เมิ่งชิ่นพูดแขวะ “เพียงได้เห็นท่าทางร้อนตัวเช่นนี้ก็รู้ว่าหลอกลวง ยังไม่ต้องพูดว่าตนเองต่ำช้าแต่ยังทำให้สองคนต้องตายไปอีกด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไร มิสู้ตายไปให้รู้แล้วรู้รอด!”ฉู่จวินถิงสบมองซ่งรั่วเจินด้วยสายตาลุ่มลึกแวบหนึ่ง ทันใดนั้นรู้สึกว่าไม่มีใครบนโลกนี้สามารถรังแกนางได้นาง...จะต้องไม่ใช่ซ่งรั่วเจินในตอนแรก กลับเป็นแม่นางที่เขาชมชอบด้วยใจจริงบางที ความหมายในการเกิดใหม่ของเขาก็คือได้พบกับนาง“ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” สายตาซ่งรั่วเจินจับจ้องคนที่เหลือเหล่านั้น หยิบกระดาษเขียนยันต์ออกมาหนึ่งแผ่นอย่างไม่ใส่ใจ“ข้าไม่มีความอดทนมากถึงเพียงนั้น พวกเจ้ารู้ความสักหน่อย อย่าให้ข้าถามทีละคนเลย”เดิมทีคนเหล่านั้นก็ตกใจจนหน้าเผือดซีดอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ฟ้าสว่างจ้ากลับเกิดฟ้าผ่าได้ คราวนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซ่งรั่วเจินมีวิธีอีกอย่างที่สามารถจัดการกับพวกเขาได้ จึงรีบพูดความจริงทั้งหมดออกมา“ข้าพูด ข้าจะพูดทั้งหมดเลย!”“เรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเท็จ เป็นเหอเซียงหนิงมอบเงินให้พวกเรา ให้พวกเรารวมหัวกันพูดปด”“พวกเราตอบตกลงก็เพราะเงิน ขอร้องแม่นางซ่งได้โปรดไว้ชีวิตพว
ได้ยินถ้อยคำเจ้าเล่ห์ของเหอเฉิงหยาง พี่น้องสกุลซ่งรู้สึกเพียงน่าขันก่อนหน้านี้ดีดลูกคิดว่องไวจนแผนการภายในใจแทบจะระเบิดออกมาใส่หน้าพวกเขาแล้ว บัดนี้เพียงหนึ่งประโยคขอขมาก็อยากให้เรื่องจบลง ฝันหวานเกินไปแล้วกระมัง!ซ่งเยี่ยนโจวและซ่งอี้อันสบตากันแวบหนึ่ง เกิดความคิดแล้วซ่งรั่วเจินกำลังจะอ้าปากก็มองเห็นสายตาของพี่ชายทั้งสอง ทันใดนั้นเข้าใจแล้วว่าตนเองไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไป“ก่อนหน้านี้เหอเซียงหนิงถูกขับไล่ออกจากสกุลเหอ ตัดขาดความสัมพันธ์กับสกุลเหอไปแล้ว”“ได้ยินมาว่ายามนางถูกขับไล่ออกไปก็ได้เงินติดตัวไปไม่มาก ทว่าคนเหล่านี้ล้วนถูกนางซื้อมา พูดว่าไม่มีคนช่วยเหลือ นั่นเป็นไปไม่ได้”“คุณชายเหอ เจ้าไม่คิดจะอธิบายสักหน่อยหรือ?” ซ่งเยี่ยนโจวเอ่ยถามสายตาซ่งอี้อันตกลงบนตัวถังหงจี้ ครุ่นคิดพลางพูด “หรือว่าคนที่มีส่วนร่วมด้วยก็คือสกุลถังกันเล่า? มิสู้พวกเจ้าพูดออกมาตามตรง มีฮองเฮาและท่านอ๋องเป็นผู้ตัดสิน ก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนศาลาว่าการแล้ว”ถ้อยคำนี้พูดออกมา ทุกคนย่อมรู้ความหมาย“พูดไปแล้วก็จริงเสียด้วย! เหอเซียงหนิงกลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว ได้ยินมาว่าไม่มีที่ไป ทำได้เพียงไปอาศัยที่
