แววตาของอนุอวิ๋นฉายแววคาดหวัง แท้จริงแล้วนางรู้สึกเสียใจ หากรู้แต่แรกว่าทุกอย่างจะลงเอยเช่นนี้ สู้ปล่อยให้จางเหวินอยู่ในจวนตั้งแต่แรกเสียยังจะดีกว่า ทว่าเมื่อจางเหวินได้ยินคำพูดนี้กลับรู้สึกขบขัน คนชั่วย่อมมีคนชั่วมาจัดการ “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่เจ้าถนัดที่สุดมิใช่การเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารและอ่อนแอหรอกหรือ? ไฉนตอนนี้พอเทียบกับผู้อื่นไม่ได้ เจ้าถึงได้รีบร้อนมาขอความช่วยเหลือล่ะ?” “หรือว่า… ฮูหยินคนใหม่นางนี้จะดูอ่อนแอกว่าเจ้าอีก?“ นึกถึงแต่ก่อน อนุอวิ๋นก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ ทำให้นางต้องอดทนต่อความอยุติธรรมมากมายในจวน และยังทำให้นางเห็นชัดเจนว่าอวิ๋นหงหล่างเป็นคนโง่เง่าเพียงใด แรกเริ่มนางยังยินดีที่จะอธิบาย แต่เมื่อเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางก็ยอมแพ้ไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่ชายผู้นั้นก็ยังทำให้นางรู้สึกขยะแขยง สีหน้าของอนุอวิ๋นชะงักไปครู่หนึ่ง นางกัดฟันพลางกำหมัดแน่น แต่ในใจกลับไม่อยากจะยอมรับ ไป๋หย่าเหลียนนังแพศยานั่น เสแสร้งเก่งกว่านางเสียอีก! ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ไป๋หย่าเหลียนกำลังอยู่ในวัยเยาว์งามสะพรั่ง ตรงกันข้ามกับนางที่หมดวัยเยาว์ไ
“ข้าทำอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” อนุอวิ๋นกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ตอนนี้ข้ายังไม่ได้แต่งเข้าสกุลอวิ๋นก็จริง แต่ทุกคนต่างรู้ว่างานแต่งงานของเรากำลังเตรียมการอยู่ เดิมทีเจ้าทำอะไร ข้าก็มิได้สนใจ แต่เจ้ากลับเที่ยวไปทำลายชื่อเสียงของข้าทุกหนทุกแห่ง อีกทั้งยังมารังควานพี่จางอีก เจ้าทำเกินไปแล้วจริงๆ!” ไป๋หย่าเหลียนสีหน้าเย็นชา ลึกลงไปในดวงตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ ก่อนหน้านี้นางก็รู้ว่าอนุอวิ๋นไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย เรื่องที่จวนอวิ๋นเอาใจอนุและกดขี่ฮูหยินเอกนั้นไม่มีใครที่ไม่รู้ เพียงไปฟังพวกบ่าวไพร่ในจวนก็จะรู้เรื่องเอง เพียงแต่นางไม่เคยเห็นสตรีประเภทนี้อยู่ในสายตาเลย ในฐานะฮูหยินเอก ไหนเลยจะยอมให้อนุมากดหัวได้? ไม่เชื่อฟัง เช่นนั้นก็ต้องตบตีให้หลาบจำ! “ข้าทำลายชื่อเสียงเจ้า? ตัวเจ้ามีสันดานเช่นนี้อยู่แล้ว ยังต้องให้ข้าทำลายอีกหรือ?” อนุอวิ๋นโกรธเป็นอย่างมาก ไป๋หย่าเหลียนเมื่ออยู่ต่อหน้านายท่าน นางก็เสแสร้งออดอ้อน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตน นางกลับแสดงท่าทางแข็งกร้าวและเกรี้ยวกราด นางรู้ดีว่าหากไป๋หย่าเหลียนได้เข้าจวนไป ไม่ว่านางหรือซีหว่านก็จะไม่
แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่านางยิ่งได้ใจ ก่อเรื่องวุ่นวายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาจึงดูต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว! “ไม่ ไม่นะ!” อนุอวิ๋นหน้าถอดสี “ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?” “ความอดทนของข้าที่มีต่อเจ้าถึงขีดสุดแล้ว เจ้ามิรู้จักสำนึกผิด เช่นนั้นเจ้าก็ปิดเรือนสำนึกตนให้ดีเถิด!” ไป๋หย่าเหลียนก้าวเข้าไปตรงหน้าอวิ๋นหงหล่าง นางมีท่าทางอ่อนหวาน “หงหล่าง ข้าได้ยินว่านางวิ่งโร่มาถึงจวนซ่งเพื่อก่อกวนซ่งฮูหยินและพี่จาง ข้าถึงได้มาที่นี่” “ข้าเข้าใจแล้ว” อวิ๋นหงหล่างพยักหน้า จางเหวินมองภาพตรงหน้านิ่ง ๆ นางเห็นสีหน้าที่คุ้นตาบนใบหน้าของอวิ๋นหงหล่าง และรู้สึกว่ามันแทบจะทับซ้อนกับภาพเมื่อหลายปีก่อน ที่แท้ ตลอดหลายปีมานี้ อวิ๋นหงหล่างก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เขาไม่ได้ชอบอนุอวิ๋น แต่ที่ผ่านมา เขาชื่นชอบสตรีประเภทนี้ต่างหาก บัดนี้เมื่อไป๋หย่าเหลียนที่ทั้งอ่อนวัยและสดใหม่เข้ามา อนุอวิ๋นก็หมดความหมายไปโดยปริยาย “ใต้เท้าอวิ๋น ท่านควรดูแลอนุอวิ๋นให้ดี วันนี้นางวิ่งโร่มาก่อกวนถึงหน้าจวนพวกเรา คนที่ไม่รู้ก็คงจะคิดว่าจวนซ่งของพวกเราทำเรื่องที่ไม่ดีต่อนาง ถึงขนาดไม่อยากให้เข้ามาก็ยังไม่ได้”
“เอาล่ะ เอาล่ะ กลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากู้มองซ่งหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ “แม่ทัพซ่ง พวกเรามีวาสนาที่พิเศษต่อกันจริง ๆ ลูกสาวของข้าตกทุกข์ได้ยากอยู่ข้างนอก หลายปีมานี้ต้องขอบคุณท่านที่ดูแลนาง” “หากไม่มีท่าน ข้าก็ไม่กล้าคิดเลยว่าหรูเยียนจะต้องใช้ชีวิตอย่างไรในตอนนี้” ท่าทีของสกุลหลิ่วที่มีต่อกู้หรูเยียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นางย่อมรู้ดี หากไม่ใช่เพราะหรูเยียนโชคดีที่ได้แต่งงานกับซ่งหลิน ซ่งหลินปกป้องนางสุดหัวใจ หากนางแต่งงานกับคนอื่น และมีพ่อแม่ที่เป็นผีดูดเลือดเช่นนี้ เกรงว่าหรูเยียนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ชีวิตของนางจะลำบากเพียงใด “ท่านแม่ยาย การได้แต่งงานกับหรูเยียนถือเป็นวาสนาของข้า!” ใบหน้าของซ่งหลินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ดูลูก ๆ เหล่านี้ของข้าสิ หากไม่มีหรูเยียน ข้าจะได้มีวาสนาเช่นนี้งั้นหรือ?” “ครั้งนี้ที่เมืองผิงหยาง บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า เมื่อเห็นว่าลูก ๆ มารับข้าด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าแต่ละคนต่างอิจฉาข้าขนาดไหน!” ทุกคนที่มองเห็นท่าทางดีใจจนไม่สามารถซ่อนความรู้สึกได้ของซ่งหลิน ก็สัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจของเขา ทั
