ตอนที่กลับไป ท้องฟ้ายังไม่มืด ร้านค้าข้างทางเต็มไปด้วยสินค้าที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย บนถนนที่กว้างใหญ่ พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ทำให้ครึกครื้นเป็นอย่างมากตอนที่เดินผ่านร้านขนมที่คุ้นเคย กลิ่นหอมหวานเย้ายวนก็โชยมาเยี่ยเป่ยเฉิงหยุดเดินชั่วคราวไป๋อวี้ถังที่อยู่ด้านข้างจึงกล่าวว่า: "เจ้าไม่ชอบทานขนมหวานเหล่านี้ไม่ใช่หรือ?"ทั้งสองรู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก ไป๋อวี้ถังจึงรู้ว่าของชื่นชอบอะไร ในความทรงจำของเขา เยี่ยเป่ยเฉิงจะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานและมันเยิ้มเหล่านี้เมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่เขากลับจวนหลังจากประชุมงานเสร็จจะซื้อแล้วห่อกลับไปสองชุดทุกครั้งเยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "นางชอบกิน"ไป๋อวี้ถังรู้อย่างแน่นอนว่า"นาง"ที่เยี่ยเป่ยเฉิงพูดหมายถึงใคร ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจทันทีเขาเงยหน้ามองชื่อร้านอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวในใจว่า " ที่แท้นางก็ชอบกินของพวกนี้ "แต่ว่า เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้คิดที่จะเข้าไป แค่หยุดเดินเพียงครู่หนึ่ง แล้วจากไปโดยที่ไม่ลังเลใจไป๋อวี้ถังรู้สึกงุนงง: "เหตุใดเจ้าถึงไม่เข้าไปซื้อแล้วห่อกลับสองชุด?"เมื่อได้ยินดังนี้ คิ้วของเยี่ยเป่ยเฉิงมีร่องรอยของความโศกเศร้า: "ช่ว
เมื่อเจ้าของร้านขายแผงลอยเห็นว่าไป๋อวี้ถังชื่นชอบสร้อยข้อมือเส้นนั้นเป็นอย่างมาก จึงกล่าวว่า "นายท่าน ถ้าชื่นชอบก็ซื้อเถิด มันเหมาะสมที่สุดที่จะนำกลับไปมอบให้หญิงสาวอันเป็นที่รัก"ไป๋อวี้ถังอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น แล้วค่อยๆวางสร้อยข้อมือกลับไป: " ข้าเป็นคนไม่มีคู่ จึงไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้ "เจ้าของร้านแผงลอยยิ้มแล้วกล่าวว่า: "ซื้อเตรียมเอาไว้ก่อนก็ได้ บางทีอาจจะได้พบกันในภายหลัง"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวว่า: "ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมเขา เขาซื้อไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องเอาไปให้ใคร สร้อยข้อมือนี้ เดี๋ยวข้าซื้อเอง" ขณะที่พูดก็ควักเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากในอ้อมแขนแล้วมอบให้เจ้าของร้านแผงลอย“ไม่ต้องทอน บรรจุห่อสร้อยข้อมือเส้นนี้ให้ข้าด้วย”เมื่อเจ้าของร้านแผงลอยเห็นเยี่ยเป่ยเฉิงใจป้ำเช่นนี้ ก็รีบวางผลิตภัณฑ์อื่นๆทั้งหมดของตนเองไว้บนแผงอย่างรวดเร็ว"คุณชาย ท่านลองดูสิ่งของเหล่านี้สิขอรับ ล้วนเป็นของที่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น"เดิมทีเยี่ยเป่ยเฉิงไม่ชื่นชอบสิ่งเหล่านี้เลย แต่นัยน์ตาของเขาถูกของบางอย่างที่อยู่บนแผงดึงดูดอย่างรวดเร็วนั่นก็คือถุงเงินที่ปักลายมังกรหงส์ใบหนึ่งเขาหยิบถุงเงินใบนั้นเอาไว
