ญาติผู้พี่...ปกป้องนางเช่นนี้มาโดยตลอดผีทวงชีวิตเห็นคนทั้งสองหลบหลีกก็คิดจะเข้าใกล้ฉู่จวินถิงที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยสัญชาตญาณ แต่ชั่วขณะที่เห็นฉู่จวินถิง ดวงตาของมันกลับฉายแววตื่นตระหนกแล้วถอยหลังไปเล็กน้อยอย่างลนลานฉู่จวินถิงเห็นท่าทางของผีทวงชีวิตแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามก็ฉายแววนึกสนุก กิ่งไม้ท้อในมือแทงออกไปราวกระบี่คมกริบฟิ้ว!กิ่งไม้ท้อแทงถูกผีทวงชีวิตในชั่วพริบตา มันส่งเสียงร้องโหยหวนซ่งรั่วเจินผนึกผีทวงชีวิตที่ได้รับบาดเจ็บไว้ตรงนั้น แต่กลับปราศจากท่าทีจะสังหารมันในทันที“รั่วเจิน นี่ จะทำอย่างไรกับเจ้านี่?”ดวงตาอวิ๋นเนี่ยนชูทอแววหวาดกลัว ที่ผ่านมาเพียงแต่เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้ ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเรื่องจริง จนกระทั่งได้มาเห็นกับตาจึงทราบว่าน่ากลัวเพียงไหนซ่งรั่วเจินคลี่ยิ้มบาง “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเป็นผู้ใดที่ส่งเจ้านี่มากันแน่?”“เจ้าคิดจะ...สนองคืนด้วยวิธีเดียวกัน?” ฉู่จวินถิงเข้าใจได้ในทันทีซ่งรั่วเจินพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าผีน้อยตนนี้ถูกส่งมาแล้ว แทนที่พวกเราจะจัดการมันโดยตรง มิสู้ส่งมันกลับไป ใครเรียกมาก็ให้คนนั้นจัดการ มิดีกว่าหรือ?”ผู้คนในห้องได้ยินอย่างน
เมื่อออกมาข้างนอกแล้ว ซ่งรั่วเจินกับฉู่จวินถิงก็สบตากัน ตัดสินใจว่าจะไปดูที่วัดอวิ๋นฉานอย่างใจตรงกันอย่างยิ่ง“ในเมืองหลวงมีคนที่มีฝีมือเช่นนี้ด้วย ลำพังแค่คนใกล้ตัวพวกเราก็มีสองคนแล้ว เห็นทีคนที่ถูกทำร้ายในเมืองหลวงคงมีมากกว่านี้”สีหน้าฉู่จวินถิงค่อนข้างเย็นชา ใช้ฝีมือเช่นนี้หาผลประโยชน์ ต้าซือที่ตระกูลหลิ่วเชิญมาก่อนหน้านี้ก็หลอกลวงเงินไปได้ไม่น้อย สุดท้ายก็ไม่ได้พบจุดจบที่ดีนี่ผ่านมาได้ไม่ทันไรก็มีคนขวัญกล้าเทียมฟ้ารนหาที่ตายอีกแล้วซ่งรั่วเจินพยักหน้า “หากปล่อยให้คนผู้นี้ทำเช่นนี้ต่อไป คนที่ถูกทำร้ายจะต้องมีไม่น้อยเป็นแน่”เมื่อคนทั้งสองนั่งรถม้าออกจากเมืองหลวงก็เห็นว่าจำนวนผู้ลี้ภัยบริเวณนอกเมืองหลวงมีมากขึ้นไม่น้อย แต่ละคนหน้าเหลืองร่างผอม น่าเวทนายิ่งนักซ่งรั่วเจินมองโรงทานแจกโจ๊กที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากประตูเมือง หลังจากทราบว่าบริเวณนอกเมืองมีผู้ลี้ภัยจำนวนมาก ตระกูลซ่งก็เริ่มตั้งโรงทานแจกโจ๊กแม้จะช่วยเหลือได้ไม่มากนัก แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้พวกเขาไม่ถึงกับต้องทนหิวโหยนี่ยังเป็นธรรมเนียมของตระกูลซ่งมาโดยตลอดทว่า นางพบว่าอีกฝั่งหนึ่งก็ตั้งโรงทานแจกโจ๊กเช่นกัน แต่ไม่