“ข้า ข้าเปล่า”เหอเซียงหนิงว้าวุ่นหนัก ไม่รู้ว่าสมควรทำเช่นไรถึงจะดี นึกเสียใจภายหลังคิดว่าสมควรยอมแพ้ตั้งแต่ตอนที่กังวลใจ บัดนี้ชุลมุนวุ่นวายจนจบไม่ลงแล้ว“เจ้ายังพูดว่าเปล่า? พวกเขาล้วนสารภาพแล้วว่าทั้งหมดเป็นฝีมือเจ้า หากเจ้าไม่ได้ทำจริงก็สาบานต่อฟ้าสิ!”ถังหงจี้สีหน้าปึ่งชา มีตัวอย่างดั่งเช่นพวกอวิ๋นจู๋สองคน ขอเพียงโยนความผิดทั้งหมดให้ถังเสวี่ยหนิงก็เพียงพอแล้ว“ข้า ข้า...” เหอเซียงหนิงรีบหันมองทางฉินซวงซวง หวังให้นางช่วยตนคิดหาวิธีก่อนหน้านี้ทั้งๆ ที่เป็นนางรับปากว่าจะจัดการทั้งหมดอย่างดี ไม่มีวันเกิดข้อผิดพลาด!จากนั้น ฉินซวงซวงเห็นสถานการณ์เปลี่ยนไปไม่เหมือนที่คาดการณ์ไว้ ถูกเปิดโปงอย่างว่องไวก็ตกตะลึงเหม่อไป รีบหลบเข้ากลุ่มคน ต้องการลอบออกจากที่นี่นางจะปล่อยให้เรื่องนี้เข้ามาพัวพันกับตนเองไม่ได้อีก หาไม่แล้วจะต้องซวยไปด้วยกัน!เพียงเหอเซียงหนิงมองไปก็เห็นฉินซวงซวงเตรียมพาหลินจือเยว่หนีไป ไฉนเลยจะยอมปล่อยให้นางไปเช่นนี้ได้?“เป็นฉินซวงซวง! เป็นนางบงการให้ข้าทำเช่นนี้!”ทุกคนล้วนหันมองตามมือของเหอเซียงหนิงไป ก็ได้เห็นใบหน้าร้อนตัวของฉินซวงซวง ท่าทางคือกำลังต้องการหนีไ
เหอเซียงหนิงตัวไร้ประโยชน์คนนี้ถึงขั้นคิดดึงนางมารับเคราะห์ไปด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พูดว่าไม่อยากดึงนางออกมาถังเสวี่ยหนิงก็ยืนอยู่ทางฝั่งนาง สกุลถังเป็นตระกูลแนวหน้าของเมืองหลวง เดิมทีก็ไม่กลัวสกุลซ่ง ตัวโง่งมคนนี้ใช้ประโยชน์จากสกุลถังเป็นโล่กำบัง ต้องการโยนความผิดมาที่ตน!“หากไม่ใช่เจ้า ข้าจะตกลำบากถึงขั้นนี้ได้เยี่ยงไร?”เหอเซียงหนิงไม่ใส่ใจความสัมพันธ์อะไรอีกแล้ว นางย่อมรู้ว่าสกุลถังยอดเยี่ยมกว่าสกุลฉิน ไฉนเลยนางจะกล้าป้ายความผิดให้สกุลถัง?ต่อให้ทำสำเร็จ ตนเองก็ถูกตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้ว ล่วงเกินสกุลถังยังมีผลดีอะไรกันเล่า?“เจ้าเกลียดซ่งรั่วเจินมาโดยตลอด เก็บข้าไว้ก็เพื่อใช้เป็นหมากตัวหนึ่งเท่านั้น”“เดิมทีก็ไม่ต้องตกลำบากถึงขั้นนี้ มุ่งร้ายต่อซ่งรั่วเจินมีอะไรดีต่อข้าเล่า? อย่างไรเสียคุณชายสวีก็ไม่ชอบข้า ปาไข่กระทบหินเช่นนี้ข้ายังไม่กลายเป็นตัวโง่งมอีกหรือ?”“ทั้งๆ ที่เป็นฝีมือของเจ้า ข้าไม่รู้เรื่องด้วยเลย ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าข้าหวังดีรับเจ้าไว้ เจ้าจะเนรคุณปรักปรำข้า!” ฉินซวงซวงพูดอย่างโมโหซ่งรั่วเจินมองสองคนตรงหน้าทะเลาะกัน ก่อนหน้านี้รู้สึกแปลกใจที่ฉินซวงซวงเก็บเหอ
คิดไม่ถึงเลยว่าซ่งรั่วเจินเองก็เป็นคนมีจิตใจล้ำลึก ตนเองไม่พูดอะไร ปล่อยให้คนรอบข้างพูดแทนนาง จะได้แสร้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าฉู่อ๋อง!ฉู่จวินถิงได้เห็นทั้งหมดก็เข้าใจแล้ว หลังเลื่อนสายตามองทางฮองเฮา ท่าทีที่แสดงออกชัดเจนเป็นอย่างมาก นั่นคือกำลังพูดว่า ‘นี่คือแม่นางที่เสด็จแม่ถูกใจหรือ?’