“ข้าดุร้ายตรงไหน?หืม?”ทันใดนั้นแขนที่อยู่รอบเอวก็กระชับขึ้น เขาดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนอย่างเต็มเหนี่ยวร่างกายที่อ่อนช้อย แนบชิดกับหน้าอกที่แข็งแกร่งตรงตระหง่านของเขา หัวใจของเยี่ยเป่ยเฉิงสั่นไหวราวกับว่ากำลังจะระเบิดออกมา“สาวน้อยใจร้าย ข้าเคยดุร้ายกับเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? หืม?”หลินซวงเอ๋อร์คว้าปกเสื้อของเขาไว้ในมือ แล้วพูดด้วยความสั่นเทาเล็กน้อยว่า: " ท่านอ๋องปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่... "เขากอดนางเอาไว้แน่น จนหลินซวงเอ๋อร์หายใจไม่ออกเยี่ยเป่ยเฉิงแอบผ่อนแรงลงหลินซวงเอ๋อร์เพิ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่คิดไม่ถึงว่าโลกจะหมุนอยู่ตรงหน้า เยี่ยเป่ยเฉิงพลิกตัวแล้วตรึงนางเอาไว้ด้านล่าง“ ท่านอ๋อง ท่านคิดที่จะทำอะไร…” หลินซวงเอ๋อร์เพิ่งจะตอบสนองได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะฉวยโอกาสเอาเปรียบนางอีกครั้ง ทำให้นางรู้สึกโกรธเล็กน้อยเยี่ยเป่ยเฉิง มองดูหญิงสาวที่งอนกระฟัดกระเฟียดอยู่ใต้ร่างของเขา ก็อดไม่ได้ ที่จะหัวเราะออกมาดังๆชั่วขณะ“กอดหน่อยก็ไม่ได้? ” เขาพูดเหมือนกำลังขอความคิดเห็น“ไม่ได้” ใครจะรู้ว่าเขากอดไปกอดมาจะทำเรื่องอะไรบ้าๆอีกหรือเปล่าหลินซวงเอ๋อร์ผลักไหล่ของเขาออกไปเบาๆ
นางอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตานางรู้ว่าเขาไม่ได้ซื่อตรงขนาดนั้นที่ข้างหู ทันใดนั้นการหายใจของเยี่ยเป่ยเฉิงเริ่มถี่ขึ้น“ วันที่สิบหกเดือนแปด เป็นวันมงคล เหมาะต่อการจัดงานสมรส ” ทันใดนั้นเยี่ยเป่ยเฉิงก็พูดขึ้นที่ข้างหูของนางหลินซวงเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จนลืมห้ามมือที่กำเริบเสิบสานข้างนั้นเอาไว้วันที่สิบหกเดือนแปด ไม่ใช่เดือนหน้าหรือ?“ในเมื่อข้าต้องการเจ้า ข้าก็จะรับผิดชอบเจ้า” มือขนาดใหญ่ข้างนั้นเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆร่างกายของหลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะเริ่มสั่นเทา“แต่ตอนนี้...ตอนนี้ไม่ได้” พอนางตั้งสติได้ ร่างกายที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็เริ่มดึงดันขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงการต่อต้านของนาง ในที่สุดเยี่ยเป่ยเฉิงก็ดึงมือกลับคืนมาคงเป็นเพราะครั้งที่แล้วจัดใหญ่เกินไป จึงทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวเขาเอาก็กลัดกลุ้มเช่นกัน ทุกครั้งที่มีความสัมพันธ์กันเขาก็ยากที่จะควบคุมตนเอง และไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้เยี่ยเป่ยเฉิงเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงอันอบอุ่นว่า: " ซวงเอ๋อร์ผ่อนคลาย ข้าจะไม่ทำเช่นนั้น แค่จูบ ได้หรือไม่? "หลินซวงเอ๋อร์ส่ายหัว ดวงตาที่สะอาดสุกใสคู่นั้นมองดูเขาอยู่ครู่ห
