“คนที่ถูกทำร้ายคือข้า คนที่ถูกเข้าใจผิดก็คือข้า พอถูกเจ้าพูดแบบนี้กลับเหมือนข้าไปรังแกเจ้าอย่างนั้นแหละ”ซ่งรั่วเจินเปิดโปงโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย น้ำเสียงแฝงความเจ็บช้ำใจและความงุนงงสงสัย ไม่ได้คาดคั้น ไม่ได้ก้าวร้าวคุกคามคนอื่น แต่เหมือนไม่เข้าใจสหายที่รู้จักกันมานานปีมากกว่าชั่วขณะนี้คนรอบข้างจึงเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งประหนึ่งได้รับน้ำทิพย์เบิกปัญญา สายตาที่มองไปทางเคอหยวนจื่อก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดขึ้นมา พวกเขาเกือบจะถูกชักจูงให้เข้าใจผิดเสียแล้ว!“จริงด้วย แม่นางซ่งไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย เดิมก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดที่เคอหยวนจื่อไม่พูดให้ชัดเจน ทำไมตอนนี้ถึงทำเหมือนถูกนางกดดันให้คุกเข่าอีกเล่า?”“ถ้าคุกเข่าลงไปจริง คงกลายเป็นว่าซ่งรั่วเจินกับเมิ่งชิ่นรังแกนางจริงๆ แล้ว จุ๊ๆ”ความดูแคลนวาบผ่านดวงตาซ่งรั่วเจิน เล่ห์เหลี่ยมที่ตัวเองหาคำมาอธิบายไม่ได้ก็คิดจะถอยเพื่อรุกหาเรื่องกลับแบบนี้ นางดูออกมาแต่แรกแล้ว!เคอหยวนจื่อก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าลูกไม้ที่ใช้ร้อยครั้งเห็นผลร้อยครานี้จะใช้ไม่ได้ผล ซ่งรั่วเจินมาตัดไฟต้นลมแบบนี้ ทำให้นางตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิม“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั
“ข้าไม่รู้เลยว่าสหายธรรมดาจะมอบของล้ำค่าขนาดนี้ให้กัน ที่บ้านเจ้าไม่เคยสอนเจ้าหรือว่าไม่อาจรับสิ่งของที่บุรุษทั่วไปมอบให้ หรือจะบอกว่าหากอยากเป็นสหายกับแม่นางเคอ จะต้องกำนัลเงินก้อนโตให้อีกด้วย?”“อย่างอื่นข้าไม่พูดถึงก็แล้วกัน แต่กำไลบนมือเจ้าวงนั้นเป็นสิ่งของที่แม่ข้าเก็บไว้ให้ว่าที่ลูกสะใภ้ พี่สี่ของข้าทะนุถนอมอย่างยิ่ง ยามนี้สวมอยู่บนข้อมือเจ้า เจ้ากลับบอกว่าพี่สี่ของข้าเป็นแค่สหาย?”เมิ่งชิ่นจุ๊ปากทอดถอนใจ “เครื่องประดับที่เจ้าประโคมใส่บนร่างล้วนได้มาจากคุณชายสี่สกุลซ่ง ถ้าบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อกระมัง?”“ข้า ข้าไม่รู้ ก่อนหน้านี้เป็นเขาอยากให้ข้ามาเอง ข้าไม่รับ เขาก็วางของไว้แล้ววิ่งหนีไป ข้ากลัวว่าจะทำร้ายจิตใจเขาถึงได้ฝืนใจรับไว้”เคอหยวนจื่อสุดจะระงับโทสะในใจ ไม่เพียงแต่ขุ่นเคืองซ่งรั่วเจิน แม้แต่ซ่งจิ่งเซินก็ยังพลอยโกรธเคืองไปด้วยแม้แต่น้องสาวตัวเองก็ยังจัดการไม่ได้ ปล่อยให้นางบังอาจมาคาดคั้นตนเอง รอจนซ่งจิ่งเซินกลับมาแล้ว นางจะต้องไปคิดบัญชีนี้กับเขาแน่นอน!“ฝืนใจขนาดนั้นเชียว? พี่สี่ของข้าจะทำให้คนอื่นลำบากใจเกินไปแล้ว? ถึงได้บังคับให้เจ้ารับขอ
