ไม่เพียงแต่ได้เป็นนายหญิงของจวนตระกูลหลินอย่างราบรื่น แต่ยังสามารถรับช่วงต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ซ่งรั่วเจินทิ้งไว้อย่างชอบธรรม...หลังจากนั้น เขาก็ไต่เต้าสูงขึ้นเรื่อยๆ รักใคร่ปรองดองกับซวงซวง สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความฝันกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ยังสอดคล้องกันอีกด้วย!ไม่ว่าจะเป็นซวงซวงค้นพบเงินที่ทุจริตไป หรือเรื่องที่องค์ชายรองถูกลอบสังหารระหว่างการล่าสัตว์ ทุกอย่างนี้ทำให้เขาตระหนักว่าไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆการรู้อนาคตที่ซวงซวงว่า เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?หลินจือเยว่สลบไปสองวันเต็ม ตอนฟื้นขึ้นมาอ่อนแออย่างยิ่ง แทบเหลือเพียงลมหายใจรวยริน“ไร้ประโยชน์จริงๆ ก็แค่แม่ตายไป แต่กลับฝันร้ายได้ขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ลงไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ท่านเสียเลยเล่า?”ฉินซวงซวงหัวเราะเยาะหยัน เห็นหลินจือเยว่ฟื้นขึ้นมาได้ก็ออกจะผิดหวัง นึกว่าเขาจะตายไปเลยเสียอีกหลินจือเยว่จ้องมองใบหน้าตรงหน้าอย่างเย็นชา สตรีที่รักใคร่ปรองดองอยู่ร่วมกับเขาจนแก่เฒ่าในความฝันผู้นั้น ชาตินี้กลับทำร้ายเขาจนตกอยู่ในสภาพนี้!เขาถึงกับชอบสตรีมากพิษร้ายเช่นนี้มาชั่วชีวิต!“ฉินซวงซวง เจ้า
หลังจากฉินซวงซวงพบว่าปลายทางเนรเทศของตนเองเปลี่ยนไปแล้วก็รู้สึกยินดียิ่งนัก นางรู้ว่ามีคนกำลังช่วยเหลือนางอยู่กู้อวิ๋นเวยแวะมาเยี่ยมฉินซวงซวงโดยเฉพาะ ตระกูลกู้ยังคงใจแข็งเป็นก้อนหิน ไม่คิดจะช่วยเหลือพวกนางแม้แต่น้อย โชคดีที่ตระกูลเหยาให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้จึงยอมยื่นมือเข้าช่วยแน่นอน โทษเนรเทศย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อยู่แล้ว เพียงเปลี่ยนปลายทางเนรเทศเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างใกล้โดยให้เหตุผลว่าตั้งครรภ์เช่นเดียวกันกับเหอเซียงหนิง“ท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นพอข้าคลอดลูกแล้วก็ยังต้องไปสถานที่ทุรกันดารอยู่ดีน่ะสิเจ้าคะ?” ฉินซวงซวงอดจะร้อนใจไม่ได้ “ตระกูลเหยาไม่มีวิธีช่วยข้าเลยหรือ?”“ตระกูลเหยาเดิมก็ตั้งใจจะเก็บไว้แค่เด็กไม่เอาแม่ จะยอมลงแรงเพื่อเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?”นับแต่กู้อวิ๋นเวยได้ยินผลลัพธ์เช่นนี้ก็ทราบจุดประสงค์ของตระกูลเหยาแล้ว ครอบครัวนี้ก็ไม่ใช่คนดีอันใด นอกจากนี้ ซวงซวงเดิมก็มีชื่อเสียงเสื่อมเสีย เกรงว่าพวกเขาคงไม่ยอมให้นางเข้าจวนฉินซวงซวงหน้าเปลี่ยนสี “งั้นข้าจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”“ไม่ต้องร้อนใจไป ในมือยายเจ้ามีป้ายทองละเว้นโทษตายอยู่ รอจนข้าได้ป้ายทองละเว้นโทษตายมาแล้วก็
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว งานมงคลของซ่งเยี่ยนโจวกับลั่วชิงอินก็ใกล้เข้ามาแล้ว กู้อวิ๋นเวยเห็นว่าตัวเองน่าอนาถปานนี้ ตระกูลซ่งกลับจัดงานมงคลอย่างเอิกเกริก ความคับแค้นใจยิ่งหนักหนากว่าเดิมจึงตรงไปหาหลิ่วเฟยเยี่ยนหลิ่วเฟยเยี่ยนได้ยินแต่แรกแล้วว่ากู้อวิ๋นเวยเกิดเรื่อง ชีวิตช่วงนี้ของนางเดิมก็ไม่ง่าย ทราบว่าบัดนี้กู้อวิ๋นเวยช่วยเหลืออันใดไม่ได้ทั้งยังอาจทำให้นางเดือดร้อนจึงจงใจหลบหน้าไม่ยอมออกมาปรากฏตัวคิดไม่ถึงว่ากู้อวิ๋นเวยจะมาดักรอนางอยู่ละแวกบ้าน นางตกใจยกใหญ่ ด้วยความอับจนปัญญา นางได้แต่บอกว่าตอนนี้ตนเองไม่มีเงินแล้ว ช่วยเหลืออันใดไม่ได้แต่กู้อวิ๋นเวยไม่ได้คิดจะมาเรียกร้องเงินจากนาง แต่กลับเสนอแผนจัดการตระกูลซ่ง ดวงตาของหลิ่วเฟยเยี่ยนจึงค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมา“ความคิดนี้ดีนัก เอาตามนี้ก็แล้วกัน! หลิ่วหรูเยียนคิดจะสลัดพวกเราไปให้พ้น หาได้ง่ายดายปานนั้นหรอกนะ!”……วันนี้ ทั่วทั้งจวนตระกูลซ่งแขวนโคมประดับแถบผ้าแดง แขกเหรื่อหลั่งไหลมาเยือน เสียงพูดคุยหัวเราะเซ็งแซ่ บรรยากาศชื่นมื่นรื่นเริงหลิ่วหรูเยียนพาคนไปต้อนรับแขกเหรื่อแต่เช้าตรู่ ส่วนซ่งเยี่ยนโจวสวมชุดเจ้าบ่าวขี่ม้านำขบวนรับเจ้า
“เรื่องนี้ข้าพยายามไปสืบรู้มาจนได้ ไม่ผิดพลาดแน่นอน!”เฉียนชิวเซียงยืนกรานหนักแน่น “พวกเขาปิดบังเรื่องนี้อย่างมิดชิด เข้าใจว่าคงไม่มีใครรู้ แต่ในโลกนี้มีความลับที่ไหนกัน!”ฝานซืออิ๋งลอบปีติยินดี เดิมนึกว่าลั่วชิงอินเพียงแต่โศกเศร้าเสียใจเกินไป ทุกข์ใจจนล้มป่วย คิดไม่ถึงว่านางจะไม่ได้เรื่องปานนี้ แม้แต่ลูกก็ยังมีไม่ได้!“ซ่งเยี่ยนโจวเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลซ่ง หลิ่วหรูเยียนไม่รู้ว่าอยากอุ้มหลานชายมากแค่ไหน ถ้าพวกเขารู้ว่าลั่วชิงอินมีลูกไม่ได้ ยังจะไม่ล้มงานแต่งอีกงั้นรึ?”“ใช่แล้ว นี่คือโอกาสอันดีของเจ้า! ดีที่สุดคือใช้โอกาสนี้ตั้งครรภ์ทายาทของตระกูลซ่ง ยังต้องกลัวว่าพวกเขาจะไม่รับเจ้ากลับเข้าไปอีกหรือ?”ดวงตาเฉียนชิวเซียงเต็มไปด้วยประกายเจ้าเล่ห์เพทุบาย นางหวังให้ฝานซืออิ๋งได้กลับเข้าไปในตระกูลซ่งยิ่งกว่าใครทั้งนั้นไม่มีการสนับสนุนจากตระกูลซ่ง ชีวิตของพวกนางยากลำบากเกินไปแล้ว!ซ่งรั่วเจินเห็นว่าพี่ชายพี่สะใภ้เข้าบ้านไปแล้ว สายตากวาดผ่านฝูงชนก็สังเกตเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยสายหนึ่ง ครั้นพิศดูอีกครั้ง คนกลับไม่อยู่แล้ว“มองอะไรอยู่หรือ?”ฉู่จวินถิงทราบว่าวันนี้ตระกูลซ่งจัดงานมงคลจ