แต่นางเป็นคนที่ไม่สามารถนั่งนิ่งได้ นางคิดว่า อย่างไรเสียมือของนางก็เกือบจะหายดีแล้ว ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ จึงฝึกฝนให้มากขึ้น“ภูเขามีต้นไม้ ต้นไม้ก็มีกิ่งก้าน ในใจข้าก็มีเจ้า เหตุใดจึงมิรู้” เมื่อเขียนถึงประโยคนี้ จู่ๆหลินซวงเอ๋อร์ก็ชะงักไปนางนึกถึงสิ่งที่เยี่ยเป่ยเฉิงพูดกับนางในวันนั้น และคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับนางเขาบอกว่าเขาจะสมรสกับนาง และทำให้นางกลายเป็นนายหญิงของจวนโหวในอนาคตโอ้สวรรค์ นางไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดว่าจะเป็นนายหญิงดีที่ได้อย่างไรเมื่อนึกถึงการสมรสกับเยี่ยเป่ยเฉิง และต้องดูแลกิจการขนาดใหญ่เช่นนี้ หลินซวงเอ๋อร์ก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจถ้านางทำได้ไม่ดีจะทำอย่างไร?เยี่ยเป่ยเฉิงจะรังเกียจนางหรือเปล่า?ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้นางคิดมากเกินไป จึงทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืนโชคดีที่เยี่ยเป่ยเฉิงไม่ได้บีบบังคับนาง แล้วบอกว่าจะให้เวลานางคิดไตร่ตรองแต่ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไร จิตใจของนางก็ยิ่งวุ่นวายสับสนมากขึ้นเท่านั้น จึงทำให้มีแม้กระทั่งความคิดที่จะหลบหนีการสมรสกับเยี่ยเป่ยเฉิง เป็นเรื่องที่นางไม่เคยนึกถึงเลย แม้แต่ในความฝันก็ไม่กล้
เยี่ยเป่ยเฉิงโกรธขึ้นมาโดยที่ไม่มีสาเหตุอีกครั้ง และดูท่าทางเหมือนว่าจะโกรธมากหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดเขาบอกว่าเขาไม่อยากได้ถุงเงินใบนั้น และเป็นเขาที่โยนมันลงบนพื้น พอมาถึงตอนนี้เหตุใดถึงได้มาโทษนาง?แต่ทว่า เกรี้ยวโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์ ขายไปแล้วก็คือขายไปแล้วนับตั้งแต่ที่เขาโยนมันลงบนพื้น วันต่อมาหลินซวงเอ๋อร์ก็ขายมันให้กับเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าเจ้าของร้านชื่นชอบมันมาก จึงซื้อมันในราคายี่สิบเหรียญเงินยี่สิบเหรียญ เทียบเท่ากับเงินเดือนครึ่งปีของนาง หลินซวงเอ๋อร์จึงไม่ลังเลใจ และมอบมันให้กับเจ้าของร้านทันที" ท่านอ๋อง เอาอย่างนี้ไหม ข้าจะทำอันใหม่ให้ท่าน ปักเป็ดแมนดารินคู่หนึ่งกำลังเล่นน้ำอยู่ ท่านว่าดีหรือไม่?” หลินซวงเอ๋อร์พยายามที่จะง้อเขา "หากเยี่ยเป่ยเฉิงยังเกรี้ยวโกรธอยู่ตลอดเวลา มันจะไม่ส่งผลดีกับนางแค่ทว่า นางเป็นคนที่มีวาทศิลป์ที่ไม่ดีมาโดยตลอด จึงไม่มีประสบการณ์ทางด้านการง้อคนอะไรเห็นไหม แค่พูดคำที่ไม่ตรงกับความปรารถนาของเขา ก็ทำให้เขาโกรธอีกแล้ว“เป็ดแมนดารินป่าคู่หนึ่งมันมีอะไรพิเศษหรือ! ข้าอยากจะได้อันเดิมอันนั้น!”ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธ
ตลาดนัดริมถนนในตอนเย็นคึกคักเป็นที่สุดหลินซวงเอ๋อร์สวมชุดสีเรียบง่ายและคล้องแขนของตงเหมยเอาไว้ แล้วเดินอยู่บนถนนอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยแม้ว่านางจะไม่ได้แต่งหน้า แต่งตัวอย่างเรียบง่าย แต่ผิวพรรณของนางขาวกว่าหิมะ และมีบุคคลิกที่เหมือนว่าเกิดจากโคลนตมแต่ก็ไม่เปื้อนสกปรก จึงทำให้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบตัวอยู่เสมอแตทว่า หลินซวงเอ๋อร์กลับไม่ได้สังเกตเห็นการจับจ้องของผู้คนที่เดินผ่านไปมา นางไม่ได้ออกจากจวนมาเป็นเวลานานแล้ว มันง่ายเลยที่จะได้ออกมาสักครั้ง นางจึงต้องเดินเที่ยวเล่นให้หนำใจ“ ซวงเอ๋อร์ เจ้านำเงินมาพอไหม?” ตงเหมยก็ตื่นเต้นพอๆกัน แต่ก่อนออกจากจวนเพื่อทำธุระ มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ที่ท่านอ๋องยอมให้นางติดตามหลินซวงเอ๋อร์ออกจากจวนมาเที่ยวเล่นหลินซวงเอ๋อร์ควักถุงเงินออกมาจากอ้อมแขน แล้วกล่าวว่า " ตอนที่ออกมาจากจวน ท่านอ๋องให้ข้ามาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะพอหรือไม่ "ตงเหมยมองดูถุงเงินหนักๆที่อยู่ในมือนาง ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เปล่งประกายก็: " ท่านอ๋องช่างใจกว้างมากเลย ถึงได้ให้เงินรางวัลเข้ามากมายขนาดนี้ "ทันใดนั้นหลินซวงเอ๋อร์ก็มีสีหน้าที่แดงระเรื่อนางเอามือแตะริมฝีปากที่บวมแ
“แม่นาง”มีเสียงแปลกหน้าดังมาจากด้านหลังหลินซวงเอ๋อร์หันกลับมา ก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งหลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "ท่านยาย มีเรื่องอะไรหรือ?"หญิงชราดูไปแล้วเป็นคนที่ใจดีมีเมตตา นางยิ้มให้หลินซวงเอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า " ขาของยายเดินเหินไม่สะดวก แม่นางส่งยายกลับบ้านได้หรือไม่? "หลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "บ้านของยายอยู่ไหนหรือ?"หญิงชราชี้ไปที่ปากทางเข้าซอยทิศตะวันตก แล้วกล่าวว่า “ อยู่ไม่ไกลมากนัก อยู่ข้างหน้านี่เอง แม่นางดูเป็นคนจิตใจดี ช่วหญิงชราอย่างยายสักครั้งได้หรือไม่? ”หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย นางมองดูของขนาดเล็กขนาดใหญ่ที่อยู่บนพื้น ทำให้นางไปไหนไม่ได้เลยนางพูดกับหญิงชราว่า: "ท่านยาย ข้าต้องขอโทษด้วย ตอนนี้ข้าต้องเฝ้าดูสิ่งของเหล่านี้ ไปไม่ได้จริงๆ เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวข้าจะหาคนอื่นให้? "หญิงชราคิดไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธ หญิงชราขมวดคิ้วเล็กน้อย“แม่นาง ยายหาใครไม่ได้จริงๆ หากเจ้ามีจิตใจดี ได้โปรดช่วยยายด้วย”หลินซวงเอ๋อร์ขมวดคิ้วนางสัญญากับตงเหมยไว้แล้ว จึงไม่สามารถผิดสัญญากับนางได้ ส่วนหญิงชราคนนี้... หลินซวงเอ๋อร์มองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นเจ้าหน้าที่ทางการหลายคนที่อยู