สายตาซ่งรั่วเจินกวาดไปยังร่างของถังเสวี่ยหนิงที่ยิ้มรับคำชมเชยของทุกคนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล แววนึกสนุกวาบผ่านดวงตา “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”“คุณหนู พวกเราไปซื้ออาหารอย่างอื่นมาบ้างดีหรือไม่ขอรับ?” พ่อบ้านถามอย่างกังวลใจชื่อเสียงด้านใจบุญสุนทานของตระกูลซ่งของพวกตนเป็นที่รับรู้ของคนในเมืองหลวงมาแต่ไหนแต่ไร แต่ยามนี้เพราะการกระทำเช่นนี้ของตระกูลถัง พวกตนกำลังทำเรื่องดีงามอยู่แท้ๆ แต่กลับมีชื่อเสียงไม่น่าฟังเสียอย่างนั้นเดิมนั้นเขายังลังเลไม่รู้ว่ากลับไปแล้วควรอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี คิดไม่ถึงว่าคุณหนูจะบังเอิญมาพบเข้าพอดี สถานการณ์เลวร้ายอย่างยิ่ง“ไม่จำเป็น”ซ่งรั่วเจินยกมือขึ้นปฏิเสธข้อเสนอของพ่อบ้าน“ตระกูลถังซื้อซาลาเปาเนื้อเป็นเรื่องของพวกเขา พวกเราไม่จำเป็นต้องเลียนแบบ ถ้าทำเช่นนั้นจริงมีแต่จะตกเป็นขี้ปากของคนอื่นมากกว่าเดิม”พ่อบ้านพยักหน้าติดต่อกัน “ขอรับ คุณหนู”“ดูจากท่าทางของตระกูลถังแล้ว คงตั้งใจจะแจกโจ๊กอยู่ทางนี้สินะ?”ซ่งรั่วเจินเหลือบมองโรงทานแจกโจ๊กของตระกูลถังที่มีการเตรียมการมารอบด้าน ในใจทราบดีว่าอัครเสนาบดีคงรู้สึกว่าเรื่องคราวก่อนน่าขายหน้าเกินไป การแจกโจ๊กเป็
ซ่งรั่วเจินเห็นท่าทางเย่อหยิ่งลำพองใจของถังเสวี่ยหนิงแล้ว ดวงตางามก็หลุบลงเล็กน้อย รอยยิ้มเยาะหยันวาบผ่านส่วนลึกของดวงตาคุณหนูผู้ดีเหล่านี้ช่างไม่ประสาเรื่องราวทางโลกโดยแท้ ทั้งไม่ตระหนักถึงความยากลำบากของชาวบ้าน เรื่องอย่างการแจกโจ๊กก็ยังนำมาใช้เอาชนะคะคานกันได้?น่าเสียดาย นางไม่สนใจการแข่งขันแบบนี้เลยสักนิด ในเมื่อถังเสวี่ยหนิงชอบนัก เช่นนั้นถอยทางให้นางเสียก็ได้!“ที่แท้แม่นางถังก็ใจกว้างเช่นนี้เอง มีท่านช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบทุกข์ได้ยากอยู่ตรงนี้ ช่างเป็นวาสนาของทุกคนโดยแท้”ซ่งรั่วเจินยิ้มพราย เครื่องหน้าประณีตพริ้มเพราราวกับดอกบัวโผล่พ้นเหนือผิวน้ำท่ามกลางแสงอาทิตย์ดุจเกล็ดทองคำ แลดูอ่อนโยนสง่างามยิ่งนักถังเสวี่ยหนิงเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของซ่งรั่วเจินแล้ว ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ ไม่ควรเป็นแบบนี้สิ!ชื่อเสียงดีงามของตระกูลซ่งถูกนางแย่งชิงมาแล้ว ซ่งรั่วเจินกลับยังสงบเยือกเย็นแบบนี้อยู่ได้งั้นรึ?สายตาของนางกวาดมองไปรอบด้าน พบว่าผู้ลี้ภัยรอบๆ นั้นมีไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกตน ถึงตอนนี้ค่อยเข้าใจ ที่แท้ก็กำลังเสแสร้งอยู่ต่อหน้าผู้ลี้ภัยเหล่านี้นี่เอง!“ข้าจ
“การรับมือคนประเภทนี้ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือ...การทำลายด้วยคำชม!”เฉินเซียงอึ้งไป “คุณหนู การทำลายด้วยคำชมคืออันใดเจ้าคะ?”“ผู้ลี้ภัยนอกเมืองมีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ ลำพังแจกโจ๊ก ค่าใช้จ่ายแต่ละวันก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว”“แม้ว่าเมืองหลวงจะไม่เคยเกิดอุทกภัยมาก่อน แต่เนื่องจากอุทกภัยทางใต้ ราคาอาหารจึงแพงขึ้นพรวดพราด เมืองหลวงก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ข้าวสารกับแป้งในยามนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึง ราคาเนื้อก็ยังเพิ่มสูงตาม”“ซาลาเปามื้อเดียวไม่นับเป็นอย่างไร แต่ถ้ากินไปทุกมื้อเล่า?”