บทที่ 41/2 ทวงสินเดิมของมารดา “เจ้า!” หวังเหลียงหน้าแดงก่ำ ในอกเต็มด้วยความคับแค้นใจ “ข้าทำไมเจ้าคะ ก่อนที่ใต้เท้าหวังจะนำเงินทองที่ไม่ใช่ของตนไปใช้ ไยไม่คิดให้ถี่ถ้วนก่อน ว่าวันหนึ่งเจ้าของตัวจริงจะกลับมาทวงคืน ถึงจะโวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเป็นหนี้ก็ต้องใช้คืน รีบทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกันดีกว่า สัญญาปากเปล่าข้าไม่เชื่อถือ” รวี่เยว่ร่างหนังสือสัญญา กำหนดระยะเวลาชดใช้หนี้ของหวังเหลียง รวมถึงระบุรายละเอียดทุกอย่าง โดยมีชางฮวน พ่อบ้านถัง และชุนอิ่งลงชื่อและประทับลายมือเป็นพยาน จากนั้นใต้เท้าชางและพวกนางจึงกลับออกมาจากจวนตระกูลหวัง พร้อมสินเดิมที่ยังคงหลงเหลือ… ส่วนเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีคำสั่งให้เผยคังสังหารนาง เรื่องนี้นางค่อยเก็บไปคิดบัญชีกับยัยแก่นั่นทีหลัง! ครั้นพ่อบ้านกลับมารายงานว่า ชางฮวนและหญิงสาวทั้งสอง ออกจากจวนไปแล้ว หวังเหลียงจึงเลิกข่มกลั้นโทสะ คำรามเสียงดังลั่น กวาดชุดน้ำชาบนโต๊ะตกแตกกระจาย ภายในอกร้อนรุ่มเหมือนมีไฟผลาญ กระอักเลือดออกมาในที่สุด ราวหนึ่งชั่วยามถัดมา หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้บ้างแล้ว หวังเหลียงจึงขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปจวนสกุลจิ่ว เขา
บทที่ 42/1 งานเลี้ยงน้ำชาแสนรื่นเริง วั่งเตี้ยนเถียนรู้สึกขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง รีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่ออย่างมีจริต พลางเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “คงเป็นเพราะอากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนไปบ้าง ขายหน้านายหญิงแล้ว” รวี่เยว่ลากเสียงอืมยาวในลำคอตาใสซื่อ พลางหันไปพยักหน้าให้หม่าลั่วและสาวใช้ผู้เงียบงัน ทั้งคู่ยื่นกล่องของขวัญสองใบให้สาวใช้ของวั่งฮูหยิน “กล่องสีแดงเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณจากหอโอสถเยว่เสียง มอบให้แก่วั่งฮูหยินและคุณหนูเจ้าค่ะ ส่วนกล่องสีน้ำเงินขอมอบให้ท่านอัครมหาเสนาบดี” วั่งฮูหยินลอบพิจารณาอีกฝ่ายอยู่ในใจ จนถึงตอนนี้นางกระจ่างแจ้งแล้วว่า เพราะเหตุใดองค์ชายใหญ่ถึงได้พึงใจหญิงสาวผู้นี้นัก ‘ถึงจะถือดีไปบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่านางเป็นหญิงสาวที่เลอโฉมและสง่างามจริงๆ การที่นางสามารถทำให้นักพรตระดับหยวนอิงยอมติดตามรับใช้ เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดาแน่’ ครั้นตระหนักได้ดังนั้น วั่งฮูหยินจึงระบายยิ้มที่ดูจริงใจกว่าของวั่งเตี้ยนเถียนให้ผู้มาเยือน “ขอบใจนายหญิงมาก ไม่ทราบว่าท่านพอจะบอกชื่อเสียงเรียงนามของตนให้ข้าทราบได้หรือไม่” รวี่เยว่ไม่คิดปิดบัง เอ่ยบอกนามของตนกับอีกฝ่าย ทั้งยั