เมื่อพูดถึงไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์ก็จำภาพเหตุการณ์บางช่วงบางตอนได้แค่ลางๆเท่านั้นวันนั้นที่นางถูกลักพาตัวขึ้นไปบนภูเขา โชคดีที่เขาปรากฏตัวได้ทันเวลา หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางก็จำไม่ได้แล้วแต่หลินซวงเอ๋อร์มีความทรงจำที่ดีมากต่อไป๋อวี้ถัง“พี่ไป๋เป็นคนดีมาก ครั้งที่แล้วโชคดีที่เขาปรากฏตัวไดทันเวลา ข้ายังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเขาเลย” รอให้มีโอกาส นางจะต้องขอบคุณเขาด้วยตนเองเยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีปฏิเสธสำหรับไป๋อวี้ถังแล้ว เขายังคงเชื่อใจเป็นอย่างมากมาก เหตุผลที่เขาเชื่อใจ เพราะไป๋อวี้ถังมีคนที่ชื่นชอบอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจะไม่คิดอะไรกับหลินซวงเอ๋อร์อย่างแน่นอนแต่ว่า การที่หลินซวงเอ๋อร์ชื่นชมผู้ชายคนอื่นต่อหน้าเขา เหตุใดเขาถึงรู้สึกไม่มีความสุขเลย?แขนที่อยู่ตรงสะเอวกระชับขึ้น เยี่ยเป่ยเฉิงก้มศีรษะลง จ้องไปที่นางแล้วกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกมาว่า ไป๋อวี้ถังดีตรงไหน?หืม?"หลินซวงเอ๋อร์ไม่เห็นความหึงหวงในนัยน์ตาของเขา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า " พี่ไป๋เป็นคนอ่อนโยนสง่าม นิสัยก็ดี ทุกครั้งที่พบข้าเขาจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ พี่ไป๋เป็นสุภาพบุรุษที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย "“นอ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบสนอง หลินซวงเอ๋อร์ก็คิดว่าเขายังคงโกรธอยู่ร่างกายก็อดไม่ได้ที่จะแนบชิดมากยิ่งขึ้นควรพูดอะไรเพื่อทำให้เขาเบิกบานใจนะ?หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อยถ้าพูดเกินจริงเกินไปเขาจะคิดว่านางไม่จริงใจ หรือแกล้งยกย่องเขาหรือเปล่า?สมองของนางครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นึกถึงบทกวีเหล่านั้นที่เคยอ่าน และประโยคที่เคยเขียน แต่ไม่มีบทกวีใดที่จะนำมาใช้พรรณนาเยี่ยเป่ยเฉิงได้เลยเขาเป็นเหมือนดวงจันทร์บนท้องนภา สุกสว่างสง่างาม ดุจดวงอาทิตย์ที่แผดเผาบนท้องฟ้า ที่สามารถเปล่งแสงออกมาจากร่างกายได้เขาเป็นเทพแห่งสงครามแห่งต้าซ่ง เป็นวีรบุรุษในสนามรบ และเป็นความฝันที่ไม่อาจเป็นจริงได้ที่อยู่ในใจของบุตรีผู้สูงศักดิ์ทุกคนถ้อยคำที่งดงามทั้งหมดที่นางสามารถนึกได้ก็ไม่เพียงพอที่จะนำมายกย่องเขาปริมาณคำศัพท์ที่นางรู้มีจำกัดมากขณะที่กำลังคิดอยู่ จู่ๆชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็พลิกตัว และยอมที่จะเผชิญหน้ากับนางในที่สุดเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้พูดอะไร นัยน์ตาสีดำราวกับสระน้ำเย็นคู่หนึ่งจับจ้องมองนาง และไม่รู้ว่าสุขใจหรือทุกข์ใจหลินซวงเอ๋อร์ไม่สามารถเดาความคิดของเขาออกได้ ดังนั้นนางจ
