สีหน้าเหอเซียงหนิงกระตือรือร้น มองถังเสวี่ยหนิงเป็นผู้มีพระคุณของตนเดิมทีซ่งจืออวี้ยังตื่นเต้น น้องหญิงของตนทำอะไร คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขารู้ดีอยู่เต็มอกคืนวันนั้นทั้งๆ ที่เหอเซียงหนิงวางอุบายทำร้ายน้องหญิงตน ต้องการลักพาตัวน้องหญิงไปที่ตรอกหย่งอัน โชคดีน้องหญิงมีความสามารถ ทำลายแผนของพวกเขาหาไม่แล้ว บัดนี้คนถูกทำลายก็คือน้องหญิง!บัดนี้เหอเซียงหนิงแว้งกัด เขาเองก็กังวลพวกคนที่ถูกส่งออกไปสองสามคนนั้นจะถูกพากลับมาได้ แต่เมื่อได้เห็นว่าใบหน้าเหล่านั้นมิใช่สองสามคนก่อนหน้านี้ กลับสงบใจลงไม่น้อยแล้ว“คุณหนู นั่นไม่ใช่อวิ๋นจู๋หรือ?”เฉินเซียงเห็นหนึ่งในชายกลุ่มนั้น สีหน้าเปลี่ยนไป ภายในสายตาเปี่ยมโทสะระคนความรู้สึกเหลือเชื่อ“ไอ้คนเนรคุณ ที่ผ่านมาคุณหนูดีต่อเขาไม่เลว เขาถึงขั้นถูกพวกเขาซื้อไว้มาทำร้ายท่าน!”ซ่งรั่วเจินเองก็จำหนึ่งในชายเหล่านั้นได้แล้ว เป็นบ่าวรับใช้ภายในเรือนนางก่อนหน้านี้ เมื่อหลายวันก่อนพูดว่ามารดาที่บ้านตายไป นางยังมอบเงินให้หนึ่งก้อนเพื่อให้เขากลับไปจัดการงานศพดีๆใครคาดคิดเล่าว่าจะเป็นคนเนรคุณคนหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาก็กลายเป็นสุนัขรับใช้ของเหอเซียงหนิงแล้ว?
“พูดจาเหลวไหลอะไร? พวกเขาล้วนพูดความจริง!” ถังเสวี่ยหนิงรีบตอบโต้กลับ“เจ้ามีหลักฐานอะไรว่าพวกเขาพูดความจริง?” ซ่งรั่วเจินถามกลับ “ล้วนอาศัยปากพูดทั้งนั้นมิใช่หรือ? ข้าเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นพวกเจ้าซื้อตัวพวกเขามาปรักปรำข้า!”ถังเสวี่ยหนิงรู้สึกเหลือเชื่อ “พวกเขาล้วนพูดความจริงต่อหน้าแล้ว เจ้ายังปฏิเสธไม่ยอมรับ ไร้ยางอายเกินไปแล้วกระมัง!”“หาสองสามคนออกมาตั้งใจปรักปรำข้า นี่ง่ายดายเกินไปแล้วกระมัง!”ซ่งรั่วเจินเผยสีหน้าเยาะหยัน เลื่อนสายตาหันมองทางคนโกหกเหล่านั้น สายตาคมกริบ“ข้าขอเตือนพวกเจ้า วันนี้ฮองเฮาเป็นผู้ตัดสินคืนความยุติธรรม มิใช่สถานที่ให้พวกเจ้าพูดจาเหลวไหลได้!”“หากเป็นไปตามที่พวกเจ้าพูดจริง ยืนกรานป้ายความผิดให้ข้า พวกเจ้าเองก็หนีไม่พ้น ทั้งหมดล้วนต้องเข้าคุกหลวง!”“ข้าขอชี้แนะพวกเจ้าให้คิดให้ดี ถึงตอนนั้นเข้าคุกแล้วอย่าได้นึกเสียใจภายหลัง!”ได้ยินดังนั้น สายตาอวิ๋นจู๋สะท้อนแววตกตะลึง “เข้าคุกหลวง?”พวกเขาถึงขั้นต้องเข้าคุกหลวง?“ย่อมต้องเข้าคุกหลวง ต่อให้น้องหญิงของข้าเป็นผู้สั่งการ แต่คนลงมือคือพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่าจะอยู่รอดปลอดภัยได้หรือ?” ซ่งอี้อันพูดเสียงเ