“ความอัปยศที่เจ้าทำกับข้าในวันนี้ ข้าจดจำไว้แล้ว!”เคอหยวนจื่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้ นางโมโหจนกินอาหารในงานเลี้ยงต่อไปไม่ลงแล้วควรรู้ว่าในจำนวนนี้มีคนไม่น้อยที่ก่อนหน้านี้อิจฉานาง ตอนนี้กลับดีนัก แต่ละคนล้วนดูเรื่องน่าอับอายของนาง ไม่รู้กลับไปแล้วจะเอานางไปพูดอย่างไรบ้าง!ซ่งรั่วเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เอาสิ ในเมื่อความจำของแม่นางเคอดีขนาดนี้ เช่นนั้นก็คืนทุกอย่างมาให้หมดเลยก็แล้วกัน ข้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยไปทวงทีละอย่าง”“ความจำของข้าไม่ดีเท่าไร อาจตกหล่นไปบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ท่านไม่เหมือนกัน สิ่งของที่คนอื่นให้มากับสิ่งของของตัวเองก็คงจะแยกออกสินะ”“ต่างหูที่ท่านสวมอยู่...เหมือนจะเป็นสิ่งของของสกุลซ่งของข้าเหมือนกันนะ?”สิ้นเสียงซ่งรั่วเจิน ใบหน้าของเคอหยวนจื่อก็ยิ่งแดงจัดจนแทบจะหยดเลือดลงมาได้ต่อหน้าสายตาทุกคน เห็นนางถอดเครื่องประดับลงมาทีละชิ้น จากก่อนหน้านี้ที่แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศมาตอนนี้ตัวเปล่าล่อนจ้อน ทุกคนจึงตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่งเครื่องประดับบนตัวเคอหยวนจื่อทุกชิ้นเป็นสิ่งที่ซ่งจิ่งเซินให้มาหมดเลยหรือนี่?“สวรรค์ เครื่องประดับมา
“นอกจากนี้ ข้าคิดว่าเคอหยวนจื่อยังเป็นคนร้ายกาจไม่ใช่เล่น เกรงว่ากอบโกยผลประโยชน์ไปจนหมดสิ้นแล้ว สุดท้ายความพยายามของพี่สี่ของเจ้าก็คงสูญเปล่าอยู่ดี”“ถึงอย่างไรก็ต้องผิดใจกัน มิสู้ทำแบบที่ตัวเองสบายใจหน่อยดีกว่าจริงไหม?” ซ่งรั่วเจินเลิกคิ้วพลางยิ้มเมิ่งชิ่นก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ข้าชอบนิสัยนี้ของเจ้าจริงๆ มาวันนี้ได้รู้จักสหายแบบเจ้านับว่าคุ้มค่าแล้ว!”ซ่งรั่วเจินเองก็ดีใจมากเหมือนกันที่ได้รู้จักสหายที่ควรค่าแก่การคบหาคนหนึ่ง เห็นหว่างคิ้วของเมิ่งชิ่นแลดูหม่นหมองรำไรก็หยิบยันต์คุ้มภัยแผ่นหนึ่งส่งไปให้“วันนี้ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยข้าคลี่คลายสถานการณ์ ยันต์คุ้มภัยแผ่นนี้ข้าให้เจ้า ถ้าเจ้าเชื่อใจข้า พรุ่งนี้จะต้องพกพามันไว้กับตัว”เมิ่งชิ่นรับยันต์คุ้มภัยมาอย่างงุนงง เดิมทีอยากพูดว่าตนเองไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่พอคิดถึงชื่อเสียงซ่งรั่วเจินที่ได้ยินมาช่วงนี้จึงรับมาอย่างทะนุถนอมยิ่ง“ขอบคุณ ข้าจะพกมันไว้กับตัวอย่างดีเลยล่ะ”อาหารจัดเลี้ยงในจวนเซียงอ๋องย่อมดีเลิศอยู่แล้ว เมื่อไม่มีคนที่ตนเองเกลียด ซ่งรั่วเจินก็กินอย่างเบิกบานใจมากระหว่างนั้นได้ยินเรื่องซุบซิบมาเล็กน้อย ในนั้นม