บทที่ 42/2 งานเลี้ยงน้ำชาแสนรื่นเริง โดยปกติงานเลี้ยงน้ำชาในจวนขุนนางใหญ่ น้ำชาชงใหม่จะถูกนำมาเปลี่ยนทุกๆ สองเค่อ สาวใช้ผู้มีหน้าที่รินชาให้แขก นำถ้วยใหม่มาเปลี่ยนให้รวี่เยว่ก่อนรินชา จากนั้นจึงเปลี่ยนให้คุณหนูที่อยู่ข้างๆ เป็นลำดับต่อไป รวี่เยว่ยกชาขึ้นมาเป่าอย่างละเมียดละไม ก่อนจะนิ่งงันไปชั่วขณะ ดวงตาทอประกายกล้าวาบหนึ่ง มุมปากยกยิ้มมีเลศนัย ลดมือวางถ้วยชาลง ก่อนยกขึ้นมาโบกเอื่อยเฉื่อยคล้ายไล่ความร้อน ในเสี้ยวลมหายใจนั้น ทุกสิ่งรอบกายพลันหยุดนิ่ง ร่างบางแวบไปปรากฏอยู่หน้าวั่งเตี้ยนเถียน ก่อนกลับมานั่งยังที่ของตนในชั่วพริบตา ทุกสิ่งเคลื่อนไหวเหมือนปกติอีกครั้ง ราวกับไม่มีสิ่งใดผิดแผกเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มือเรียวขาวผุดผาดของรวี่เยว่ ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสบายใจ ทุกอากัปกิริยาตกอยู่ภายใต้สายตาของวั่งเตี้ยนเถียน ซึ่งแววตาฉายประกายอันตรายวาบหนึ่งก่อนจางหายไป… ครึ่งเค่อต่อมาท้องไส้ของวั่งเตี้ยนเถียนเริ่มบิดมวน เหงื่อกาฬเม็ดเล็กผุดซึมทั่วกรอบหน้า ก้มมองถ้วยชาของตนด้วยสีหน้าฉงน ก่อนหันไปมองรวี่เยว่ที่กำลังเจรจาการค้า กับบรรดาคุณหนูหลายคนที่มาร่วมงานด้วยสีหน้าแช่มชื่น ไร้ซึ่งอาการผิดปกติใ
บทที่ 43/1 อร่อยไหมเจ้าคะ เมื่อได้ฟังรายงานจากองครักษ์ ดวงตาคู่งามของรวี่เยว่ทอประกายเจิดจ้า สีหน้าแสดงถึงความปีติยินดีอย่างเหลือล้น “มาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ?!” “ขอรับ” ร่างบางหันมายอบกายแช่มช้อยให้องค์ชายใหญ่ กล่าวร่ำลาอย่างมีมารยาท จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าจากไป ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนอ้าปากค้าง เพราะยังไม่ทันได้ถามในสิ่งที่ข้องใจ แผ่นหลังของสาวเจ้าก็หายไปจากครรลองสายตาเสียแล้ว หวงฝู่ฮ่าวอวี่เลยเปลี่ยนมาถามหม่าลั่วแทน “ใครมาหาคุณหนูรวี่เยว่หรือ นางถึงได้ตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง” หวังว่าไม่ใช่เจ้าปีศาจจิ้งจอก จากตำหนักเทพอนันต์ผู้นั้นนะ! หม่าลั่วกระตุกยิ้มมีเลศนัย ประสานมือค้อมเอวเต็มพิธีการ “อีกไม่นานก็ทรงทราบเองพะย่ะค่ะ กระหม่อมขอตัว” …ณ แดนเทพอันศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนที่สรรพชีวิตใฝ่ฝันว่าจะได้ขึ้นมาเสพสุขในบั้นปลาย สถานที่ซึ่งหลุดพ้น ปราศจากสิ่งโสมมทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดรบกวนจิตใจให้มัวหมอง ไร้ซึ่งความวุ่นวาย ไร้ซึ่งการแก่งแย่งแข่งขัน เงียบสงบร่มรื่น…จนน่าเบื่อ จึงมิใช่เรื่องแปลกที่บรรดาทวยเทพทั้งหลาย ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการกักตนบำเพ็ญเพียร ด้วยเพราะไม่รู้ว่าวันๆ จะทำอะ