“คุณหนู นี่พวกเราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ?” “เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้เนี่ยนชูอยู่ที่ใด?” ซ่งรั่วเจินถามขึ้น เฉินเซียงคิดครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ตอนนี้คุณหนูอวิ๋นคงจะอยู่ที่ที่พักกระมังเจ้าคะ?” “พวกเราไปหาเนี่ยนชูก่อน! จริงสิ ในช่วงที่ข้าจากไป เมืองหลวงเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เจ้าเล่าให้ข้าฟังที” ซ่งรั่วเจินนึกถึงหญิงสาวแปลกหน้าที่เห็นอยู่ข้างกายใต้เท้าอวิ๋นก่อนที่จะกลับมายังเมืองหลวง ดูจากท่าทีแล้ว...คงจะสนิทสนมกันอยู่บ้าง เฉินเซียงได้ยินเช่นนั้น ก็เริ่มเล่าออกมาไม่หยุดทันที “คุณหนู ในช่วงที่ท่านจากไป เมืองหลวงได้เกิดเรื่องขึ้นไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ เรื่องวุ่นวายในสกุลอวิ๋นก็มีเข้ามาไม่หยุดหย่อน” “ไป๋หย่าเหลียนกำลังจะได้แต่งงานเป็นฮูหยินของใต้เท้าอวิ๋นในอีกไม่ช้านี้ ส่วนความสัมพันธ์ของอนุอวิ๋นกับนางไม่จะลงรอยกันนัก วันนี้ก็มาก่อกวนฮูหยินถึงที่เลยเจ้าค่ะ” “ข้าเห็นว่าไป๋หย่าเหลียนอายุน้อยกว่าใต้เท้าอวิ๋นมาก เหตุใดจึงต้องแต่งงานกับเขาล่ะ?” ซ่งรั่วเจินแอบตกใจ ช่างเป็นดอกไม้สดที่ปลูกอยู่บนขี้วัวจริงๆ! “แม่นางไป๋ผู้นั้นก็มิใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ ได้ยินมาว่าก่อนหน
หากกำหนดงานแต่งของคุณชายอวิ๋นเรียบร้อยแล้ว นางจะต้องทุกข์ทรมานอย่างมากแน่ซ่งรั่วเจินเข้าใจ “อวิ๋นเฉิงเจ๋อเป็นอะไรไป? เจ้าทึ่มคนนี้เตรียมแสดงความกตัญญู แต่ทำผิดต่อเนี่ยนชูกระนั้นหรือ?”ยามซ่งรั่วเจินได้พบอวิ๋นเนี่ยนชูก็พบว่าดวงตาของนางแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา“รั่วเจิน เจ้ากลับมาตั้งแต่ยามใด?”ใบหน้าเล็กของอวิ๋นเนี่ยนชูสะท้อนแววดีใจระคนประหลาดใจ สืบเท้าขึ้นมาอย่างว่องไว จับนางพลางสำรวจอย่างละเอียดหนึ่งรอบ “ผอมแล้ว อยู่ข้างนอกจะต้องลำบากมากแน่กระมัง?”“เจ้าอยู่แต่ในจวน ข้าเห็นว่าเจ้าผอมกว่าข้ามากนัก”ซ่งรั่วเจินมองเห็นอวิ๋นเนี่ยนชูขมวดคิ้วแน่นไม่ยอมคลายออกจากกัน ถอนหายใจหนักๆ “พูดกับข้าเถอะ ตกลงเกิดเรื่องใดขึ้น?”“เจ้าเพิ่งกลับมา ไม่พักผ่อนดีๆ เหตุใดยังมาใส่ใจกับเรื่องของข้าอีกเล่า?” อวิ๋นเนี่ยนชูเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้“เจ้าเป็นพี่น้องที่ดีของข้า ข้าไม่ใส่ใจเจ้าจะใส่ใจใครอีกเล่า?” ซ่งรั่วเจินมองนางอย่างระอา จูงนางเดินไปนั่งที่ฝั่งหนึ่ง“เดิมทีข้าก็นั่งเรือกลับมา ไม่เหนื่อย เพียงแต่กินที่ภายนอกไม่ดีเท่าที่บ้าน อยู่ดูแลที่บ้านสองสามวันก็อ้วนกลับมาได้แล้ว ระหว่างทาง