เมื่องานเลี้ยงราตรีถึงคราวเลิกรา ซ่งรั่วเจินกับเมิ่งชิ่นก็กลายเป็นเพื่อนสาวที่สนิทสนมกัน ถึงขั้นนึกแค้นใจที่เจอกันช้าไปเลยทีเดียว“รั่วเจิน พรุ่งนี้ข้าต้องไปไหว้พระกับท่านแม่ อีกสองวันข้าค่อยไปหาเจ้าที่บ้านเจ้าก็แล้วกัน” เมิ่งชิ่นกล่าว“ตกลง ข้าจะรอเจ้า” ซ่งรั่วเจินพยักหน้าแล้วว่า “ยันต์คุ้มภัยที่ข้าให้เจ้าไปจะต้องพกติดตัวไว้ให้ดี ห้ามยกให้ใครทั้งนั้น”เวลานั้นเอง เสียงหลิ่วหรูเยียนก็ดังขึ้นมา “เจินเอ๋อร์ เตรียมตัวกลับจวนได้แล้ว”หลิ่วหรูเยียนเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่าคืนนี้พูดคุยกับพระชายาเซียงอ๋องและต่งฮูหยินอย่างเพลิดเพลิน ส่วนเรื่องช่วยขอร้องแทนสกุลซุน นางก็ไม่เอ่ยถึงอย่างรู้กาลเทศะยิ่งนักในงานเลี้ยง สวี่ชิงเหมยทราบความสัมพันธ์ระหว่างหลิ่วหรูเยียนกับสกุลซุน เข้าใจว่าหลิ่วหรูเยียนไม่สะดวกจะเอ่ยปาก นางจึงเลียบเคียงถามให้อย่างอ้อมๆเห็นว่าเพียงเอ่ยถึงสกุลซุน พระชายาเซียงอ๋องก็มีสีหน้าบึ้งตึง คนทั้งสองก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเรื่องนี้ไม่มีโอกาสแก้ไขได้แล้ว ต่อให้พูดขึ้นมาก็มีแต่จะทำให้หมางใจกันเปล่าๆแม้ว่าหลิ่วเฟยเยี่ยนจะเป็นน้องสาวของนาง แต่นางยังเป็นมารดาคนหนึ่ง
ใบหน้าของเคอหยวนจื่อเต็มไปด้วยโทสะจากความอับอายและความหัวเสีย ราวกับปวดใจเสียเต็มประดา ในใจกลับลอบกระหยิ่มยิ้มย่อง แม้แต่สวรรค์ก็ยังช่วยเหลือนางจริงๆ!ก่อนหน้านี้ซ่งรั่วเจินก็บอกว่าซ่งจิ่งเซินยังไม่กลับมา คิดว่าคงเพิ่งเดินทางกลับมาถึงก็มาหานางอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้ว!นางเข้าใจนิสัยของซ่งจิ่งเซินดี ขอแค่นางบอกว่าต่อไปไม่ยอมเจอเขาอีก เขาจะต้องร้อนใจมาก แล้วก็คงจะพลอยโกรธและตำหนิซ่งรั่วเจิน!ความอัปยศที่ได้รับกลางงานเลี้ยงในวันนี้ ยามนี้จะสนองคืนนางคนชั้นต่ำนั่นไปให้หมด จะต้องทำให้นางขอโทษตนเองต่อหน้าผู้คนมากมายให้ได้เลยเชียว!ทว่าซ่งจิ่งเซินมองสตรีตรงหน้าแล้วกลับขมวดคิ้วขึ้นมาชวีคั่วได้ฟังเคอหยวนจื่อฟ้องทุกข์มาแล้ว เดิมก็เจ็บแค้นแทนนาง ยามนี้ซ่งจิ่งเซินที่เป็นตัวต้นเหตุกลับมาแล้ว สีหน้าก็พลันบึ้งตึงขึ้นมาทันที“ซ่งจิ่งเซิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าสร้างปัญหาให้แม่นางเคอมากขนาดไหน? ให้สิ่งของเล็กน้อยมาแล้วยังส่งน้องสาวมาทวงคืนอีก เจ้าทำให้ผู้ชายทุกคนขายหน้าหมดแล้ว!”พวกซ่งรั่วเจินเดินออกมาเห็นภาพนี้เข้าพอดี“จิ่งเซิน?”ความประหลาดใจวาบผ่านดวงตาหลิ่วหรูเยียน หากที่มากกว่านั้นคือความยิน
“ถ้าข้ารู้ว่าน้องสาวของท่านไม่เห็นด้วย ข้าไม่มีทางรับไว้แน่นอน ท่านวางใจได้ หลังข้ากลับไปแล้วจะนำสิ่งของที่ท่านให้ข้ามาก่อนหน้านี้ส่งคืนให้จวนสกุลซ่งทั้งหมด”เคอหยวนจื่อแสร้งเช็ดน้ำตาด้วยความปวดใจ แม้จะเจ็บช้ำใจมาก แต่ก็ยังมีศักดิ์ศรี “รั่วเจินไม่ชอบข้า ข้าอธิบายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ แต่ข้าหวังว่าท่านจะรู้ว่าข้าไม่ใช่คนที่โลภมากในของพวกนี้!”