บทที่หนึ่ง
ภรรยาที่มิมีใครต้อนรับ
การแต่งงานดำเนินเรียบง่ายกว่าที่ซูเมิ่งคิดไว้ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเดี๋ยวเดียวก็ถึงเวลาค่ำคืนในการเข้าหอโดยตามธรรมเนียมของคนยุคโบราณจะมีงานเลี้ยงโดยให้เข้าบ่าวไปร่วมงานรื่นเริง ส่วนฝ่ายเจ้าสาวจะโดนนำตัวมารอที่ห้องหอของพวกเขา
เวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรอเจ้าบ่าวของตนเองอยู่บนเตียงที่ปูผ้าปูที่นอนสีแดงเข้ม ม่านมุ้งระโยงรยางค์สีเดียวกันไปทั้งห้อง
สองมือของนางเย็นเยียบเพราะตื่นเต้นกับการเฝ้ารอการมาของเจ้าบ่าวป้ายแดงของตนเอง
ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีพิธีรีตองอันใดพวกนี้เสียอีก
ซูเมิ่งนึกว่าการแต่งงานเป็นเพียงเรื่องบังหน้า ทว่าไยพอนางขึ้นเกี้ยวมายังตระกูลหยาง ตั้งแต่กราบไหว้ฟ้าดิน แขกเหรื่อของฝั่งเจ้าบ่าวก็ดูสมจริงไปหมดเสียทุกอย่างราวกับนางกำลังร่วมงานแต่งงานจริงๆ
แล้วทีนี้จะมิให้ซูเมิ่งเป็นกังวลจนมือเย็นเยียบในเวลานี้ได้อย่างไรเล่า ก็ในเมื่อนางมิได้เตรียมตัวจะมาเป็นเจ้าสาวที่แท้จริงของบุรุษที่ชื่อ หยางเหวินเลยสักนิด
ค่ำคืนนี้นางและเขาผู้มิเคยพูดคุยกันเลยสักครั้ง มิใช่สิยังมิเคยเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนเลยด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้พวกเขาจะมีค่ำคืนเข้าหอร่วมกันได้อย่างไร
ชาติที่แล้วแม้ว่านางมีอายุถึงสามสิบปีบริบูรณ์แล้ว แต่นางก็เป็นสาวโสดสนิทที่วันๆ ทำแต่งาน สร้างธุรกิจด้วยสองมือของตนเอง ไลฟ์ขายของในแอพพริเคชั่นยอดนิยมจนประสบความสำเร็จสามารถปลดหนี้ให้ที่บ้านได้ตั้งแต่อายุยี่สิบเก้า
เรื่องความรักมิต้องพูดถึง ซูเมิ่งไม่เคยสัมผัสมันเลยสักครั้งในชาติที่แล้ว
แล้วเรื่องการมีเพศสัมพันธ์อันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์นางจะไปเคยมีได้อย่างไร
ฮื่อ ซูเมิ่งที่กำลังนั่งครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอดจากค่ำคืนส่งตัวเข้าหอนี้อยู่กัดปากตนเองจนเป็นห้อเลือด
พลั่ก
เสียงเปิดประตูทำให้ร่างบางบนเตียงสะดุ้งโหยง โชคดีที่บนศีรษะนางยังคงมีผ้าคลุมสีแดงปิดบังใบหน้าตื่นตระหนกของซูเมิ่งอยู่
ฟู่ว นางพยายามเรียกสติของตนเองให้กลับเข้าร่าง
นางมิเคยเป็นกังวลร้อนรนเท่าวันนี้มาก่อน มิคิดเลยว่านางในชาติใหม่นี้จะต้องมาแต่งงานมีสามีของจริงตอนอายุเพียงสิบห้าหนาวเท่านั้น
สวรรค์ลงโทษที่นางมิสนใจสืบเผ่าพันธุ์ตนเองในชาติที่แล้วหรืออย่างไร ไยจึงขีดเขียนโชคชะตาให้นางในชาตินี้ให้ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
“เดินดีดีท่านหยางเหวิน ภรรยาของท่านรออยู่”
“เจ้านั่นแหละส่งเสริมให้เขายกจอกสุราดื่มราวกับเป็นจอกบรรจุน้ำชา เจ้าช่างเป็นสหายที่ไร้จิตสำนึก เอาแต่สนุกและความรื่นเริงของตนเองอยู่ได้”
“ข้าเป็นสหายที่หวังดีต่างหาก ชิ เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ ข้าหาได้บังคับหยางเหวินยกดื่ม”
“เจ้ารู้ดีก็ห้ามสิ ชิ ก็รู้อยู่ว่า อุ้บ....”