“ข้าคิดว่าข้าคล้ายกำลังฝันหนึ่งตื่น รักข้างเดียวมานานหลายปีถึงเพียงนี้ บัดนี้สมควรตื่นจากฝันแล้ว”สุ้มเสียงของอวิ๋นเนี่ยนชูเรียบเฉยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “อันที่จริงข้าใคร่ครวญอยู่ภายในห้องนานมาก แท้จริงแล้วข้ามควรเข้าใจตั้งนานแล้ว เพียงแต่หลอกตนเองจึงไม่ยอมปล่อยมือมาโดยตลอด” “เจ้าคิดจะปล่อยมือแล้วหรือ?” ซ่งรั่วเจินเอ่ยถามอวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้า “บัดนี้ความจริงอยู่เบื้องหน้าแล้ว ทั้งยังเคยพยายามอย่างเต็มที่มาก่อน ภายในใจเขาไม่มีข้า ข้าตอแยเขาก็รังแต่จะทำให้เขารังเกียจ”ซ่งรั่วเจินนึกถึงอวิ๋นเนี่ยนชูที่ตายอย่างอนาถในชาติก่อน หรือว่าสิ่งที่อวิ๋นเฉิงเจ๋อทำทั้งหมดล้วนเป็นเพียงแค่ความรักของพี่น้อง?“ไม่ว่าเจ้าทำอันใด ข้าล้วนสนับสนุนเจ้า”ซ่งรั่วเจินกุมมืออวิ๋นเนี่ยนชู พูดว่า “สุดหล้าฟ้าเขียวมีที่ใดไร้บุปผา ไฉนเลยจะต้องยึดติดกับบุปผาเพียงดอกเดียว บุรุษที่ดีในเมืองหลวงมีมากมายนัก เขาไม่รู้จักถนอมไว้ พวกเราก็ไปหาบุรุษที่ดียิ่งกว่าคนอื่น”“เจ้าดีถึงเพียงนี้ บุรุษที่ชมชอบเจ้าภายในเมืองหลวงมีมากมายนัก!”อวิ๋นเนี่ยนชูหลุดหัวเราะออกมา “ข้าดีอย่างที่เจ้าพูดที่ใดกัน? บัดนี้ข้าตกอยู่ในสถานการณ
อวิ๋นเนี่ยนชูถูกคำพูดของซ่งรั่วเจินทำให้ตกใจ “บัง บังคับพากลับมา?”“ใช่แล้ว”ซ่งรั่วเจินพูดด้วยท่าทางมีเหตุผล บ่อยครั้งที่คนมักถูกความคิดของตนจองจำเอาไว้ แท้จริงแล้วกระโดดออกมามองดู มากมายหลายเรื่องก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้น“รั่วเจิน บัดนี้เจ้าเปลี่ยนไปมาก แต่ข้าคิดว่าเจ้าพูดถูก!”อวิ๋นเนี่ยนชูนึกถึงสถานการณ์ยามซ่งรั่วเจินถอนหมั้น ทุกคนล้วนพูดว่านางไม่มีวันหาคู่ครองที่ดีได้อีก ทว่าบัดนี้ฉู่อ๋องดีต่อนางมาก พวกเขาล้วนเห็นอยู่ในสายตาบางทีนางก็สมควรคิดให้ตก ในเมื่อไม่อาจฝืนเด็ดแตงลูกนี้อย่างญาติผู้พี่ได้ เช่นนั้นก็เปลี่ยนแตงลูกใหม่!ไม่ช้าก็เร็วจะต้องได้พบแตงที่เหมาะสมแน่!เห็นอารมณ์ของอวิ๋นเนี่ยนชูเริ่มสงบลง คล้ายคิดตกแล้วจริงๆ ซ่งรั่วเจินถึงพูด “วันนี้อนุอวิ๋นสร้างความวุ่นวายภายในจวน พูดว่าเจ้าชอบอวิ๋นเฉิงเจ๋อ ข้านี่ถึงตั้งใจมาแจ้งเจ้า”“อะไรนะ?”สีหน้าอวิ๋นเนี่ยนชูเปลี่ยนไป ที่ผ่านมานางเคยคิดมาก่อนว่าหากญาติผู้พี่เองก็ชอบนาง นางจะบอกเรื่องทั้งหมดกับมารดาบัดนี้นางคิดจะปล่อยมือแล้ว อนุอวิ๋นกลับเปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้ามารดา นี่จะยังไม่เกิดปัญหาอีกหรือ?“ข้าเห็นท่าทีของท่านป้า