“เช่นนั้นย่อมดีที่สุดแล้ว ข้าหวังมาตลอดว่าจะมีโอกาสได้สนิทสนมกับหร่วนฮูหยิน”ใต้เท้าหร่วนเห็นว่าภรรยาตนเองกระตือรือร้นเช่นนี้ ในใจก็ลอบสงสัย ภรรยาของตนจะรู้สึกซาบซึ้งใจก็ไม่แปลกแม้แต่น้อย แต่วันนี้ออกจะอบอุ่นเกินไปหน่อย ไม่เหมือนนิสัยนางเลย“แม่นางหร่วนมาแล้วหรือ” ซ่งรั่วเจินยิ้มแย้มทักทายหร่วนเนี่ยนถังพยักหน้ายิ้มๆ “แม่นางซ่ง เมื่อครู่ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าช่วยเหลือพี่ใหญ่ของข้าไว้ ต้องขอบคุณเจ้ามากจริงๆ”“เกรงใจไปแล้ว ก่อนหน้านี้คุณชายหร่วนก็ขอบคุณไปแล้ว ตรงนี้คนเยอะ ข้าพาเจ้าไปกินของว่างกับผลไม้ฝั่งนั้นดีหรือไม่?”ซ่งรั่วเจินยิ้มบาง วันนี้พี่ใหญ่แต่งงาน มารดากับพี่ชายทั้งสามคนรับหน้าที่ดูแลแขกอาวุโสและแขกผู้ชาย ส่วนนางรับหน้าที่ดูแลคุณหนูทั้งหลาย“รบกวนแล้ว” หร่วนเนี่ยนถังสุภาพอ่อนโยนฉู่จวินถิงเห็นว่าซ่งรั่วเจินเริ่มจากต้อนรับหร่วนเนี่ยนถัง ต่อจากนั้นยังต้อนรับพวกเมิ่งชิ่นและอวิ๋นเนี่ยนชู คุณหนูหลายคนจับกลุ่มกัน ไม่มีเวลามาพูดจากับเขาแม้แต่น้อย ดวงตาลึกซึ้งฉายแววอ่อนใจ“เสด็จพี่สาม วันนี้แม่นางซ่งยุ่งมาก เกรงว่าคงไม่มีเวลามาคุยกับท่านแล้ว”ฉู่อวิ๋นกุยลอบยิ้มอย่างอดไม่อยู่ พี่
วันนี้จวนตระกูลซ่งไม่เพียงเตรียมของว่างและผลไม้ แต่ยังเตรียมไก่ทอดไว้อีกด้วยเนื่องจากช่วงนี้ไก่ทอดขายดียิ่งนัก ยามปกติหากไปช้าหน่อยมักซื้อไม่ทัน วันนี้ได้มากินในจวน เหล่าแขกเหรื่อจึงดีใจอย่างมากฉู่มู่เหยาเห็นไก่ทอดดวงตาก็พลันวาววับ “ช่วงนี้ตอนอยู่ในวังข้าได้ยินว่าไก่ทอดอร่อยมาก แต่หมู่นี้เสด็จแม่เอาแต่จับตามองข้าเรียนรู้มารยาทจึงไม่มีโอกาสออกจากวัง ในที่สุดวันนี้ก็ได้ลิ้มรสเสียที”“วันนี้ไม่เพียงเตรียมไก่ทอด แต่เตรียมไส้กรอกย่างเอาไว้อีกด้วย ท่านชิมดูก่อนว่าเป็นอย่างไร อีกไม่กี่วันร้านก็จะเปิดขายแล้วเพคะ”แววตาซ่งรั่วเจินแฝงรอยยิ้ม หลังจากการขายไก่ทอดไปได้สวย นางก็ตัดสินใจเปิดร้านขายอาหารที่หลากหลายกว่าเดิมด้านหนึ่งไม่เพียงหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ อีกด้านหนึ่งยังเป็นเพราะนางอยากกินเมื่อใดก็จะได้กิน สนองความอยากของตัวเองเสียหน่อยครั้นเมิ่งชิ่นกับอวิ๋นเนี่ยนชูได้ยินว่ายังมีของว่างอย่างอื่น ทันใดนั้นสีหน้าก็ฉายแวววาดหวังจนกระทั่งไส้กรอกย่างถูกยกมาตั้งโต๊ะ ทุกคนก็รีบเข้ามาลิ้มชิมอย่างทนรอไม่ไหว เพียงกัดลงไปคำหนึ่ง กลิ่นหอมสดชื่นพลันซ่านในปาก รสชาติของเนื้อเน้นๆ กระจายเต็มโพรงปาก
มาขอโทษเอาวันนี้ มีเจตนามาขอโทษเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าคิดจะใช้โอกาสนี้มาบีบบังคับท่านแม่!ทันทีที่หลิ่วหรูเยียนยอมประนีประนอมเรื่องนี้กลางงาน วันหน้าก็เป็นโอกาสอันดีที่พวกนั้นจะได้ล้ำเส้นไม่รู้จบ!ผู้คนบริเวณนั้นเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลิ่วหรูเยียน กอปรกับได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตระกูลหลิ่วในช่วงนี้ ในใจก็เข้าใจไปหลายส่วน“ได้ยินว่าซ่งฮูหยินตัดขาดกับตระกูลหลิ่วแล้ว หลายวันก่อนมีข่าวลือว่าซ่งฮูหยินอกตัญญูแพร่ออกมา ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ วันนี้ดูแล้วคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง”“ข้าเชื่อเรื่องตัดขาด แต่ถ้าจะบอกว่าซ่งฮูหยินอกตัญญู ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด”“บ้านข้าอยู่ใกล้ๆ กับตระกูลหลิ่ว รู้พฤติกรรมของพวกเขาดี หลายปีมานี้ไปกอบโกยสิ่งของจากตระกูลซ่งมาไม่น้อย แต่ก็ยังไม่รู้จักพอเสียที!”“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ตระกูลหลิ่วลำเอียงต่อหลิ่วหรูเยียนกับหลิ่วเฟยเยี่ยนสองพี่น้องไม่ใช่ธรรมดา ตั้งแต่เล็กมาแล้ว มีของดีอันใดก็เอาไปให้หลิ่วเฟยเยี่ยน โตมาก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด”“จะว่าไปก็ประหลาดนัก หลิ่วเฟยเยี่ยนสู้หลิ่วหรูเยียนไม่ได้สักอย่าง แต่ตระกูลหลิ่วก็ราวกับต้องคุณไสยกระนั้น ลำเอียงรักนางเพียง
เดิมนั้นหลิ่วหรูเยียนไม่อยากทำลายวันอันดีงามเช่นนี้เลย แต่เห็นได้ชัดว่าคนตระกูลหลิ่วมีการเตรียมตัวมาก่อน ถึงนางไม่อยากแค่ไหนก็ไร้ทางเลือกแทนที่จะปล่อยให้พวกเขาฉวยโอกาสนี้มาบีบคั้น มิสู้ทำให้เรื่องบานปลายใหญ่โตไปเสียเลย ให้ทุกคนเห็นว่าตกลงแล้วตระกูลหลิ่วมีเหตุผลหรือไม่!“ตอนนั้นเป็นพวกเจ้าที่บีบให้ข้ายกร้านขายไก่ทอดให้พวกเจ้า ร้านนี้พวกเด็กๆ ทุ่มเทไปมากกว่าจะเปิดมาได้ ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ย่อมไม่อาจยกของของพวกเขาให้พวกเจ้า”“แต่เจ้ากลับตำหนิข้าเพราะเรื่องนี้ ท่านแม่ก็โกรธเคืองเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน ราวกับว่าถ้าข้าไม่ยกร้านให้พวกเจ้าก็ไม่คู่ควรใช้แซ่หลิ่วกระนั้น”หลิ่วหรูเยียนดวงตาแดงก่ำ ฝืนพูดต่อไปอย่างเข้มแข็งว่า “หลายปีมานี้ จะที่นาหรือร้านค้าข้าล้วนจุนเจือไปไม่น้อย ไม่เพียงแค่ตระกูลหลิ่ว ตระกูลซุนข้าก็ช่วยเหลือจุนเจือเหมือนกัน”“ร้านค้าสามร้านที่ถนนบูรพา ร้านค้าห้าร้านที่ถนนประจิม แต่ละปีมีกำไรหนึ่งหมื่นหกพันตำลึงข้าก็ยกให้พวกเจ้าไปหมดแล้ว ตระกูลซุนต้องการร้านค้าที่ถนนทักษิณ ทำกำไรไม่น้อยเหมือนกัน”“ทุกอย่างที่ข้าสามารถให้ได้ ข้าล้วนให้ไปหมดแล้ว แต่ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อาจมอบสิ่งข
วาจาคมกริบนี้ฉีกหน้าสกุลหลิ่วอย่างไม่ต้องสงสัย พริบตาต่อมาคนภายในงานเข้าใจแล้วก่อนหน้านี้คนที่ยังคิดว่าสกุลหลิ่วพูดมีเหตุผลและน่าสงสารมาก บัดนี้รู้สึกเพียงถูกตบหน้าหนึ่งฉาดด้วยมือที่มองไม่เห็น!อีกฝ่ายเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาที่ใดกัน เห็นชัดว่าพวกเขาหน้าซื่อใจคดอีกทั้งยังเย็นชา ยังไม่ต้องพูดว่าเอาเปรียบสกุลกู้ ยังสามารถแสร้งทำท่าทางเป็นคนดีกล่าวโทษหลิ่วหรูเยียนได้อีกด้วยหากไม่ใช่วันนี้ถูกเปิดโปงโดยบังเอิญ เช่นนั้นน่ากลัวว่าหลิ่วหรูเยียนก็ต้องถูกตราหน้าว่าทำผิดต่อสกุลหลิ่วและกลายเป็นวัวเป็นม้าเลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณไปชั่วชีวิต ถึงขั้นยังถูกด่าว่าทำร้ายคุณหนูสกุลหลิ่วที่แท้จริงอีกด้วย!ภายใต้การใคร่ครวญอย่างละเอียด นี่น่ากลัวมากเพียงใดกัน?“หลิ่วเฟยเยี่ยนและกู้อวิ๋นเวยมีความสัมพันธ์ที่ดีมากมิใช่หรือ? ที่ผ่านมาข้าเคยพบพวกเขามิใช่เพียงครั้งเดียว น่ากลัวว่าพี่สาวน้องสาวคู่นี้นับญาติกันตั้งนานแล้วกระมัง!”“ไม่เพียงแค่นี้! ที่ผ่านมาข้ายังเคยเห็นกู้อวิ๋นเวยเข้าออกสกุลหลิ่วอีกด้วย ตอนนั้นข้าก็คิดว่าแปลก ปกติแล้วกู้อวิ๋นเวยคนนี้ไม่เคยเห็นคนทั่วไปอยู่ในสายตาด้วยฐานะของสกุลหลิ่ว นางน่าจะไม่สนใจ
“เดิมทียังคิดว่าไม่รู้จะนับญาติยามใดถึงจะเหมาะสม คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นวันแต่งงานของพี่ใหญ่ นี่ก็นับเป็นเรื่องมงคลยิ่งขึ้นไปอีกกระมัง?” ซ่งอี้อันหัวเราะเบาๆซ่งเยี่ยนโจวผลิยิ้ม “ข้าดูแล้วท่านตา ท่านยายและท่านลุงทั้งสองท่านล้วนดีมาก เทียบกับปลิงเหล่านั้นแล้วไม่รู้ดียิ่งกว่ามากเพียงใดท่านแม่นับญาติแล้ว ภายภาคหน้าก็ไม่ต้องถูกสกุลหลิ่วบีบบังคับอีกต่อไป คิดแล้วก็ดีใจยิ่งนัก”แม้พูดว่าเกิดเรื่องเอะอะวุ่นวายในวันแต่งงานหลายครั้ง แต่มองดูผลลัพธ์แล้วเขากลับดีใจมาก คิดว่าชิงอินเองก็ดีใจเฉกเดียวกันซ่งจืออวี้มองสองสามคนที่รู้เรื่องตั้งแต่แรกแล้ว เอ่ยออกมาอย่างอดไม่ได้ “พวกท่านล้วนรู้เรื่องแล้ว มีแค่ข้าไม่รู้?”“อย่าเสียใจไปเลย ข้าเองก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่แหละ” ซ่งจิ่งเซินเอ่ยปลอบซ่งจืออวี้ “เหตุใดข้าไม่อยากจะเชื่อกันเล่า?”ซ่งอี้อันมองทั้งหมดเงียบๆ พูดว่า “ตอนนั้นอุ้มเด็กผิดตัวไป...น่ากลัวว่าอาจไม่ใช่อุบัติเหตุกระมัง”หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาเชื่อว่าอาจอุ้มเด็กผิดไปจริง แต่พวกเขารู้จักอุปนิสัยของสกุลหลิ่วดีมาก ภายใต้สถานการณ์ไม่รู้ว่าลูกของตนอยู่ที่ใด ไฉนเลยจะเลี้ยงดูมารดาให้เติบใหญ่ได้?