“ข้าได้ยินมาว่าหลังเจ้าถูกขับไล่ออกจากสกุลเหอก็ไม่มีเงินติดตัว ทำได้เพียงไปอยู่ที่สกุลฉินชั่วคราว ส่วนฉินซวงซวงและหลินจือเยว่ติดเงินข้ายังไม่ได้คืน น่าจะไม่มีเงินมากถึงเพียงนั้นมอบให้เจ้าไปตามหาคนได้กระมัง?”เมิ่งชิ่นเองก็ช่วยพูด “องครักษ์จวนแม่ทัพของพวกเรามีฝีมือไม่เลว ไม่ว่ามองอย่างไรทำเรื่องลับๆ พรรค์นี้ก็สมควรให้คนสนิทไปลงมือ รั่วเจินไม่ใช่คนโง่ ยังไม่ต้องพูดว่าไปหาอวิ๋นจู๋ตัวไร้ประโยชน์คนนี้ ยังให้เขาไปตามหาคนช่วยที่นอกจวนอีกรึ?”“เรื่องนี้เพียงได้ยินก็รู้ว่าเป็นความเท็จ ใครเชื่อก็โง่แล้ว!”คนอื่นเองก็คิดว่าเป็นเช่นนี้จริง เรื่องนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!เหอเซียงหนิงเห็นสถานการณ์แล้วกลับไม่รีบ “จะต้องเป็นเพราะนางกังวลว่าจะถูกคนในครอบครัวรู้เรื่องนี้ จึงไปหาคนที่นอกเมือง”“คนอื่นในสกุลซ่งล้วนเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีวันปล่อยให้นางทำเรื่องโหดเหี้ยมพรรค์นี้”ซ่งจืออวี้หัวเราะออกมาอย่างสุดระงับ “คราวนี้กล่าวหาพวกเรา ต้องการยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกเรา? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ไม่มีวันเสียหรอก!”“เดิมทีน้องหญิงห้าของข้าก็ไม่ใช่คนใจคอโหดเหี้ยม หาไม่แล้วนางคิดอยากได้ชีวิตของเจ้
เขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์ตกอยู่ในความเงียบอย่างแปลกประหลาด ทั้งๆ ที่มีคนมากมายถึงเพียงนี้ แต่สายตายามทุกคนสบมองซ่งรั่วเจิน กลับรู้สึกใจสั่นอย่างไร้สาเหตุฮองเฮาเห็นภาพนี้อยู่ภายในสายตา ท่าทีรับมืออย่างสุขุมของซ่งรั่วเจินทำให้นางเปลี่ยนความคิดไม่มีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ เหมือนสตรีเกิดในตระกูลเล็กๆ เผชิญหน้ากับความสงสัยโดยไม่ลนลาน ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถชี้จุดปัญหาได้อย่างตรงประเด็นเพียงแต่สำหรับเรื่องคำสาบานทำนองนี้กลับไม่น่ากลัวมากนัก กระนั้นเพียงออกจากปากแม่นางคนนี้ ถึงขั้นทำให้ทุกคนตกตะลึงได้ทุกคนที่นี่ล้วนนึกถึงความสามารถด้านศาสตร์ลี้ลับของซ่งรั่วเจิน โดยเฉพาะหลังจุดกระดาษเขียนยันต์แล้ว รู้สึกลึกลับมากยิ่งขึ้น ไม่กล้าพูดเหลวไหลส่งเดชอีกถังเสวี่ยหนิงเห็นคนเหล่านั้นกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าพูด เอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ “เดิมทีพวกเจ้าก็ไม่มีเรื่องให้ต้องละอายใจอยู่แล้ว ยังกังวลอะไรอีกเล่า? รีบพูดออกมาเถอะ!”อวิ๋นจู๋และเพ่ยอวิ๋นสบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกกังวลภายในใจ ไม่มีใครกล้าพูดก่อนเหอเซียงหนิงกระซิบเร่ง “กลัวอะไร? ก็แค่จงใจข่มขู่พวกเจ้าเท่านั้น หรือพวกเจ้าเชื่อจริง?”“ทุกวันมีคนสาบานไม่รู
เหอเฉิงหยางสบมองซ่งรั่วเจินอย่างโกรธแค้น “โหดเหี้ยมจริงนั่นล่ะ! หากครั้งนี้ข้าไม่สามารถลงโทษเจ้าได้ ไฉนเลยข้าจะมีหน้าพบเซียงหนิงได้?”“สกุลซ่งจะต้องมอบคำอธิบายให้พวกเราอย่างหนึ่ง นี่คือต้องการจะเอาชีวิตของเซียงหนิงจริงๆ!”ถังหงจี้ย่อมไม่พลาดโอกาสอันดีนี้ไป พูดว่า “ซ่งอี้อัน คราวนี้ไม่ใช่ข้ามอบคำอธิบายให้เจ้า แต่เป็นพวกเจ้าสกุลซ่งสมควรมอบคำอธิบายให้คนทั่วหล้า!”