป็นอย่างดีไป๋อวี้ถังหันไปด้านข้าง พยายามปลุกหลินซวงเอ๋อร์ให้ตื่นในเวลานั้น หลินซวงเอ๋อร์ยังคงหลับสนิทอยู่ มีเมฆสีแดงสองก้อนอยู่บนแก้มของนาง ดูไปแล้วน่ารักมากไป๋อวี้ถังเรียกนางเบาๆอยู่ครู่หนึ่ง แต่นางก็ไม่ตอบสนอง แต่ลมหายใจของนางกลับค่อยๆหนักขึ้นจากนั้นเขาถึงพบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป จึงเอื้อมมือออกไปแตะที่หน้าผากของนาง ก็ตกใจที่พบว่าหน้าผากของนางร้อนมาก ร่างกายของนางก็ร้อนเช่นกันนางมีไข้สูงตั้งแต่เมื่อไหร่?สมควรตาย!
หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนสอนตงเหมยเขียนด้วยตนเอง แม้ว่าจะเขียนสะเปะสะปะ และมีการเขียนผิดจำนวนมาก แต่เยี่ยเป่ยเฉิงก็ยังสามารถจดจำมันได้นางเขียนเต็มหน้าหน้ากระดาษ เล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เกี่ยวกับหลินซวงเอ๋อร์ให้เขาฟังรวมทั้งหลินซวงเอ๋อร์หายตัวไปได้อย่างไร และถูกไป๋อวี้ถังช่วยชีวิตกลับมาอย่างไร ตงเหมยเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดในตอนท้ายของจดหมาย ตงเหมยกล่าวว่า หลินซวงเอ๋อร์ป่วยหนักกว่าเดิม และมีไข้สูงตลอดเวลา ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้นางพักอยู่ที่จวนไป๋ ไป๋อวี้ถังดูแลนางเป็นอย่างดี แล้วบอกเขาว่าไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป...เยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองจดหมายเป็นเวลานาน นัยน์ตาสีดำเหมือนสระน้ำเย็นที่ไร้ก้นบึ้ง เขาอดไม่ได้ที่จะกำมือขนาดใหญ่ของเขาเอาไว้แน่น จนเส้นเลือดดำทะลักออกมา และค่อยๆขยำจดหมายที่อยู่บนฝ่ามือทีละน้อยเขาจากไปแค่เพียงครึ่งเดือน ก็มีคนกล้าท้าทายอำนาจของตนแล้ว! ไม่เห็นคำพูดของเขาอยู่ในสายตาจริงๆ!นัยน์ตาอันโฉบเฉี่ยวของเยี่ยเป่ยเฉิงมืดมิดราวกับหมึก ใบหน้าของเขาก็ควบแน่นเป็นน้ำแข็งทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา ทหารท
หนานหยางเสียงแตร และกลองสงครามดังขึ้น ธงปลิวไสวปลิวไปตามสายลมในช่วงกลางดึก จู่ๆเยี่ยเป่ยเฉิงก็ออกคำสั่งโจมตีอย่างเต็มกำลัง ล้อมรอบภูเขาทั้งหมดเอาไว้ และเข้าปราบปรามทุกทิศทุกทาง!โจรที่ติดอยู่ในภูเขาก็เหนื่อยล้าหมดแรง ประกอบกับเยี่ยเป่ยเฉิงได้ตัดอาหารและน้ำพวกเขาก่อนหน้านี้ พวกเขาจึงไม่สามารถตอบโต้การโจมตีอย่างกะทันหันของทหารได้ในไม่ช้า พวกโจรที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาถูกบังคับให้ไปที่เชิงเขาทีละคน พวกเขาต่อต้านอย่างสุดกำลัง ราวกับผีเสื้อกลางคืนที่บินเข้าไปในเปลวไฟ และต่อสู้อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพันเป็นครั้งสุดท้ายหนานหยางตั้งอยู่จุดเชื่อมต่อของสามดินแดน ทำให้มีเรือจากทั่วทุกแห่งหนมาทำการค้าที่นี่ ทรัพยากรของยุคนี้อุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ทำให้จำนวนโจรในยุคนี้มีมากเช่นเดียวกัน!พวกเขายึดครองพื้นที่บนภูเขา และทำความชั่วมาหลายปี จึงกลายเป็นความกลัดกลุ้มของราชสำนักมาตั้งนานแล้วราชสำนักได้ส่งกองทหารมาปิดล้อมปราบปรามอยู่หลายครั้ง แต่พวกเขาเป็นเหมือนวัชพืชที่เกิดขึ้นมาไม่จบไม่สิ้น ตราบใดที่ยังมีปลาเล็ดลอดออกจากอวนไปได้ ก็จะมีโจรกลุ่มใหญ่ในปีหน้า! ด้วยเหตุนี้ ราชสำนักจึงปั่นป่วน จึงต้องให
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