ทว่า ในเมื่อพวกเขาชอบแสดงละคร เช่นนั้นก็ให้พวกเขาแสดงอีกสักครู่เถอะขณะเดียวกันคนเหล่านั้นยิ่งเชื่อพวกเขามาก รอความจริงถูกเปิดเผยแล้ว คนโกรธแค้นที่สุดก็คือพวกเขาเฉกเดียวกัน นี่ก็คือธรรมชาติของมนุษย์“พอดีเลย ข้าทำนายออกมาได้ว่าพ่อแม่แท้ๆ ของท่านแม่ก็อยู่ในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นยังมาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้อีกด้วย!”ชั่วขณะที่เสียงของซ่งรั่วเจินเพิ่งจบลง ดวงตาของทุกคนภายในงานล้วนเผยแววตกใจ จากนั้นกลายเป็นตกตะลึงพรึงเพริด“เมื่อแรกแม่นางซ่งก็ช่วยสวีฮูหยินตามหาลูกสาวที่หายตัวไปนานพบมิใช่หรือ? นางจะต้องทำนายออกมาได้แน่ว่าพ่อแม่แท้ๆ ของซ่งฮูหยินเป็นใคร!”“คนก็อยู่ในงานเลี้ยงวันนี้ คงมิได้หมายความว่าอีกฝ่ายคือบ่าวสูงวัยหรือหญิงบ้านนอกหรอกกระมัง?”ทุกคนต่างหันหน้ามองกัน ประโยคนี้มีความหมายท่วมท้น ทุกคนย้อนนึกคิดอย่างอดไม่ได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าบ้านใดคลอดลูกในเวลาไล่เรี่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่ว อายุฮูหยินของอีกฝ่ายยังห่างจากหลิ่วหรูเยียนไม่มากฮูหยินผู้เฒ่ากู้ได้ยินถ้อยคำนี้แล้ว ดูตกใจเล็กน้อย ความทรงจำในตอนแรกอย่างหนึ่งผุดออกจากสมองนางจำได้ยามตนเองตั้งครรภ์กู้อวิ๋นเวยเคยได้พบฮูหยินผู้เฒ
ยิ่งคนสกุลหลิ่วนำความจริงออกบิดเบือนเช่นนี้ ผู้คนรอบข้างก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้างหลิ่วหรูเยียนมิใช่บุตรในไส้ ดังนั้นที่สกุลหลิ่วลำเอียงก็นับว่าเข้าใจได้ ยิ่งเมื่อเปลี่ยนเป็นครอบครัวอื่นแล้ว ความลำเอียงเช่นนี้เรียกได้ว่ามิอาจหลีกเลี่ยงอยู่แล้วแม้จะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ยังยากจะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันได้ นับประสาอะไรกับเด็กที่มิใช่สายเลือดเดียวกันหากหลิ่วหรูเยียนเป็นเพียงบุตรของบ่าวรับใช้ เมื่อถูกสับเปลี่ยนให้มาเสวยสุขเป็นคุณหนูในจวน ก็นับว่าโชคมหาศาลหล่นทับนางแล้ว!“หากว่ากันตามนี้ หลิ่วหรูเยียนก็ติดค้างบุญคุณสกุลหลิ่วอยู่เช่นกัน ต่อให้ต้องชดใช้ด้วยทรัพย์สินมากหน่อยก็เป็นการสมควรแล้ว มิเช่นนั้นจะมีวาสนาได้เป็นถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์หรือ?”“บุตรสาวแท้ๆ ของสกุลหลิ่วบัดนี้ก็ไม่รู้ไปอยู่แห่งหนใด ทว่าสกุลหลิ่วรู้ความจริงนี้แล้วยังคงเก็บงำไว้มิยอมปริปาก ก็มิใช่ว่าใจคอกว้างขวางมากแล้วหรือ?”กระแสความคิดเริ่มโน้มเอียงไปอีกทาง คนรอบข้างต่างพูดกันไปต่างๆ นานา บ้างเริ่มเข้าอกเข้าใจถึงความใจคอคับแคบแล้งน้ำใจของสกุลหลิ่วต่งฮูหยินและจางเหวินที่มองดูเหตุการณ์มีหรือจะอดรนทนฟังได้?“หาก
