“ข้าดุร้ายตรงไหน?หืม?”ทันใดนั้นแขนที่อยู่รอบเอวก็กระชับขึ้น เขาดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนอย่างเต็มเหนี่ยวร่างกายที่อ่อนช้อย แนบชิดกับหน้าอกที่แข็งแกร่งตรงตระหง่านของเขา หัวใจของเยี่ยเป่ยเฉิงสั่นไหวราวกับว่ากำลังจะระเบิดออกมา“สาวน้อยใจร้าย ข้าเคยดุร้ายกับเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หืม?”หลินซวงเอ๋อร์คว้าปกเสื้อของเขาไว้ในมือ แล้วพูดด้วยความสั่นเทาเล็กน้อยว่า: " ท่านอ๋องปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่... "เขากอดนางเอาไว้แน่น จนหลินซวงเอ๋อร์หายใจไม่ออกเยี่ยเป่ยเฉิงแอบผ่อนแรงลงหลินซวงเอ๋อร์เพิ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่คิดไม่ถึงว่าโลกจะหมุนอยู่ตรงหน้า เยี่ยเป่ยเฉิงพลิกตัวแล้วตรึงนางเอาไว้ด้านล่าง“ ท่านอ๋อง ท่านคิดที่จะทำอะไร…” หลินซวงเอ๋อร์เพิ่งจะตอบสนองได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะฉวยโอกาสเอาเปรียบนางอีกครั้ง ทำให้นางรู้สึกโกรธเล็กน้อยเยี่ยเป่ยเฉิง มองดูหญิงสาวที่งอนกระฟัดกระเฟียดอยู่ใต้ร่างของเขา ก็อดไม่ได้ ที่จะหัวเราะออกมาดังๆชั่วขณะ“กอดหน่อยก็ไม่ได้? ” เขาพูดเหมือนกำลังขอความคิดเห็น“ไม่ได้” ใครจะรู้ว่าเขากอดไปกอดมาจะทำเรื่องอะไรบ้าๆอีกหรือเปล่าหลินซวงเอ๋อร์ผลักไหล่ของเขาออกไปเบาๆ
นางอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตานางรู้ว่าเขาไม่ได้ซื่อตรงขนาดนั้นที่ข้างหู ทันใดนั้นการหายใจของเยี่ยเป่ยเฉิงเริ่มถี่ขึ้น“ วันที่สิบหกเดือนแปด เป็นวันมงคล เหมาะต่อการจัดงานสมรส ” ทันใดนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงก็พูดขึ้นที่ข้างหูของนางหลินซวงเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จนลืมห้ามมือที่กำเริบเสิบสานข้างนั้นเอาไว้วันที่สิบหกเดือนแปด ไม่ใช่เดือนหน้าหรือ?“ในเมื่อข้าต้องการเจ้า ข้าก็จะรับผิดชอบเจ้า” มือขนาดใหญ่ข้างนั้นเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆร่างกายของหลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะเริ่มสั่นเทา“แต่ตอนนี้...ตอนนี้ไม่ได้” พอนางตั้งสติได้ ร่างกายที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็เริ่มดึงดันขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงการต่อต้านของนาง ในที่สุดเยี่ยเป่ยเฉิงก็ดึงมือกลับคืนมาคงเป็นเพราะครั้งที่แล้วจัดใหญ่เกินไป จึงทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวเขาเอาก็กลัดกลุ้มเช่นกัน ทุกครั้งที่มีความสัมพันธ์กันเขาก็ยากที่จะควบคุมตนเอง และไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้เยี่ยเป่ยเฉิงเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงอันอบอุ่นว่า: " ซวงเอ๋อร์ผ่อนคลาย ข้าจะไม่ทำเช่นนั้น แค่จูบ ได้หรือไม่? "หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหัว ดวงตาที่สะอาดสุกใสคู่นั้นมองดูเขาอยู่ครู่ห
เมื่อพูดถึงไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์ก็จำภาพเหตุการณ์บางช่วงบางตอนได้แค่ลางๆเท่านั้นวันนั้นที่นางถูกลักพาตัวขึ้นไปบนภูเขา โชคดีที่เขาปรากฏตัวได้ทันเวลา หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางก็จำไม่ได้แล้วแต่หลินซวงเอ๋อร์มีความทรงจำที่ดีมากต่อไป๋อวี้ถัง“พี่ไป๋เป็นคนดีมาก ครั้งที่แล้วโชคดีที่เขาปรากฏตัวไดทันเวลา ข้ายังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเขาเลย” รอให้มีโอกาส นางจะต้องขอบคุณเขาด้วยตนเองเยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีปฏิเสธสำหรับไป๋อวี้ถังแล้ว เขายังคงเชื่อใจเป็นอย่างมากมาก เหตุผลที่เขาเชื่อใจ เพราะไป๋อวี้ถังมีคนที่ชื่นชอบอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจะไม่คิดอะไรกับหลินซวงเอ๋อร์อย่างแน่นอนแต่ว่า การที่หลินซวงเอ๋อร์ชื่นชมผู้ชายคนอื่นต่อหน้าเขา เหตุใดเขาถึงรู้สึกไม่มีความสุขเลย?แขนที่อยู่ตรงสะเอวกระชับขึ้น เยี่ยเป่ยเฉิงก้มศีรษะลง จ้องไปที่นางแล้วกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกมาว่า ไป๋อวี้ถังดีตรงไหน?หืม?"หลินซวงเอ๋อร์ไม่เห็นความหึงหวงในนัยน์ตาของเขา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า " พี่ไป๋เป็นคนอ่อนโยนสง่าม นิสัยก็ดี ทุกครั้งที่พบข้าเขาจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ พี่ไป๋เป็นสุภาพบุรุษที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย "“นอ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบสนอง หลินซวงเอ๋อร์ก็คิดว่าเขายังคงโกรธอยู่ร่างกายก็อดไม่ได้ที่จะแนบชิดมากยิ่งขึ้นควรพูดอะไรเพื่อทำให้เขาเบิกบานใจนะ?หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อยถ้าพูดเกินจริงเกินไปเขาจะคิดว่านางไม่จริงใจ หรือแกล้งยกย่องเขาหรือเปล่า?สมองของนางครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นึกถึงบทกวีเหล่านั้นที่เคยอ่าน และประโยคที่เคยเขียน แต่ไม่มีบทกวีใดที่จะนำมาใช้พรรณนาเยี่ยเป่ยเฉิงได้เลยเขาเป็นเหมือนดวงจันทร์บนท้องนภา สุกสว่างสง่างาม ดุจดวงอาทิตย์ที่แผดเผาบนท้องฟ้า ที่สามารถเปล่งแสงออกมาจากร่างกายได้เขาเป็นเทพแห่งสงครามแห่งต้าซ่ง เป็นวีรบุรุษในสนามรบ และเป็นความฝันที่ไม่อาจเป็นจริงได้ที่อยู่ในใจของบุตรีผู้สูงศักดิ์ทุกคนถ้อยคำที่งดงามทั้งหมดที่นางสามารถนึกได้ก็ไม่เพียงพอที่จะนำมายกย่องเขาปริมาณคำศัพท์ที่นางรู้มีจำกัดมากขณะที่กำลังคิดอยู่ จู่ๆชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็พลิกตัว และยอมที่จะเผชิญหน้ากับนางในที่สุดเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้พูดอะไร นัยน์ตาสีดำราวกับสระน้ำเย็นคู่หนึ่งจับจ้องมองนาง และไม่รู้ว่าสุขใจหรือทุกข์ใจหลินซวงเอ๋อร์ไม่สามารถเดาความคิดของเขาออกได้ ดังนั้นนางจ
หลินซวงเอ๋อร์ไม่อาจเชื่อคำโกหกของเขาต่อไปได้อีกคนตรงหน้าเขายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ นางจึงซุกตัวอยู่ตรงมุมเหมือนกวางน้อย ด้วยร่างกายที่สั่นเทาเยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆทำไปทีละขั้นตอน โดยการเอานางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน“ถ้าจูบ คงจะไม่มากเกินไปใช่ไหม?”หลินซวงเอ๋อร์ชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียอยู่ในใจ“ ท่านอ๋องต้องรักษาคำพูดนะ สามารถจูบข้าได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”ริมฝีปากอันเรียวบางของเยี่ยเป่ยเฉิงโค้งขึ้น ทำท่าทางราวกับว่าแผนการอันเลวร้ายได้ประสบความสำเร็จแล้วเมื่อหลินซวงเอ๋อร์เห็นรอยยิ้มของเขา หัวใจก็เต้นรัว และรู้ว่าตนถูกหลอกแล้วเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ให้โอกาสนางได้หลบหนี เอานางตรึงไว้ใต้ร่างของเขา โน้มตัวแนบชิด แล้วจูบนางหลินซวงเอ๋อร์ทุบไหล่ของเขา นี่ไม่ใช่การจูบ เห็นได้ชัดว่าเขาจะทุบกระดูกนาง แล้วกินนางจนหมดเกลี้ยงนางยังคงถอยหลังกลับไป แต่สุดท้ายก็ถูกเขายึดพื้นที่จนหมด จนนางไม่มีที่ว่างให้ถอยเลยบางครั้งหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่า เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นหมาป่าที่ไม่สามารถเลี้ยงให้อิ่มได้สูงส่งเย็นชา ไม่ฝักใฝ่อิสตรีอะไรกัน ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาต่อหน้านาง เขาเลวร้ายมากเหลือเกิน!