เดิมทีฮองเฮาคิดว่าความชุลมุนวุ่นวายนี้ ระหว่างซ่งรั่วเจินและถังเสวี่ยหนิง กลับเชื่อถังเสวี่ยหนิงมากกว่าต่อมาอัสนีสองสายที่ผ่าสองคนตายไปนั้น ทำให้ความคิดของนางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากนั้นได้เห็นว่าคำพูดโป้ปดของถังเสวี่ยหนิงถูกเปิดโปงแล้ว นางคิดว่าหน้าตาของตนหมดสิ้นแล้ว ยังเกิดโทสะอย่างบอกไม่ถูกที่ผ่านมาถังเสวี่ยหนิงเป็นเด็กดียามอยู่ต่อหน้านาง ถังฮูหยินเองก็ชื่นชมไม่ขาดปาก รับประกันว่านางล้วนดีไปทุกจุด บัดนี้มองดูแล้ว...อย่าพูดถึงเลย!“แม่นางถัง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ปิดบังไปก็ไร้ความหมาย มิสู้พูดออกมาให้ชัดเจน”“หากยังยึดมั่นไม่ยอมพูด ก็ทำได้เพียงต้องไปพูดให้กระจ่างที่ศาลาว่าการแล้ว กระนั้นไปที่ศาลาว่าการจะสอบสวนเยี่ยงไร คาดว่าเจ้าเองก็รู้ดี” ฉู่จวินถิงเอ่ยปากถังเสวี่ยหนิงตกตะลึงพรึงเพริด ไม่กล
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จักถังเสวี่ยหนิง เพียงได้ยินเรื่องที่นางประสบก็เกิดรู้สึกสงสาร”“สาเหตุที่รับปาก ก็เพราะเจียวเจียวยืนยันกับข้าว่าเป็นเรื่องจริง ข้าถูกหลอกแล้ว!”ถังหงจี้รีบพูด “ใช่ น้องหญิงของข้าแค่หลงเชื่อเถียนเจียวเจียวผิดไปเท่านั้น ไม่มีวันสมรู้ร่วมคิดกับพวกเขา”ชั่วขณะเถียนเจียวเจียวถูกถังเสวี่ยหนิงซัดทอด รู้สึกหนักอึ้งภายในใจ ครู่ต่อมาหันมองบิดาตนคิดไม่ถึงเลยว่า เพิ่งหันหน้าไปก็จะถูกตบหนึ่งฉาดใต้เท้าเถียนโมโหหนัก “ทั้งวันเอาแต่ก่อเรื่องวุ่นวายไปหมด! เหตุใดข้าถึงให้กำเนิดลูกสาวอย่างเจ้าออกมาได้?”“เจ้าจัดการเรื่องยุ่งๆ นี้ให้เรียบร้อยเองก็แล้วกัน หากขวัญกล้าทำให้ครอบครัวเดือดร้อน อย่าโทษข้าไร้เยื่อใย!”เถียนเจียวเจียวปิดหน้าที่ถูกตบ ขอบตาแดงก่ำ กลับไม่กล้าตอบโต้แม้คำเดียวท่านพ่อลงมือไม่เบา ก่อนหน้านี้หน้าก็บวมไปแล้ว คราวนี้คิดว่าใบหน้าครึ่งซีกล้วนถูกตีจนไร้ความรู้สึกไปแล้วทั้งๆ ที่นางเพียงแค่ปล่อยข่าวลือเท่านั้น ลงท้ายเป็นถังเสวี่ยหนิงตัดสินใจเอง เกี่ยวอันใดกับนางด้วยเล่า?บัดนี้ถึงขั้นโทษนางทั้งหมด!ถังเสวี่ยหนิงสังเกตเห็นสายตาโกรธขึ้งของเถียนเจียวเจียวแล้ว เกิ
“ซวงซวงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน แต่เป็นเหอเซียงหนิงผูกใจแค้นจึงวางแผนทำร้ายซ่งรั่วเจินต่างหาก”“บัดนี้เรื่องราวถูกเปิดโปง นางอยากหาแพะรับบาปจึงดึงฉินซวงซวงเข้ามาเกี่ยวข้อง น้องสาวข้าเลี้ยงคนเนรคุณเอาไว้จริงๆ!”ฉินเซี่ยงเหิงย่อมไม่อาจมองดูฉินซวงซวงเคราะห์ร้ายโดยไม่ทำอันใดอยู่แล้ว ยามนี้เขาได้รับความสำคัญจากตระกูลเซียวจึงยิ่งเชื่อในความสามารถของฉินซวงซวงมากกว่าเดิมตราบใดที่มีความสามารถในการหยั่งรู้ล่วงหน้านี้อยู่ วันหน้าเขาจะต้องมีอนาคตไกล การงานราบรื่นเป็นแน่แท้!กัวเยว่หลินเห็นดังนั้นก็เอ่ยว่า “ใช่แล้ว เดิมเหอเซียงหนิงก็เป็นคนจิตใจชั่วร้าย ตอนอยู่ในตระกูลฉินก็เป็นเหมือนโจรร้ายกระนั้น”“จากที่ข้าเห็น เห็นได้ชัดว่านางริษยาซวงซวงจึงคิดจะทำให้ซวงซวงเคราะห์ร้ายไปด้วย!”