ตอนนั้นสมองของนางขาวโพลน ชนิดที่ว่ายังเจือความขุ่นเคืองระคนเขินอายอีกด้วย คิดว่าญาติผู้พี่จำคนผิดไปจนกระทั่งได้ยินเขาพูดพึมพำชื่อของนางไม่หยุด ได้เห็นน้ำตาเจืออยู่ในสายตาของเขา ความรู้สึกของนางก็ซับซ้อนขึ้นมาจากนั้น นางประคองญาติผู้พี่เข้าห้อง ได้ยินเขาพูดพึมพำภายในความฝัน เรียกชื่อของนางเบาๆตอนจากมา นางชนเข้ากับหนังสือบนโต๊ะของเขาโดยไม่ทันระวัง ตอนหยิบของขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้พบภาพวาดของตนถูกซ่อนไว้ด้านในบนภาพวาดนั้นเป็นนางสวมใส่ชุดที่ไปฟังเรื่องเล่านางเปิดลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้นออกดู พบว่าภายในล้วนเป็นภาพวาดของนางไม่เพียงแค่นางในตอนนี้ ยังมีนางในอดีต ทั้งหมดล้วนวาดเองกับมือของญาติผู้พี่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตอนเด็กนางยังเคยไปที่ห้องของญาติผู้พี่ ต่อมาหลังความรักผลิบานในหัวใจก็ชอบไปหาญาติผู้พี่เพียงแต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง ญาติผู้พี่บอกนางด้วยท่าทางเคร่งขรึมอย่างมาก นางเป็นหญิงสาวแล้ว ไม่สามารถเข้าห้องผู้ชายตามสะดวกได้ นางถึงเข้ามาน้อยครั้งทว่าชั่วขณะได้เห็นภาพวาดมากมายนี้ นางถึงเข้าใจอย่างชัดเจน เหตุใดญาติผู้พี่ไม่ให้นางเข้าห้องเพราะภายในห้องของเขามีของมากมายที
เมื่อเห็นกู้ฮวนเอ๋อร์ภาคภูมิใจเช่นนี้ ซ่งรั่วเจินและคนอื่น ๆ ก็อดมิได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ ว่าของล้ำค่าที่ว่าคือสิ่งใดกันแน่? “ผ่าม!” กู้ฮวนเอ๋อร์เปิดกล่องผ้าไหมออกด้วยความตื่นเต้นยิ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ทุกคนในงานเห็นของในกล่องผ้าไหมแล้ว ล้วนนิ่งงันไปทันที เนื่องด้วยในกล่องนั้นมีเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรอยู่องค์หนึ่ง! “แค่กๆ” ฉู่อวิ๋นกุยกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สตรีที่เขาชอบนั้น ช่างเป็นคนที่ชาญฉลาดนัก! ซ่งรั่วเจินพลันมองไปทางฉู่จวินถิงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้ากลับเห่อแดงขึ้นมา แววตาของฉู่จวินถิงปรากฏแววขบขันวาบผ่าน ของขวัญชิ้นนี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก กู้ฮวนเอ๋อร์เห็นว่าหลังจากที่ตนหยิบของขวัญออกมาแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น ”นี่มันสีหน้าอะไรของพวกเจ้ากัน? หรือว่าไม่ดีงั้นหรือ?“ “เจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรองค์นี้ ข้าไปกราบขอมาโดยเฉพาะ ผ่านพิธีปลุกเสก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก!” ซ่งรั่วเจิน “...” หลายครั้งนางเองก็นับถือกู้ฮวนเอ๋อร์จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่อายุน้อยขนาดนี้ แต่ความคิดที่จะมอบของขวัญให้กลับเหมือนค