ดวงตางามของซ่งรั่วเจินหรี่ลงเล็กน้อย นางไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคนดีมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกับคนที่เทียวมาหาเรื่องนางด้วยแล้ว!“ปล่อยให้พวกผู้ลี้ภัยเหล่านี้พูดไปเถอะ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมาใส่ใจ ดีที่สุดคือช่วยแพร่งพรายข่าวนี้ออกไป ทำให้ชาวบ้านทุกคนรับรู้ว่าแม่นางถังมีจิตใจดีงามเพียงไหน ไม่แจกโจ๊กแต่แจกซาลาเปาเนื้อ!”เรื่องอย่างการช่วยน้อยเป็นคุณ ช่วยมากเป็นโทษ ถังเสวี่ยหนิงยังคงมีประสบการณ์น้อยเกินไป ปล่อยให้นางดีใจไปเถอะ ถึงตอนเก็บกวาดหลังจากนี้...จะได้น่าสนุกเป็นพิเศษเฉินเซียงที่แต่เดิมยังไม่เข้าใจได้ฟ
“วันนี้หม่อมฉันมาแจกโจ๊กนอกเมือง คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอแม่นางซ่งที่นี่ เรื่องก่อนหน้านี้เป็นหม่อมฉันเองที่ทำไม่ถูก โชคดีที่แม่นางซ่งให้อภัยหม่อมฉัน ไม่ทราบว่าพวกท่านจะไปที่ใดกันหรือเพคะ?”ดวงตางามดำสนิทดุจหมึกของซ่งรั่วเจินฉายแววนึกสนุก ยามนี้ถังเสวี่ยหนิงฉลาดขึ้นแล้ว เริ่มเสแสร้งเป็นคนดีที่รู้จักถอยเพื่อรุกแล้วสินะ?นางมองชายหนุ่มข้างกายโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าฉู่จวินถิงจะหลงกลมารยาเช่นนี้หรือไม่?บนโลกนี้...ผู้ชายส่วนใหญ่ล้วนหลงใหลได้ปลื้มหญิงงามเจ้ามารยาแบบนี้ดวงตาคมกริบของฉู่จวินถิงกวาดผ่านถังเสวี่ยหนิง ใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดามีเพียงความเย็นชา“ไม่เกี่ยวกับเจ้า”เขากล่าวจบก็มองซ่งรั่วเจิน ความเย็นชาในแววตาแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นที่หาได้ยาก กระทั่งน้ำเสียงเย็นชายังเจือด้วยความอบอุ่น“พวกเราไปกันเถอะ”ซ่งรั่วเจินมองฉู่จวินถิงอย่างค่อนข้างประหลาดใจ ปฏิกิริยาแบบนี้...สมกับเป็นฉู่อ๋องที่ยากเข้าหาจริงๆ!ถังเสวี่ยหนิงได้ยินประโยคที่ฉู่จวินถิงกล่าวกับตนเองอย่างเย็นชาแล้ว ใบหน้าก็ปั้นยากจนถึงที่สุดนางกำมือในแขนเสื้อแน่น ขบฟันจนกรามแทบแตกเลยทีเดียวจึงสามารถข่มกลั้นไม่ให้ตนเองระเบิดโ
ความจริงซ่งรั่วเจินไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านี้ แต่ว่าพูดถึงเรื่องนี้พอดีจึงเอ่ยขึ้นมาก็เท่านั้น จู่ๆ ได้รับคำตอบจริงจังเช่นนี้จากฉู่จวินถิง นางกลับรู้สึกประหลาดใจเสียอีก“ท่านจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”“ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเป็นข้าเองที่กำลังพยายามเข้าไปอยู่ในสายตาของแม่นางซ่ง”น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มเปี่ยมเสน่ห์ดึงดูด รอยยิ้มประดับอยู่บนริมฝีปาก ประกายสีสันของดวงตากลับเข้มขึ้นกว่าเดิมหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว เขาจ้องมองนางอย่างจริงจังชั่วขณะนั้น ซ่งรั่วเจินสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของตนเองบนดวงตาของชายหนุ่มนางพลันรู้สึกเหมือนมีอะไรปัดผ่านหัวใจไป เสสายตาไปทางอื่นโดยไม่รู้ตัว กล่าวว่า “ต่อให้ท่านอ๋องยอมพูด นั่นก็ต้องให้ทุกคนเชื่อด้วยถึงจะได้หรอกนะเพคะ”หลังจากถูกถอนหมั้นตอนนั้น นางก็ได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่ไม่มีใครต้องการในเมืองหลวง แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์จะดีขึ้นแล้ว แต่เมื่อยืนอยู่ด้วยกันกับฉู่อ๋อง ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกว่าทั้งคู่ไม่เหมาะสมกันกล่าวถึงตรงนี้ นางพลันนึกถึงตอนที่ฉู่จวินถิงมอบของขวัญที่ล่ามาได้ให้นางต่อหน้าคนมากมายในเขตล่าสัตว์ก่อนหน้านี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวพิจารณาสีหน้าตก
“ท่านอ๋อง ถึงวัดอวิ๋นฉานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เสียงของอวิ๋นหยางดังลอดเข้ามาจากภายนอกรถม้าซ่งรั่วเจินเลิกผ้าม่านขึ้นก็ได้ยินเสียงวุ่นวายขวักไขว่ ผู้คนที่สัญจรไปมาไม่น้อยจริงๆ เห็นได้ว่าวัดอวิ๋นฉานเต็มไปด้วยผู้มาสักการะ“วันนี้มาสายแล้ว ทั้งยังเข้าแถวไม่ทัน คงไม่ได้พบไต้ซือแล้ว”หญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่งสีหน้าเต็มด้วยความเสียดาย นางได้ยินมาว่าที่วัดอวิ๋นฉานมีไต้ซือผู้หนึ่งที่เก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง จึงตั้งใจมาหาเดิมคิดว่าตนมาได้เช้าพอสมควรแล้ว กลับกลายเป็นว่าแม้แต่โอกาสได้พบไต้ซือก็ไม่มี“ฮูหยิน ได้ยินว่าบัดนี้ผู้ที่ต้องการพบไต้ซือนั้นมีมากมาย หลายคนถึงกับพักแรมอยู่บนเขาสักคืน แต่ถึงกระนั้นวันถัดไปก็ใช่ว่าจะจัดแจงจนได้พบเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่างอย่างจนใจซ่งรั่วเจินกับฉู่จวินถิงสบตากันแวบหนึ่ง ดูท่าไต้ซือผู้นี้จะฝีมือไม่ธรรมดา การจะพบสักคราจึงได้ยากเย็นเพียงนี้“คุณหนู หากท่านตั้งแผง คนจะไม่เยอะยิ่งกว่าหรือเจ้าคะ?”เฉินเซียงสองตาเป็นประกาย บัดนี้นางประจักษ์ถึงความสามารถคุณหนูของตนแล้วว่าเยี่ยมยอดเพียงใด คำนวณว่าอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ!ไต้ซือท่านนี้ก็คงฝีมือดีได้ไม่เท่ากับคุณหนู!อวิ๋นหยาง
รูม่านตาหัวหน้าตระกูลเจียงหดลง ฉู่อ๋องถึงขั้นรู้!ต่อให้เป็นจ้าวชิงหยวน จนกระทั่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าตกลงสาเหตุคืออันใด ทว่าวันนี้ฉู่อ๋องเพิ่งมาถึงก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว“ท่านอ๋อง กระหม่อม...”เจียงฮูหยินและลูกๆ ล้วนตกตะลึงพรึงเพริด ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านอ๋องมาแล้วจึงต้องการชีวิตพวกเขาทั้งหมด!