บทที่ 43/2 อร่อยไหมเจ้าคะ อวี้เหวินเทียนหยานั่งรออยู่ในห้องอาหาร สนทนากับเสี่ยวเฮยมาวถึงธุระสำคัญ ที่รวี่เยว่ต้องสะสางในเมืองเทียนหวงแห่งนี้ ดวงตาคมกริบของอวี้เหวินเทียนหยาปรากฏระลอกคลื่น ยามได้ยินเรื่องที่นางถูกวางยาพิษเมื่อตอนเป็นเด็ก “เป็นเรื่องที่สมควรต้องสะสางจริงๆ …แล้วองค์ไท่จื่อฮั่วเฮ่อฉีล่ะ ท่านเย่หมิงคิดว่าเขาเป็นคนอย่างไร ดีพอสำหรับรวี่เยว่หรือไม่” เสี่ยวเฮยมาวไม่แปลกใจที่ชายหนุ่มทราบความ จึงเอ่ยตอบไปตามความเห็น เรื่องที่ตัวมันคิดว่าฮั่วเฮ่อฉีเป็นคนใช้ได้ ภายนอกอาจดูยโสโอหังไปบ้าง หากแต่ความจริงกลับเป็นคนดีและใจกว้างไม่น้อย อีกทั้งซื่อตรงต่อหัวใจตนเอง อวี้เหวินเทียนหยาพยักหน้าเบาๆ หลังได้ฟังความเห็นจากพยัคฆ์อนธการ ครู่ต่อมารวี่เยว่ก็ยกของว่างออกมาจากครัว หญิงสาวนั่งกินเป็นเพื่อนเขา “ท่านอ๋องกินเยอะๆ นะเจ้าคะ ข้าอุตส่าห์ตั้งใจทำเพื่อท่านโดยเฉพาะเลยนะ” มือบางคีบก๋วยเตี๋ยวหลอด ที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำใส่จานให้ร่างสูงด้วยรอยยิ้ม “อยากให้ข้ากินเยอะๆ เจ้าคงต้องป้อนข้าเหมือนสมัยก่อน” อวี้เหวินเทียนหยาเอ่ยเย้า หวนรำลึกถึงช่วงเวลา ในยามที่เขายุ่งจนไม่มีเวลากินข้าว รวี่เยว่จะ
บทที่ 44 เคืองแค้น มิใช่แค่จวนตระกูลวั่งที่กำลังอยู่ในสภาวะตึงเครียด สภาพการณ์ของจวนตระกูลหวังในเวลานี้ หากกล่าวว่ากำลังเลวร้ายอย่างถึงที่สุด ก็คงไม่ผิดนัก ผู้นำตระกูลอย่างหวังเหลียงเอาแต่เมามายหัวราน้ำ อาละวาดขว้างปาข้าวของในเรือนจนพังพินาศ บ่าวไพร่ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนต่างเข้าหน้าไม่ติด ผ่านมาสามวันแล้วที่หวังเหลียงพยายามตามหาตัวจิ่วเม่ย ทว่าไร้ซึ่งเบาะแสใดๆให้สืบต่อ เพื่อนบ้านที่อยู่ในระแวกนั้น ต่างให้การตรงกันว่า ไม่เห็นใครเข้าหรือออกจากจวนสกุลจิ่ว ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาแม้แต่คนเดียว ทางด้านเหวินไป๋เหลียนที่พอมีสติหลงเหลือบ้างในช่วงกลางวัน รีบรุดมายังเรือนสามีด้วยสีหน้าท่าทางของผู้ชนะ หลังทราบข่าวเรื่องที่อนุในเรือนทองของหวังเหลียงหนีไป จากปากสาวใช้คนหนึ่งในจวน เหวินไป๋เหลียนเคยเป็นสตรีงดงาม ทว่าเวลานี้ซูบผอมจนตาลึกโหล นางยืนพิงอยู่ที่กรอบประตู เหยียดปากเอ่ยวาจาตอกย้ำสามีด้วยน้ำเสียงแดกดัน “โถๆๆๆ ท่านพี่ อนุคนงามยอดดวงใจของท่าน หอบผ้าหนีไปเสียแล้วหรือเจ้าคะ พอทราบว่าท่านพี่ตกต่ำกลายเป็นเพียง เสมียน หาใช่ท่านเสนาธิการทหารอีกต่อไป หึ! สมน้ำหน้า คนสารเลว! อยากมักมากเจ้า
บทที่ 44/2 เคืองแค้น รวี่เยว่สวมใส่ชุดผ้าแพรไหมสีขาวบริสุทธิ์ราคาแพง เยื้องย่างเข้ามาพร้อมชุนอิ่งที่มีรอยยิ้มบางประดับมุมปาก ร่างบางสาวเท้ามาหยุดอยู่หน้าหวังเหลียง เพ่งพิศอีกฝ่ายด้วยแววตายากคาดเดา ก่อนเหลียวมองคนอื่นที่เหลืออย่างเย็นชา “ใต้เท้าหวัง ข้ามาแสดงความเสียใจกับท่านเจ้าค่ะ ช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน สตรีอันเป็นที่รัก กลับเลือกที่จะจากท่านไปไกลแบบนี้ เป็นใครก็คงปวดใจจนทนไม่ได้” หากฟังดูเผินๆคงเข้าใจว่าหญิงสาว กำลังแสดงความเห็นใจที่หวังเหลียงต้องสูญเสียภรรยา คงมีเพียงหวังเหลียงที่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ ”หุบปาก!!” เขาตวาดนางเสียงดัง พยายามหยัดกายลุกขึ้นทว่ากลับถูกแรงกดดันกระแทกใส่จนมิอาจขยับเขยื้อน ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ ชี้มือสั่นระริกมาที่รวี่เยว่อย่างกรุ่นโกรธ “เจ้า นังเด็กอกตัญญู! ยังจะกล้าเสนอหน้ามาเหยียบที่นี่อีกรึ! ไสหัวออกไปจากบ้านข้าเดี๋ยวนี้!” หวังซีเหยียนลอบพิจารณาหญิงสาวทั้งสอง ก่อนเอ่ยปากถามหญิงชราอย่างข้องใจ “นางเป็นใครหรือขอรับท่านย่า ถึงได้รู้จักกับท่านพ่อ” “จะใครเสียอีกล่ะ! ก็นังเด็กอกตัญญูหวังลี่ถิง พี่สาวต่างมารดาของเจ้ากับเ
บทที่ 45 คิดไม่ซื่อ ยามรัตติกาลในเมืองหลวงของอาณาจักรอู๋ซาง ดูปลอดภัยและเงียบสงบอย่างที่ควรจะเป็น มีเพียงย่านเริงรมย์ที่ยังคงสว่างไสวจากแสงโคม เสียงบรรเลงดนตรีครื้นเครง ดังเล็ดลอดออกมาจากหอสุราและหอโคมแดง บ่อนพนันสองสามแห่งล้วนคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ต้องการเสี่ยงดวง มีทั้งนักบำเพ็ญและชาวบ้านทั่วไปปะปนกัน บางคนได้บางคนเสีย คละเคล้ากันไปซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ บนหลังคาของอาคารใกล้หอโอสถเยว่เสียง เวลานี้ถือว่าครึกครื้นไม่แพ้กัน เงาดำราวสิบกว่าเงาปรากฏขึ้น เป้าหมายของพวกมันคือเรือนนอนของนายหญิงเจ้าของหอ นักฆ่ามืออาชีพเหล่านี้ถูกว่าจ้างให้มาพาตัวหญิงสาวไปให้คนผู้หนึ่ง เมื่อได้รับสัญญาณจากคนที่เป็นหัวหน้า เงาดำทั้งหมดก็เร้นกายในความมืด ก่อนปรากฏตัวโอบล้อมเรือนนอนของหญิงสาว “เหลือชีวิตผู้หญิงคนนั้นไว้ คนอื่นๆ ฆ่าทิ้งได้หมด” “แล้วหากนักพรตระดับหยวนอิงที่ว่า ปรากฏตัวขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร” “เจ้าโง่! ก็เผ่นสิวะ! ถามได้” นักฆ่าที่อยู่บนหลังคากระซิบกระซาบผ่านพลังปราณ ทว่ามิอาจซ่อนเสียงจากหูของรวี่เยว่และเสี่ยวเฮยมาวได้ ทั้งคู่เอามือปิดปาก กลั้นหัวเราะจนปวดท้อง สุดท้ายทนไม่ได้รวี่เยว่จำต้อ
บทที่ 51/2 คนร้ายตัวจริง ถึงแม้ตัวเลี่ยวโร่เป้ยจะโดดเด่นเปี่ยมด้วยพรสวรรค์อย่างไร แต่กลับไม่มีสิทธิ์นั่งบัลลังก์ของอาณาจักรหวงซา ด้วยว่ามีมารดาเป็นสตรีจากอาณาจักรอู๋ซาง รวมถึงเรื่องที่นางเป็นเพียงบุตรีจากอนุ เมื่อเป็นเช่นนั้น เลี่ยวเจิงเวยจึงหารือกับสือเซิน วางแผนช่วยเขาพิชิตอาณาจักรอู๋ซาง หากทำสำเร็จเลี่ยวเจิงเวยสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่า จะแต่งตั้งเลี่ยวโร่เป้ยขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอู๋ซางคนต่อไป ภายใต้ร่มเงาของอาณาจักรหวงซา เรื่องนี้วั่งเฉาหาได้รับรู้ เขาเข้าใจว่า หากหวงฝู่ฮ่าวอวี่ได้นั่งบัลลังก์ต่อจากพระบิดา สำนักกระบี่สวรรค์จะสนับสนุนวั่งเตี้ยนเถียน ให้ได้รับตำแหน่งฮองเฮาอย่างเต็มที่…ทั้งที่ความจริงตนเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งของสือเซิน …อาณาจักรหวงซาซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของมหาพิภพทงเทียนเหอ มีสายแร่หลายชนิดเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอาณาจักร ทว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย และเต็มไปด้วยภูเขาหินจึงขาดแคลนพื้นทำการเกษตร หลายร้อยปีมานี้มักเข้าโจมตีเมืองติดชายแดนของอาณาจักรอู๋ซางอยู่เนืองๆ จุดประสงค์เพื่อแย่งชิงดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ในเขตนั้นมาเป็นของตน เพิ่งจะมีการทำสัญญาสงบศึกไปเม
บทที่ 51/1 คนร้ายตัวจริง จวนอัครมหาเสนาบดี ภายในโถงรับรองของเรือนส่วนตัว วั่งเฉาเข่าทรุดกระอักเลือด รับแรงกดดันหนักหน่วงจากบุรุษในชุดผ้าไหมสีเงินที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความหวาดหวั่นค่อนไปทางหวาดกลัว หวนรำลึกถึงเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในวันที่บุรุษผู้นี้เดินทางมาหาเขา พร้อมยื่นข้อเสนออันแสนหอมหวานยั่วยวนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน สิ่งที่เขาต้องลงมือทำคือการกำจัดเด็กหญิงซึ่งมีชะตาหงส์ตามคำทำนายของหอพยากรณ์ในปีนั้น เด็กผู้หญิงอายุห้าหนาว ที่เกิดกลางฤดูวสันต์หลายคนถูกกำจัด ไม่ก็ถูกทำให้ไร้ซึ่งพลังธาตุ หากแต่คาดไม่ถึงว่า หนึ่งในนั้นจะรอดพ้นการคุกคามทั้งหมดทั้งมวลมาได้! กระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมาและกลายเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทวาอนธการผู้สูงส่ง แม้แต่พยัคฆ์อนธการยังยอมรับนางเป็นคู่พันธะ! “อาจารย์ หากวั่งเฉาตายจะมีคนสงสัยได้นะขอรับ โปรดยั้งมือด้วยเถิด” เสียงทุ้มของชายหนุ่มรูปงามที่นั่งกอดกระบี่อยู่บนเก้าอี้ดังขึ้น แรงกดดันหายไปตามคำขอ วั่งเฉาหอบหายใจรีบโกยอากาศเข้าปอดหนักหน่วง นึกว่าตนจะแดดิ้นด้วยมือบุรุษตรงหน้าเสียแล้ว เพียงแค่แรงกดดันยังทำเขากระอักเลือดไปหลายคำจนแทบสิ้นสติ
บทที่ 50/2 ความหวาดหวั่นและยำเกรง บัดนี้ เด็กคนนั้นกลายเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทวาอนธการอันยิ่งใหญ่ สูงส่งห่างไกลจนมิอาจเอื้อมถึง เขาเคยปรามาสนางว่าเป็นเพียงแค่ขยะไร้ประโยชน์ ทั้งที่ความจริงนางคืออัจฉริยะ จะมีสักกี่คนบนมหาพิภพทงเทียนเหอ ที่สามารถบรรลุระดับหยวนอิงตั้งแต่อายุสิบห้า!… เขาและมารดาทำลายวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สมควรเป็นของตนลงกับมือ! ช่างน่าแค้นใจนัก… แต่หากว่าเขาทวงสิทธิ์ความเป็นบิดาของนาง กลับคืนมาต่อหน้าธารกำนัลในเวลานี้ ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจได้ผล! ด้วยเพราะฮ่องเต้ทรง ให้ความสำคัญเรื่องความกตัญญู ต่อบุพการีและผู้มีพระคุณเป็นอย่างยิ่ง หวังเหลียงหยัดกายลุกขึ้นก้าวออกมาที่ขอบกั้นอัฒจันทร์ กำลังจะอ้าปากเปล่งเสียงเรียกชื่อบุตรี ทว่ากลับถูกพลังลึกลับอันแข็งแกร่ง กระแทกเข้าที่ลำคอจนจุกแน่นก่อนกระอักเลือดออกมา ครั้นเหลือบมองขึ้นไปด้านบน สายตาพลันประสบเข้ากับดวงตาสีเขียวมรกต ทรงอำนาจดุดันของพยัคฆ์อนธการ พร้อมถ้อยคำส่งผ่านพลังปราณดังกึกก้องในโสตประสาท “หากไม่อยากสลายเป็นจุณ ก็เลิกคิดตอแยกับรวี่เยว่ซะ เพราะข้าหาใช่ผู้มีจิตใจเมตตา จำใส่กระโหลกหนาๆ ของเจ้าเอาไว้ให้ดี!” ร่างอรช
บทที่ 50/1 ความหวาดหวั่นและยำเกรง สุ้มเสียงแว่วหวาน เอื้อนเอ่ยแสดงความเคารพฮ่องเต้ของแคว้นอู๋ซางอย่างนอบน้อม วรกายสูงสง่าของโอรสสวรรค์ หยัดขึ้นจากเก้าอี้ประธาน ก้าวมาหาหญิงสาวด้วยรอยยิ้มประดับมุมปากบางเบา “ธิดาเทพ ยินดีที่ได้พบ” เขากล่าวรับคำทักทายของนาง ก่อนเอ่ยวาจาต่อจากนั้น “คล้ายมาก ช่างคล้ายมากจริงๆ ต้าอ๋อง ท่านเองก็คิดเหมือนข้าใช่หรือไม่” ฮ่องเต้หวงฝู่ฮุ่ยหมิ่นหันไปถามลูกพี่ลูกน้องของตน ผู้เป็นอ๋องปกครองแดนทักษิณ ต้าอ๋องหรือ หวงฝู่เจิ้งหยาง บุตรชายของต้าอ๋องผู้เฒ่าผู้ล่วงลับ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระปิตุลาของหวงฝู่ฮุ่ยหมิ่น “คล้ายอาลี่มากพะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับพระองค์” ต้าอ๋องลุกขึ้นจากที่นั่งก้าวมาสมทบกับฮ่องเต้ “ธิดาเทพ ข้าคงต้องขอละลาบละล้วงถามท่านซักคำถาม ไม่ทราบว่าพอจะบอกข้าได้ไหมว่า มารดาของท่านมีนามว่าอะไรหรือ” ต้าอ๋องเอ่ยถามสิ่งที่ต้องการทราบ ด้วยน้ำเสียงสุภาพและอ่อนโยน “เรียนต้าอ๋อง มารดาของหม่อมฉันมีนามว่า เยว่หนิงลี่เพคะ” คำตอบของนางสร้างความตื่นตะลึงอีกครั้งให้ใครหลายๆคนในสนามประลอง บุตรีรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่! นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวตรงหน้าคือเด
บทที่ 49/2 วันเปิดงาน ฮั่วเฮ่อฉีเองช่วงนี้ก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับพี่น้อง และศิษย์จากตำหนักเทพอนันต์ จนแทบไม่มีเวลาปลีกตัวมาพบรวี่เยว่ ชายหนุ่มถูกผู้อาวุโสขอให้ช่วยหลอมยา ให้บรรดาน้องๆ และศิษย์ตัวแทน จนตัวเขาแทบหมดเรี่ยวแรงทุกวี่วัน อี้หรงได้แต่มองคู่พันธะอย่างเห็นใจ ‘ใครใช้ให้ท่านอยากเป็นนักปรุงโอสถระดับเก้า ตั้งแต่อายุเท่านี้กันล่ะ ก้มหน้ารับชะตากรรมไปเถอะ ข้าเอาใจช่วย‘ สรุปว่าการเอาใจช่วยของอี้หรง ซึ่งหากฟังดีๆ จะคล้ายว่ากำลังสมน้ำหน้าเขา ทำให้มันโดนฮั่วเฮ่อฉีกัดหูไปหนึ่งทีจนน้ำตาร่วง… จากฤดคิมหันต์ย่างเข้าต้นฤดูสารท อากาศที่เคยร้อนอบอ้าวผันเปลี่ยนเป็นเย็นสดชื่นอีกครั้ง เวลาแห่งการประลองอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอู๋ซางได้เริ่มต้นขึ้น ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางเข้าเมืองเทียนหวงเพื่อร่วมแข่งขัน หรือร่วมเป็นสักขีพยานในศึกของนักพรตรุ่นเยาว์ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่อึดใจ สนามประลองหลักที่ใช้ทำพิธีเปิดนี้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง สามารถจุผู้ชมได้มากถึงสองหมื่นคน ท้องฟ้าสีครามสดใสไร้เมฆบัง สายลมเย็นพัดเข้ามาเบาๆ ราวกับดนตรีที่เล่นโดยธรรมชาติ ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง
บทที่ 49/1 วันเปิดงานประลอง สิบห้าวันต่อมา ตัวแทนจากตำหนักเทวาอนธการได้เดินมาถึง โดยมีผู้อาวุโสหนึ่งและสอง นำศิษย์มากฝีมือซึ่งมีอายุไม่เกินสิบแปด จำนวนทั้งหมดหกคนที่จะเข้าร่วมการประลอง เดินทางมาด้วยตนเอง ส่วนองค์ไท่จื่ออย่างองค์ชายใหญ่ และองค์หญิงรองมิได้เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ เพียงแค่มาร่วมชมความสนุกเฉยๆ ฮ่องเต้ทราบข่าวจากชินอ๋องอวี้เหวินเทียนหยา จึงมอบตำหนักรับรองริมทะเลสาบให้เป็นที่พักสำหรับคนจากตำหนักเทวาอนธการ ส่วนคนจากตำหนักเทพอนันต์ มีตำหนักใกล้ภูเขาทางทิศเหนือเป็นที่พักประจำอยู่แล้ว อวี้เหวินเทียนหยาและรวี่เยว่ไปรอรับพวกเขาอยู่ที่นั่นตั้งแต่ช่วงสาย ครั้นพอได้เวลามวลอากาศบนท้องฟ้าเหนือตำหนักก็แยกออกเป็นช่องกว้างขนาดใหญ่ คณะเดินทางทั้งหมดจากตำหนักเทวาอนธการก็ทยอยกันออกมา ทันทีที่อวี้เหวินอิงเอ๋อร์เห็นหน้ารวี่เยว่ นางก็ขี่กระบี่พุ่งตรงมาหา ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราจดจ้องธิดาเทพผู้เป็นสหายรักด้วยแววตาน้อยอกน้อยใจ “รวี่เยว่ คนใจร้าย ท่านทิ้งข้าไว้คนเดียวตั้งหลายเดือน ข้าเหงามากเลยรู้ไหม ฮึก ไม่มีใครเล่นสนุกกับข้าเลย ทุกคนเอาแต่เก็บตัวฝึกวิชา…ท่านสัญญาได้หรือไม่ว่าต่อไป
บทที่ 48/2 ความเปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็ครบกำหนดจ่ายหนี้ที่ค้างไว้ ทั้งหวังเหลียงและฮูหยินผู้เฒ่าต่างอ้อนวอนหญิงสาว ขอให้นางเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก ยอมให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่จวนหลังนี้ต่อไป เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็คือครอบครัวของนาง รวี่เยว่หัวเราะเย้ยหยัน ก่อนกล่าววาจาตอบโต้จนคนฟังหน้าชา “ฮ่าๆๆ ให้ข้าเห็นกับความเป็นพ่อลูกอย่างนั้นรึ! ช่างพูดออกมาได้ไม่อายปาก หากไม่ตกที่นั่งลำบากคงยังมองว่าข้าเป็นเพียงขยะไร้ประโยชน์อยู่สิท่า หึ! หน้าหนาไร้ยางอาย ข้าหาใช่บุตรหลานของพวกท่านนานแล้ว จำมิได้รึ?! เสมียนหวัง ท่านยังจำได้หรือไม่ หลังจากท่านส่งหนังสือตัดขาดไปให้ข้าเมื่อหกปีก่อน ท่านก็หยุดส่งเสียข้า ไม่สนใจว่าข้าจะมีที่ซุกหัวนอนหรือมีข้าวกิน โชคดีที่เจ้าของบ้านเช่าหลังนั้นเวทนาข้า แม่นมชุน และพี่ชุนอิ่ง ถึงได้ยอมให้พวกข้าอยู่โดยไม่เก็บเงินค่าเช่าเป็นเวลาสามเดือน! ไฉนตอนนั้นพวกท่านถึงไม่คิดว่าข้าเป็นคนในครอบครัวบ้างเล่า ทั้งๆ ที่เสวยสุขอยู่บนทรัพย์สินของมารดาข้าแท้ๆ! ข้าให้เวลาพวกท่านเก็บของหนึ่งวัน พรุ่งนี้เช้ายามเฉิน (07:00-08:59) พวกท่านทุกคนต้องย้ายออกไปจากที่นี่! หากไม่ยอมไปข้าจะไปแจ้งทาง