ณ เวลาเดียวกันนั้น อวิ๋นเนี่ยนชูก็ได้มาหาซ่งรั่วเจินเช่นกัน “รั่วเจิน ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ข้าเองก็เห็นเหตุการณ์ในงานเทศกาลโคมไฟแล้ว เดิมทีอยากจะไปแสดงความยินดีกับเจ้าอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเกิดเรื่องบางอย่างทำให้ล่าช้าไป จึงต้องมามอบของขวัญแสดงความยินดีในวันนี้” อวิ๋นเนี่ยนชูยิ้มพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีไปให้ “นี่คือของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนดีจริง ๆ เมื่อพวกเจ้าได้แต่งงานกันแล้วจักต้องครองรักกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จนผู้คนรอบข้างพากันริษยาแน่นอน” ซ่งรั่วเจินมองดูอวิ๋นเนี่ยนชูเปิดกล่องผ้าไหมออก ภายในบรรจุเครื่องประดับศีรษะของสตรีครบชุด เครื่องตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงเครื่องประทินโฉม ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด “ของมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูแล้วครบชุดเลย เจ้าให้จัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะหรือ?” “ใช่แล้ว!” อวิ๋นเนี่ยนชูพยักหน้าพลางยิ้ม “แต่ก่อนข้าครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าควรจะมอบสิ่งใดให้เจ้าเป็นของขวัญดี แต่คิดไปคิดมาก็ยังไม่มีสิ่งที่เหมาะสมที่สุดได้เลย” “หลังจากนั้น ข้าก็คิดว่า สิ่งที่สตรีมักจะใช้บ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันก็มิพ้นเคร
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จางเหวินพูด กู้หรูเยียนกับเยี่ยนชิงอวี้ต่างก็อดมิได้ที่จะตกตะลึง ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้จักความรักครั้งแรกก็ชอบพอเฉิงเจ๋อ ถ้าอย่างนั้น ก็ชอบพอหลายปีจริง ๆ พวกเขากลับมิรู้มาโดยตลอด คิดดูแล้ว ในใจเด็กทั้งสองคงมีสิ่งที่เก็บกลั้นไว้อยู่ “จะว่าไป ก็ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ที่ข้ามิได้ใส่ใจให้ดีนัก เอาแต่ให้เฉิงเจ๋อคอยดูแลน้องสาวให้ดี” “เนี่ยนชูชอบตามติดอยู่ข้างกายเฉิงเจ๋อมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่เฉิงเจ๋อกลับจากสำนักศึกษา เป็นเวลาที่นางมักดีใจเป็นที่สุด ข้าก็นึกว่าเป็นเพียงความรักฉันพี่น้องมาโดยตลอด” “มาตรองดูดี ๆ แล้ว ตอนนั้นข้าก็ควรพบความผิดแผกได้ หากเป็นเพียงพี่น้องธรรมดา เหตุใดเด็กทั้งสองจึงมิยอมแต่งงานจนถึงตอนนี้?” จางเหวินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งปวดใจ เมื่อนึกถึงคราวก่อนที่อนุอวิ๋นยังหมายจะยกอวิ๋นซีหว่านที่ยังไม่ได้แต่งงานให้แก่เฉิงเจ๋อ เกรงว่าตอนนั้น หัวใจของเด็กทั้งสองคงรวดร้าวมิใช่น้อย ถึงขั้นที่ เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในตอนนั้น นางยังเคยกล่าวกับเฉิงเจ๋อด้วยว่า เรื่องนี้ช่างน่าขันเสียจริง นางมองเขาเป็นดั่งบุตรชายแท้ ๆ มาโดยตลอด อนาคตจะต้องเลือกคู่ค
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น นางกำนัลในตำหนักจงเฟยก็พลันเข้ามา“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” นางกำนัลก้มกายคำนับด้วยท่าทางเคารพนบนอบ แต่ในมือกลับถือเซียนบุปผาเอาไว้หนึ่งองค์ “แม่นางของบ่าว ให้บ่าวนำเซียนบุปผามาให้ฮองเฮา ขอเพียงทรงบูชาด้วยใจที่ตั้งมั่น ก็จะสามารถเปล่งปลั่งผุดผ่อง ทำให้เยาว์วัยตราบนานเท่านาน” เมื่อวาจาถูกเปล่งออกมาเช่นนั้น ฮองเฮาและลู่หมิ่นฮุ่ย ต่างพินิจพิจารณาเซียนบุปผาที่อยู่ตรงหน้า ต้องบอกเลยว่ารูปปั้นนี้ถูกทำขึ้นได้สมจริงยิ่งนัก เซียนบุปผานั้นก็งามวิจิตรด้วยรูปลักษณ์อันเย้ายวนตา “นี่มันเซียนบุปผาอะไรกัน? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” แววตาของฮองเฮาปรากฏแววประหลาดใจวาบหนึ่ง ในใจกับยิ่งรู้สึกสงสัย จงเฟยมีน้ำใจงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ จึงยอมมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้แก่นาง? นางสนมวังหลัง ต่างกำลังช่วงชิงแข่งขัน หวังเพียงให้ตนสามารถงามล้ำกว่าผู้อื่น เพื่อที่ฮ่องเต้จะได้ต้องตาในคราแรกเห็น จงเฟยในวันนี้ผุดผ่องไปทั้งตัวยิ่งกว่าทุกวัน แค่ฮ่องเต้ได้เห็น ราตรีนี้ย่อมต้องพลิกป้ายชื่อของนางเป็นแน่ หากความลับที่ทำให้จงเฟยงดงามขึ้นเป็นเพราะการบูชาเซียนบุปผ
นับตั้งแต่แต่งงานกันเป็นต้นมา ท่านอ๋องก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่งมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากแต่งงานแล้ว นั่นยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลยฮองเฮามองแหวนบนมือลู่หมิ่นฮุ่ยแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านอ๋องของเจ้าดีต่อเจ้ามากมาแต่ไหนแต่ไร ส่งของขวัญมาให้รวดเร็วปานนี้ ข้าได้ยินมาว่าแหวนในร้านขายเครื่องประดับทั่วเมืองหลวงถูกขายหมดเกลี้ยงแล้ว เมื่อก่อนหาได้ขายดีเท่าปิ่นปักผมไม่”“ไม่รู้ว่าจวินถิงคิดวิธีแปลกใหม่เช่นนี้ได้อย่างไร แต่ข้าแค่ได้ยินก็รู้สึกว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมโดยแท้ ช่างชวนให้คนอิจฉานัก”ลู่หมิ่นฮุ่ยดื่มชาจิบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “พี่หญิง ยามนี้ท่านคิดตกแล้วช่างดีเหลือเกิน ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่ไทเฮาทรงทราบว่าฝ่าบาทพระราชทานสมรส ยังให้คนนำของพระราชทานไปส่งที่สกุลซ่งไม่น้อยเลย เห็นได้ชัดว่าโปรดปรานแม่นางซ่งมาก”ฮองเฮาพยักหน้าน้อยๆ วันนี้ตอนที่นางได้ยินข่าวนี้ก็มีความคิดแบบเดียวกัน ความโปรดปรานที่ไทเฮามีต่อซ่งรั่วเจินช่างชวนให้คนประหลาดใจโดยแท้แต่สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นข่าวดียิ่งโดยไม่ต้องสงสัย“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าแม่นางสกุลหลิงผู้นั้นหมู่นี้ใกล้ชิดกับเช่ออ๋องมากทีเดียว คน