“นายท่าน ท่านรีบพูดสิ! หรืออยากให้พวกเราต้องตายทั้งตระกูลเจ้าคะ?” เจียงฮูหยินร้อนใจตอนนี้เอง ฉู่จวินถิงเดินมาหยุดข้างกายซ่งรั่วเจิน เอ่ยปากเสียงนุ่มนวล “เจ้าไปเดินเล่นก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้า”ซ่งรั่วเจินชะงักเบาๆ สายตาเลื่อนตกลงบนตัวทุกคนในตระกูลเจียงก็เข้าใจขึ้นมาหลายส่วน คาดว่าภาพต่อจากนี้ไม่เหมาะให้นางเห็น พยักหน้าลงอย่างเชื่อฟัง“เพคะ”หลังฝ่ายหญิงจากไป ฉู่จวินถิงหันหน้ากลับมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาดำดุจหมึกคู่นั้นเปี่ยมไออำมหิต เขายืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิม คล้ายราชามารก็มิปานชวนให้คนอกสั่นขวัญแขวน“เดิมทีข้าก็ไม่มีความอดทนมากอยู่แล้ว” ฉู่จวินถิงเหล่มอง “อวิ๋นหยาง”อวิ๋นหยางดึงกระบี่ออก วางพาดบนชายคนหนึ่ง ก็คือคุณชายใหญ่สกุลเจียงไม่ฟังความคนนั้น“ฆ่า!”อวิ๋นหยางฟันลงไปอย่างไม่ลังเล
“ตอนนี้มองดูแล้วที่นี่ไม่มีอันใดไม่เหมาะสม” ซ่งรั่วเจินเอ่ยขึ้น “ไม่มีไอมรณะ ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้สืบข่าวได้ว่าสกุลเจียงเองก็ไม่มีคนเจ็บป่วย”สายตาฉู่จวินถิงเย็นชา “อาจจะ...สมรู้ร่วมคิดกันตั้งแต่แรกแล้ว หรือไม่ก็ข่มขู่ธรรมดาก็เพียงพอให้พวกเขารับปากแล้ว”หัวหน้าตระกูลเจียงเร่งเดินทางออกมาอย่างว่องไว “คารวะฉู่อ๋อง!”ฉู่อ๋องมองหัวหน้าตระกูลเจียงแวบหนึ่ง เห็นข้างกายเขาไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย สายตาเจือแววนึกสนุก “หัวหน้าตระกูลเจียงอายุปูนนี้แล้ว คงไม่ใช่ยังไม่แต่งงานหรอกกระมัง?”“เรียนท่านอ๋อง บังเอิญยิ่งนัก ภรรยากระหม่อมพาลูกไปเยี่ยมญาติที่คูเมืองอื่นแล้ว บัดนี้ยังไม่กลับมาพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าตระกูลเจียงยิ้มประสบเอาใจพลางอธิบาย“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ฉู่จวินถิงยกมุมปากเบาๆ “วันนี้ภรรยาและลูกของหัวหน้าตระกูลเจียงออกจากเมืองไปเยี่ยมญาติ บังเอิญตอนข้ามาถึง ได้เชิญพวกเขากลับมาพร้อมกันแล้ว”“คาดว่าหัวหน้าตระกูลเจียงคงไม่ถือสากระมัง?”เสียงฉู่จวินถิงเพิ่งจบลง หัวหน้าตระกูลเจียงพลันใจสั่น ได้เห็นฉู่จวินถิงส่งสัญญาณผ่านทางสายตาทีหนึ่ง อวิ๋นหยางพาคนเข้ามาแล้ว“นายท่าน!”“ท่านพ่อ!”สีหน้าเจี
หัวหน้าตระกูลเจียงขมวดคิ้วแน่น พวกเขารู้ชื่อเสียงของฉู่อ๋องดีมาก นั่นคือเทพสังหารในสนามรบเชียวนะ!พวกเขาที่นี่อยู่ใกล้เมืองผิงหยาง ย่อมรู้จักบารมีของฉู่อ๋องดีที่สุด“พูดไปแล้วเรื่องนี้ยังต้องโทษท่าน เดิมทีฉู่อ๋องต้องการไปเมืองผิงหยาง ก็แค่แวะเติมเสบียงที่ท่าเรือเท่านั้น แต่พวกเจ้ากลับสร้างเรื่องที่ท่าเรือ ทำให้พวกเขาต้องอยู่ต่อ”สีหน้าหัวหน้าตระกูลหลี่ไม่สบอารมณ์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาวางแผนไว้แล้ว ต่อให้ราชสำนักส่งคนมา นั่นจะต้องไปที่เมืองผิงหยางก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันมาที่เมืองไห่เทียนก่อนทันทีที่ได้รับข่าว พวกเขาก็สามารถหาทางป้องกันตนเองได้ มีเวลามากเพียงพอใครคาดคิดเล่าว่าจะเกิดสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขารับมือไม่ทันเช่นนี้ ไม่มีโอกาสหนีตั้งแต่แรก“เรื่องนี้ไม่สามารถโทษข้าได้ ไฉนเลยข้าจะรู้ว่าเรื่องจะบังเอิญถึงเพียงนี้?”หัวหน้าตระกูลเจียงอึดอัดใจอย่างอดไม่ได้ หากเขารู้ตั้งแต่แรก ก็ไม่มีวันปล่อยให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้น น่าเสียดายบนโลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียใจภายหลัง“บัดนี้โทษใครก็ไม่สำคัญ รีบคิดเถอะว่าจะทำเช่นไร ข้าส่งคนไปสืบข่าวแล้ว ฉู่อ๋องไปที่อำเภอนั้น น่ากลัวว่าอ
อิงตามที่ซ่งเยี่ยนโจวพูด สถานการณ์ในตอนนั้นอันตรายมากอย่างแท้จริง หากไม่ใช่คนสกุลหลิงนำทหารเร่งเดินทางมาถึง เขาก็คงไม่มีชีวิตอยู่แล้วหลินจือเยว่กลับมีผลงานเพราะส่งข่าว หากไม่ได้เขาส่งข่าว สกุลหลิงไปไม่ทันเวลา น่ากลัวว่าจะต้องเสียชายแดนไปแล้วแน่ ไม่มีวันเอาชนะศึกในครั้งนี้ได้!แม้พูดว่าพวกเขาไม่มีหลักฐานพิสูจน์ทั้งหมดนี้ แต่เพียงเรื่องที่บิดายังไม่ตาย กลับไม่ส่งข่าวมาโดยตลอด ก็สามารถตั้งข้อสันนิษฐานได้มากแล้วภายในนี้จะต้องมีเงื่อนงำซ่อนอยู่แน่ทั้งหมด...ยังชี้ไปที่สกุลหลิงอีกด้วย!ยามฉู่จวินถิงมาถึงก็ได้เห็นพวกซ่งรั่วเจินสามพี่น้องกำลังนั่งรวมตัวกัน บรรยากาศตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด“ทำนายผลออกมาไม่ดีกระนั้นหรือ?” ภายในสายตาฉู่จวินถิงสะท้อนความกังวลซ่งรั่วเจินส่ายหน้า “เปล่าเพคะ ก็แค่คิดบางเรื่อง ท่านและท่านตาเข้าใจสถานการณ์แล้วหรือ?”“อยากรู้เรื่องผู้อยู่เบื้องหลัง ยังต้องไปสกุลเจียงสักเที่ยวหนึ่ง จะได้พบหัวหน้าตระกูลเจียง” ฉู่จวินถิงเผยสีหน้าเคร่งขรึม “ง้างปากของเขา สามารถลดปัญหาลงได้มาก”ซ่งรั่วเจินเข้าใจ “หม่อมฉันไปเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่?”ในเมื่อทางฝั่งจ้าวชิงหยวนพบไอม
ดูท่าแล้ว ท่านพ่อสังเกตเห็นความอันตราย มิหนำซ้ำยังพบสถานที่ปลอดภัย “บางที...พวกเราไม่จำเป็นต้องไปหาท่านพ่อ ท่านพ่อก็จะมาหาพวกเราเอง”ถ้อยคำนี้พูดออกมาแล้ว พวกซ่งจืออวี้ทั้งสองคนเผยสีหน้าตกตะลึง “นี่หมายความว่าอะไร? หรือท่านพ่อสามารถรู้ได้ว่าพวกเรามากระนั้น?”“ท่านพ่อย่อมไม่รู้ หากข้าเดาไม่ผิด เป็นไปได้มากว่าท่านพ่อกำลังสืบเรื่องอุทกภัยจึงเข้ามาใกล้”ซ่งรั่วเจินใคร่ครวญพลางเอ่ยปาก “บัดนี้ตำแหน่งของท่านพ่อไม่ใช่ชายแดน ยิ่งไปกว่านั้นยังใกล้กับที่พวกเราอยู่ ข้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”“พูดเช่นนี้แล้ว อาการบาดเจ็บของท่านพ่อหายดีแล้วกระนั้น?” ซ่งจืออวี้แปลกใจ หากเป็นเช่นนี้จริง นั่นก็คือข่าวดีซ่งจิ่งเซินกลับไม่ดีใจมากนัก “ใช่หรือไม่ว่าถูกไล่ต้อนให้จากไป? ครั้งนี้ท่านพ่อเกือบต้องทิ้งชีวิตในสนามรบ ข้าคิดว่าจะต้องถูกคนทำร้ายแน่!”“คนที่ทำร้ายเขารู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จึงตามหาเขาทั่วสารทิศ”ซ่งรั่วเจินเองก็คิดว่าข้อสันนิษฐานนี้เป็นไปได้มากทีเดียว นึกอยากตามหาคน ทันใดนั้นความคิดหนึ่งแล่นผ่านสมองนางอย่างกะทันหัน จะใช่คุณชายใหญ่สกุลหลิงหรือไม่?นับตั้งแต่คำรบแรกที่นางได้พบหลิงเชี่ยนเอ
“เจ้ารู้เกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านี้มากน้อยเพียงใด? นอกจากเมืองไห่เทียนแล้ว ใช่หรือไม่ว่าคูเมืองใกล้เคียงเองก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกัน?”“พูดสิ่งที่เจ้ารู้ทั้งหมดออกมา พวกเราค่อยตัดสินใจว่าจะจัดการเยี่ยงไร”สีหน้าฉู่จวินถิงเคร่งขรึม ก่อนเดินทางมาคิดว่ามีขุนนางคดโกงลอบหาผลประโยชน์ส่วนตนตอนบรรเทาภัยพิบัติ ไม่คาดคิดเลยว่าหลังมาแล้วจึงได้รู้ว่าสถานการณ์ร้ายแรงกว่าที่คิดมากนักพ่อค้าผู้มั่งคั่งเหล่านี้ทำเรื่องชั่วทุกอย่างเพื่อเงิน ข่มขู่เพื่อผลประโยชน์ นอกจากรับปากคำขอของพวกเขา หาไม่แล้วแม้แต่ชีวิตก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ครอบครัวของจ้าวชิงหยวนก็คือตัวอย่างบัดนี้จ้าวชิงหยวนไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลอีก ทันใดนั้นพูดสิ่งที่รู้ทั้งหมดออกมา“อิงตามที่กระหม่อมรู้ ไม่เพียงแค่เมืองไห่เทียน คูเมืองละแวกใกล้เคียงอีกสองสามแห่งก็เป็นเช่นนี้ ทว่ามีบางคูเมืองที่ขุนนางและพ่อค้าสมรู้ร่วมคิดกัน สถานการณ์น่าจะไม่เหมือนกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”จากนั้นจ้าวชิงหยวนก็จับพู่กันเขียนรายชื่อคนออกมา ฉู่จวินถิงและกู้หวยซวี่มองดู ตัดสินใจภายในใจ“กระหม่อมเคยพบนายอำเภอเมืองหวยหยางมาก่อน เขาเป็นขุนนางที่ดีมีใจรักร
จ้าวชิงหยวนเบิกตากว้าง นี่ถึงรับรู้ว่าสิ่งที่ลูกชายตนเองได้บอกกล่าวในช่วงหลายวันมานี้ไม่ใช่ภาพหลอน แต่เป็นความจริง แม่นางเบื้องหน้าท่านนี้ถึงขั้นสามารถมองเห็นได้“แม่นาง เจ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าตกลงเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?”บัดนี้ซ่งรั่วเจินได้รู้เรื่องทั้งหมดผ่านปากฉู่จวินถิงแล้ว หลังนางเล่าสาเหตุออกมา จ้าวชิงหยวนโมโหตัวสั่น“พวกเขา เหตุใดพวกเขาต่ำช้าได้ถึงเพียงนี้! เพื่อหาเงินอย่างไร้จริยธรรม ก็ต้องการชีวิตคนมากถึงเพียงนี้!”เดิมทีจ้าวชิงหยวนอยากไปเชิญหมอมาเพื่อรักษาอาการจ้าวเฮ่าเจี๋ย แม้พูดว่าไอมรณะถูกกำจัดไปแล้ว แต่เขากลับมองดูแล้วอ่อนแอมากเกินไป กังวลว่าจะทนไม่ไหวอย่างแท้จริงทว่า ซ่งรั่วเจินบอกเขาไม่จำเป็นต้องกังวล ตนเองจะลงมือช่วยเหลือเองบัดนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือจัดการปัญหาเมืองไห่เทียน อย่างไรเสียก็ยังมีราษฎรกำลังตกทุกข์ได้ยากมากถึงเพียงนั้น จัดการเร็วขึ้น ก็สามารถช่วยได้มากขึ้นอีกสองคน“พี่หญิง อาการของข้าสามารถดีขึ้นได้จริงหรือขอรับ?” จ้าวเฮ่าเจี๋ยเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ซ่งรั่วเจินพยักหน้า “แน่นอน เดิมทีร่างกายเจ้าก็แข็งแรงอยู่แล้ว หากไม่ถูกไอมรณะรุมเร้า ก็ไม่มีวันก