บทที่ 48/1 ความเปลี่ยนแปลง หวังเหลียงกระดกจอกสุราเข้าปากจนหมด ก่อนหันมามองมารดาด้วยสายตาว่างเปล่า “ท่านแม่จะถามข้าทำไมขอรับ ในเมื่อท่านบอกเองว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น” “อาเหลียง นี่มันใช่เวลาที่เจ้าจะมาประชดประชันข้าไหม ลองตรองดูให้ดี บางทีเรื่องนี้อาจเชื่อมโยงกัน เริ่มจากการที่เจ้ามาถามข้าเรื่องพิษ ต่อมาลุงของเจ้าก็หายตัว จากนั้นพลังของเจ้าก็…เฮ้อออ “ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวในท้ายประโยคและเริ่มกล่าวต่อ “เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกหรอกรึ แต่ที่ข้ามาถามเจ้า เป็นเพราะวันนี้ทั้งเสียนเอ๋อร์และเหยียนเอ๋อร์ จู่ๆ ก็ไข้ขึ้นสูงอย่างไม่มีสาเหตุ หมอกี่คนมาตรวจต่างบอกว่าเป็นไข้ไม่ได้ถูกพิษ อาการเหมือนกับเจ้าก่อนหน้านี้ไม่มีผิด” คำพูดของหญิงชรามีความเป็นไปได้อยู่หลายส่วน หากนำมาเชื่อมโยงกันให้ดีๆ ก็จะเห็นจุดที่น่าสงสัย ทว่าในเอกสารที่เขาเคยอ่านผ่านตา ระบุไว้ชัดเจนเรื่องพิษเพลิงอสูรสดับปราณ ว่าจะออกฤทธิ์ได้ดีกับเด็กเล็กเท่านั้น ทั้งไม่เคยปรากฏในบันทึกไว้ว่าพิษนี้มีผลกับผู้ใหญ่ แต่หากตัวเขาถูกพิษชนิดนี้จริง นั่นก็หมายความว่า ต้องมีนักปรุงโอสถระดับสูง ที่สามารถปรุงพิษเพลิงอสูร
บทที่ 47/2 สองตำหนักเปิดใจ ครั้งนี้ฮั่วเฮ่อฉีดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ หากองค์ราชาอวี้เหวินเทียนเหิงมีความสามารถพิเศษนี้จริง นั่นก็หมายความว่ารวี่เยว่คือองค์หญิงของตำหนักเทวาอนธการ และอวี้เหวินเทียนหยาก็คือพระปิตุลาของนาง! มิน่าเล่าเขาถึงกล่าวว่า สวรรค์เล่นตลกกับเขา! รอยยิ้มงดงามเจิดจ้าราวแสงตะวันยามเช้า ที่ส่งไปถึงดวงตาของฮั่วเฮ่อฉีผุดพรายเต็มดวงหน้า มือใหญ่ยกมากุมต้นแขนทั้งสองข้างของอวี้เหวินเทียนหยาพร้อมเขย่าเบาๆ “หลานเขยคงต้องขอฝากตัวกับท่านแล้ว พระปิตุลาของรวี่เยว่” เขาลอยหน้าลอยตาเอ่ยวาจาฝากฝังตัวเองกับอีกฝ่ายแบบเนียนๆ อวี้เหวินเทียนหยาคิ้วกระตุก ก้าวถอยหลังให้หลุดจากการเกาะกุมของฮั่วเฮ่อฉี ก่อนเอ่ยวาจาน้ำเสียงเนิบนาบระคนหมั่นไส้อย่างอดไม่อยู่ “หึ! อย่าเพิ่งหลงระเริงนัก ข้ายังไม่ได้บอกว่าท่านผ่านการทดสอบแล้วเสียหน่อย เรื่องนี้คงต้องดูกันอีกนาน และที่สำคัญเสด็จพี่ของข้าฝากมาบอกท่านว่า” “ธิดาของข้าจะเป็นเพียงภรรยาคนเดียวในชีวิตของสามีนาง หากบุรุษผู้นั้นทำไม่ได้ ก็ไสหัวไปไกลๆ เพราะข้าจะไม่มีวันยกนางให้เด็ดขาด!” อวี้เหวินเทียนหยาถ่ายทอดวาจาของ