“อะไรกัน? ใต้เท้าหลิ่วมิกล้าอย่างนั้นหรือ?” ฉู่จวิ้นถิงกล่าวเสียงขรึมใต้เท้าหลิ่วนิ่งเงียบอยู่ครู่ ก่อนมีทีท่าคล้ายหมดเรี่ยวแรงแล้วก็มิปาน พลางหันมองนายหญิงหลิ่วด้วยความจนใจ “ช่างเถิด เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วก็พูดไปเสียเถิด”นายหญิงหลิ่วย่อมไม่อยากที่จะยอมรับความจริง ทว่ากลับรู้ดีว่าไม่อาจเลี่ยงต่อไปได้อีก นางจึงได้แผดเสียงร่ำไห้โหยหวน “ข้าเองก็มิรู้เช่นกันว่สารเลวคนไหนมันสับเปลี่ยนลูกข้าไป!”“หลายปีมานี้ข้าก็เลี้ยงดูหรูเยียนดังบุตรในไส้มาโดยตลอด จนเมื่อไม่นานมานี้จึงเพิ่งได้รู้ว่านางมิใช่บุตรสาวแท้ๆ ของข้า! แต่อย่างไรพระคุณเลี้ยงดูย่อมยิ่งใหญ่กว่าพระคุณให้กำเนิด หรือเพียงเพราะเรื่องเท่านี้ก็ทำให้มิอาจยอมรับข้าผู้นี้เป็นแม่เจ้าแล้ว?” ใต้เท้าหลิ่วเองก็กล่าวด้วยสีหน้าปวดร้าวเช่นกัน “ครานั้น ฮูหยินข้าตั้งครรภ์ลูกถึงสิบเดือนจนคลอดออกมา บัดนี้กลับไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าลูกไปอยู่แห่งหนใด หรือยังจะกล่าวโทษพวกข้าด้วย?”“ที่พวกข้าปิดเอาไว้มิยอมพูด ก็เพราะมิต้องการให้หรูเยียนปฏิบัติห่างเหินต่อพวกข้า มินึกเลยว่า...”ผู้คนได้เห็นสกุลหลิ่วออกปากยอมรับด้วยตนเองเช่นนี้แล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เส
บัดนี้ยังมีผู้ใดบ้างเล่ากล้าตั้งสัตย์สาบานต่อหน้าซ่งรั่วเจิน?กลางวันแสกๆ นางก็สามารถเรียกทัณฑ์อัสนีมาสังหารคนทั้งเป็นได้ หากตั้งสัตย์เท็จจะไม่เท่ากับรนหาที่ตายเองหรอกหรือ?ดวงตานายหญิงหลิ่วหดเกร็งด้วยหวั่นเกรง นางไม่ได้อยากตาย!“เจินเอ๋อร์ นางเป็นถึงท่านยายของเจ้า เจ้าก็อายุอานามเพียงเท่านี้เหตุใดจึงได้ใจคอโหดร้ายเพียงนี้!”นายท่านหลิ่วว่าด้วยขุ่นเคืองแกมแฝงด้วยความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “ช่างเถิด ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่ต้อนรับพวกข้าแล้วจริงๆ จึงได้ใช้วิธีต่ำช้าถึงเพียงนี้เพื่อตัดสัมพันธ์กับพวกข้า”“ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกเจ้าวางแผนรัดกุมรอบคอบเช่นนี้ไปเพื่ออะไร แต่พวกเราจะไปให้เดี๋ยวนี้แหละ!”ว่าพลาง นายท่านหลิ่วก็จูงมือนายหญิงหลิ่วเดินจากไป ท่าทีโกรธเกรี้ยวดูราวกับถูกเหยียดหยามเต็มประดาซ่งรั่วเจินมองดูละครลวงโลงแสนช่ำชองจากครอบครัวนี้แล้ว ในดวงตาก็ฉายแววเย้ยหยันอุตส่าห์วางแผนมาอย่างดิบดีเพื่อแสดงละครฉากหนึ่ง บัดนี้ยังคิดเสแสร้งแกล้งทำตนเป็นผู้ถูกกระทำให้ผู้อื่นชี้หน้าด่าทอพวกนาง มีหรือที่เรื่องจะง่ายดายได้เช่นนั้น?“หรือจะถูกข้าพูดแทงใจเข้า จึงได้ร้อนตัวจนต้องรีบหนีกลับกัน?” ซ่ง
ว่าพลาง ซ่งรั่วเจินก็ส่งกระดาษเขียนยันต์ในมือให้กับฉู่จวินถิงหากนางเป็นผู้จุดเทียนเองก็เกรงว่าครั้นผลลัพธ์ปรากฏขึ้น สกุลหลิ่วก็ยังจะคิดหาหนทางมาปฏิเสธอยู่วันยังค่ำ แต่การให้ฉู่จวินถิงจุดเทียน ย่อมทำให้พวกเขาหุบปากสิ้นข้อสงสัยเมื่อผู้คนได้ยินได้เห็นถึงการพิสูจน์สายเลือดที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แล้ว ในดวงตาก็ค่อยๆ เปี่ยมเต็มด้วยความกระหายใคร่รู้หลิ่วเฟยเยี่ยนจำยอมกรีดปลายนิ้วของตน นำเอาหยาดเลือดสดหยดลงบนกระดาษเขียนยันต์ด้วยความไม่เต็มใจ ตั้งแต่ได้รู้ว่าในเขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ซ่งรั่วเจินได้ใช้คำสัตย์สาบานเรียกทัณฑ์อัสนีลงมาฟาดฟันใส่คนพูดปดสองคนจนถึงแก่ชีวิตทั้งเป็น ในใจของนางก็อดหวาดผวาขึ้นมาไม่ได้หญิงผู้นี้ช่างเป็นนางมารนางปิศาจโดยแท้!ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดหลิ่วหรูเยียนจึงได้คลอดบุตรสาวเช่นนางออกมาได้ ทั้งยังเห็นประหนึ่งสมบัติล้ำค่า!ไม่นานกระดาษเขียนยันต์ก็ถูกจุดขึ้นโดยฉู่จวินถิง ผู้คนต่างเป็นประจักษ์พยานกันโดยทั่วว่าเทียนไขทั้งสี่เล่มล้วนถูกจุดขึ้นจนสว่างไสวลุกโชน เสียก็เพียงแต่กระดาษยันต์ที่ค่อยๆ มอดไหม้จนเหลือเพียงเถ้ากลับคล้ายมีพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นเชื่อมโยงอยู่กับ
ทันทีทันใดที่สิ้นเสียงของซ่งรั่วเจิน สีหน้าของนายหญิงหลิ่วก็พลันเปลี่ยนสีนางลืมไปเสียสิ้นว่าซ่งรั่วเจินมีความสามารถเช่นนี้อยู่กับตัว!“เจ้าลูกอกตัญญูมิรู้คุณ! แม่ของเจ้าก็คือข้าอย่างไรเล่าที่อุ้มท้องถึงสิบเดือนคลอดเจ้าออกมา บัดนี้เจ้ากลับมาอุตริคิดสงสัยเรื่องเช่นนี้ได้ ตกลงเห็นข้าเป็นคนอย่างไรกัน!”นายหญิงหลิ่วคล้ายเดือดดาลจนถึงขีดสุด จึงยื่นมือออกหมายจะทุบตีซ่งรั่วเจิน “เจ้าไม่รู้จักอบรมสั่งสอนลูกให้ดี เช่นนั้นข้าผู้นี้จะช่วยอบรมให้เอง!”ทว่ามือของนายหญิงหลิ่วเพิ่งยื่นออกมากลางอากาศก็ถูกขวางเอาไว้สายตาเยียบเย็นของฉู่จวินถิงกับจ้องเขม็งไปที่นางเสียก่อน “ฮูหยินผู้เฒ่าหลิ่วก็เลื่องชื่อมิน้อยเรื่องมิอาจอบรมบุตรหลานให้ดี เช่นนั้นหยุดคิดจะอบรมลูกหลานผู้อื่นเสียจะดีกว่า”สีหน้าของนายหญิงหลิ่วพลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางยังพอใช้สถานะความอาวุโสกดข่มผู้อื่นได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่อ๋องเช่นนี้แล้ว ต่อให้ใจกล้าอีกสักร้อยเท่าพันเท่านางก็ไม่กล้า!นางเด็กซ่งรั่วเจินผู้นี้ก็ช่างโชคดีได้น่าบรรลัยแท้ ถึงกับมีฉู่อ๋องมาโปรดปรานให้ความสำคัญเช่นนี้“ท่านอ๋อง ข้าอายุอานามก็ปูนนี
“พี่หญิง ในใจท่านข้าไม่น่าเชื่อถือปานนั้นเชียวหรือ ท่านถึงได้ใส่ร้ายข้าต่อหน้าพวกเขาเช่นนี้?”หลิ่วเฟยเยี่ยนเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านไม่เห็นข้าเป็นน้องสาวอีกแล้ว ดี ต่อไปข้าจะอยู่ห่างๆ ท่านก็ได้ แต่ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้ทำอะไรผิด”“ท่านแค่โทษข้าคนเดียว ท่านพ่อท่านแม่ดีต่อท่านมากเลยนะ”“หรูเยียน พวกเราล้วนแต่เป็นคนในครอบครัว เจ้ากับเฟยเยี่ยนโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ยามนี้กลับทะเลาะจนถึงขั้นพี่น้องแตกหักกันแค่เพื่อร้านค้าร้านเดียวออกจะน่าเสียดายเกินไปแล้ว”“ต่อไปนางไม่กล้าเรียกร้องร้านขายไก่ทอดอีกแล้ว เจ้าก็หายโกรธเถอะนะ พวกเรายังเป็นครอบครัวเดียวกันดีหรือไม่?” นายหญิงหลิ่วกล่าวทั้งน้ำตาคลอหากเป็นเมื่อก่อน หลิ่วหรูเยียนเห็นนายหญิงหลิ่วเป็นเช่นนี้จะต้องใจอ่อนแน่นอน นางจิตใจดีงามมาตลอด ทนเห็นผู้อาวุโสเสียใจไม่ได้แต่หลังจากรู้ว่านางไม่ใช่ลูกบังเกิดเกล้าของอีกฝ่าย ทุกอย่างนี้กลับแลดูน่าขันยิ่งนักนางถึงกับถูกมารดาจอมปลอมเช่นนี้บีบคั้นมาเสียหลายปี!ซ่งรั่วเจินกับซ่งจิ่งเซินสบตากัน ฝ่ายหลังเข้าใจได้ในทันทีจึงเอ่ยขึ้นมาว่า“ท่านยาย ท่านแม่ย่อมยินดีเห็นคนในครอบครัวอยู่