“ข้าให้อะไรเจ้าไปเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?” ซ่งจิ่งเซินถามเคอหยวนจื่อไม่ค่อยเข้าใจความหมายของซ่งจิ่งเซิน แต่ก็ยังพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านให้อะไรข้ามาเยอะเลย”“รอสักครู่ ขอข้านึกก่อน”ซ่งจิ่งเซินยกมือขึ้นตัดบทเคอหยวนจื่อที่ร่ำไห้พูดพร่ำ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆก่อนหน้านี้เขาตกลงไปในทะเล ศีรษะกระแทกแนวปะการังจนสูญเสียความทรงจำ ความทรงจำบางส่วนเพิ่งฟื้นคืนมาเมื่อไม่นานมานี้ คิดถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้ แต่สตรีตรงหน้าคือใคร? นางกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่?“ข้าให้สิ่งของเจ้าไปมากมาย เดิมทีเจ้าไม่อยากรับ แต่ไม่อยากให้ข้าเสียใจจึงฝืนใจรับไว้ วันนี้น้องหญิงห้าของข้าจึงบอกให้เจ้านำมาคืนใช่หรือไม่?” ซ่งจิ่งเซินถาม“ใช่แล้ว” เคอหยวนจื่อพยักหน้าอีกคร
“ระหว่างเจ้ากับข้าไม่มีสัมพันธ์ใดใดต่อกันจริงๆ ยิ่งไม่มีทางหมั้นหมายกันอีกด้วย!” ซ่งจิ่งเซินกล่าวเคอหยวนจื่อได้ยินประโยคแรกยังนึกดีใจอยู่ แต่เมื่อได้ยินประโยคที่สองก็ต้องอึ้งไป นี่หมายความว่าอย่างไร?นางรู้ว่าซ่งจิ่งเซินอยากแต่งงานกับนางมากแค่ไหน ถึงจะทำเพื่อช่วยชี้แจงให้นางก็ไม่ควรพูดแบบนั้นออกมาสิ“ก่อนหน้านี้ถือว่าข้าทำไม่เหมาะสม ตอนนี้ข้าคิดตกแล้ว ไม่ควรฝืนใจเจ้าจริงๆ”“น้องสาวข้าทำถูกแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ชอบก็คืนทุกอย่างที่ข้าให้ไปกลับมาเถอะ จะได้ไม่สร้างความคลุมเครือจนทำให้คนเข้าใจผิด”ซ่งจิ่งเซินมองชุดแพรไหมบนร่างเคอหยวนจื่อแวบหนึ่ง “ส่วนผ้าไหมบนตัวเจ้า ในเมื่อใช้ตัดชุดไปแล้วจะคืนมาก็คงไม่สะดวก เช่นนั้นก็ให้นับเป็นเงินแทนก็แล้วกัน แบบนี้เจ้าคงพอใจแล้วใช่ไหม?”ซ่งจืออวี้เบิกตาโพลง มองไปทางซ่งรั่วเจินโดยจิตใต้สำนึก “น้องสี่คงไม่ได้โมโหจนเสียสติไปแล้วหรอกนะ?”ในอดีตที่เขาเกลี้ยกล่อมไม่ให้น้องสี่มอบสิ่งของไปกำนัลเคอหยวนจื่อ ไม่ใช่เพราะหวงแหนเงินทอง แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าเคอหยวนจื่อไม่จริงใจเลยสักนิดถ้าเป็นแม่นางดีๆ สักคน น้องสี่แต่งคนกลับมา ต่อให้ใช้เงินมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่ส
พี่ใหญ่ถูกลอบโจมตีจนเกือบไม่รอดชีวิตกลับมา หลังกลับมาแล้วขาทั้งสองข้างยังพิการ ท่านพ่อก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยถ้ามีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้...“ส่วนจิ่งเซิน เขาได้ทำการค้าบ่อยๆ เชี่ยวชาญการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คน พวกเจ้าเดินไปทางไปด้วยกันสามารถปลอมเป็นกลุ่มพ่อค้าที่ไปค้าขาย ผู้คนจะได้ไม่สงสัยโดยง่าย” ซ่งเยี่ยนโจวกล่าวซ่งจิ่งเซินพยักหน้ารัวๆ “ใช่แล้ว มีข้าอยู่ด้วย สามารถตัดความยุ่งยากไปได้มากที่สุดแล้ว!”