ซูหวั่นเคยเห็นลายมือของปรมาจารย์ด้านการประดิษฐ์ตัวอักษรมาก่อน ลายมือของท่านหมอเสวี่ยไม่ได้ต้อยไปกว่าลายมือของปรมาจารย์ที่ว่ากัน มันพอๆ กับคัมภีร์พุทธศาสนาของปรมาจารย์เซนเหลียวอู๋ ดูเหมือนว่าเขาก็มีฝีมือไม่เบาด้วย คนอื่นๆ ก็มองไปที่ซูหวั่น ถึงยังไงเรื่องในครอบครัวส่วนมากเป็นนางตัดสินเอง ซ
รุ่นน้องคนนี้ไม่เข้าใจภาษามนุษย์หรือไง?ทำไมเอาแต่วิ่งไปหาพวกเขาทุกวัน? ไม่จำเป็นต้องทำงานหรือไง? ท่านหมอเสวี่ยโกรธมากจนแทบจะถือเหล้าในมือไม่มั่นคง ท่านเซิ่นคว้าขวดเหล้าไป แล้วเปิดฝาก่อนดม แทบจะจมอยู่กับกลิ่นหอมของเหล้า เขารู้ว่ามันเป็นเหล้าชั้นดีแม้กระทั่งที่เขายังไม่ได้ดื่มด้วยซ้ำ ใ
หนึ่งชั่วยามต่อมา ท่านหมอเสวี่ยก็ริเริ่มไปนั่งอยู่ที่มุมห้องและค่อยๆ ทบทวนสิ่งที่ซูหวั่นสอนเขา ถ้าเขาไม่รู้อะไร เขาก็ถามทันทีโดยไม่รู้สึกละอายใจอะไรเลย นางหลี่เตรียมอาหารและคนเหล่านั้นก็รับประทานอาหารกลางวันอย่างเร่งรีบ ตอนเที่ยงวันก็เห็นท่านหมอเสวี่ยหยิบหนังสือมายื่นให้ซูลิ่วหลาง และเริ่มเร
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็มองไปที่ซูลิ่วหลางด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ทัศนคติที่ดูถูกเหยียดหยามของเขาชัดเจนมาก เขาและซูฉางอันเริ่มเรียนหนังสือค่อนข้างช้า พวกเขาเริ่มเรียนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ พวกเขาได้สอบติดถงเซิง (การสอบถงเซิงเป็นระดับต่ำสุด) เมื่ออายุ 12 ปี จนถึงบัดนี้ตั้ง 15 ปีแล้วยังสอบซิ่วไฉไม่ติ
เมื่อซูชิงเห็นทั้งสามคน เขาก็หยุดทำงาน ลงจากชั้นวาง มองไปที่พวกเขาสองคนแล้วพูดว่า "เจ้ามาได้ยังไง" "เรามาดูกันว่าลุงชิงสร้างถึงไหนแล้ว และมีปัญหาอะไรบ้าง" ซูหวั่นหัวเราะเบาๆ ใบหน้าของซูชิงเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ "ว่าปัญหาก็ไม่เชิง เพียงแต่เรากำลังศึกษาความเป็นไปได้ของแผนภาพหลายส่วนที่เจ้าวาด
ซูหวั่นหยิบยาออกจากแขนเสื้อของนางแล้วยื่นให้ก่อนพูดว่า "กินยาครึ่งเดือนก่อน แล้วกินยาหนึ่งเม็ดทุกครั้งที่มีอาการกำเริบ พยายามป้องกันไม่ให้เด็กเจอสิ่งที่ทำให้เขากลัว" เด็กสามารถกลัวอะไรได้บ้าง? ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทุบตีและดุจากพ่อแม่ และการพูดคุยเรื่องผี แต่ทั้งคู่ไม่ได้ทุบตีและดุเด็มาก่อนเล
เพียงเพราะลิ่วหลางเป็นคนโง่ที่พูดไม่ชัด นางหลี่และซูเหลียนเฉิงรู้สึกเป็นทุกข์ใจทุกครั้งที่เห็นเขาเป็นเช่นนั้น แต่พวกเขาสามารถช่วยได้ครั้งสองครั้ง กลับไม่สามารถเฝ้าอยู่เคียงข้างลิ่วหลางตลอดเวลาได้ โดยส่วนใหญ่แล้วเขามักจะช่วยอะไรไม่ได้เลย โชคดีที่โก่วต้านไม่ได้รังเกียจลิ่วหลาง ส่วนลิ่วหลางก็เต
ซูลิ่วหลางออกมาจากด้านใน จากนั้นก็ไปล็อกรถเทียมล่อไว้ในคอกด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ซูหวั่นประคองนางหลี่ลงจากรถ และมองไปยังผู้คนที่ลานบ้าน “แม่นางซู!” เฝิงสุ่ยร้องเรียก และโค้งคำนับพร้อมกับนางว่านภรรยาของตัวเอง แล้วพูดว่า "ที่เรามาในวันนี้ก็เพราะต้องการจะขอบคุณเจ้าที่ช่วยท่านแม่ของข้าเอาไว้โดย
มีกลิ่นที่คุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้ปะทะที่ปลายจมูก พร้อมกับลมหนาวที่พัดเอาความเย็นเข้ามา "แม่นางซู" เสียงที่คุ้นเคยทำให้นางตื่นตกใจ นางหันกลับมาและผลักไป๋หลี่ชิงออกไป พร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งว่า "ไป๋หลี่ชิง เป็นสุภาพบุรุษบนขื่อคาน มันสนุกมากเลยใช่ไหม?" ไป๋หลี่ชิงถอยห
"ซู่ซู่——" ลมหนาวพัดมากระทบกับใบหน้าของคนทั้งสอง จนรู้สึกเจ็บอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ริมทางแกว่งไปมาสองสามครั้ง ทำให้หิมะไหลตามใบไม้และตกลงสู่พื้นเสียงดังเปาะแปะ ซึ่งเมื่อตกลงไปในพื้นที่หิมะที่กว้างใหญ่แล้วนั้น มันก็ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บเป็นอย่างมาก พ่อเฒ่าซูพูดคัดค้าน
เมื่อซูเหลียนเฉิงและซูลิ่วหลางเข้ามาในห้อง นางก็เอื้อมมือไปบีบเอวของซูฉางโซว่ อย่างดุเดือด แล้วพูดคำรุนแรงออกมาว่า "เจ้ามีสมองหรือเปล่า ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าต่อต้านบ้านรอง ทำไมไม่ฟังเลยล่ะ?" ซูฉางโซว่ไม่ได้จริงจังกับมัน และพูดด้วยรอยยิ้ม "เมียจ๋า เจ้าจะกลัวเขาไปทำไม แล้วอีกอย่าง พี่รองก็ไม่ไ
เมื่อซูหวั่นได้ยินดังนั้นจึงเดินออกไป หมูถูกแบ่งและแต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากัน ขั้นแรกนางโรยเกลือบนเนื้อแต่ละชิ้นแล้วเกลี่ยให้ทั่วเนื้อแต่ละชิ้นแล้วใส่ในขวดเพื่อหมัก หลังจากผ่านไปสองสามวันก็สามารถนำไปแขวนบนฟืนและรมควันได้ หมูและเศษหมูหนักประมาณหนึ่งร้อยกิโลกรัม ซูหวั่นเก็บไว้ยี่สิบห้ากิโลกรัม
แม่เฒ่าเซี่ยงได้ยินนางพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของนางก็อ่อนลง นางกังวลและพูดว่า "ฉางอานอายุมากขึ้นแล้ว เขาควรจะหาภรรยาหลังจากการสอบในฤดูใบไม้ผลิ ตราบใดที่เขามีชื่อเสียงในซิ่วไฉ ผู้หญิงที่สูงศักดิ์พวกนั้น เขาก็เลือกได้ตามใจชอบไม่ใช่หรือ?" นางจางแอบพึมพำอยู่ในใจว่าสตรีผู้สูงศักดิ์ทุกคนต้องการแต่ง
ซูซานหลางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ตอนแรกท่านป้าไม่เห็นด้วย แต่ต่อมานางก็ผ่อนคลายเมื่อได้ยินว่าครอบครัวมีวิธีที่จะให้พี่รองกลายเป็นซิ่วไฉได้" ที่แท้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง รายชื่อที่จะเข้าสอบซิ่วไฉเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก นอกจากนี้ ซูเอ้อหลางยังอยู่ในคุกซึ่งเทียบเท่ากับการสิ้นสุดอาชีพการงานของเข
"เจ้ามาที่นี่ทำไม?" ซูหวั่นถาม โดยปล่อยให้คนเสิร์ฟน้ำชา ไม่ใช่ว่านางแปลกใจ แต่หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว แม่เฒ่าเซี่ยงและพวกเขาก็เข้าหน้ากันไม่ติด และไม่มีใครกลับมาที่บ้านหลักอีก ควรจะห้ามไว้ชัดแจ้งแล้ว เมื่อซูซานหลางมาแล้วแบบนี้ นี่เขาได้รับคำสั่งมาหรือมาเองกันแน่? ซูซานหลางกระแ
"ไม่มีค่ะ ท่านยาย ข้ายังไม่ได้พิจารณาเรื่องเหล่านี้เลยเสียด้วยซ้ำ" หลายคนเห็นซูหวั่นหน้าตาแดงก่ำ และหัวเราะออกมาดังๆ หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินเสี่ยวอาหลีหัวเราะอีกครั้งบนเปล น้ำเสียงของทารกแตกต่างจากเสียงของคนทั่วไปซึ่งทำให้ผู้คนมีความสุขเป็นพิเศษ "ดูสิ เสี่ยวอาหลีของเราก็เห็นด้วยกับส
แม่เฒ่าเซี่ยงสะดุ้ง ตบหน้าอกของนางแล้วพูดว่า "เจ้าจะไล่ข้าออกไปเหรอ? อย่าลืมว่าข้าเป็นแม่ของเจ้านะ!" "ใช่!" ซูเหลียนเฉิงผลักนางออกไป "ถ้าท่านคิดว่าท่านเป็นแม่ของข้าจริงๆ ก็รีบออกไป อย่าให้ข้าต้องเป็นฝ่ายไล่ตะเพิดออกไป!" นางจางพูดอย่างกระตือรือร้น พยายามโน้มน้าว "น้องรอง..." ดวงตาของนางเห