เวลาเพียงชั่วพริบตา นับตั้งแต่อวิ๋นจู๋สองคนสาบานในช่วงเวลาสั้นๆ การแสดงของสกุลเหอและสกุลถังก็มากเพียงพอแล้วฉู่จวินถิงและสี่พี่น้องสกุลซ่งกลับไม่รีบ เพราะเคยเห็นความสามารถของซ่งรั่วเจินมาก่อน ก็รู้ว่าในเมื่อนางพูดเช่นนี้จะต้องทำได้อย่างแน่นอน“รีบอะไรกัน? ต่อให้ต้องการฟ้าผ่าท่ามกลางอากาศแจ่มใสเช่นนี้ก็ต้องใช้เวลาสักหน่อยมิใช่หรือ?” ซ่งจืออวี้พูดอย่างไม่พอใจถ้อยคำนี้ทำให้ถังหงจี้และเหอเฉิงหยางหัวเราะลั่น “ซ่งจืออวี้ เพื่อปกป้องน้องสาวไม่ว่าคำใดเจ้าก็สามารถพูดออกมาได้ เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกว่าฟ้าผ่าก็ต้องรอเวลา!”คนรอบข้างหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ คิดไม่ตกว่าอยู่ดีๆ เหตุใดซ่งรั่วเจินจึงต้องรนหาที่ด้วยอธิบายออกมายังมีโอกา
เวลาคล้ายหยุดนิ่งก็มิปานบัดนี้ความครึกครื้นของเขตล่าสัตว์เงียบงันไร้เสียง ทุกคนหันมองซ่งรั่วเจิน เพียงคิดว่านางดุจดั่งเซียนเดินดิน วิธีการนี้ชวนให้คนรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงไม่มีใครสงสัยว่านี่คือความสามารถของซ่งรั่วเจินสามารถทำให้สวรรค์ลงทัณฑ์ทันท่วงทีเช่นนี้ได้ นี่คือวิธีการน่าทึ่งอะไรกัน?อวิ๋นเนี่ยนชูและเมิ่งชิ่นลืมตาอ้าปากค้าง ปากที่อ้าออกลืมปิดให้สนิท ตนเองสามารถมีสหายหญิงเช่นนี้ได้ นับเป็นวาสนายิ่งใหญ่!เรื่องนี้พูดออกไปสามารถโอ้อวดได้ชั่วชีวิต!พี่น้องชายทั้งสี่ของสกุลซ่งหันหน้าสบตากัน มองเห็นท่าทางตกตะลึงของอีกฝ่าย หลังตอบสนองกลับมาได้ก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกน้องหญิงของตนมีความสามารถยอดเยี่ยมเกินไปแล้วกระมัง!เพียงสถานการณ์ในวันนี้ ภายภาคหน้าใครยังขวัญกล้าทำตัวโอหังต่อหน้าน้องสาว นั่นก็คือรนหาที่ตาย!ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่สวรรค์ก็ยืนทางฝั่งน้องหญิงห้า?“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดเห็นเช่นไรต่อคำอธิบายนี้?”ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วขึ้น สายตาเย็นชาสบมองถังหงจี้ เหอเฉิงหยางและคนอื่น เจือความเย้ยหยันหลายส่วนสีหน้าถังหงจี้และคนอื่นล้วนไม่สบอารมณ์มาก นึกเสียใจภายหลังภายในใจ
เมิ่งชิ่นพูดแขวะ “เพียงได้เห็นท่าทางร้อนตัวเช่นนี้ก็รู้ว่าหลอกลวง ยังไม่ต้องพูดว่าตนเองต่ำช้าแต่ยังทำให้สองคนต้องตายไปอีกด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไร มิสู้ตายไปให้รู้แล้วรู้รอด!”ฉู่จวินถิงสบมองซ่งรั่วเจินด้วยสายตาลุ่มลึกแวบหนึ่ง ทันใดนั้นรู้สึกว่าไม่มีใครบนโลกนี้สามารถรังแกนางได้นาง...