หลังจากฟังตงเหมยพูดแล้ว ไป๋อวี้ถังก็ประเมินเวลา“เพียงเวลาแค่เพียงครึ่งธูป พวกเขาน่าจะหนีไปได้ไม่ไกล!”อย่างไรเสียไป๋อวี้ถังก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ที่โชกโชน แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าในใจของเขาจะตื่นตระหนกมาก แต่เขาก็ยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีสติในอีกด้านหนึ่ง เขาให้ตงเหมยกลับไปที่จวนโหวเพื่อแจ้งให้เยี่ยเป่ยเฉิงทราบทันที อีกด้านหนึ่งก็ให้ลูกน้องใต้อาณัติเอาตราสัญลักษณ์ไปปิดกั้นประตูเมืองเอาไว้ตงเหมยไม่กล้าชักช้า วิ่งไปที่จวนโหวโดยที่ไม่ได้หยุดพักเลยไป๋อวี้ถังไม่กล้าที่จะชักช้าเช่นกัน แผนการในตอนนี้ก็คือการตามหานางให้เจอก่อน หากล่าช้าไปสักวินาที หลินซวงเอ๋อร์อาจจะตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้นเขานำคนที่เหลือไปตรวจตราทีละบ้าน แม้แต่สถานที่อย่างหอจุ้ยชุนก็ไม่เว้นแต่แม้ว่าจะพลิกแผ่นดินหาทั่วทั้งถนนฉางอานแล้ว ก็หาหลินซวงเอ๋อร์ไม่เจอเลยไป๋อวี้ถังครุ่นคิดอย่างรอบคอบอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อไม่ได้อยู่บนถนนฉางอาน พวกเขาจะต้องการพานางออกจากเมืองแน่! อีกอย่าง พวกเขายังพาคนที่หมดสติไปด้วย ดังนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลบหนี และจะต้องซ่อนตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่ง เพื
ทันทีที่วัวเทียมเกวียนออกจากประตูเมืองก็มุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาที่มีป่าทึบ เมื่อไปถึงสถานที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ชายชราก็ถอดหน้ากากออก แล้วเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นออกมา เมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาแล้ว อายุน่าจะประมาณสามสิบปีชายคนนั้นใช้มือรื้อฟางที่อยู่บนวัวเทียมเกวียนออก คิดไม่ถึงว่าวัวเทียมเกวียนที่ดูธรรมดาจะมีความพิเศษมากกว่านั้น ชั้นล่างสุดมีช่องลับช่องหนึ่งซ่อนอยู่เมื่อเปิดช่องลับออก ก็พบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่ข้างในเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ก็คือหลินซวงเอ๋อร์เพียงแต่ว่า ในเวลานี้หลินซวงเอ๋อร์ยังคงหมดสติอยู่ มือและเท้าของนางถูกมัดเอาไว้ ส่วนในปากก็ถูกยัดด้วยผ้าในเวลานี้ ผู้สมรู้ร่วมคิดสองคนในชุดลำลองก็เดินออกมาจากป่าทึบชายหน้าบากยกหลินซวงเอ๋อร์ขึ้นมา แล้ววางไว้บนไหล่ จากนั้นก็พูดกับผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งสองคนว่า: "จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ด้านหลังมีคนไล่ตามมา"ทันทีที่พูดจบ ก็มีเสียงเกือกม้าดังเข้ามาหาพวกเขาคนสองสามคนไม่หล้าอยู่ต่อ จึงอุ้มหลินซวงเอ๋อร์แล้วเดินลึกเข้าไปในภูเขาที่มีป่าทึบระหว่างทาง หลินซวงเอ๋อร์ตื่นขึ้นเพราะความโคลงเคลง แต่เนื่องจา
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก