บทที่ 38/2 เผชิญความตกต่ำ มหาเทพหวงหลงมีสีหน้าปลดปลงยามได้เห็นเรื่องราวทั้งหมด “เฮ้อ! นี่แหละหนา ที่เรียกว่าเวรกรรม ใครใช้ให้หวังลู่เสียนมีนิสัยหยิ่งยโส แถมปากเสียชอบดูถูกดูแคลนผู้อื่นกัน ฝ่ายชายก็ไม่น้อยหน้า มีนิสัยเสเพลแถมเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นทุนเดิม หากนางรู้ว่าคืนนั้นได้เสียพรหมจรรย์ให้ใคร มีหวังได้อกแตกตายแน่” ”ข้าว่าทั้งคู่เหมาะสมกันออก ผีเน่ากับโลงผุ นรกสร้างสรรค์มาคู่กันโดยแท้” มหาเทพชิงหลงลอยหน้าลอยตาเอ่ยชื่นชม ซึ่งฟังดูแล้วทะแม่งชอบกล “…” มหาเทพหวงหลงและมหาเทวีเฟิ่งหนี่ว์ ชิงหลงเจ้าปากร้ายมาก! หากกล่าวว่าวันนี้ ถือเป็นวันวิปโยคของตระกูลหวังก็คงไม่ผิดนัก บรรยากาศภายในจวนกดดันอึมครึม ประหนึ่งพายุลูกใหญ่กำลังตั้งเค้าเตรียมถล่มใส่จวน หมอจี๋เค่อช่วยปฐมพยาบาลหวังเหลียงจนฟื้นคืนสติ จากนั้นก็จากไป ปล่อยให้หวังเหลียงอยู่คนเดียวตามคำขอ …เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าวันนี้มืดครึ้มเต็มไปด้วยเมฆดำ บดบังแสงตะวันจนมิอาจเล็ดลอด ส่งผลให้จิตใจของหลายคนหม่นหมองซึมเศร้า หวังเหลียงยืนอยู่ริมสระบัว เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยน้ำตาเอ่อคลอ ทอดถอนใจให้กับโชคชะตา เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ
บทที่ 39/1 เบื้องหน้าเบื้องหลัง คฤหาสน์หลังงามตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเลสาบ ในทิศทางตรงกันข้ามกับตำหนักรับรองของฮ่องเต้ หญิงสาวสองนางนั่งอยู่บนเก้าอี้ ข้างตั่งใหญ่ของราชันย์หมาป่าพระจันทร์เงิน ฮั่วเฮ่อฉียื่นขวดโอสถทิพย์สำหรับรักษาแผลและยาคืนโฉมให้ลูกน้องทั้งสอง “ลำบากพวกเจ้าแล้วนะ ขอบใจมากที่ยอมเสียสละตนเองในแผนการครั้งนี้” เสี่ยวลู่เงยมองนายเหนือหัวของตน ด้วยสีหน้าและแววตาภักดีเต็มเปี่ยม “พวกหม่อมฉันยินดีรับใช้องค์ไท่จื่อด้วยชีวิตเพคะ หากไม่มีพระองค์ หมู่บ้านของพวกหม่อมฉันคงหายไปจากแผนที่นานแล้ว” เจ็ดปีก่อน ฮั่วเฮ่อฉีนำกองกำลังเข้ากวาดล้างโจรภูเขากลุ่มใหญ่ ที่มักปล้นชิงชาวบ้านในเขตป่าตะวันฉาย ติดกับชายแดนของอาณาจักรตงหลง ช่วยเหลือชาวบ้านหลายหมู่บ้านตามแนวชายป่า ให้รอดพ้นการจากการถูกเข่นฆ่ายกหมู่บ้านเพื่อแย่งชิงทรัพยากร เสี่ยวหลีและเสี่ยวลู่ยอบกายขอบคุณนายเหนือหัว บาดแผลจากการถูกโบยหายไปในไม่กี่อึดใจ รูปโฉมแท้จริงของทั้งสองกลับคืนมา ส่วนเสี่ยวหลีและเสี่ยวลู่ตัวจริง เดินทางถึงแดนทักษิณได้หลายวันแล้ว พวกนางกลับไปอยู่กับครอบครัว พร้อมเงินก้อนใหญ่ที่ฮั่วเฮ่อฉีมอบให้
บทที่ 39/2 เบื้องหน้าเบื้องหลัง วังหลวง ราชองครักษ์ส่วนพระองค์เร่งมารายงานมหาขันที เรื่องที่มีคนสำคัญมาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เกากงกงรีบไปทูลรายงาน ฮ่องเต้หวงฝู่ฮุ่ยหมิ่นวางฎีกาที่กำลังอ่านลงทันที “คนผู้นั้นมาเองเลยรึ ไม่ใช่แค่ส่งสาส์นมาเหมือนทุกครั้ง?” “มาด้วยตนเองเลยพะย่ะค่ะฝ่าบาท แค่ได้เห็นใกล้ๆ ก็ทำกระหม่อมแทบหยุดหายใจเลยพะย่ะค่ะ” เกากงกงท่าทางปลื้มปริ่ม เอ่ยรายงานด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้า เขาเคยพบคนผู้นี้นานมาแล้ว ครั้นได้พบพานอีกครั้งจึงอดตกตะลึงไม่ได้ โอรสสวรรค์สาวเท้าออกจากห้องทรงงาน ตรงไปยังห้องรับรองอาคันตุกะอย่างเร่งรีบ ตัวเขาเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้เกากงกง “ฝ่าบาทเสด็จจจจ” เสียงแหลมสูงของขันทีหน้าห้องรับรองพิเศษดังขึ้น บอกกล่าวคนด้านในให้เตรียมตัวต้อนรับ วรกายสูงสง่าในเสื้อคลุมมังกรผ้าแพรไหมสีดำ ปักดิ้นทองลายมังกรห้าเล็บน่าเกรงขาม ทว่ากลับมิอาจสร้างความหวั่นไหวให้กับอาคันตุกะคนสำคัญที่มาเยี่ยมเยือน “องค์ไท่จื่อฮั่วเฮ่อฉี! ในที่สุดก็ได้พบกันเสียที ครั้งสุดท้ายที่พบกันคือเมื่อหกปีที่แล้วสินะ ดีจริงๆ ที่ท่านยอมมาพบข้าจนได้ ดูท่านซิ ยิ่งโตยิ่งรูปงาม ช่างอันตรายต่
บทที่ 40/1 การกลับมาของหวังลี่ถิง เวลานี้หน้าจวนตระกูลหวัง ปรากฏหญิงสาวสองนางแต่งกายธรรมดายืนอยู่ คนหนึ่งสวมผ้าคาดปิดหน้า บนใบหน้าด้านซ้ายที่โผล่พ้นผ้าขึ้น มีปานสีชาดพาดผ่านดวงตาไปถึงขมับ ร่างบางก้าวไปเคาะห่วงทองเหลืองหน้าประตู ผ่านไปไม่นานนักประตูใหญ่หน้าจวนก็เปิดออก ผู้ที่มาเปิดคือพ่อบ้านถัง เขามองสำรวจหญิงสาวทั้งสองก่อนเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าแม่นางทั้งสองมีธุระใดที่นี่อย่างนั้นหรือ หากจะมาขอบริจาค คงไม่มีให้หรอกนะ” รวี่เยว่เหยียดปากภายใต้ผ้าคาดปิดหน้า ไพล่คิดในใจว่า ถึงจะผ่านไปหลายปี พ่อบ้านถังยังคงแล้งน้ำใจไม่เปลี่ยน นายเป็นอย่างไรบ่าวก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดวงตาคู่งามฉายประกายดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง เปล่งเสียงดังให้ชาวบ้านที่หม่าลั่วจ้างมาได้ยินกันถ้วนหน้า “ข้าไม่ได้มาขอบริจาคเงิน แต่มาทวงสินเดิมของมารดาข้าคืนต่างหาก รบกวนพ่อบ้านถังช่วยไปบอกใต้เท้าหวังด้วย ว่าข้า เยว่ลี่ถิง มาขอสินเดิมของมารดา รองแม่ทัพเยว่หนิงลี่ ที่ใต้เท้าหวังยักยอกไว้กลับคืน!” ชุนอิ่งรอจังหวะอยู่แล้ว รีบก้าวมาข้างหน้า เอ่ยกับพ่อบ้านถังเสียงดังฟังชัดด้วยอีกคน “พ่อบ้านถัง ท่านคงจำข้าได้กระมัง หลายปีที่ผ่านม
บทที่ 40/2 การกลับมาของหวังลี่ถิง ทั้งรวี่เยว่และชุนอิ่งหันกลับมา จ้องหน้าจูหมัวมัวด้วยสายตายากคาดเดา ครั้นจูหมัวมัวเห็นหน้าชุนอิ่งก็ชะงักค้าง แม้ไม่ได้พบมาหลายปี แต่นางยังจำหน้าอีกฝ่ายได้แม่นยำ หากนี่คือชุนอิ่ง เช่นนั้นอีกคนก็ต้องเป็น… รวี่เยว่ปลดผ้าคาดปิดหน้าออก ใบหน้าที่ดูละม้ายรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่ถึงเจ็ดแปดส่วน เผยต่อสายตาของจูหมัวมัว ร่างบางเยื้องย่างเข้าไปหาช้าๆ กล่าวกับอีกฝ่ายเสียงเย็นเยียบ “จูหมัวมัว ท่านจำพวกข้าไม่ได้จริงๆ หรือว่าเสแสร้งว่าจำไม่ได้ตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่า หืมม?” จูหมัวมัวหนาวเยือกเข้าในไปกระดูก ร่างกายสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ ราวกับกำลังถูกแรงกดดันของนักพรตตบะสูงกดข่ม หญิงสูงวัยเข่าทรุดลงบนไปกองอยู่บนพื้น รีบเอ่ยสั่งบ่าวชายอีกสามคน ที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมาสมทบเสียงตะกุกตะกัก “พะ..พวกนาง เป็นแค่คนแอบอ้าง เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ หาใช่บุตรีของรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่ รีบๆไล่พวกนางไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ มัวรออะไรอยู่!” “ใครว่าพวกนางแอบอ้าง! ข้าคนนี้สามารถเป็นพยานให้ได้ ว่านางคือบุตรีของรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จริง!” เสียงของอนุเสิ่นดังขึ้นจากด้านใน นางเดินมาพร้อมกับห
บทที่ 41 ทวงสินเดิมของมารดา ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่า รีบใช้ประตูด้านข้างออกจากจวนทันที หลังจากจูหมัวมัวกลับรายงานว่าหวังลี่ถิงยังชีวิตอยู่จริง นางต้องรีบไปรายงานคนผู้นั้นให้ทราบเรื่อง รวี่เยว่ยังคงไม่ขยับ เพียงแค่ยืนนิ่งๆ เหมือนกำลังรอบางสิ่งให้มาถึง อนุเสิ่นเองก็ตีมึนหันไปเสวนากับชุนอิ่ง ถามไถ่ถึงแม่นมชุนอย่างตั้งใจ ทางด้านหวังซีซวนทำเพียงยืนนิ่งๆข้างพี่สาว เพ่งพิศปานสีชาดบนใบหน้าของนาง คล้ายสังเกตเห็นความผิดปกติ ทว่ามิได้เอ่ยออกมา หากแต่มีบางสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มข้องใจ… ‘หากข้าจำไม่ผิด เมื่อก่อนสีหน้าและแววตาของพี่สาวไม่ได้เย็นชาแบบนี้ แล้วกลิ่นอายสูงส่งน่าเกรงขามเช่นนี้คือสิ่งใดกัน นางไร้พลังธาตุฝึกบำเพ็ญไม่ได้ แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกหวาดหวั่น จนแทบอยากลงไปคุกเข่าให้นางกันนะ’ ในเสี้ยวลมหายใจต่อมา การรอคอยของรวี่เยว่ก็สิ้นสุดลง รถม้าของผู้ช่วยรองหัวหน้าศาลต้าหลี่ จอดเทียบหน้าจวนตระกูลหวัง การปรากฏตัวของเขา สร้างความตกตะลึงให้กับหวังเหลียงและจูหมัวมัว ดูท่าว่าเรื่องราวกำลังจะบานปลายใหญ่โต หากทางการยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยว รวี่เยว่รีบเดินเข้าไปกล่าวทักทายผู้ช่วยรองหัวหน้าศาลต้า
บทที่ 41/2 ทวงสินเดิมของมารดา “เจ้า!” หวังเหลียงหน้าแดงก่ำ ในอกเต็มด้วยความคับแค้นใจ “ข้าทำไมเจ้าคะ ก่อนที่ใต้เท้าหวังจะนำเงินทองที่ไม่ใช่ของตนไปใช้ ไยไม่คิดให้ถี่ถ้วนก่อน ว่าวันหนึ่งเจ้าของตัวจริงจะกลับมาทวงคืน ถึงจะโวยวายไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อเป็นหนี้ก็ต้องใช้คืน รีบทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกันดีกว่า สัญญาปากเปล่าข้าไม่เชื่อถือ” รวี่เยว่ร่างหนังสือสัญญา กำหนดระยะเวลาชดใช้หนี้ของหวังเหลียง รวมถึงระบุรายละเอียดทุกอย่าง โดยมีชางฮวน พ่อบ้านถัง และชุนอิ่งลงชื่อและประทับลายมือเป็นพยาน จากนั้นใต้เท้าชางและพวกนางจึงกลับออกมาจากจวนตระกูลหวัง พร้อมสินเดิมที่ยังคงหลงเหลือ… ส่วนเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีคำสั่งให้เผยคังสังหารนาง เรื่องนี้นางค่อยเก็บไปคิดบัญชีกับยัยแก่นั่นทีหลัง! ครั้นพ่อบ้านกลับมารายงานว่า ชางฮวนและหญิงสาวทั้งสอง ออกจากจวนไปแล้ว หวังเหลียงจึงเลิกข่มกลั้นโทสะ คำรามเสียงดังลั่น กวาดชุดน้ำชาบนโต๊ะตกแตกกระจาย ภายในอกร้อนรุ่มเหมือนมีไฟผลาญ กระอักเลือดออกมาในที่สุด ราวหนึ่งชั่วยามถัดมา หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้บ้างแล้ว หวังเหลียงจึงขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปจวนสกุลจิ่ว เขา
บทที่ 42/1 งานเลี้ยงน้ำชาแสนรื่นเริง วั่งเตี้ยนเถียนรู้สึกขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง รีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่ออย่างมีจริต พลางเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “คงเป็นเพราะอากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนไปบ้าง ขายหน้านายหญิงแล้ว” รวี่เยว่ลากเสียงอืมยาวในลำคอตาใสซื่อ พลางหันไปพยักหน้าให้หม่าลั่วและสาวใช้ผู้เงียบงัน ทั้งคู่ยื่นกล่องของขวัญสองใบให้สาวใช้ของวั่งฮูหยิน “กล่องสีแดงเป็นของขวัญแทนคำขอบคุณจากหอโอสถเยว่เสียง มอบให้แก่วั่งฮูหยินและคุณหนูเจ้าค่ะ ส่วนกล่องสีน้ำเงินขอมอบให้ท่านอัครมหาเสนาบดี” วั่งฮูหยินลอบพิจารณาอีกฝ่ายอยู่ในใจ จนถึงตอนนี้นางกระจ่างแจ้งแล้วว่า เพราะเหตุใดองค์ชายใหญ่ถึงได้พึงใจหญิงสาวผู้นี้นัก ‘ถึงจะถือดีไปบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่านางเป็นหญิงสาวที่เลอโฉมและสง่างามจริงๆ การที่นางสามารถทำให้นักพรตระดับหยวนอิงยอมติดตามรับใช้ เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดาแน่’ ครั้นตระหนักได้ดังนั้น วั่งฮูหยินจึงระบายยิ้มที่ดูจริงใจกว่าของวั่งเตี้ยนเถียนให้ผู้มาเยือน “ขอบใจนายหญิงมาก ไม่ทราบว่าท่านพอจะบอกชื่อเสียงเรียงนามของตนให้ข้าทราบได้หรือไม่” รวี่เยว่ไม่คิดปิดบัง เอ่ยบอกนามของตนกับอีกฝ่าย ทั้งยั
บทที่ 51/2 คนร้ายตัวจริง ถึงแม้ตัวเลี่ยวโร่เป้ยจะโดดเด่นเปี่ยมด้วยพรสวรรค์อย่างไร แต่กลับไม่มีสิทธิ์นั่งบัลลังก์ของอาณาจักรหวงซา ด้วยว่ามีมารดาเป็นสตรีจากอาณาจักรอู๋ซาง รวมถึงเรื่องที่นางเป็นเพียงบุตรีจากอนุ เมื่อเป็นเช่นนั้น เลี่ยวเจิงเวยจึงหารือกับสือเซิน วางแผนช่วยเขาพิชิตอาณาจักรอู๋ซาง หากทำสำเร็จเลี่ยวเจิงเวยสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่า จะแต่งตั้งเลี่ยวโร่เป้ยขึ้นเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอู๋ซางคนต่อไป ภายใต้ร่มเงาของอาณาจักรหวงซา เรื่องนี้วั่งเฉาหาได้รับรู้ เขาเข้าใจว่า หากหวงฝู่ฮ่าวอวี่ได้นั่งบัลลังก์ต่อจากพระบิดา สำนักกระบี่สวรรค์จะสนับสนุนวั่งเตี้ยนเถียน ให้ได้รับตำแหน่งฮองเฮาอย่างเต็มที่…ทั้งที่ความจริงตนเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งของสือเซิน …อาณาจักรหวงซาซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของมหาพิภพทงเทียนเหอ มีสายแร่หลายชนิดเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอาณาจักร ทว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย และเต็มไปด้วยภูเขาหินจึงขาดแคลนพื้นทำการเกษตร หลายร้อยปีมานี้มักเข้าโจมตีเมืองติดชายแดนของอาณาจักรอู๋ซางอยู่เนืองๆ จุดประสงค์เพื่อแย่งชิงดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ในเขตนั้นมาเป็นของตน เพิ่งจะมีการทำสัญญาสงบศึกไปเม
บทที่ 51/1 คนร้ายตัวจริง จวนอัครมหาเสนาบดี ภายในโถงรับรองของเรือนส่วนตัว วั่งเฉาเข่าทรุดกระอักเลือด รับแรงกดดันหนักหน่วงจากบุรุษในชุดผ้าไหมสีเงินที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความหวาดหวั่นค่อนไปทางหวาดกลัว หวนรำลึกถึงเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในวันที่บุรุษผู้นี้เดินทางมาหาเขา พร้อมยื่นข้อเสนออันแสนหอมหวานยั่วยวนเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน สิ่งที่เขาต้องลงมือทำคือการกำจัดเด็กหญิงซึ่งมีชะตาหงส์ตามคำทำนายของหอพยากรณ์ในปีนั้น เด็กผู้หญิงอายุห้าหนาว ที่เกิดกลางฤดูวสันต์หลายคนถูกกำจัด ไม่ก็ถูกทำให้ไร้ซึ่งพลังธาตุ หากแต่คาดไม่ถึงว่า หนึ่งในนั้นจะรอดพ้นการคุกคามทั้งหมดทั้งมวลมาได้! กระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมาและกลายเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทวาอนธการผู้สูงส่ง แม้แต่พยัคฆ์อนธการยังยอมรับนางเป็นคู่พันธะ! “อาจารย์ หากวั่งเฉาตายจะมีคนสงสัยได้นะขอรับ โปรดยั้งมือด้วยเถิด” เสียงทุ้มของชายหนุ่มรูปงามที่นั่งกอดกระบี่อยู่บนเก้าอี้ดังขึ้น แรงกดดันหายไปตามคำขอ วั่งเฉาหอบหายใจรีบโกยอากาศเข้าปอดหนักหน่วง นึกว่าตนจะแดดิ้นด้วยมือบุรุษตรงหน้าเสียแล้ว เพียงแค่แรงกดดันยังทำเขากระอักเลือดไปหลายคำจนแทบสิ้นสติ
บทที่ 50/2 ความหวาดหวั่นและยำเกรง บัดนี้ เด็กคนนั้นกลายเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทวาอนธการอันยิ่งใหญ่ สูงส่งห่างไกลจนมิอาจเอื้อมถึง เขาเคยปรามาสนางว่าเป็นเพียงแค่ขยะไร้ประโยชน์ ทั้งที่ความจริงนางคืออัจฉริยะ จะมีสักกี่คนบนมหาพิภพทงเทียนเหอ ที่สามารถบรรลุระดับหยวนอิงตั้งแต่อายุสิบห้า!… เขาและมารดาทำลายวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สมควรเป็นของตนลงกับมือ! ช่างน่าแค้นใจนัก… แต่หากว่าเขาทวงสิทธิ์ความเป็นบิดาของนาง กลับคืนมาต่อหน้าธารกำนัลในเวลานี้ ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจได้ผล! ด้วยเพราะฮ่องเต้ทรง ให้ความสำคัญเรื่องความกตัญญู ต่อบุพการีและผู้มีพระคุณเป็นอย่างยิ่ง หวังเหลียงหยัดกายลุกขึ้นก้าวออกมาที่ขอบกั้นอัฒจันทร์ กำลังจะอ้าปากเปล่งเสียงเรียกชื่อบุตรี ทว่ากลับถูกพลังลึกลับอันแข็งแกร่ง กระแทกเข้าที่ลำคอจนจุกแน่นก่อนกระอักเลือดออกมา ครั้นเหลือบมองขึ้นไปด้านบน สายตาพลันประสบเข้ากับดวงตาสีเขียวมรกต ทรงอำนาจดุดันของพยัคฆ์อนธการ พร้อมถ้อยคำส่งผ่านพลังปราณดังกึกก้องในโสตประสาท “หากไม่อยากสลายเป็นจุณ ก็เลิกคิดตอแยกับรวี่เยว่ซะ เพราะข้าหาใช่ผู้มีจิตใจเมตตา จำใส่กระโหลกหนาๆ ของเจ้าเอาไว้ให้ดี!” ร่างอรช
บทที่ 50/1 ความหวาดหวั่นและยำเกรง สุ้มเสียงแว่วหวาน เอื้อนเอ่ยแสดงความเคารพฮ่องเต้ของแคว้นอู๋ซางอย่างนอบน้อม วรกายสูงสง่าของโอรสสวรรค์ หยัดขึ้นจากเก้าอี้ประธาน ก้าวมาหาหญิงสาวด้วยรอยยิ้มประดับมุมปากบางเบา “ธิดาเทพ ยินดีที่ได้พบ” เขากล่าวรับคำทักทายของนาง ก่อนเอ่ยวาจาต่อจากนั้น “คล้ายมาก ช่างคล้ายมากจริงๆ ต้าอ๋อง ท่านเองก็คิดเหมือนข้าใช่หรือไม่” ฮ่องเต้หวงฝู่ฮุ่ยหมิ่นหันไปถามลูกพี่ลูกน้องของตน ผู้เป็นอ๋องปกครองแดนทักษิณ ต้าอ๋องหรือ หวงฝู่เจิ้งหยาง บุตรชายของต้าอ๋องผู้เฒ่าผู้ล่วงลับ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระปิตุลาของหวงฝู่ฮุ่ยหมิ่น “คล้ายอาลี่มากพะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับพระองค์” ต้าอ๋องลุกขึ้นจากที่นั่งก้าวมาสมทบกับฮ่องเต้ “ธิดาเทพ ข้าคงต้องขอละลาบละล้วงถามท่านซักคำถาม ไม่ทราบว่าพอจะบอกข้าได้ไหมว่า มารดาของท่านมีนามว่าอะไรหรือ” ต้าอ๋องเอ่ยถามสิ่งที่ต้องการทราบ ด้วยน้ำเสียงสุภาพและอ่อนโยน “เรียนต้าอ๋อง มารดาของหม่อมฉันมีนามว่า เยว่หนิงลี่เพคะ” คำตอบของนางสร้างความตื่นตะลึงอีกครั้งให้ใครหลายๆคนในสนามประลอง บุตรีรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่! นั่นก็หมายความว่า หญิงสาวตรงหน้าคือเด
บทที่ 49/2 วันเปิดงาน ฮั่วเฮ่อฉีเองช่วงนี้ก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับพี่น้อง และศิษย์จากตำหนักเทพอนันต์ จนแทบไม่มีเวลาปลีกตัวมาพบรวี่เยว่ ชายหนุ่มถูกผู้อาวุโสขอให้ช่วยหลอมยา ให้บรรดาน้องๆ และศิษย์ตัวแทน จนตัวเขาแทบหมดเรี่ยวแรงทุกวี่วัน อี้หรงได้แต่มองคู่พันธะอย่างเห็นใจ ‘ใครใช้ให้ท่านอยากเป็นนักปรุงโอสถระดับเก้า ตั้งแต่อายุเท่านี้กันล่ะ ก้มหน้ารับชะตากรรมไปเถอะ ข้าเอาใจช่วย‘ สรุปว่าการเอาใจช่วยของอี้หรง ซึ่งหากฟังดีๆ จะคล้ายว่ากำลังสมน้ำหน้าเขา ทำให้มันโดนฮั่วเฮ่อฉีกัดหูไปหนึ่งทีจนน้ำตาร่วง… จากฤดคิมหันต์ย่างเข้าต้นฤดูสารท อากาศที่เคยร้อนอบอ้าวผันเปลี่ยนเป็นเย็นสดชื่นอีกครั้ง เวลาแห่งการประลองอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอู๋ซางได้เริ่มต้นขึ้น ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางเข้าเมืองเทียนหวงเพื่อร่วมแข่งขัน หรือร่วมเป็นสักขีพยานในศึกของนักพรตรุ่นเยาว์ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่อึดใจ สนามประลองหลักที่ใช้ทำพิธีเปิดนี้ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง สามารถจุผู้ชมได้มากถึงสองหมื่นคน ท้องฟ้าสีครามสดใสไร้เมฆบัง สายลมเย็นพัดเข้ามาเบาๆ ราวกับดนตรีที่เล่นโดยธรรมชาติ ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง
บทที่ 49/1 วันเปิดงานประลอง สิบห้าวันต่อมา ตัวแทนจากตำหนักเทวาอนธการได้เดินมาถึง โดยมีผู้อาวุโสหนึ่งและสอง นำศิษย์มากฝีมือซึ่งมีอายุไม่เกินสิบแปด จำนวนทั้งหมดหกคนที่จะเข้าร่วมการประลอง เดินทางมาด้วยตนเอง ส่วนองค์ไท่จื่ออย่างองค์ชายใหญ่ และองค์หญิงรองมิได้เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ เพียงแค่มาร่วมชมความสนุกเฉยๆ ฮ่องเต้ทราบข่าวจากชินอ๋องอวี้เหวินเทียนหยา จึงมอบตำหนักรับรองริมทะเลสาบให้เป็นที่พักสำหรับคนจากตำหนักเทวาอนธการ ส่วนคนจากตำหนักเทพอนันต์ มีตำหนักใกล้ภูเขาทางทิศเหนือเป็นที่พักประจำอยู่แล้ว อวี้เหวินเทียนหยาและรวี่เยว่ไปรอรับพวกเขาอยู่ที่นั่นตั้งแต่ช่วงสาย ครั้นพอได้เวลามวลอากาศบนท้องฟ้าเหนือตำหนักก็แยกออกเป็นช่องกว้างขนาดใหญ่ คณะเดินทางทั้งหมดจากตำหนักเทวาอนธการก็ทยอยกันออกมา ทันทีที่อวี้เหวินอิงเอ๋อร์เห็นหน้ารวี่เยว่ นางก็ขี่กระบี่พุ่งตรงมาหา ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราจดจ้องธิดาเทพผู้เป็นสหายรักด้วยแววตาน้อยอกน้อยใจ “รวี่เยว่ คนใจร้าย ท่านทิ้งข้าไว้คนเดียวตั้งหลายเดือน ข้าเหงามากเลยรู้ไหม ฮึก ไม่มีใครเล่นสนุกกับข้าเลย ทุกคนเอาแต่เก็บตัวฝึกวิชา…ท่านสัญญาได้หรือไม่ว่าต่อไป
บทที่ 48/2 ความเปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็ครบกำหนดจ่ายหนี้ที่ค้างไว้ ทั้งหวังเหลียงและฮูหยินผู้เฒ่าต่างอ้อนวอนหญิงสาว ขอให้นางเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก ยอมให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่จวนหลังนี้ต่อไป เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็คือครอบครัวของนาง รวี่เยว่หัวเราะเย้ยหยัน ก่อนกล่าววาจาตอบโต้จนคนฟังหน้าชา “ฮ่าๆๆ ให้ข้าเห็นกับความเป็นพ่อลูกอย่างนั้นรึ! ช่างพูดออกมาได้ไม่อายปาก หากไม่ตกที่นั่งลำบากคงยังมองว่าข้าเป็นเพียงขยะไร้ประโยชน์อยู่สิท่า หึ! หน้าหนาไร้ยางอาย ข้าหาใช่บุตรหลานของพวกท่านนานแล้ว จำมิได้รึ?! เสมียนหวัง ท่านยังจำได้หรือไม่ หลังจากท่านส่งหนังสือตัดขาดไปให้ข้าเมื่อหกปีก่อน ท่านก็หยุดส่งเสียข้า ไม่สนใจว่าข้าจะมีที่ซุกหัวนอนหรือมีข้าวกิน โชคดีที่เจ้าของบ้านเช่าหลังนั้นเวทนาข้า แม่นมชุน และพี่ชุนอิ่ง ถึงได้ยอมให้พวกข้าอยู่โดยไม่เก็บเงินค่าเช่าเป็นเวลาสามเดือน! ไฉนตอนนั้นพวกท่านถึงไม่คิดว่าข้าเป็นคนในครอบครัวบ้างเล่า ทั้งๆ ที่เสวยสุขอยู่บนทรัพย์สินของมารดาข้าแท้ๆ! ข้าให้เวลาพวกท่านเก็บของหนึ่งวัน พรุ่งนี้เช้ายามเฉิน (07:00-08:59) พวกท่านทุกคนต้องย้ายออกไปจากที่นี่! หากไม่ยอมไปข้าจะไปแจ้งทาง
บทที่ 48/1 ความเปลี่ยนแปลง หวังเหลียงกระดกจอกสุราเข้าปากจนหมด ก่อนหันมามองมารดาด้วยสายตาว่างเปล่า “ท่านแม่จะถามข้าทำไมขอรับ ในเมื่อท่านบอกเองว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น” “อาเหลียง นี่มันใช่เวลาที่เจ้าจะมาประชดประชันข้าไหม ลองตรองดูให้ดี บางทีเรื่องนี้อาจเชื่อมโยงกัน เริ่มจากการที่เจ้ามาถามข้าเรื่องพิษ ต่อมาลุงของเจ้าก็หายตัว จากนั้นพลังของเจ้าก็…เฮ้อออ “ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวในท้ายประโยคและเริ่มกล่าวต่อ “เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกหรอกรึ แต่ที่ข้ามาถามเจ้า เป็นเพราะวันนี้ทั้งเสียนเอ๋อร์และเหยียนเอ๋อร์ จู่ๆ ก็ไข้ขึ้นสูงอย่างไม่มีสาเหตุ หมอกี่คนมาตรวจต่างบอกว่าเป็นไข้ไม่ได้ถูกพิษ อาการเหมือนกับเจ้าก่อนหน้านี้ไม่มีผิด” คำพูดของหญิงชรามีความเป็นไปได้อยู่หลายส่วน หากนำมาเชื่อมโยงกันให้ดีๆ ก็จะเห็นจุดที่น่าสงสัย ทว่าในเอกสารที่เขาเคยอ่านผ่านตา ระบุไว้ชัดเจนเรื่องพิษเพลิงอสูรสดับปราณ ว่าจะออกฤทธิ์ได้ดีกับเด็กเล็กเท่านั้น ทั้งไม่เคยปรากฏในบันทึกไว้ว่าพิษนี้มีผลกับผู้ใหญ่ แต่หากตัวเขาถูกพิษชนิดนี้จริง นั่นก็หมายความว่า ต้องมีนักปรุงโอสถระดับสูง ที่สามารถปรุงพิษเพลิงอสูร
บทที่ 47/2 สองตำหนักเปิดใจ ครั้งนี้ฮั่วเฮ่อฉีดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ หากองค์ราชาอวี้เหวินเทียนเหิงมีความสามารถพิเศษนี้จริง นั่นก็หมายความว่ารวี่เยว่คือองค์หญิงของตำหนักเทวาอนธการ และอวี้เหวินเทียนหยาก็คือพระปิตุลาของนาง! มิน่าเล่าเขาถึงกล่าวว่า สวรรค์เล่นตลกกับเขา! รอยยิ้มงดงามเจิดจ้าราวแสงตะวันยามเช้า ที่ส่งไปถึงดวงตาของฮั่วเฮ่อฉีผุดพรายเต็มดวงหน้า มือใหญ่ยกมากุมต้นแขนทั้งสองข้างของอวี้เหวินเทียนหยาพร้อมเขย่าเบาๆ “หลานเขยคงต้องขอฝากตัวกับท่านแล้ว พระปิตุลาของรวี่เยว่” เขาลอยหน้าลอยตาเอ่ยวาจาฝากฝังตัวเองกับอีกฝ่ายแบบเนียนๆ อวี้เหวินเทียนหยาคิ้วกระตุก ก้าวถอยหลังให้หลุดจากการเกาะกุมของฮั่วเฮ่อฉี ก่อนเอ่ยวาจาน้ำเสียงเนิบนาบระคนหมั่นไส้อย่างอดไม่อยู่ “หึ! อย่าเพิ่งหลงระเริงนัก ข้ายังไม่ได้บอกว่าท่านผ่านการทดสอบแล้วเสียหน่อย เรื่องนี้คงต้องดูกันอีกนาน และที่สำคัญเสด็จพี่ของข้าฝากมาบอกท่านว่า” “ธิดาของข้าจะเป็นเพียงภรรยาคนเดียวในชีวิตของสามีนาง หากบุรุษผู้นั้นทำไม่ได้ ก็ไสหัวไปไกลๆ เพราะข้าจะไม่มีวันยกนางให้เด็ดขาด!” อวี้เหวินเทียนหยาถ่ายทอดวาจาของ