จะต้องไม่ใช่ซ่งรั่วเจินในตอนแรก กลับเป็นแม่นางที่เขาชมชอบด้วยใจจริงบางที ความหมายในการเกิดใหม่ของเขาก็คือได้พบกับนาง“ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” สายตาซ่งรั่วเจินจับจ้องคนที่เหลือเหล่านั้น หยิบกระดาษเขียนยันต์ออกมาหนึ่งแผ่นอย่างไม่ใส่ใจ“ข้าไม่มีความอดทนมากถึงเพียงนั้น พวกเจ้ารู้ความสักหน่อย อย่าให้ข้าถามทีละคนเลย”เดิมทีคนเหล่านั้นก็ตกใจจนหน้าเผือดซีดอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ฟ้าสว่างจ้ากลับเกิดฟ้าผ่าได้ คราวนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซ่งรั่วเจินมีวิธีอีกอย่างที่สามารถจัดการกับพวกเขาได้ จึงรีบพูดความจริงทั้งหมดออกมา“ข้าพูด ข้าจะพูดทั้งหมดเลย!”“เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเท็จ เป็นเหอเซียงหนิงมอบเงินให้พวกเรา ให้พวกเรารวมหัวกันพูดปด”“พวกเราตอบตกลงก็เพราะเงิน ขอร้องแม่นางซ่งได้โปรดไว้ชีวิตพว
ได้ยินถ้อยคำเจ้าเล่ห์ของเหอเฉิงหยาง พี่น้องสกุลซ่งรู้สึกเพียงน่าขันก่อนหน้านี้ดีดลูกคิดว่องไวจนแผนการภายในใจแทบจะระเบิดออกมาใส่หน้าพวกเขาแล้ว บัดนี้เพียงหนึ่งประโยคขอขมาก็อยากให้เรื่องจบลง ฝันหวานเกินไปแล้วกระมัง!ซ่งเยี่ยนโจวและซ่งอี้อันสบตากันแวบหนึ่ง เกิดความคิดแล้วซ่งรั่วเจินกำลังจะอ้าปากก็มองเห็นสายตาของพี่ชายทั้งสอง ทันใดนั้นเข้าใจแล้วว่าตนเองไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไป“ก่อนหน้านี้เหอเซียงหนิงถูกขับไล่ออกจากสกุลเหอ ตัดขาดความสัมพันธ์กับสกุลเหอไปแล้ว”“ได้ยินมาว่ายามนางถูกขับไล่ออกไปก็ได้เงินติดตัวไปไม่มาก ทว่าคนเหล่านี้ล้วนถูกนางซื้อมา พูดว่าไม่มีคนช่วยเหลือ นั่นเป็นไปไม่ได้”“คุณชายเหอ เจ้าไม่คิดจะอธิบายสักหน่อยหรือ?” ซ่งเยี่ยนโจวเอ่ยถามสายตาซ่งอี้อันตกลงบนตัวถังหงจี้ ครุ่นคิดพลางพูด “หรือว่าคนที่มีส่วนร่วมด้วยก็คือสกุลถังกันเล่า? มิสู้พวกเจ้าพูดออกมาตามตรง มีฮองเฮาและท่านอ๋องเป็นผู้ตัดสิน ก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนศาลาว่าการแล้ว”ถ้อยคำนี้พูดออกมา ทุกคนย่อมรู้ความหมาย“พูดไปแล้วก็จริงเสียด้วย! เหอเซียงหนิงกลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว ได้ยินมาว่าไม่มีที่ไป ทำได้เพียงไปอาศัยที่
“พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้ายังจะเกรงใจข้าอีกหรือ? ที่ข้ามานี้ มิใช่เพียงเพื่อช่วยรั่วเจินเตรียมงานแต่งเท่านั้น อีกทั้งยังได้เห็นหน้าชิงอินด้วย ช่างเป็นเรื่องดีเสียจริง” ขณะที่กู้หรูเยียนและเยี่ยนชิงอวี้กำลังสนทนาหยอกเย้ากันอยู่นั้น ก็พลันสังเกตเห็นว่าจางเหวินราวกับเหม่อลอยอยู่ไม่น้อย “หรือว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนี้?” กู้หรูเยียนเอ่ยถาม จางเหวินจึงได้คืนสติ ในใจของนางล้วนมีแต่เรื่องของเนี่ยนชูกับเฉิงเจ๋อ จนเผลอใจลอยไปโดยไม่รู้ตัว “ข้า...” นางเหมือนจะเอื้อนเอ่ย แต่กลับชะงักไป เยี่ยนชิงอวี้ขมวดคิ้ว “เจ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบอกพวกเราได้งั้นหรือ? บอกมาตามตรงเถิด” “ที่อนุอวิ๋นพูดมามิผิดเลย ระหว่างเนี่ยนชูและเฉิงเจ๋อต่างก็มีใจให้กัน” จางเหวินทอดถอนใจครั้งหนี่ง