เดิมฉินจื้อหย่วนไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เห็นภรรยาของตนเองเอ่ยปากแล้ว ในใจเขาก็ยิ่งสับสนก่อนหน้านี้เขาเคยบอกท่านพ่อไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้วว่าฉินซวงซวงเป็นตัวซวย ทำให้ตระกูลหลินตกต่ำอยู่ในสภาพนั้น ดีที่สุดคือไล่นางออกไปจะได้ไม่มาทำให้ตระกูลฉินพลอยเดือดร้อนไปด้วยแต่ท่านพ่อกลับไม่เห็นด้วย ยามนี้ดีนัก
“ข้าไม่เข้าใจเลย ถึงจะรับอนุภรรยาจริง อย่างน้อยก็เลือกคนที่สะอาดสะอ้านสักหน่อยก็ได้กระมัง?”“ก่อนหน้านี้เหอเซียงหนิงมั่วสุมกับขอทานมากมายขนาดนั้น ถึงจะไม่ใช่โสเภณี แต่ก็ต่างกันไม่มากนักหรอก ฐานะตระกูลกัวก็ไม่แย่นี่นา แต่กลับยินดีปรนนิบัติสามีร่วมกับผู้หญิงแบบนี้เนี่ยนะ?”“ถ้าเป็นครอบครัวพวกข้าไม่มีทางยอมรับได้อย่างแน่นอน”เมิ่งชิ่นส่ายหน้าน้อยๆ น้ำเสียงแฝงความเย่อหยิ่งหลายส่วน นางอดกลั้นต่อเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้หรอกเดิมทีกัวเยว่หลินไม่เข้าใจว่าวาจานั้นหมายความว่าอย่างไร จนกระทั่งได้ยินคำพูดทั้งหมดแล้ว ทั้งตัวคนก็ราวกับถูกสายฟ้าฟาดนางยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม มองไปทางฉินจื้อหย่วนที่อยู่ข้างกายอย่างเหลือเชื่อ หัวสมองขาวโพลนนางได้ยินอะไรงั้นหรือ?ฉินจื้อหย่วนเบิกตาโพลง มองไปทางพวกซ่งรั่วเจินอย่างตะลึงพรึงเพริด เรื่องนี้เป็นความลับที่เขาซุกซ่อนเอาไว้ตลอดมา แม้แต่คนในครอบครัวก็ยังไม่รู้เขายังเตือนเหอเซียงหนิงเป็นพิเศษว่าห้ามบอกใครเด็ดขาด เหตุใดพวกซ่งรั่วเจินจึงรู้เรื่องนี้ได้?“ซ่งรั่วเจิน พวกเจ้าพูดเหลวไหลอะไร เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!”ฉินซวงซวงเห็นพวกซ่งรั่วเจินพูดรับส่งกันเป็นท
“ข้าว่าเรื่องนี้ก็เลิกแล้วต่อกันเพียงเท่านี้จะดีกว่า ถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปเชิญเช่ออ๋องมาแล้วละ”หลังนางกลับบ้านเดิม เช่ออ๋องก็มารับนางเป็นการเฉพาะ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้นอย่างหาได้ยากถ้าเช่ออ๋องรู้ว่าตนเองมาหาเรื่องถึงตระกูลซ่งจะต้องพิโรธมากเป็นแน่!“นั่นจะได้อย่างไรกัน?” ฉู่จวินถิงเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “พี่สะใภ้ถึงขั้นตั้งใจมาคาดคั้นถึงตระกูลซ่ง เห็นได้ชัดว่าเข้าใจผิดมากเพียงใด ถ้าข้าไม่มาเห็นเข้าพอดี เกรงว่าป่านนี้ซ่งรั่วเจินคงรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว”“นอกจากนี้ อีกสองวันข้าก็จะลงใต้แล้ว ถ้าไม่อธิบายเรื่องเข้าใจผิดกันให้ชัดเจน พอข้ากลับมาก็ไม่ได้เห็นซ่งรั่วเจินแล้วน่ะสิ?”ซ่งรั่วเจินพยักหน้าติดต่อกัน กล่าวด้วยสีหน้าเจ็บช้ำใจว่า “ท่านอ๋องพูดถูกเพคะ หม่อมฉันหวาดกลัวยิ่งนัก!”ซ่งจืออวี้เห็นน้องสาวของตนเองแสดงละครร่วมกับฉู่อ๋อง ใบหน้าพระชายาเช่ออ๋องเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีดำ เปลี่ยนจากสีดำเป็นสีแดงแล้วเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีขาว จนเขาอดตะลึงไม่ได้ความเร็วในการเปลี่ยนสีหน้านี้ช่างรวดเร็วมากจริงๆ!หลังจากอวิ๋นหยางไปเชิญเช่ออ๋อง พระชายาเช่ออ๋องก็กระวนกระวายอย่างเห็