ทุกคนล้วนเข้าใจเรื่องนี้ดี ยามออกไปข้างนอก การมีไหวพริบในการจัดการเรื่องราวเฉพาะหน้าสามารถลดปัญหาได้ นอกจากนี้ ซ่งจิ่งเซินก็ยังมีประสบการณ์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องแสดงละครด้วยซ้ำ แค่นำกลุ่มพ่อค้าออกเดินทางก็สามารถตบตาผู้คนได้อย่างง่ายดายกู้หรูเยียนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นมากจึงกล่าวว่า “เจินเอ๋อร์ ทำตามที่พี่ใหญ่เจ้าพูดเถอะนะ? เช่นนี้พวกข้าจะได้คลายใจ”ซ่งรั่วเจินเหลือบมองพวกซ่งจืออวี้สองฝาแฝดก็เห็นพวกเขาพยักหน้าเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนลูกไก่จิกข้าวสารกระนั้น นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ งั้นประเดี๋ยวค่อยมาดูกันว่าต้องเตรียมสิ่งใดไปบ้าง”“น้องหญิงห้า เรื่องนี้เจ้ายกให้เป็นหน้าที
ซ่งรั่วเจินตัดสินใจไปรับบิดากลับมา ก่อนออกเดินทางย่อมต้องเตรียมสิ่งของมากมาย แต่ก่อนหน้านั้นยังต้องบอกคนในครอบครัวเสียก่อนหลังนางบอกเรื่องที่จะเดินทางไปชายแดน คนในจวนล้วนอึ้งตกใจกันหมด“เจินเอ๋อร์ เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าจะไปชายแดนด้วยตัวเอง?” กู้หรูเยียนมีสีหน้าตกตะลึง “ก่อนนี้ไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อนเลย”“น้องหญิงห้า ถ้าเจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านพ่อก็ให้พี่ชายอย่างพวกข้าไปดีกว่า ผู้หญิงแบบเจ้าไปสถานที่ห่างไกลปานนั้นจะอันตรายเกินไปแล้ว” ซ่งจืออวี้เอ่ยอย่างร้อนใจซ่งจิ่งเซินพยักหน้า “ใช่แล้ว พวกเขารับราชการอาจไม่สะดวก ข้ามีประสบการณ์เดินทางโชกโชน ให้ข้าไปดีกว่า!”“ความจริงสาเหตุที่ข้าจะเดินทางไปเป็นเพราะข้าทำนายดวงชะตาให้ท่านพ่อ”เมื่อซ่งรั่วเจินเอ่ยวาจาประโยคนี้ออกมา สีหน้าทุกคนในห้องล้วนเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หรือว่าจะเกิดปัญหาอันใด?“ก่อนนี้ข้าก็เคยทำนายเหมือนกัน ดวงชะตาของท่านพ่อปลอดภัยไร้อันตราย สามารถกลับมาได้อย่างราบรื่น แต่ช่วงนี้เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้น น่าจะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก”“ถ้าไม่ไป ข้ากังวลว่าอาจมีอันตราย ดังนั้นจึงคิดว่าจะไปด้วยตั
“ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันได้ค้นตัวไต้ซือเทียนจีใช่หรือไม่?” ซ่งรั่วเจินถามซ่งเยี่ยนโจวพยักหน้า “ก่อนหน้านี้คนผู้นั้นรีบร้อนเกินไป พวกข้าไม่เปิดโอกาสให้เขา แต่ว่ากันตามปกติแล้ว ของที่มีค่ามากมักจะไม่พกติดตัวไว้”“สิ่งสำคัญที่สุดมักไม่พกติดตัวก็จริง แต่คนในวงการพวกข้า โดยเฉพาะคนชั่วร้ายอย่างเขา จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเก็บจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ข่มขู่อย่างแน่นอน”คิ้วบางของซ่งรั่วเจินเลิกขึ้นน้อยๆ ต่อให้เคยเจอไต้ซือเทียนจีเพียงครั้งเดียว แต่ก็ทราบว่าเป็นจิ้งจอกเฒ่าผู้หนึ่งกระทำเรื่องชั่วช้ามาหลายปีขนาดนี้แต่ก็ยังอยู่รอดปลอดภัย แล้วจะไม่มีวิธีปกป้องตัวเองเลยได้อย่างไร?