ซ่งรั่วเจินมองกลุ่มไอมรณะที่อยู่ภายในห้อง ดวงตาแข็งกร้าว คนสารเลวรกโลกพวกนี้ เรียนวิชาศาสตร์ลี้ลับมาใช้ทำร้ายผู้คน! ไอมรณะที่รุนแรงเช่นนี้ ไม่ว่าใครที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ พลังชีวิตก็ย่อมจะถูกกัดกร่อนทีละน้อย จนมีสภาพย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะจ้าวเฮ่าเจี๋ยเป็นชายหนุ่ม อีกทั้งยังอยู่ในวัยสิบเจ็ดปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่พลังหยางเพิ่งจะแข็งแกร่งถึงที่สุด หากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวหรือผู้อาวุโส คงทนรับไม่ไหวและสิ้นใจไปนานแล้ว “พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ?” จ้าวชิงหยวนรีบรุดเข้ามาอย่างร้อนรน ทันทีที่ก้าวเข้าห้องก็พุ่งตรงไปอยู่ข้างกายจ้าวเฮ่าเจี๋ยทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “เฮ่าเจี๋ย มีอะไรหรือ? เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” จ้าวเฮ่าเจี๋ยส่ายหน้า พลางมองไปยังหญิงสาวตรงหน้า ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีความรู้สึกปลอดภัยเกิดขึ้น ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขารู้สึกเสมอว่าภายในห้องราวกับมีพลังงานมืดกลุ่มหนึ่งปกคลุมอยู่ แต่เมื่อเขาถามผู้อื่น ทุกคนต่างบอกว่าไม่มีอะไรแบบนั้น และถึงขั้นคิดว่าเขาป่วยหนักจนเสียสติไปแล้ว แต่เขาเห็นมันได้จริงๆ! ไม่เพียงแต่จะมองเห็น เขาถึงขั้นรู้สึ
เขาไม่อาจทนมองดูญาติคนสุดท้ายจากไปต่อหน้าต่อตาเพราะเหตุผลนี้ได้จริง ๆ จึงจำต้องยอมตกลง และแล้วอาการของบุตรชายก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เขาจนปัญญาที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องทุกอย่าง แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะสมคบคิดกับพวกคนชั่ว เพราะเหตุนี้จึงกลายเป็นดั่งเช่นในวันนี้ เขารู้สึกละอายต่อประชาชนทั้งเมือง หลังจากนั้น เขาเองก็เคยลองพยายามอีกครั้ง แต่กลับพบว่าไม่มีประโยชน์แม้แต่นิดเดียว แม้จะส่งบุตรชายไปยังเมืองอื่น แต่ก็ยังคงป่วยหนักเช่นเดิม เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้หนทาง เขาจึงทำได้เพียงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือนำทรัพย์สินที่สามารถบริจาคได้ทั้งหมดออกไปบริจาค… ฉู่จวินถิงและราชครูกู้ต่างตกอยู่ในความเงียบหลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมด พวกเขาเดาไว้ว่าจ้าวชิงหยวนต้องมีเรื่องลำบากใจ แต่กลับไม่คิดเลยว่าเรื่องลำบากใจของเขาจะเจ็บปวดถึงเพียงนี้ เมื่อชะตาชีวิตของครอบครัวต้องถูกนำมาแขวนไว้กับชีวิตของผู้คนทั้งเมือง กลับกัน ไม่ว่าใครก็คงจะเลือกได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น บุตรสาวของเขายังต้องสังเวยชีวิตไปแล้วเพราะเรื่องนี้ ผู้ที่วางแผนเรื่องทั้งหมดนี้ ช่างโหดเหี้ยมอำมหิตเกินไป