“ก่อนแต่งงานเขาสามารถคิดวิธีการนี้ออกมาได้ หลังแต่งงานก็ย่อมสามารถคิดวิธีอื่นออกมาได้เหมือนกัน เขาย่อมจะมีวิธีแก้ไข”ซ่งหลินมองไปทางกู้หรูเยียน “คิดถึงสมัยที่แม่ข้ายังอยู่ ข้าก็จัดการเรื่องต่างๆ ได้ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”กู้หรูเยียนอึ้งไป คิดถึงเมื่อครั้งที่แม่สามียังอยู่ ระหว่างนางกับแม่สามีก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีความขัดแย้งอันใด ทุกครั้งซ่งหลินล้วนจัดการได้ดีมากตอนเริ่มแรก นางเข้าใจมาตลอดว่าเป็นเพราะแม่สามีนิสัยดี รู้สถานการณ์ที่นางอยู่ในตระกูลหลิ่วแล้วยังยินดียอมรับนางอย่างไรเสีย รูปแบบการทำเรื่องต่างๆ ของตระกูลหลิ่วหลายปีมานี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดื้อด้านไร้เหตุผล ชอบมาหาผลประโยชน์จากตระกูลซ่ง นางรู้สึกละอายใจต่อตระกูลซ่งมาโดยตลอดโชคดีที่ทั้งแม่สามีและพ่อสามีล้วนไม่เคยตำหนินางเพราะเรื่องนี้ นางย่อมเข้าใจว่าในเรื่องนี้ย่อมขาดความชอบของซ่งหลินไปไม่ได้เลย“ตอนนั้นท่านโน้มน้าวแม่สามีอย่างไรหรือ?” กู้หรูเยียนถามอย่างสงสัยตอนนั้นนางกังวลใจไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ทุกครั้งที่ซ่งหลินบอกนางว่าไม่เป็นไร พ่อสามีและแม่สามีจิตใจกว้างขวาง ไม่เคยเก็บเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ แต่กลับเห็นใจนางเป
“เมื่อวานข้าได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ การจัดเตรียมแสนอลังการแบบนี้ ไม่เพียงแค่ไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความจริงใจของฉู่อ๋อง”“ตอนที่ข้าเห็นฉู่อ๋องเป็นฝ่ายถามแม่นางซ่งว่ายินดีแต่งงานกับเขาหรือไม่ก็รู้สึกว่าถ้าบุรุษในใต้หล้าเป็นเหมือนเขากันทุกคนก็คงดี”“ไม่รู้ว่าการมอบแหวนมีความหมายพิเศษอันใดหรือไม่? ตอนข้าเห็นฉู่อ๋องสวมแหวนให้แม่นางซ่งก็รู้สึกว่าพิเศษเอามากๆ วันหน้าตอนข้าแต่งงานก็อยากทำเช่นนี้เหมือนกัน”ทันใดนั้น แหวนในร้านขายเครื่องประดับก็กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงเช้าวันนี้ แหวนทั้งหมดล้วนขายไปจนหมดเกลี้ยงขณะที่เวลานี้จวนสกุลซ่งเพิ่งได้รับราชโองการพระราชทานสมรส“ยินดีด้วย แม่ทัพซ่ง ซ่งฮูหยิน วันที่แปดเดือนหน้าเป็นวันดี หลังแต่งงานแล้ว แม่นางซ่งก็จะกลายเป็นพระชายาฉู่อ๋อง”ขันทีที่อัญเชิญราชโองการมามีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ตำแหน่งพระชายาฉู่อ๋องว่างเว้นมานานมากแล้ว ฉู่อ๋องควรแต่งงานตั้งแต่หลายปีก่อน แต่ก็ผัดผ่อนมาจนถึงตอนนี้บัดนี้ในที่สุดก็มีว่าที่พระชายาฉู่อ๋องเสียที ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองโดยแท้“เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งของพระราชทานจากในวัง ไม่เพ