เมื่อนึกถึงภาพที่นางได้เห็นเมื่อวานยามกลับจวน เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเฉิงเจ๋อในสภาพเช่นนั้น บทสนทนาของทั้งสอง นางก็พลอยได้ยินไปด้วย นางจึงได้รู้ว่าที่แท้เนียนชู่ชอบพอเฉิงเจ๋อมาหลายปีเพียงนี้ ในฐานะมารดาเช่นนาง นางคิดว่าตนใส่ใจบุตรเป็นอย่าง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น นางกำนัลในตำหนักจงเฟยก็พลันเข้ามา“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” นางกำนัลก้มกายคำนับด้วยท่าทางเคารพนบนอบ แต่ในมือกลับถือเซียนบุปผาเอาไว้หนึ่งองค์ “แม่นางของบ่าว ให้บ่าวนำเซียนบุปผามาให้ฮองเฮา ขอเพียงทรงบูชาด้วยใจที่ตั้งมั่น ก็จะสามารถเปล่งปลั่งผุดผ่อง ทำให้เยาว์วัยตราบนานเท่านาน” เมื่อวาจาถูกเปล่งออกมาเช่นนั้น ฮองเฮาและลู่หมิ่นฮุ่ย ต่างพินิจพิจารณาเซียนบุปผาที่อยู่ตรงหน้า ต้องบอกเลยว่ารูปปั้นนี้ถูกทำขึ้นได้สมจริงยิ่งนัก เซียนบุปผานั้นก็งามวิจิตรด้วยรูปลักษณ์อันเย้ายวนตา “นี่มันเซียนบุปผาอะไรกัน? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” แววตาของฮองเฮาปรากฏแววประหลาดใจวาบหนึ่ง ในใจกับยิ่งรู้สึกสงสัย จงเฟยมีน้ำใจงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ จึงยอมมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้แก่นาง? นางสนมวังหลัง ต่างกำลังช่วงชิงแข่งขัน หวังเพียงให้ตนสามารถงามล้ำกว่าผู้อื่น เพื่อที่ฮ่องเต้จะได้ต้องตาในคราแรกเห็น จงเฟยในวันนี้ผุดผ่องไปทั้งตัวยิ่งกว่าทุกวัน แค่ฮ่องเต้ได้เห็น ราตรีนี้ย่อมต้องพลิกป้ายชื่อของนางเป็นแน่ หากความลับที่ทำให้จงเฟยงดงามขึ้นเป็นเพราะการบูชาเซียนบุปผ
นับตั้งแต่แต่งงานกันเป็นต้นมา ท่านอ๋องก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่งมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากแต่งงานแล้ว นั่นยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลยฮองเฮามองแหวนบนมือลู่หมิ่นฮุ่ยแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านอ๋องของเจ้าดีต่อเจ้ามากมาแต่ไหนแต่ไร ส่งของขวัญมาให้รวดเร็วปานนี้ ข้าได้ยินมาว่าแหวนในร้านขายเครื่องประดับทั่วเมืองหลวงถูกขายหมดเกลี้ยงแล้ว เมื่อก่อนหาได้ขายดีเท่าปิ่นปักผมไม่”“ไม่รู้ว่าจวินถิงคิดวิธีแปลกใหม่เช่นนี้ได้อย่างไร แต่ข้าแค่ได้ยินก็รู้สึกว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมโดยแท้ ช่างชวนให้คนอิจฉานัก”ลู่หมิ่นฮุ่ยดื่มชาจิบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “พี่หญิง ยามนี้ท่านคิดตกแล้วช่างดีเหลือเกิน ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่ไทเฮาทรงทราบว่าฝ่าบาทพระราชทานสมรส ยังให้คนนำของพระราชทานไปส่งที่สกุลซ่งไม่น้อยเลย เห็นได้ชัดว่าโปรดปรานแม่นางซ่งมาก”ฮองเฮาพยักหน้าน้อยๆ วันนี้ตอนที่นางได้ยินข่าวนี้ก็มีความคิดแบบเดียวกัน ความโปรดปรานที่ไทเฮามีต่อซ่งรั่วเจินช่างชวนให้คนประหลาดใจโดยแท้แต่สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นข่าวดียิ่งโดยไม่ต้องสงสัย“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าแม่นางสกุลหลิงผู้นั้นหมู่นี้ใกล้ชิดกับเช่ออ๋องมากทีเดียว คน