ตอนรุ่งสางเยี่ยเป่ยเฉิงมองหลินซวงเอ๋อร์ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ ริมฝีปากอันเรียวบางยกขึ้นเล็กน้อย และทำสีหน้าท่างที่พึงพอใจเมื่อคืนจัดหนักมากจนเกินไป เยี่ยเป่ยเฉิงอยากให้นางพักผ่อนเยอะๆ จึงไม่ได้ปลุกนางก่อนที่จะออกไป เขามองย้อนกลับไปที่ดูคนที่อยู่บนเตียง ก็อดไม่ได้ที่จะกลับไปอีกครั้ง สุดท้ายก็โน้มตัวลงไปจูบแก้มที่แดงระเรื่อเล็กน้อยของนางหลินซวงเอ๋อร์ดูเหมือนจะสัมผัสได้ มือเล็กๆอันอ่อนนุ่มโผล่ออกมาจากผ้าห่ม และคว้ามุมชายเสื้อของเยี่ยเป่ยเฉิงเอาไว้เมื่อมองดูมือเล็กๆคู่นั้นที่จับเขาเอาไว้แน่น เยี่ยเป่ยเฉิงก็รู้สึกราวกับว่าถูกขนนกจั๊กจี้หัวใจเบาๆ และหัวใจก็เต้นแรงขึ้น“ สาวน้อยคนนี้ ตอนนี้รู้จักอาลัยอาวรณ์แล้ว? ” เยี่ยเป่ยเฉิงย่อตัวลง แล้วใช้นิ้วลูบแก้มของนางเบาๆราวกับว่าได้ยินเสียงของเขา ปากของหลินซวงเอ๋อร์ก็เปล่งเสียงร้องราวกับว่าเป็นสัตว์ตัวเล็กๆเมื่อเห็นท่าทางที่นางนอนหลับสนิท หัวใจของเยี่ยเป่ยเฉิงก็ละลายไปเล็กน้อยท่าทางที่นองนอนอ่อนหวานงดงามมาก ลมหายใจเบาๆของนาง ทำให้แม้แต่อากาศที่อยู่บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยกลิ่นหอมน้ำนมที่หอมเป็นอย่างมากใบหน้าที่มีขนาดเท่าฝ่ามือขาวผุดผ่
สถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ทำให้หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารบกวนเขา จึงทำได้แค่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แล้วเฝ้าดูเขาอย่างเงียบๆบนหลังม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีท่าทางที่เหล่อเหลาสูงตระหง่าน นัยน์ตาโฉบเฉี่ยวคู่นั้นมองตรงไปข้างหน้า เขายกคางสูงขึ้น ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาสนใจหลินซวงเอ๋อร์รวบรวมสติ คนที่อยู่ตรงหน้าเริ่มเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆตอนที่อยู่ใกล้หลินซวงเอ๋อร์มากที่สุด ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ฟุต แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำหลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่นั่น มองไปที่เยี่ยเป่ยเฉิง เช่นเดียวกับคนอื่นๆนางไม่กล้าตะโกน เพราะนางกลัวว่าถ้าตะโกนต่อหน้าทุกคน จะทำให้ทุกคนแตกตื่น และกลัวว่าจะไปรบกวนรถม้าของเยี่ยเป่ยเฉิงขบวนที่ยิ่งใหญ่สง่างามเช่นนี้ จะโกลาหลเพราะนางได้อย่างไร?ในที่สุด เยี่ยเป่ยเฉิงก็ค่อยๆขี่ม้าผ่านนางไปตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้มองมาที่นางเลยเป็นไปอย่างที่คาดคิดเอาไว้ เขาไม่เห็นนางหลินซวงเอ๋อร์ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวังแต่ในขณะนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับดึงบังเหียนเอาไว้จากนั้นม้าก็ร้อง กีบม้ากระแทกพื้นสองที และหยุดอยู่กับที่ทันใดนั
หลังจากที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไปแล้ว เรือนฝั่งตะวันออกก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ก็หายไป นางไม่อาจรักษารอยยิ้มอันแสนหวานเอาไว้ได้หลังจากที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไปแล้วในคืนนี้ หลินซวงเอ๋อร์นอนไม่หลับอยู่บนเตียงพอคำนวณดูแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงยกทัพไปห้าวันแล้ว แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เจอเขามานานแล้วนางไม่เคยคิดถึงใครแบบนี้มาก่อนเลย ตอนที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไป นางก็กินข้าวไม่อร่อย ตงเหมยชวนนางออกไปข้างนอกก็ไม่มีกะจิตกะใจไปตอนนี้พอนางหลับตาลง ในสมองล้วนเป็นลักษณะท่าทางของเยี่ยเป่ยเฉิง ทำให้นางนอนไม่หลับเลยหลังจากพลิกตัวไปมาครึ่งคืนแล้ว จู่ๆนางก็นึกถึงเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งได้หลินซวงเอ๋อร์เปิดผ้าห่ม ลุกขึ้นจากเตียง วิ่งไปที่ห้องตำรานของเยี่ยเป่ยเฉิง เปิดพับไฟแล้วจุดโคมเทียน เดินไปที่โต๊ะหนังสือแล้วนั่งลงนางอยากเขียนจดหมายถึงเยี่ยเป่ยเฉิง เขาเคยบอกว่า ตอนที่คิดถึงเขาก็ให้เขียนจดหมายให้เขา นางคิดถึงเขาตอนนี้ ก็ต้องเขียนมันตอนนี้เลยว่าแต่จะเขียนอะไรล่ะ?หลินซวงเอ๋อร์จ้องไปที่กระดาษเปล่าที่อยู่ตรงหน้า กัดด้สมพู่กันแล้วตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแม้ว่าน
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