หลินซวงเอ๋อร์ไม่อาจเชื่อคำโกหกของเขาต่อไปได้อีกคนตรงหน้าเขายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ นางจึงซุกตัวอยู่ตรงมุมเหมือนกวางน้อย ด้วยร่างกายที่สั่นเทาเยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆทำไปทีละขั้นตอน โดยการเอานางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน“ถ้าจูบ คงจะไม่มากเกินไปใช่ไหม?”หลินซวงเอ๋อร์ชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียอยู่ในใจ“ ท่านอ๋องต้องรักษาคำพูดนะ สามารถจูบข้าได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”ริมฝีปากอันเรียวบางของเยี่ยเป่ยเฉิงโค้งขึ้น ทำท่าทางราวกับว่าแผนการอันเลวร้ายได้ประสบความสำเร็จแล้วเมื่อหลินซวงเอ๋อร์เห็นรอยยิ้มของเขา หัวใจก็เต้นรัว และรู้ว่าตนถูกหลอกแล้วเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ให้โอกาสนางได้หลบหนี เอานางตรึงไว้ใต้ร่างของเขา โน้มตัวแนบชิด แล้วจูบนางหลินซวงเอ๋อร์ทุบไหล่ของเขา นี่ไม่ใช่การจูบ เห็นได้ชัดว่าเขาจะทุบกระดูกนาง แล้วกินนางจนหมดเกลี้ยงนางยังคงถอยหลังกลับไป แต่สุดท้ายก็ถูกเขายึดพื้นที่จนหมด จนนางไม่มีที่ว่างให้ถอยเลยบางครั้งหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่า เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นหมาป่าที่ไม่สามารถเลี้ยงให้อิ่มได้สูงส่งเย็นชา ไม่ฝักใฝ่อิสตรีอะไรกัน ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาต่อหน้านาง เขาเลวร้ายมากเหลือเกิน!
ตอนรุ่งสางเยี่ยเป่ยเฉิงมองหลินซวงเอ๋อร์ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ ริมฝีปากอันเรียวบางยกขึ้นเล็กน้อย และทำสีหน้าท่างที่พึงพอใจเมื่อคืนจัดหนักมากจนเกินไป เยี่ยเป่ยเฉิงอยากให้นางพักผ่อนเยอะๆ จึงไม่ได้ปลุกนางก่อนที่จะออกไป เขามองย้อนกลับไปที่ดูคนที่อยู่บนเตียง ก็อดไม่ได้ที่จะกลับไปอีกครั้ง สุดท้ายก็โน้มตัวลงไปจูบแก้มที่แดงระเรื่อเล็กน้อยของนางหลินซวงเอ๋อร์ดูเหมือนจะสัมผัสได้ มือเล็กๆอันอ่อนนุ่มโผล่ออกมาจากผ้าห่ม และคว้ามุมชายเสื้อของเยี่ยเป่ยเฉิงเอาไว้เมื่อมองดูมือเล็กๆคู่นั้นที่จับเขาเอาไว้แน่น เยี่ยเป่ยเฉิงก็รู้สึกราวกับว่าถูกขนนกจั๊กจี้หัวใจเบาๆ และหัวใจก็เต้นแรงขึ้น“ สาวน้อยคนนี้ ตอนนี้รู้จักอาลัยอาวรณ์แล้ว? ” เยี่ยเป่ยเฉิงย่อตัวลง แล้วใช้นิ้วลูบแก้มของนางเบาๆราวกับว่าได้ยินเสียงของเขา ปากของหลินซวงเอ๋อร์ก็เปล่งเสียงร้องราวกับว่าเป็นสัตว์ตัวเล็กๆเมื่อเห็นท่าทางที่นางนอนหลับสนิท หัวใจของเยี่ยเป่ยเฉิงก็ละลายไปเล็กน้อยท่าทางที่นองนอนอ่อนหวานงดงามมาก ลมหายใจเบาๆของนาง ทำให้แม้แต่อากาศที่อยู่บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยกลิ่นหอมน้ำนมที่หอมเป็นอย่างมากใบหน้าที่มีขนาดเท่าฝ่ามือขาวผุดผ่
สถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ทำให้หลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารบกวนเขา จึงทำได้แค่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แล้วเฝ้าดูเขาอย่างเงียบๆบนหลังม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีท่าทางที่เหล่อเหลาสูงตระหง่าน นัยน์ตาโฉบเฉี่ยวคู่นั้นมองตรงไปข้างหน้า เขายกคางสูงขึ้น ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาสนใจหลินซวงเอ๋อร์รวบรวมสติ คนที่อยู่ตรงหน้าเริ่มเข้ามาใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆตอนที่อยู่ใกล้หลินซวงเอ๋อร์มากที่สุด ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ฟุต แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำหลินซวงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่นั่น มองไปที่เยี่ยเป่ยเฉิง เช่นเดียวกับคนอื่นๆนางไม่กล้าตะโกน เพราะนางกลัวว่าถ้าตะโกนต่อหน้าทุกคน จะทำให้ทุกคนแตกตื่น และกลัวว่าจะไปรบกวนรถม้าของเยี่ยเป่ยเฉิงขบวนที่ยิ่งใหญ่สง่างามเช่นนี้ จะโกลาหลเพราะนางได้อย่างไร?ในที่สุด เยี่ยเป่ยเฉิงก็ค่อยๆขี่ม้าผ่านนางไปตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้มองมาที่นางเลยเป็นไปอย่างที่คาดคิดเอาไว้ เขาไม่เห็นนางหลินซวงเอ๋อร์ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวังแต่ในขณะนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับดึงบังเหียนเอาไว้จากนั้นม้าก็ร้อง กีบม้ากระแทกพื้นสองที และหยุดอยู่กับที่ทันใดนั
หลังจากที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไปแล้ว เรือนฝั่งตะวันออกก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ก็หายไป นางไม่อาจรักษารอยยิ้มอันแสนหวานเอาไว้ได้หลังจากที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไปแล้วในคืนนี้ หลินซวงเอ๋อร์นอนไม่หลับอยู่บนเตียงพอคำนวณดูแล้ว เยี่ยเป่ยเฉิงยกทัพไปห้าวันแล้ว แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เจอเขามานานแล้วนางไม่เคยคิดถึงใครแบบนี้มาก่อนเลย ตอนที่เยี่ยเป่ยเฉิงจากไป นางก็กินข้าวไม่อร่อย ตงเหมยชวนนางออกไปข้างนอกก็ไม่มีกะจิตกะใจไปตอนนี้พอนางหลับตาลง ในสมองล้วนเป็นลักษณะท่าทางของเยี่ยเป่ยเฉิง ทำให้นางนอนไม่หลับเลยหลังจากพลิกตัวไปมาครึ่งคืนแล้ว จู่ๆนางก็นึกถึงเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งได้หลินซวงเอ๋อร์เปิดผ้าห่ม ลุกขึ้นจากเตียง วิ่งไปที่ห้องตำรานของเยี่ยเป่ยเฉิง เปิดพับไฟแล้วจุดโคมเทียน เดินไปที่โต๊ะหนังสือแล้วนั่งลงนางอยากเขียนจดหมายถึงเยี่ยเป่ยเฉิง เขาเคยบอกว่า ตอนที่คิดถึงเขาก็ให้เขียนจดหมายให้เขา นางคิดถึงเขาตอนนี้ ก็ต้องเขียนมันตอนนี้เลยว่าแต่จะเขียนอะไรล่ะ?หลินซวงเอ๋อร์จ้องไปที่กระดาษเปล่าที่อยู่ตรงหน้า กัดด้สมพู่กันแล้วตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแม้ว่าน
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก