ซ่งเยี่ยนโจวงีบไปครู่หนึ่ง เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็เห็นน้องชายคนรองเดินเข้ามาด้วยท่าทีห่วงใย“พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง?”ซ่งเยี่ยนโจวบีบตัวเองเบา ๆ เมื่อไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็เผยให้เห็นความประหลาดใจ“น้องรอง ดวงตาของเจ้ามองเห็นแล้วจริงหรือ?”“ใช่แล้ว” ซ่งอี้อันพูดด้วยความสงสัย “ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกแล้วมิใช่หรือ? เพราะน้องหญิงห้ามีฝีมือการแพทย์สูงส่ง ข้าจึงหายได้”“พี่ใหญ่ ท่านอย่าเพิ่งหมดหวังเพราะอาการที่ขาเลย น้องหญิงห้าบอกว่าท่านยังสามารถยืนขึ้นได้อีกครั้ง”ซ่งเยี่ยนโจวจ้องมองซ่งอี้อันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะอดถามไม่ได้ว่า “น้องรอง หรือว่าข้าจะสับสนไปเพราะบาดเจ็บ น้องหญิงห้าเรียนรู้วิชาแพทย์ตั้งแต่เมื่อใด?”ซ่งอี้อันนึกขึ้นได้ “มิน่าเล่าพี่ใหญ่จึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ตอนข้าได้ยินว่าน้องหญิงห้าจะรักษาอาการป่วยของข้า ข้าก็คิดว่านางพูดไปเพื่อปลอบใจข้าเท่านั้น”“เมื่อไม่นานมานี้น้องหญิงห้าเพิ่งเข้าพิธีมงคล แต่หลินจือเยว่กลับรับภรรยาเอกอีกคนเข้ามาพร้อมกัน แล้วยังทำให้นางต้องอับอายที่หน้าประตูจวนสกุลหลิน น้องหญิงห้าจึงโกรธจนเป็นลมไป”“หลังจากนั้นนางก็พ
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้กังวลไปเลย น้องหญิงห้าของเรามีฝีมือการแพทย์ล้ำเลิศ ในเมื่อนางรักษาดวงตาข้าได้ ก็ย่อมสามารถทำให้ท่านกลับมายืนได้อีกครั้ง”ซ่งอี้อันเบนสายตาไปด้านข้าง เขารู้ว่าพี่ใหญ่มีปมนี้อยู่ในใจมากที่สุดเมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาที่ดำขลับดุจหยกดำของซ่งเยี่ยนโจวก็ฉายแววแห่งความหวังขึ้นมา แต่ยังคงเจือด้วยความกังวลอยู่บ้างเขาผ่านความผิดหวังมามากเกินไป จนไม่กล้าคาดหวังต่อสิ่งใดอีกแล้ว“พี่ใหญ่ เมื่อวานตอนที่ท่านหมดสติไป ข้าได้ตรวจดูขาท่านแล้ว ขาของท่านสามารถรักษาให้หายได้”ซ่งรั่วเจินยืนยันคำตอบอย่างมั่นใจ แววตาของซ่งเยี่ยนโจวฉายแววไม่เชื่อ “จริงหรือ?”“พี่ใหญ่ ข้าไม่มีทางหลอกท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”ซ่งรั่วเจินยิ้มเบา ๆ “แต่ว่าพี่ใหญ่ สถานการณ์ของท่านร้ายแรงกว่าพี่รอง พี่รองสูญเสียการมองเห็นเพราะถูกกระแทกที่ศีรษะ ทำให้เกิดก้อนเลือดในสมอง”“เมื่อข้าฝังเข็มละลายก้อนเลือดในสมองแล้ว สายตาของพี่รองก็กลับมามองเห็นได้”“ส่วนขาของท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสในสนามรบ กระดูกหัวเข่าบางส่วนแตกละเอียด ดังนั้นการรักษาจำเป็นต้องใช้เวลา ไม่อาจใจร้อนได้”ซ่งเยี่ยนโจวรู้ถึงสภาพขาของตนเองดี เพราะหมอเก
“พวกเขามาหาข้าหรือ?” ซ่งอี้อันรู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะหันไปมองซ่งรั่วเจิน หรือว่านี่จะเป็น...การมาเยี่ยมที่แฝงด้วยเจตนาอื่น?เขารู้จักกับสวีเฮ่ออันก็จริง แต่เป็นเพราะสวีเฮ่ออันก็เป็นคนที่อาจารย์ให้ความสำคัญมาก ก่อนหน้านี้อาจารย์ถึงกับแนะนำให้พวกเขารู้จักกันเป็นการพิเศษเขาเคยอ่านเรียงความของสวีเฮ่ออันและชื่นชมในความสามารถของอีกฝ่าย หลังจากที่สวีเฮ่ออันสอบได้อันดับสูง เขายังส่งตำรามาให้หลายเล่ม นับว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแต่เพราะบิดาของเขาและท่านราชครูสวี คนหนึ่งเป็นฝ่ายบู๊ อีกคนหนึ่งเป็นฝ่ายบุ๋น ความสัมพันธ์ในราชสำนักจึงไม่ค่อยแน่นแฟ้น ทำให้พวกเขาไม่ค่อยมีการติดต่อกันบ่อยนักครั้งก่อนน้องหญิงห้าของเขาช่วยตามหาบุตรสาวที่หายตัวไปของสกุลสวี นั่นจึงเป็นเหตุให้ทั้งสองตระกูลได้ไปมาหาสู่กัน แต่เหตุใดจู่ ๆ สวีเฮ่ออันถึงมาหาเขา?เขามองดูน้องสาวผู้มีรูปโฉมงดงามน่าหลงใหล ก่อนหน้านี้นางแทบไม่ออกไปพบปะผู้ใดเลย มิเช่นนั้นประตูจวนคงถูกคุณชายในเมืองหลวงย่ำผ่านจนพังไปแล้ว...“รั่วเจิน เจ้าจะไปด้วยกันไหม?” ซ่งอี้อันถามเมื่อเปรียบเทียบกับหลินจือเยว่จอมเสแสร้ง สวีเฮ่ออันนั้นเป็นสุภา
“แน่นอน” ก่อนมาอวิ๋นเฉิงเจ๋อได้ให้คนคัดลอกเรียงความนั้นไว้แล้ว เขาจึงอ่านมันต่อหน้าซ่งอี้อันทันที“คุณชาย นี่คือเรียงความที่ท่านเขียนไว้ก่อนหน้านี้มิใช่หรือขอรับ?” มั่วอวี่อุทานด้วยความตกใจซ่งอี้อันก็ตกใจไม่แพ้กัน เขาถามด้วยสีหน้าฉงน “แต่เรียงความนี้ข้าให้เจ้าเก็บเอาไว้แล้วนี่ ฉินเซี่ยงเหิงได้มันไปได้อย่างไร?”มั่วอวี่พยายามนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่ดวงตาของคุณชายสูญเสียการมองเห็น ก็ไม่ได้ไปที่ห้องหนังสืออีกเลย นอกจากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คุณหนูจ้าวบอกว่าลืมของไว้ในห้องหนังสือจึงเข้าไปเอา จากนั้นก็ไม่มีใครเข้าไปอีกเลยขอรับ” “คุณชายฉินเองก็ไม่ได้มาที่นี่ เขาไม่น่าจะมีบทความของคุณชายได้!”“เจ้าไปดูทีว่าเรียงความของข้ายังอยู่หรือไม่” ซ่งอี้อันสั่ง“ขอรับ คุณชาย”สวีเฮ่ออันกับอวิ๋นเฉิงเจ๋อฟังคำพูดเหล่านี้ก็เข้าใจเรื่องราวโดยสังเขปเรื่องการถอนหมั้นของจ้าวซูหว่านเป็นที่รู้กันทั่วในเมืองหลวง แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาได้เห็นจ้าวซูหว่านอยู่ใกล้ฉินเซี่ยงเหิงหลายครั้งหากเรียงความนี้เป็นสิ่งที่จ้าวซูหว่านขโมยไปให้ฉินเซี่ยงเหิง นั่นย่อมหมายความว่าความสัม
หลังจากส่งสวีเฮ่ออันกับอวิ๋นเฉิงเจ๋อกลับไปแล้ว ซ่งอี้อันก็นำขนมดอกกุ้ยฮวาที่สวีเฮ่ออันฝากมาขอโทษไปให้น้องสาวของเขา“นี่เป็นขนมที่สหายสวีฝากมาขอโทษเจ้า บอกว่าเสียใจที่ผิดนัดคราวก่อน และได้เชิญพวกเราไปเที่ยวชมทะเลสาบในวันพรุ่งนี้ด้วย ข้าตอบรับไปแล้ว แต่ไม่ได้ตัดสินใจแทนเจ้า”“หากเจ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องฝืน แน่นอนว่าคุณหนูอวิ๋นก็จะไปด้วย”ซ่งอี้อันยิ้มพร้อมกับยื่นขนมดอกกุ้ยฮวาให้ เขารู้จักสวีเฮ่ออันมานานแล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายกระวนกระวายเช่นนี้ โดยเฉพาะตอนที่เชิญชวน คงเกรงว่าจะถูกปฏิเสธ ซ่งอี้อันก็พอเข้าใจได้ในทันทีเขารู้ว่าสวีเฮ่ออันชอบน้องสาวของเขาเป็นแน่ซ่งรั่วเจินดีดนิ้วคำนวณดูแล้วพบว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่เหมาะกับการเที่ยวชมทะเลสาบ ไม่เพียงแต่ได้ชมทะเลสาบเท่านั้น ยังจะมีเรื่องสนุกให้ชมอีกด้วย“นาน ๆ ทีพี่รองจะมีอารมณ์ดีเช่นนี้ ข้าย่อมต้องไปด้วยเจ้าค่ะ”ซ่งอี้อันยิ้มกว้างขึ้น “ดี”……ฉินซวงซวงอาเจียนเป็นเลือดออกมาอย่างหนักในคุก ดูท่าทางเหมือนจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานเมื่อเจ้าเมืองประจำศาลาว่าการซุ่นเทียนทราบเรื่องนี้ เกรงว่านางอาจจะตายอยู่ในคุก จึงยอมให้หลินจือเยว่พ
แม้ฉินซวงซวงจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าหลินด่าทอจนสีหน้าย่ำแย่ แต่นางก็เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันดีในชาติก่อน นางเข้ามาในจวนหลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งปี ซึ่งในเวลานั้นจวนโหวรุ่งเรืองมาก รั่วเจินก็ดูแลที่ดินและร้านค้าของจวนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนางเข้ามาในจวนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน เพียงแค่ลอบซื้อใจคนที่อยู่ใกล้ซ่งรั่วเจิน เมื่อซ่งรั่วเจินสิ้นใจ ทุกอย่างก็จะตกมาเป็นของนางไปโดยปริยายแต่สิ่งเดียวที่นางไม่พอใจคือสถานะอนุภรรยาของตนเองการเลื่อนสถานะจากอนุภรรยาเป็นภรรยาหลวงทำให้นางถูกผู้คนเยาะเย้ย บางคนถึงกับยุยงให้หลินจือเยว่แต่งภรรยาหลวงใหม่ เพราะถึงอย่างไรอนุก็ยังเป็นอนุอยู่วันยันค่ำดังนั้นเมื่อได้เกิดใหม่ นางจึงวางแผนที่จะเข้าสู่จวนก่อนเวลา เพื่อให้ได้รับสถานะเทียบเท่าภรรยาหลวง และเมื่อซ่งรั่วเจินตายไป ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าวิจารณ์นางอีกแต่ใครจะคิดว่าการตัดสินใจผิดพลาดเพียงก้าวเดียวจะทำให้เรื่องราวลงเอยเช่นนี้เล่า?นางเกิดใหม่ทั้งที จะปล่อยให้ซ่งรั่วเจินรังแกได้อย่างไร? ครั้งนี้เป็นเพียงเพราะนางประมาทไปชั่วคราวเท่านั้น!“จือเยว่ ข้ารู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้า ท่านอย่ากังวลไปเ
ณ พระราชวัง ห้องทรงพระอักษร“การสอบประจำฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาแล้ว เราได้ยินว่ามีผู้สอบจำนวนมากมายังเมืองหลวง ทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นมาก ท่านอัครเสนาบดีกับท่านอาจารย์พอจะมีผู้ใดที่เห็นว่ามีพรสวรรค์บ้างหรือไม่?” ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยรอยยิ้ม“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กระหม่อมได้อ่านเรียงความที่ยอดเยี่ยมหลายบท เรียงความเหล่านี้เขียนโดยผู้มีพรสวรรค์ กระหม่อมจึงให้คนคัดลอกไว้ ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร” อัครเสนาบดีส่งเรียงความที่เตรียมไว้ล่วงหน้าให้กับขันทีใหญ่ และขันทีใหญ่ก็นำไปถวายฮ่องเต้“เป็นเรียงความที่ดีจริง ๆ เต็มไปด้วยพรสวรรค์ ควรมีชื่อของเขาในการสอบประจำฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้” ฮ่องเต้ตรัสถามด้วยความพอพระทัยว่า “ผู้สอบผู้นี้มีนามว่าอะไร?”“ทูลฝ่าบาท เขาคือฉินเซี่ยงเหิงจากสำนักศึกษาหลวง กระหม่อมเชื่อว่าท่านอาจารย์เว่ยก็น่าจะรู้จักดี” เสนาบดีถังตอบด้วยรอยยิ้มอาจารย์เว่ยขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อของฉินเซี่ยงเหิง เขารู้ว่าฉินเซี่ยงเหิงมีความสามารถ แต่หากถึงขั้นที่คนทั้งเมืองหลวงพูดถึง แม้แต่อัครเสนาบดีและฮ่องเต้ก็ยังชมเชย เขาไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น“ฝ่าบาท กระหม่อมขอดูเรียงความนั้นได้หรือไ
อาจารย์เว่ยย่อมทราบดีว่าหากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในช่วงเวลานี้ จะต้องส่งผลกระทบอย่างแน่นอน จึงกราบทูลว่า“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าเวลานี้มิใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ทรงนิ่งพลางตรึกตรองครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็รอจนการสอบประจำฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไปก่อน แล้วค่อยจัดการเรื่องนี้ พวกท่านทั้งสองอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเป็นอันขาด เราจะดูว่าเขาจะก่อความวุ่นวายอะไรขึ้นมาอีก”อัครเสนาบดีและอาจารย์เว่ยมองตากัน พลางรู้สึกกังวลแทนท่านแม่ทัพฉินในใจลึก ๆการมีบุตรชายเช่นนี้ ช่างเป็นเวรกรรมโดยแท้ท้องฟ้าสดใสอากาศบริสุทธิ์ แสงแดดส่องสว่างเจิดจ้าเมื่อซ่งรั่วเจินและซ่งอี้อันมาถึง สวีเฮ่ออันและคนอื่น ๆ ก็มาถึงก่อนแล้ว เพียงแต่ว่ากลับมีบุคคลที่ไม่คาดคิดเพิ่มมาอีกหนึ่งคน...อวิ๋นซีหว่านเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ซ่งรั่วเจินก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูไม่ค่อยดีนัก“ข้าบอกแล้วว่าไม่อยากให้นางมา แต่นางก็ยังดึงดันจะตามมา!” อวิ๋นเนี่ยนชูลากซ่งรั่วเจินไปอีกทาง ใบหน้าของนางฉายชัดไปด้วยความรำคาญใจซ่งรั่วเจินปรายตามองอวิ๋นซีหว่าน นางพึ่งถูกน้ำแกงลวกที่ร้านอวิ๋นหย่าเมื่อไม่กี่วันก่อนและยังไม่หายดี แต่ถ
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น นางกำนัลในตำหนักจงเฟยก็พลันเข้ามา“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” นางกำนัลก้มกายคำนับด้วยท่าทางเคารพนบนอบ แต่ในมือกลับถือเซียนบุปผาเอาไว้หนึ่งองค์ “แม่นางของบ่าว ให้บ่าวนำเซียนบุปผามาให้ฮองเฮา ขอเพียงทรงบูชาด้วยใจที่ตั้งมั่น ก็จะสามารถเปล่งปลั่งผุดผ่อง ทำให้เยาว์วัยตราบนานเท่านาน” เมื่อวาจาถูกเปล่งออกมาเช่นนั้น ฮองเฮาและลู่หมิ่นฮุ่ย ต่างพินิจพิจารณาเซียนบุปผาที่อยู่ตรงหน้า ต้องบอกเลยว่ารูปปั้นนี้ถูกทำขึ้นได้สมจริงยิ่งนัก เซียนบุปผานั้นก็งามวิจิตรด้วยรูปลักษณ์อันเย้ายวนตา “นี่มันเซียนบุปผาอะไรกัน? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” แววตาของฮองเฮาปรากฏแววประหลาดใจวาบหนึ่ง ในใจกับยิ่งรู้สึกสงสัย จงเฟยมีน้ำใจงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ จึงยอมมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้แก่นาง? นางสนมวังหลัง ต่างกำลังช่วงชิงแข่งขัน หวังเพียงให้ตนสามารถงามล้ำกว่าผู้อื่น เพื่อที่ฮ่องเต้จะได้ต้องตาในคราแรกเห็น จงเฟยในวันนี้ผุดผ่องไปทั้งตัวยิ่งกว่าทุกวัน แค่ฮ่องเต้ได้เห็น ราตรีนี้ย่อมต้องพลิกป้ายชื่อของนางเป็นแน่ หากความลับที่ทำให้จงเฟยงดงามขึ้นเป็นเพราะการบูชาเซียนบุปผ
นับตั้งแต่แต่งงานกันเป็นต้นมา ท่านอ๋องก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่งมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากแต่งงานแล้ว นั่นยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลยฮองเฮามองแหวนบนมือลู่หมิ่นฮุ่ยแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านอ๋องของเจ้าดีต่อเจ้ามากมาแต่ไหนแต่ไร ส่งของขวัญมาให้รวดเร็วปานนี้ ข้าได้ยินมาว่าแหวนในร้านขายเครื่องประดับทั่วเมืองหลวงถูกขายหมดเกลี้ยงแล้ว เมื่อก่อนหาได้ขายดีเท่าปิ่นปักผมไม่”“ไม่รู้ว่าจวินถิงคิดวิธีแปลกใหม่เช่นนี้ได้อย่างไร แต่ข้าแค่ได้ยินก็รู้สึกว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมโดยแท้ ช่างชวนให้คนอิจฉานัก”ลู่หมิ่นฮุ่ยดื่มชาจิบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “พี่หญิง ยามนี้ท่านคิดตกแล้วช่างดีเหลือเกิน ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่ไทเฮาทรงทราบว่าฝ่าบาทพระราชทานสมรส ยังให้คนนำของพระราชทานไปส่งที่สกุลซ่งไม่น้อยเลย เห็นได้ชัดว่าโปรดปรานแม่นางซ่งมาก”ฮองเฮาพยักหน้าน้อยๆ วันนี้ตอนที่นางได้ยินข่าวนี้ก็มีความคิดแบบเดียวกัน ความโปรดปรานที่ไทเฮามีต่อซ่งรั่วเจินช่างชวนให้คนประหลาดใจโดยแท้แต่สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นข่าวดียิ่งโดยไม่ต้องสงสัย“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าแม่นางสกุลหลิงผู้นั้นหมู่นี้ใกล้ชิดกับเช่ออ๋องมากทีเดียว คน
“ก่อนแต่งงานเขาสามารถคิดวิธีการนี้ออกมาได้ หลังแต่งงานก็ย่อมสามารถคิดวิธีอื่นออกมาได้เหมือนกัน เขาย่อมจะมีวิธีแก้ไข”ซ่งหลินมองไปทางกู้หรูเยียน “คิดถึงสมัยที่แม่ข้ายังอยู่ ข้าก็จัดการเรื่องต่างๆ ได้ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”กู้หรูเยียนอึ้งไป คิดถึงเมื่อครั้งที่แม่สามียังอยู่ ระหว่างนางกับแม่สามีก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีความขัดแย้งอันใด ทุกครั้งซ่งหลินล้วนจัดการได้ดีมากตอนเริ่มแรก นางเข้าใจมาตลอดว่าเป็นเพราะแม่สามีนิสัยดี รู้สถานการณ์ที่นางอยู่ในตระกูลหลิ่วแล้วยังยินดียอมรับนางอย่างไรเสีย รูปแบบการทำเรื่องต่างๆ ของตระกูลหลิ่วหลายปีมานี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดื้อด้านไร้เหตุผล ชอบมาหาผลประโยชน์จากตระกูลซ่ง นางรู้สึกละอายใจต่อตระกูลซ่งมาโดยตลอดโชคดีที่ทั้งแม่สามีและพ่อสามีล้วนไม่เคยตำหนินางเพราะเรื่องนี้ นางย่อมเข้าใจว่าในเรื่องนี้ย่อมขาดความชอบของซ่งหลินไปไม่ได้เลย“ตอนนั้นท่านโน้มน้าวแม่สามีอย่างไรหรือ?” กู้หรูเยียนถามอย่างสงสัยตอนนั้นนางกังวลใจไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ทุกครั้งที่ซ่งหลินบอกนางว่าไม่เป็นไร พ่อสามีและแม่สามีจิตใจกว้างขวาง ไม่เคยเก็บเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ แต่กลับเห็นใจนางเป
“เมื่อวานข้าได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ การจัดเตรียมแสนอลังการแบบนี้ ไม่เพียงแค่ไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความจริงใจของฉู่อ๋อง”“ตอนที่ข้าเห็นฉู่อ๋องเป็นฝ่ายถามแม่นางซ่งว่ายินดีแต่งงานกับเขาหรือไม่ก็รู้สึกว่าถ้าบุรุษในใต้หล้าเป็นเหมือนเขากันทุกคนก็คงดี”“ไม่รู้ว่าการมอบแหวนมีความหมายพิเศษอันใดหรือไม่? ตอนข้าเห็นฉู่อ๋องสวมแหวนให้แม่นางซ่งก็รู้สึกว่าพิเศษเอามากๆ วันหน้าตอนข้าแต่งงานก็อยากทำเช่นนี้เหมือนกัน”ทันใดนั้น แหวนในร้านขายเครื่องประดับก็กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงเช้าวันนี้ แหวนทั้งหมดล้วนขายไปจนหมดเกลี้ยงขณะที่เวลานี้จวนสกุลซ่งเพิ่งได้รับราชโองการพระราชทานสมรส“ยินดีด้วย แม่ทัพซ่ง ซ่งฮูหยิน วันที่แปดเดือนหน้าเป็นวันดี หลังแต่งงานแล้ว แม่นางซ่งก็จะกลายเป็นพระชายาฉู่อ๋อง”ขันทีที่อัญเชิญราชโองการมามีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ตำแหน่งพระชายาฉู่อ๋องว่างเว้นมานานมากแล้ว ฉู่อ๋องควรแต่งงานตั้งแต่หลายปีก่อน แต่ก็ผัดผ่อนมาจนถึงตอนนี้บัดนี้ในที่สุดก็มีว่าที่พระชายาฉู่อ๋องเสียที ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองโดยแท้“เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งของพระราชทานจากในวัง ไม่เพ
ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ยิ้มเหมือนจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง “ผู้ชายดีๆ ในเมืองหลวงมีไม่น้อย หลังจากหม่อมฉันถอนหมั้น คนที่มาทาบทามสู่ขอหม่อมฉันก็มีมากมาย...”“ยังมีมากมายอีกด้วย? ไหนลองบอกข้ามาซิว่ามีใครบ้าง?”ฉู่จวินถิงรู้ว่าแม่นางผู้นี้กำลังหยอกเย้าตนเองอยู่ แต่ครั้นคิดถึงว่าตอนนั้นนางไม่มีความคิดจะแต่งงานกับเขาเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมแพ้ ยามนี้ไม่แน่ว่าคงแต่งงานกับคนอื่นไปแล้วก็เป็นได้มือของเขาเกาะกุมเนื้ออ่อนบริเวณเอวนาง ออกแรงเล็กน้อยก็ทำให้นางหัวเราะคิกขึ้นมา“ฮ่าๆ จั๊กจี้ ท่านปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ”ซ่งรั่วเจินกลัวจั๊กจี้มาแต่ไหนแต่ไร ทั้งร่างพลันอ่อนระทวย ดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมกอดของฉู่จวินถิง“ท่านปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้นะ เร็วเข้า!”ฉู่จวินถิงมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ข้าไม่ปล่อย เจ้าบอกข้ามาก่อนว่ามีใครบ้าง”“ไม่มี ไม่มี นอกจากท่านก็ไม่มีใครทั้งนั้น”ซ่งรั่วเจินอ้อนวอนอย่างอ่อนใจ นางคิดไม่ถึงเลยว่าฉู่จวินถิงจะมาไม้นี้ ยื่นมือเข้าไปคิดจะจั๊กจี้เขาบ้าง แต่กลับพบว่าเนื้อบนตัวชายหนุ่มแข็งกว่านางมากนัก เมื่อแตะถูกบริเวณเอวอย่างไม่ทันระวังก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงเค้าโครงกล้ามเนื
ฉู่อวิ๋นกุยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง ชั่วชีวิตนี้ข้าคงคิดไม่ถึงเลยว่าด้วยนิสัยของเสด็จพี่จะมีวันที่เตรียมการเช่นนี้เอาไว้ด้วย”ก่อนหน้านี้เมื่อเสด็จพี่พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็เค้นสมองครุ่นคิด แต่นอกจากเรื่องดอกไม้ไฟแล้ว ความคิดอื่นๆ ล้วนถูกปฏิเสธทันควันเมื่อเทียบกันในยามนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าความคิดพวกนั้นของตนเองไม่เข้าท่าเอาเสียจริงๆซ่งรั่วเจินขึ้นเรือที่ตกแต่งอย่างหรูหราไปกับฉู่จวินถิงแล้วค่อยพบว่าคนอื่นๆ ไม่ได้ตามมาด้วยจึงอดถามไม่ได้ว่า “มีแค่พวกเราสองคนหรือ?”ฉู่จวินถิงมองหญิงสาวตรงหน้า สายตาตกลงบนริมฝีปากสีกุหลาบนั้น ความรู้สึกอ่อนนุ่มเมื่อครู่ก่อนยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในห้วงคำนึง เพียงปรารถนาจะลิ้มรสอย่างเต็มที่สักคราเขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่นระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง “อืม มีแค่พวกเรา”แววตาของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นลึกล้ำขึ้นมา กระทั่งน้ำเสียงก็ยังแหบพร่าอยู่บ้างครู่ก่อนยังมีท่าทางอบอุ่นดุจอาบไล้อยู่ในสายลมวสันต์อยู่แท้ๆ ฉับพลันนั้นก็เปลี่ยนเป็นเปี่ยมแรงกดดัน ดวงตาคู่นั้นยังคงอ่อนโยนเปี่ยมแววรักใคร่ ทว่าแฝงไว้ซึ่งแววคุกคาม
ซ่งหลินมองรอยยิ้มของลูกสาวตนเอง ในใจรู้สึกเป็นสุขอย่างไม่อาจพรรณนา ประกอบกับได้ยินคำพูดของภรรยาตนเองพอดี เขาจึงอดกล่าวขึ้นไม่ได้ว่า“ตอนนี้ท่าทีของข้าดีมากแล้ว ไม่ว่าพ่อตาบ้านไหนก็เห็นลูกเขยขัดตาทั้งนั้นแหละ แต่ฉู่อ๋องผู้นี้ นิสัยไร้ที่ติเลยจริงๆ”“ในอดีตตอนข้าอยู่ในสนามรบมักได้หารือกับเขาบ่อยๆ เป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยากคนหนึ่ง ทั้งยังมีความรับผิดชอบ เขาจะไม่ทำให้เจินเอ๋อร์ผิดหวังแน่นอน”คิดถึงว่าตอนแรกเขาก็คิดว่าฉู่จวินถิงเป็นลูกเขยที่ดีคนหนึ่ง ไม่ว่าลูกสาวสกุลใดได้แต่งงานกับเขา จะต้องได้มีชีวิตที่ดีพร้อมอย่างแน่นอน แต่เจ้าหมอนี่นิสัยเย็นชาเกินไป ไม่ถูกใจลูกสาวบ้านไหนสักคน เขาจึงเลิกล้มความคิดนี้ไปใครเลยจะคาดว่าวกไปวนมาสุดท้ายทุกอย่างก็กลายเป็นจริง ฉู่อ๋องถึงกับต้องการแต่งงานกับลูกสาวเขาคนเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อพวกสหายเก่าแก่ได้รู้เรื่องนี้ แต่ละคนก็มีสีหน้าเหมือนเห็นผี ในใจเขาไม่ต้องบอกเลยว่าปลาบปลื้มมากแค่ไหน!กู้หรูเยียนพยักหน้าน้อยๆ “สายตาของเจินเอ๋อร์ก็ดีเหมือนกัน โชคดีที่ถอนหมั้นเสียตั้งแต่ตอนนั้น มิฉะนั้นถ้าเข้าไปอยู่ในจวนสกุลหลิน พ่อแม่อย่างพวกเราก็ทำผิดต่อนางมากเกินไ
แต่หลังจากที่กู้ฮวนเอ๋อร์ได้ยินว่าญาติผู้พี่ไม่เคยได้สิ้นเปลืองความคิดเพื่อเรื่องนี้เลยตั้งแต่ต้นจนจบ แต่กลับเป็นฉู่อ๋องเสียอีกที่สะสางทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งยังยอมรับต่อหน้าฮองเฮาว่าเขาเป็นฝ่ายพยายามเอาชนะใจนาง ญาติผู้พี่ยังไม่แน่ว่าจะรับปาก นางจึงตระหนักว่าที่แท้สตรีก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีเหมือนญาติผู้พี่ได้เหมือนกันไม่ต้องก้มศีรษะให้ครอบครัวสามี ทั้งยังไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว นางมีความกล้าถอนหมั้นในวันแต่งงาน ทั้งยังไม่เกรงกลัวถ้อยคำซุบซิบนินทาต่อให้ใครจะคิดว่านางไม่คู่ควรกับฉู่อ๋อง ทว่าในสายตาฉู่อ๋อง สิ่งที่กลัวกลับเป็นการทำให้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจฉู่มู่เหยาก็เข้าใจความคิดของกู้ฮวนเอ๋อร์เช่นกัน ถึงนางจะเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ แต่ก็ไม่กล้ามีความคิดเช่นพี่สะใภ้แต่เมื่อได้เห็นพี่สะใภ้และเสด็จพี่เช่นนี้ นางก็อวยพรให้พวกเขาจากใจจริงแม้ว่าชั่วชีวิตนี้ตนเองไม่แน่ว่าจะสามารถใช้ชีวิตแบบพี่สะใภ้ได้ แต่เพียงได้เห็นว่าพวกเขาทำได้ นางก็รู้สึกเป็นเกียรติแล้วสี่พี่น้องสกุลซ่งเห็นว่าฉู่จวินถิงให้ความสำคัญกับน้องสาวของพวกตนเช่นนี้ก็อดมองตากันไม่ได้ ใบหน้