น้ำเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้คนทั้งสองภายในห้องต่างนิ่งอึ้งไป ซ่งรั่วเจินเห็นฉู่จวินถิงที่เดินเข้ามาในห้องอย่างแช่มช้า ดวงตางามก็ฉายแววตกใจเขามาถึงตั้งแต่เมื่อไร?คงไม่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของตนเองหรอกนะ?ซ่งจืออวี้อ่านสายตาน้องสาวตนเองออกจึงเหยียดริมฝีปากอย่างอ่อนใจ หัวใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ของซ่งรั่วเจินจึงหยุดเต้นไปในที่สุดได้ยินแล้วจริงๆ ด้วย!ชั่วขณะที่พระชายาเช่ออ๋องเห็นว่าฉู่อ๋องมาแล้ว ใบหน้าก็พลันถอดสี คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญถึงเพียงนี้!ความลนลานวาบผ่านดวงตานาง แต่ก็กลับไปเป็นปกติอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยว่า “ที่แท้ก็ฉู่อ๋องมานี่เอง”“ข้าเพิ่งมาถึงก็ได้ยินว่าพี่สะใภ้กำลังข่มขู่คนอยู่ ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นหรือถึงได้มาขู่เอาชีวิตคนในจวนสกุลซ่งเช่นนี้?”ใบหน้าหล่อเหลาของฉู่จวินถิงมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆ เลยสักนิด น้ำเสียงผ่อนคลายเรียบเรื่อยราวกับเป็นการถามไถ่ธรรมดาทั่วไป ทว่าความกดดันที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างรวมถึงสายตาเย็นเฉียบทำให้คนเข้าใจว่า เขามีโทสะแล้ว“ซ่งรั่วเจินไม่เคารพข้า...”พระชายาเช่ออ๋องยังพูดไม่จบ ฉู่จวินถิงก็กล่าวขึ้นว่า “อ้อ? พี่สะใภ้มาถึงตระก
“ซ่งรั่วเจิน เจ้าอย่าทำตัวไม่รู้ดีชั่วเช่นนี้ วันนี้ข้าให้โอกาสเจ้ารักษาก็คือให้เกียรติเจ้า!”“ถ้าฉู่อ๋องรู้ว่าเจ้าไปยั่วยวนเช่ออ๋องลับหลังเขา เจ้าคิดว่าฉู่อ๋องยังจะชอบเจ้าอยู่งั้นรึ?”ซ่งรั่วเจินได้ยินอย่างนั้นก็แทบจะหัวเราะออกมา นางยั่วยวนเช่ออ๋อง?“พระชายาเช่ออ๋อง ท่านคิดว่าหม่อมฉันสมองไม่ดีหรือสายตามีปัญหาหรือเพคะ?”“ฉู่อ๋องยังไม่แต่งงาน กล้าหาญชาญศึกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรูปงามของเมืองหลวง ไยหม่อมฉันจะต้องปล่อยมือจากฉู่อ๋องไปยั่วยวนเช่ออ๋องด้วยเพคะ?”เมื่อซ่งจืออวี้มาหาน้องหญิงห้าเป็นเพื่อนฉู่อ๋อง ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็ได้ยินคำพูดเช่นนี้ดังออกมาจากข้างใน เขาเบิกตากว้างอย่างอดไม่อยู่เหตุใดสตรีวิปลาสผู้นี้จึงมาใส่ร้ายน้องหญิงห้าส่งเดชเช่นนี้!“เช่ออ๋องไม่ดีตรงไหน? ฉู่อ๋องเย็นชาเสียขนาดนั้น เหมือนก้อนหินไม่มีผิด ถ้าไม่ระวังก็อาจเสียชีวิตเอาได้ ไหนเลยจะอ่อนโยนเหมือนเช่ออ๋อง?”พระชายาเช่ออ๋องแย้งกลับมาอีกประโยค “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้ามันไม่รู้จักพอ!”“ฉู่อ๋องหน้าตาหล่อเหลาปานนั้น ถึงเขาจะตีหน้าเย็นชาทั้งวันแต่ก็เป็นชายรูปงามที่หาได้ยากนักในโลกนี้ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่
ซ่งรั่วเจินเพิ่งมาถึงโถงหน้าก็เห็นพระชายาเช่ออ๋องที่แต่งกายอย่างหรูหราอาภรณ์สีชมพูตัดเย็บจากผ้าแพรชั้นดี คลุมทับด้วยเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว รูปโฉมนางเหมือนสาวน้อยที่งดงามน่ารัก ผิวพรรณขาวบริสุทธิ์ ดวงตาชั้นเดียวเชิดขึ้นเล็กน้อยทอประกายคมกริบแม่นมสี่คนกับสาวใช้สี่คนยืนอยู่ข้างกาย กล่าวได้ว่าวางมาดใหญ่โตยิ่งนัก“คารวะพระชายาเช่ออ๋องเพคะ”ซ่งรั่วเจินแสดงคารวะ นางรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามจับจ้องตนเองตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว แต่การจ้องมองเช่นนี้...แสดงท่าทีของผู้เหนือกว่าอย่างชัดเจน ในใจก็เข้าใจขึ้นมาหลายส่วนเห็นที...จะไม่ได้มาดีสินะ!“เจ้าก็คือซ่งรั่วเจิน?”พระชายาเช่ออ๋องมองประเมินซ่งรั่วเจิน ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าแม่นางผู้นี้เป็นหญิงงามผู้หนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถอาศัยสถานะหญิงที่เคยถอนหมั้นไปเข้าตาฉู่อ๋องได้แล้วสายตาฉู่อ๋องสูงส่งมาแต่ไหนแต่ไร หลายปีมานี้ไม่เคยต้องตาแม่นางคนใดมาก่อน แต่กลับถูกนางล่อลวงจนลุ่มหลงหัวปักหัวปำ ชั่วขณะนี้เมื่อได้เห็นแล้วก็จำต้องยอมรับว่างดงามจริงดังกล่าว“เพคะ” ซ่งรั่วเจินตอบรับ “ไม่ทราบว่าพระชายาเช่ออ๋องมาหาหม่อมฉันด้วยธุระอันใดหรือเพคะ?”“ข้าไ
พี่ใหญ่ถูกลอบโจมตีจนเกือบไม่รอดชีวิตกลับมา หลังกลับมาแล้วขาทั้งสองข้างยังพิการ ท่านพ่อก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยถ้ามีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้...“ส่วนจิ่งเซิน เขาได้ทำการค้าบ่อยๆ เชี่ยวชาญการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คน พวกเจ้าเดินไปทางไปด้วยกันสามารถปลอมเป็นกลุ่มพ่อค้าที่ไปค้าขาย ผู้คนจะได้ไม่สงสัยโดยง่าย” ซ่งเยี่ยนโจวกล่าวซ่งจิ่งเซินพยักหน้ารัวๆ “ใช่แล้ว มีข้าอยู่ด้วย สามารถตัดความยุ่งยากไปได้มากที่สุดแล้ว!”ทุกคนล้วนเข้าใจเรื่องนี้ดี ยามออกไปข้างนอก การมีไหวพริบในการจัดการเรื่องราวเฉพาะหน้าสามารถลดปัญหาได้ นอกจากนี้ ซ่งจิ่งเซินก็ยังมีประสบการณ์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องแสดงละครด้วยซ้ำ แค่นำกลุ่มพ่อค้าออกเดินทางก็สามารถตบตาผู้คนได้อย่างง่ายดายกู้หรูเยียนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นมากจึงกล่าวว่า “เจินเอ๋อร์ ทำตามที่พี่ใหญ่เจ้าพูดเถอะนะ? เช่นนี้พวกข้าจะได้คลายใจ”ซ่งรั่วเจินเหลือบมองพวกซ่งจืออวี้สองฝาแฝดก็เห็นพวกเขาพยักหน้าเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนลูกไก่จิกข้าวสารกระนั้น นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ งั้นประเดี๋ยวค่อยมาดูกันว่าต้องเตรียมสิ่งใดไปบ้าง”“น้องหญิงห้า เรื่องนี้เจ้ายกให้เป็นหน้าที
ซ่งรั่วเจินตัดสินใจไปรับบิดากลับมา ก่อนออกเดินทางย่อมต้องเตรียมสิ่งของมากมาย แต่ก่อนหน้านั้นยังต้องบอกคนในครอบครัวเสียก่อนหลังนางบอกเรื่องที่จะเดินทางไปชายแดน คนในจวนล้วนอึ้งตกใจกันหมด“เจินเอ๋อร์ เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าจะไปชายแดนด้วยตัวเอง?” กู้หรูเยียนมีสีหน้าตกตะลึง “ก่อนนี้ไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อนเลย”“น้องหญิงห้า ถ้าเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านพ่อก็ให้พี่ชายอย่างพวกข้าไปดีกว่า ผู้หญิงแบบเจ้าไปสถานที่ห่างไกลปานนั้นจะอันตรายเกินไปแล้ว” ซ่งจืออวี้เอ่ยอย่างร้อนใจซ่งจิ่งเซินพยักหน้า “ใช่แล้ว พวกเขารับราชการอาจไม่สะดวก ข้ามีประสบการณ์เดินทางโชกโชน ให้ข้าไปดีกว่า!”“ความจริงสาเหตุที่ข้าจะเดินทางไปเป็นเพราะข้าทำนายดวงชะตาให้ท่านพ่อ”เมื่อซ่งรั่วเจินเอ่ยวาจาประโยคนี้ออกมา สีหน้าทุกคนในห้องล้วนเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หรือว่าจะเกิดปัญหาอันใด?“ก่อนนี้ข้าก็เคยทำนายเหมือนกัน ดวงชะตาของท่านพ่อปลอดภัยไร้อันตราย สามารถกลับมาได้อย่างราบรื่น แต่ช่วงนี้เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้น น่าจะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก”“ถ้าไม่ไป ข้ากังวลว่าอาจมีอันตราย ดังนั้นจึงคิดว่าจะไปด้วยตั
“ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันได้ค้นตัวไต้ซือเทียนจีใช่หรือไม่?” ซ่งรั่วเจินถามซ่งเยี่ยนโจวพยักหน้า “ก่อนหน้านี้คนผู้นั้นรีบร้อนเกินไป พวกข้าไม่เปิดโอกาสให้เขา แต่ว่ากันตามปกติแล้ว ของที่มีค่ามากมักจะไม่พกติดตัวไว้”“สิ่งสำคัญที่สุดมักไม่พกติดตัวก็จริง แต่คนในวงการพวกข้า โดยเฉพาะคนชั่วร้ายอย่างเขา จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเก็บจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ข่มขู่อย่างแน่นอน”คิ้วบางของซ่งรั่วเจินเลิกขึ้นน้อยๆ ต่อให้เคยเจอไต้ซือเทียนจีเพียงครั้งเดียว แต่ก็ทราบว่าเป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้หนึ่งกระทำเรื่องชั่วช้ามาหลายปีขนาดนี้แต่ก็ยังอยู่รอดปลอดภัย แล้วจะไม่มีวิธีปกป้องตัวเองเลยได้อย่างไร?กู้ชิงฉือได้ยินเช่นนั้นก็รีบวิ่งไปข้างกายไต้ซือเทียนจีแล้วเริ่มค้นหาอย่างละเอียด การค้นตัวครั้งนี้พบว่านอกจากยันต์ที่อ่านไม่ออกพวกนั้นแล้วยังมียาลูกกลอนอีกสองเม็ด“ไม่มีของอย่างอื่น แต่มีหินก้อนหนึ่ง นี่คือหยิบติดตัวมาด้วยงั้นรึ?”กู้ชิงฉือมองก้อนหินในมือ หินก้อนนี้แม้พอจะนับได้ว่ามนเกลี้ยง แต่ก็ดูแตกต่างจากก้อนหินที่พบเห็นได้ทั่วไปบริเวณริมแม่น้ำมากเกินไป“ข้าขอดูหน่อย”ซ่งรั่วเจินก้าวเร็วๆ เข้ามาหา มองก้อนหินในมือแ