“ก่อนแต่งงานเขาสามารถคิดวิธีการนี้ออกมาได้ หลังแต่งงานก็ย่อมสามารถคิดวิธีอื่นออกมาได้เหมือนกัน เขาย่อมจะมีวิธีแก้ไข”ซ่งหลินมองไปทางกู้หรูเยียน “คิดถึงสมัยที่แม่ข้ายังอยู่ ข้าก็จัดการเรื่องต่างๆ ได้ดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”กู้หรูเยียนอึ้งไป คิดถึงเมื่อครั้งที่แม่สามียังอยู่ ระหว่างนางกับแม่สามีก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีความขัดแย้งอันใด ทุกครั้งซ่งหลินล้วนจัดการได้ดีมากตอนเริ่มแรก นางเข้าใจมาตลอดว่าเป็นเพราะแม่สามีนิสัยดี รู้สถานการณ์ที่นางอยู่ในตระกูลหลิ่วแล้วยังยินดียอมรับนางอย่างไรเสีย รูปแบบการทำเรื่องต่างๆ ของตระกูลหลิ่วหลายปีมานี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดื้อด้านไร้เหตุผล ชอบมาหาผลประโยชน์จากตระกูลซ่ง นางรู้สึกละอายใจต่อตระกูลซ่งมาโดยตลอดโชคดีที่ทั้งแม่สามีและพ่อสามีล้วนไม่เคยตำหนินางเพราะเรื่องนี้ นางย่อมเข้าใจว่าในเรื่องนี้ย่อมขาดความชอบของซ่งหลินไปไม่ได้เลย“ตอนนั้นท่านโน้มน้าวแม่สามีอย่างไรหรือ?” กู้หรูเยียนถามอย่างสงสัยตอนนั้นนางกังวลใจไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ทุกครั้งที่ซ่งหลินบอกนางว่าไม่เป็นไร พ่อสามีและแม่สามีจิตใจกว้างขวาง ไม่เคยเก็บเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ แต่กลับเห็นใจนางเป
“เมื่อวานข้าได้ดูตั้งแต่ต้นจนจบ การจัดเตรียมแสนอลังการแบบนี้ ไม่เพียงแค่ไม่เคยเห็นมาก่อนเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความจริงใจของฉู่อ๋อง”“ตอนที่ข้าเห็นฉู่อ๋องเป็นฝ่ายถามแม่นางซ่งว่ายินดีแต่งงานกับเขาหรือไม่ก็รู้สึกว่าถ้าบุรุษในใต้หล้าเป็นเหมือนเขากันทุกคนก็คงดี”“ไม่รู้ว่าการมอบแหวนมีความหมายพิเศษอันใดหรือไม่? ตอนข้าเห็นฉู่อ๋องสวมแหวนให้แม่นางซ่งก็รู้สึกว่าพิเศษเอามากๆ วันหน้าตอนข้าแต่งงานก็อยากทำเช่นนี้เหมือนกัน”ทันใดนั้น แหวนในร้านขายเครื่องประดับก็กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงเช้าวันนี้ แหวนทั้งหมดล้วนขายไปจนหมดเกลี้ยงขณะที่เวลานี้จวนสกุลซ่งเพิ่งได้รับราชโองการพระราชทานสมรส“ยินดีด้วย แม่ทัพซ่ง ซ่งฮูหยิน วันที่แปดเดือนหน้าเป็นวันดี หลังแต่งงานแล้ว แม่นางซ่งก็จะกลายเป็นพระชายาฉู่อ๋อง”ขันทีที่อัญเชิญราชโองการมามีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ตำแหน่งพระชายาฉู่อ๋องว่างเว้นมานานมากแล้ว ฉู่อ๋องควรแต่งงานตั้งแต่หลายปีก่อน แต่ก็ผัดผ่อนมาจนถึงตอนนี้บัดนี้ในที่สุดก็มีว่าที่พระชายาฉู่อ๋องเสียที ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองโดยแท้“เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งของพระราชทานจากในวัง ไม่เพ
ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ยิ้มเหมือนจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง “ผู้ชายดีๆ ในเมืองหลวงมีไม่น้อย หลังจากหม่อมฉันถอนหมั้น คนที่มาทาบทามสู่ขอหม่อมฉันก็มีมากมาย...”“ยังมีมากมายอีกด้วย? ไหนลองบอกข้ามาซิว่ามีใครบ้าง?”ฉู่จวินถิงรู้ว่าแม่นางผู้นี้กำลังหยอกเย้าตนเองอยู่ แต่ครั้นคิดถึงว่าตอนนั้นนางไม่มีความคิดจะแต่งงานกับเขาเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมแพ้ ยามนี้ไม่แน่ว่าคงแต่งงานกับคนอื่นไปแล้วก็เป็นได้มือของเขาเกาะกุมเนื้ออ่อนบริเวณเอวนาง ออกแรงเล็กน้อยก็ทำให้นางหัวเราะคิกขึ้นมา“ฮ่าๆ จั๊กจี้ ท่านปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ”ซ่งรั่วเจินกลัวจั๊กจี้มาแต่ไหนแต่ไร ทั้งร่างพลันอ่อนระทวย ดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมกอดของฉู่จวินถิง“ท่านปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้นะ เร็วเข้า!”ฉู่จวินถิงมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ข้าไม่ปล่อย เจ้าบอกข้ามาก่อนว่ามีใครบ้าง”“ไม่มี ไม่มี นอกจากท่านก็ไม่มีใครทั้งนั้น”ซ่งรั่วเจินอ้อนวอนอย่างอ่อนใจ นางคิดไม่ถึงเลยว่าฉู่จวินถิงจะมาไม้นี้ ยื่นมือเข้าไปคิดจะจั๊กจี้เขาบ้าง แต่กลับพบว่าเนื้อบนตัวชายหนุ่มแข็งกว่านางมากนัก เมื่อแตะถูกบริเวณเอวอย่างไม่ทันระวังก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงเค้าโครงกล้ามเนื
ฉู่อวิ๋นกุยอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง ชั่วชีวิตนี้ข้าคงคิดไม่ถึงเลยว่าด้วยนิสัยของเสด็จพี่จะมีวันที่เตรียมการเช่นนี้เอาไว้ด้วย”ก่อนหน้านี้เมื่อเสด็จพี่พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็เค้นสมองครุ่นคิด แต่นอกจากเรื่องดอกไม้ไฟแล้ว ความคิดอื่นๆ ล้วนถูกปฏิเสธทันควันเมื่อเทียบกันในยามนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าความคิดพวกนั้นของตนเองไม่เข้าท่าเอาเสียจริงๆซ่งรั่วเจินขึ้นเรือที่ตกแต่งอย่างหรูหราไปกับฉู่จวินถิงแล้วค่อยพบว่าคนอื่นๆ ไม่ได้ตามมาด้วยจึงอดถามไม่ได้ว่า “มีแค่พวกเราสองคนหรือ?”ฉู่จวินถิงมองหญิงสาวตรงหน้า สายตาตกลงบนริมฝีปากสีกุหลาบนั้น ความรู้สึกอ่อนนุ่มเมื่อครู่ก่อนยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในห้วงคำนึง เพียงปรารถนาจะลิ้มรสอย่างเต็มที่สักคราเขาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่นระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง “อืม มีแค่พวกเรา”แววตาของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นลึกล้ำขึ้นมา กระทั่งน้ำเสียงก็ยังแหบพร่าอยู่บ้างครู่ก่อนยังมีท่าทางอบอุ่นดุจอาบไล้อยู่ในสายลมวสันต์อยู่แท้ๆ ฉับพลันนั้นก็เปลี่ยนเป็นเปี่ยมแรงกดดัน ดวงตาคู่นั้นยังคงอ่อนโยนเปี่ยมแววรักใคร่ ทว่าแฝงไว้ซึ่งแววคุกคาม