กู้ชิงฉือได้ยินเช่นนั้นก็รีบวิ่งไปข้างกายไต้ซือเทียนจีแล้วเริ่มค้นหาอย่างละเอียด การค้นตัวครั้งนี้พบว่านอกจากยันต์ที่อ่านไม่ออกพวกนั้นแล้วยังมียาลูกกลอนอีกสองเม็ด“ไม่มีของอย่างอื่น แต่มีหินก้อนหนึ่ง นี่คือหยิบติดตัวมาด้วยงั้นรึ?”กู้ชิงฉือมองก้อนหินในมือ หินก้อนนี้แม้พอจะนับได้ว่ามนเกลี้ยง แต่ก็ดูแตกต่างจากก้อนหินที่พบเห็นได้ทั่วไปบริเวณริมแม่น้ำมากเกินไป“ข้าขอดูหน่อย”ซ่งรั่วเจินก้าวเร็วๆ เข้ามาหา มองก้อนหินในมือแ
เมื่อซ่งเยี่ยนโจวเอ่ยปากสอบถาม สายตาทุกคนก็ต่างจับจ้องมายังซ่งรั่วเจิน พวกเขาในตอนนี้ไม่กล้าบุ่มบ่ามรบกวนแล้วฉู่จวินถิงก็เป็นห่วงดุจเดียวกัน เขารู้ว่าวิชาแพทย์ของรั่วเจินนั้นไม่ธรรมดา เก่งกาจกว่าหมอหลวงในวังหลวงมากนัก ถ้านางบอกว่าช่วยไม่ได้ก็แสดงว่าหมดหนทางแล้วจริงๆ“ยังช่วยได้”ซ่งรั่วเจินพูดโดยที่มือยังเคลื่อนไหวไม่หยุด นางลังเลไปชั่วครู่ก็หยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมายัดเข้าไปในปากของชายผู้นั้นซ่งเยี่ยนโจว “...” อีกแล้ว?ซ่งรั่วเจินรู้ว่าตนเองนำสิ่งของมากมายติดตัวมาเช่นนี้จะทำให้คนสงสัย แต่ช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า อย่างไรเสียแค่พูดจาส่งเดชไม่กี่ประโยคก็สามารถกลบเกลื่อนเรื่องนี้ได้แล้วตั้งแต่นางทะลุมิติมาก็มีมิติขนาดเล็กเป็นของตัวเอง ยาเอย ยันต์เอย ยามปกติล้วนเก็บไว้ในนั้น นับว่าสะดวกมากทีเดียวหลังจากชายหนุ่มที่มีท่าทางอ่อนแอสุดขีดกลืนยาเม็ดนั้นลงไปก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดแต่เดิมบรรเทาลงบ้าง การหายใจก็ไม่ได้ยากลำบากถึงเพียงนั้นอีกแล้ว“ส่งคนไปหารถม้าหรือยัง?” ฉู่จวินถิงถามจ้าวเจียงพยักหน้า “เรียนท่านอ๋อง ส่งคนไปจัดการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ข้าฟัง
“หม่อมฉันได้ยินมาว่าบนบัญชีรายชื่อมีอยู่สิบกว่าคน ไม่รู้อาการของคนอื่นร้ายแรงหรือไม่?” ซ่งรั่วเจินเอ่ยถาม“ในหมู่คนเหล่านั้นมีลูกสะใภ้ไม่เคารพแม่สามี คนแก่อายุมากแล้ว คนจึงตายไป แต่มากที่สุดยังเป็นความขัดแย้งของอนุภรรยาและภรรยาเอก”“คนส่วนใหญ่ล้วนคล้ายพระชายาเซียงอ๋อง ตกอยู่ในฝันร้าย ยังป่วยหนักอีกด้วย อนุอวิ๋นนับว่าลงทุนลงแรงมากทีเดียว” ฉู่จวินถิงพูด“อนุอวิ๋นเป็นคนโหดเหี้ยมไม่ผิดไปดังคาด แต่ยังเสแสร้งใจดีมีเมตตา ปรากฎว่ามีเพียงใต้เท้าอวิ๋นตัวโง่งมคนนี้ถึงจะหลงเชื่อ”ซ่งรั่วเจินไม่แปลกใจ ความยากในการเลี้ยงดูผีทวงชีวิตนั้นมากกว่าผีน้อยตนอื่นมาก แม้ว่าไต้ซือเทียนจีมีความสามารถอยู่บ้าง กลับไม่สามารถเลี้ยงผีทวงชีวิตหลายตนได้ตนนี้เป็นเขาใส่ใจเลี้ยงดู ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จึงสนิทสนมกันมากจากนั้นยามทั้งคู่เดินผ่านอุโมงค์ไปจนถึงฝั่งหนึ่ง กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นสายหนึ่งชำแรกจมูกพวกซ่งเยี่ยนโจวยืนอยู่ข้างหน้า สีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างมาก ส่วนซ่งรั่วเจินเองก็สังเกตเห็นศพแต่ละร่างใต้พื้น หนึ่งในนั้นมีนักพรตเต๋าคนหนึ่ง เห็นชัดว่าคือไต้ซือเทียนจี“นี่คือ...ตายทั้งหมดแล้ว?”“เดิมที
“ไปเส้นทางใต้ดิน”ไต้ซือเทียนจีไม่คิดมากนัก พาทุกคนไปยังเส้นทางใต้ดิน“ไต้ซือ เส้นทางไต้ดินนี้ไม่สามารถเดินทางตามสะดวกได้!”ทุกคนมองเส้นทางใต้ดิน ใบหน้าเผยความลังเล ก่อนหน้านี้เคยพูดมาก่อนหากไม่แจ้ง จะไม่สามารถใช้เส้นทางใต้ดินนี้ได้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นจะปล่อยให้ถูกคนพบไม่ได้!“บัดนี้หมดหนทางแล้ว ฉู่อ๋องเป็นคนเช่นไร? ในเมื่อเขาแน่ใจว่าพวกเราอยู่ในพื้นที่นี้ จะต้องแจ้งคนอื่นให้เข้ามาปิดล้อมแน่”“หากพวกเราไม่หนี ก็มีเพียงต้องตายเท่านั้น!”สีหน้าไต้ซือเทียนจีเคร่งขรึม เขาย่อมรู้ว่าเส้นทางใต้ดินนี้หมายความว่าอะไร แต่ตอนนี้นอกจากตัวเลือกนี้แล้ว ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอีก!ทุกคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจ ไปอาจไม่ตาย แต่ไม่ไปจะต้องตายแน่!“ไป!”ครู่ต่อมา พวกซ่งเยี่ยนโจวมองเห็นกิ่งไม้หยุดหน้าห้องหนึ่ง จากนั้นเสียงประตูใหญ่ถูกเปิดออกดัง “แอ๊ด” ภายในสายตาเปี่ยมความตกตะลึงพรึงเพริด“กิ่งไม้นี้ถึงขั้นสามารถเปิดประตูได้?”จ้าวเจียงอ้าปากกว้าง คิดเพียงว่าหลังจากวันนี้ผ่านพ้นไปไม่ว่าคนอื่นพูดเรื่องเหลือจะเชื่อมากเพียงใดเขาก็ไม่รู้สึกแปลกใจอีกแล้ว!เพราะเรื่องแปลกประหลาดที่สุดถูกเขาพบแล้ว!
นางหยิบกิ่งไม้หนึ่งกิ่งขึ้นมาจากพื้น จากนั้นทุกคนได้เห็นกิ่งไม้นั้นลอยขึ้นกลางอากาศ ยิ่งไปกว่านั้นยังหันไปที่ทิศทางหนึ่ง ทันใดนั้นเบิกตากว้าง“เยี่ยนโจว พวกเราดีชั่วอย่างไรก็รู้จักกันมานานหลายปีถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าน้องสาวของท่านยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!”จ้าวเจียงเผยสีหน้าตกตะลึง ก่อนหน้านี้ได้ยินก็คิดว่าเร้นลับเหลือเกิน จนกระทั่งได้เห็นเองกับตาวันนี้ กลับรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดฝีมือนี้ช่างมหัศจรรย์โดยแท้!ซ่งเยี่ยนโจว “...” จะให้พูดได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วเขาก็เคยเห็นเป็นครั้งแรก?ที่ผ่านมาใช่ว่าไม่เคยเห็นน้องหญิงห้าแสดงฝีมือมาก่อน แต่นั่นก็แค่เขียนยันต์ไม่กี่ใบเท่านั้น ยามได้เห็นน้องหญิงห้าช่วยอนุอวิ๋นกำจัดความชั่วร้าย ก็เห็นเพียงเผายันต์หนึ่งใบ!ได้เห็นฉากนี้ รู้ว่าแตกต่างจากที่เคยได้เห็นก่อนหน้านี้นี่...นับเป็นการเคลื่อนที่กลางอากาศหรือไม่?“ไล่ตามไป!”กิ่งไม้ขยับไปข้างหน้าไม่นับว่าช้า ฉู่จวินถิงรีบเอ่ยเตือนทุกคนให้ไล่ตามพวกซ่งเยี่ยนโจวไม่กล้ารอช้า ใช้ความเร็วที่สุดไล่ตามไป การไล่ตามไปครั้งนี้กลับพบความมหัศจรรย์ กิ่งไม้นั้นคล้ายมีตา ยิ่งไปกว่านั้นยังหน