เมื่อซ่งเยี่ยนโจวเอ่ยปากสอบถาม สายตาทุกคนก็ต่างจับจ้องมายังซ่งรั่วเจิน พวกเขาในตอนนี้ไม่กล้าบุ่มบ่ามรบกวนแล้วฉู่จวินถิงก็เป็นห่วงดุจเดียวกัน เขารู้ว่าวิชาแพทย์ของรั่วเจินนั้นไม่ธรรมดา เก่งกาจกว่าหมอหลวงในวังหลวงมากนัก ถ้านางบอกว่าช่วยไม่ได้ก็แสดงว่าหมดหนทางแล้วจริงๆ“ยังช่วยได้”ซ่งรั่วเจินพูดโดยที่มือยังเคลื่อนไหวไม่หยุด นางลังเลไปชั่วครู่ก็หยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมายัดเข้าไปในปากของชายผู้นั้นซ่งเยี่ยนโจว “...” อีกแล้ว?ซ่งรั่วเจินรู้ว่าตนเองนำสิ่งของมากมายติดตัวมาเช่นนี้จะทำให้คนสงสัย แต่ช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า อย่างไรเสียแค่พูดจาส่งเดชไม่กี่ประโยคก็สามารถกลบเกลื่อนเรื่องนี้ได้แล้วตั้งแต่นางทะลุมิติมาก็มีมิติขนาดเล็กเป็นของตัวเอง ยาเอย ยันต์เอย ยามปกติล้วนเก็บไว้ในนั้น นับว่าสะดวกมากทีเดียวหลังจากชายหนุ่มที่มีท่าทางอ่อนแอสุดขีดกลืนยาเม็ดนั้นลงไปก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดแต่เดิมบรรเทาลงบ้าง การหายใจก็ไม่ได้ยากลำบากถึงเพียงนั้นอีกแล้ว“ส่งคนไปหารถม้าหรือยัง?” ฉู่จวินถิงถามจ้าวเจียงพยักหน้า “เรียนท่านอ๋อง ส่งคนไปจัดการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ข้าฟัง
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าบนบัญชีรายชื่อมีอยู่สิบกว่าคน ไม่รู้อาการของคนอื่นร้ายแรงหรือไม่?” ซ่งรั่วเจินเอ่ยถาม“ในหมู่คนเหล่านั้นมีลูกสะใภ้ไม่เคารพแม่สามี คนแก่อายุมากแล้ว คนจึงตายไป แต่มากที่สุดยังเป็นความขัดแย้งของอนุภรรยาและภรรยาเอก”“คนส่วนใหญ่ล้วนคล้ายพระชายาเซียงอ๋อง ตกอยู่ในฝันร้าย ยังป่วยหนักอีกด้วย อนุอวิ๋นนับว่าลงทุนลงแรงมากทีเดียว” ฉู่จวินถิงพูด“อนุอวิ๋นเป็นคนโหดเหี้ยมไม่ผิดไปดังคาด แต่ยังเสแสร้งใจดีมีเมตตา ปรากฎว่ามีเพียงใต้เท้าอวิ๋นตัวโง่งมคนนี้ถึงจะหลงเชื่อ”ซ่งรั่วเจินไม่แปลกใจ ความยากในการเลี้ยงดูผีทวงชีวิตนั้นมากกว่าผีน้อยตนอื่นมาก แม้ว่าไต้ซือเทียนจีมีความสามารถอยู่บ้าง กลับไม่สามารถเลี้ยงผีทวงชีวิตหลายตนได้ตนนี้เป็นเขาใส่ใจเลี้ยงดู ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จึงสนิทสนมกันมากจากนั้นยามทั้งคู่เดินผ่านอุโมงค์ไปจนถึงฝั่งหนึ่ง กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นสายหนึ่งชำแรกจมูกพวกซ่งเยี่ยนโจวยืนอยู่ข้างหน้า สีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างมาก ส่วนซ่งรั่วเจินเองก็สังเกตเห็นศพแต่ละร่างใต้พื้น หนึ่งในนั้นมีนักพรตเต๋าคนหนึ่ง เห็นชัดว่าคือไต้ซือเทียนจี“นี่คือ...ตายทั้งหมดแล้ว?”“เดิมที