ซ่งหลินมองรอยยิ้มของลูกสาวตนเอง ในใจรู้สึกเป็นสุขอย่างไม่อาจพรรณนา ประกอบกับได้ยินคำพูดของภรรยาตนเองพอดี เขาจึงอดกล่าวขึ้นไม่ได้ว่า“ตอนนี้ท่าทีของข้าดีมากแล้ว ไม่ว่าพ่อตาบ้านไหนก็เห็นลูกเขยขัดตาทั้งนั้นแหละ แต่ฉู่อ๋องผู้นี้ นิสัยไร้ที่ติเลยจริงๆ”“ในอดีตตอนข้าอยู่ในสนามรบมักได้หารือกับเขาบ่อยๆ เป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยากคนหนึ่ง ทั้งยังมีความรับผิดชอบ เขาจะไม่ทำให้เจินเอ๋อร์ผิดหวังแน่นอน”คิดถึงว่าตอนแรกเขาก็คิดว่าฉู่จวินถิงเป็นลูกเขยที่ดีคนหนึ่ง ไม่ว่าลูกสาวสกุลใดได้แต่งงานกับเขา จะต้องได้มีชีวิตที่ดีพร้อมอย่างแน่นอน แต่เจ้าหมอนี่นิสัยเย็นชาเกินไป ไม่ถูกใจลูกสาวบ้านไหนสักคน เขาจึงเลิกล้มความคิดนี้ไปใครเลยจะคาดว่าวกไปวนมาสุดท้ายทุกอย่างก็กลายเป็นจริง ฉู่อ๋องถึงกับต้องการแต่งงานกับลูกสาวเขาคนเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อพวกสหายเก่าแก่ได้รู้เรื่องนี้ แต่ละคนก็มีสีหน้าเหมือนเห็นผี ในใจเขาไม่ต้องบอกเลยว่าปลาบปลื้มมากแค่ไหน!กู้หรูเยียนพยักหน้าน้อยๆ “สายตาของเจินเอ๋อร์ก็ดีเหมือนกัน โชคดีที่ถอนหมั้นเสียตั้งแต่ตอนนั้น มิฉะนั้นถ้าเข้าไปอยู่ในจวนสกุลหลิน พ่อแม่อย่างพวกเราก็ทำผิดต่อนางมากเกินไ
แต่หลังจากที่กู้ฮวนเอ๋อร์ได้ยินว่าญาติผู้พี่ไม่เคยได้สิ้นเปลืองความคิดเพื่อเรื่องนี้เลยตั้งแต่ต้นจนจบ แต่กลับเป็นฉู่อ๋องเสียอีกที่สะสางทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งยังยอมรับต่อหน้าฮองเฮาว่าเขาเป็นฝ่ายพยายามเอาชนะใจนาง ญาติผู้พี่ยังไม่แน่ว่าจะรับปาก นางจึงตระหนักว่าที่แท้สตรีก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีเหมือนญาติผู้พี่ได้เหมือนกันไม่ต้องก้มศีรษะให้ครอบครัวสามี ทั้งยังไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว นางมีความกล้าถอนหมั้นในวันแต่งงาน ทั้งยังไม่เกรงกลัวถ้อยคำซุบซิบนินทาต่อให้ใครจะคิดว่านางไม่คู่ควรกับฉู่อ๋อง ทว่าในสายตาฉู่อ๋อง สิ่งที่กลัวกลับเป็นการทำให้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจฉู่มู่เหยาก็เข้าใจความคิดของกู้ฮวนเอ๋อร์เช่นกัน ถึงนางจะเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ แต่ก็ไม่กล้ามีความคิดเช่นพี่สะใภ้แต่เมื่อได้เห็นพี่สะใภ้และเสด็จพี่เช่นนี้ นางก็อวยพรให้พวกเขาจากใจจริงแม้ว่าชั่วชีวิตนี้ตนเองไม่แน่ว่าจะสามารถใช้ชีวิตแบบพี่สะใภ้ได้ แต่เพียงได้เห็นว่าพวกเขาทำได้ นางก็รู้สึกเป็นเกียรติแล้วสี่พี่น้องสกุลซ่งเห็นว่าฉู่จวินถิงให้ความสำคัญกับน้องสาวของพวกตนเช่นนี้ก็อดมองตากันไม่ได้ ใบหน้