ฉู่จวินถิงเลื่อนสายตาไปอย่างแปลกใจ ก็ได้เห็นดวงตาทอประกายระยับของแม่นางคนนี้ที่กำลังเดินมาหยุดต่อหน้าตน ภายในไม่มีความกลัวหรือรังเกียจเลยสักเศษเสี้ยว มีเพียงความตกตะลึงระคนเลื่อมใส“ท่านอ๋อง วิชาตัวเบาของท่านยอดเยี่ยมมาก ภายภาคหน้าสามารถสอนหม่อมฉันได้หรือไม่?”ฉู่จวินถิงหลุดหัวเราะออกมา ภายในสายตากลับเปล่งประกาย “ได้”บรรยากาศตึงเครียดรอบกายเปลี่ยนไปตามคำพูดของซ่งรั่วเจิน ทุกคนหัวเราะเบาๆ อย่างอดไม่ได้ แม่นางคนนี้น่าสนใจมาก กล้าหาญไม่ธรรมดาหากได้อยู่กับท่านอ๋อง นี่จะต้องเหมาะสมไม่ธรรมดาแน่!“คนหนีไปหมดแล้ว”ซ่งเยี่ยนโจวขมวดคิ้วแน่น อีกฝ่ายเห็นว่าพวกเขามาแล้วก็หนีไปในทันที เมื่อครู่ไม่ทันได้ไล่ตาม บัดนี้ต้องตามรอยเบาะแสใหม่อีกครั้งแล้ว“วันนี้ไต้ซือเทียนจีหนีไม่รอดหรอกเจ้าค่ะ!”ใบหน้าซ่งรั่วเจินเผยแววมั่นใจในตนเอง นางหยิบยันต์ออกมาหนึ่งปึกมอบให้ฉู่จวินถิง “ท่านอ๋อง ท่านให้ทุกคนพกยันต์ไว้ให้ดี จะได้ไม่ถูกวิชาพรางตาหลอกอีก”ซ่งเยี่ยนโจวเห็นเวลาเพียงชั่วพริบตาน้องสาวก็นำยันต์ออกมามากถึงเพียงนี้ ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมความสงสัย ตกลงนางใส่ของเหล่านี้ไว้ที่ใด?เพียงออกจากบ้านก็นำของมา
“ชิ้ง!”กู้ชิงฉือสัมผัสได้ว่ากระบี่คมสายหนึ่งผ่านข้างกายตนไป ไรผมช่อหนึ่งถูกตัด ตกตะลึงพรึงเพริดภายในใจ“นี่ให้เจ้า”ฉู่จวินถิงลังเลไปครู่หนึ่ง ยัดยันต์คุ้มภัยใส่มือกู้ชิงฉือ“เก็บไว้ให้ดีแทนข้าด้วย!”ครู่ต่อมา กู้ชิงฉือก็มองเห็นคู่ต่อสู้เบื้องหน้า ภายในสายตาสั่นสะท้าน ก้มหน้ามองดู นี่คือกระดาษยันต์สีเหลืองหนึ่งใบ“ท่านอ๋อง ท่านยกให้ข้า เช่นนั้นท่านจะทำเยี่ยงไร!”ไต้ซือเทียนจีเห็นฉู่จวินถิงมอบยันต์ให้กู้ชิงฉือ ภายในสายตาสะท้อนแววตกตะลึง ฉู่อ๋องอยู่ภายนอกได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนไม่กะพริบตา ถึงขั้นมอบของป้องกันชีวิตให้ผู้อื่น?คนผู้นี้...มีภูมิหลังเช่นไร?“ไม่ต้องห่วงข้า”ฉู่จวินถิงหลับตาลง ได้ยินเสียงฝ่าอากาศรอบด้าน แยกแยะตำแหน่ง“ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!”พลังอันแข็งแกร่งปะทุออกมา ฉู่จวินถิงเคลื่อนไหวอย่างว่องไว ราวกับมังกรเคลื่อนไหวก็มิปาน หลบหลีกการโจมตีที่พุ่งเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ดาบในมือจะพุ่งแทงออกไปอย่างฉับพลัน“อ๊าก!”เสียงแผดร้องสายหนึ่งดังขึ้น ศพร่างหนึ่งปรากฏต่อหน้าทุกคน“ไอ้พวกชั่ว!”ภายในสายตาฉู่จวินถิงสะท้อนความอำมหิต คนผ่านเข้าไปกลางตรอกเล็ก ทั้งๆ