“เจ้าอย่าได้พูดมาก นู่น เจ้ามิเห็นหรือว่านางอยู่ในห้องนี้”
“เฮ้อ พวกเราพาเขาเดินไปส่งให้ภรรยาจัดการเถิด”
ซูเมิ่งได้ยินและเห็นว่าพวกเขาหยุดสนทนาต่อเพราะมีนางอยู่ เพียงเท่านั้นนางก็สามารถคาดเดาได้ว่าสามีนางผู้นี้เมามายอาจเป็นเพราะมิเต็มใจแต่งงานกับนางนั่นเอง
เฮ้อ ซูเมิงไม่เสียใจเลยสักนิดที่ได้รู้เช่นนั้น กลับกันนางรู้สึกดีใจยิ่งนักที่อย่างน้อยการแต่งงานในครั้งนี้เป็นเพียงการแต่งงานกันในนาม
เรื่องระหว่างชายหญิงที่นางมิรู้ความ เกรงว่าจะทำได้ไม่ดีจึงถูกปลดระวางความกังวลไปได้หลายส่วน
“ให้ข้าช่วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ”
“ที่เหลือเป็นหน้าที่ของแม่นางซูแล้ว ข้าและหวงลู่ขอตัวก่อน ค่ำคืนนี้เขาเมามายไปเสียหน่อยถือว่าฝากดูแลด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ”
พอเจ้าบ่าวผู้เมามายของนางถูกส่งต่อมาที่ร่างเล็กของนาง ซูเมิ่งยืนเซเล็กน้อยเพราะน้ำหนักของคนเมาแทบมากกว่านางเกือบเท่าตัว
หยางเหวินตัวอ่อนเปลี้ยดังนั้นนอกจากใบหน้าที่กำลังจุ่มอยู่ที่ซอกลำคอของซูเมิ่ง ร่างสูงทั้งร่างก็พาดมาบนตัวนางทั้งสิ้น
“หนักยิ่งนัก ท่านหยางเหวิน”
“อื้อ....”
เมาสินะ
ดังนั้นในฐานะภรรยาที่ดีซูเมิ่งจึงรวบแรงกายตนเองทั้งหมดแบก นางขอใช้คำว่าแบกร่างสามีหมาดๆ ผู้นี้ของนางไปนอนพักผ่อนที่เตียงนอนดีดี
“ฟู่ว ตัวหนักเป็นบ้า”
พอนางปลดคนตัวหนักออกจากบ่าตนเองได้จึงถอนหายใจออกมาอย่างแรง
เมื่อครู่ราวกับนางแบกก้อนหินปีนขึ้นเขา
เนื่องจากขนาดตัวนางและเขาแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน
ซูเมิ่งยืนมองชายหนุ่มขี้เมาที่พอเจอกันครั้งแรกก็สร้างความประทับใจให้นางจดจำได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่านางประชด
แต่ก็นับเป็นเรื่องดีที่นางและสามีของนางจะมิต้องเผชิญหน้ากันในคืนเข้าหอวันนี้ให้อึดอัดใจ
แต่งงานโดยมิได้รักกัน....
แถมตระกูลเขาและนางยังเป็นศัตรูกัน
แม้ว่าซูเมิ่งจะมิได้มีความคิดดั่งเช่นคนในตระกูลของนางเลยก็ตาม
เนื่องจากนางจับคนเมานอนหงายดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงสามารถทอดสายตาสำรวจใบหน้าของสามีที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันได้ชัดเจน
เขาหล่อมาก หรืออาจจะบอกได้ว่าหน้าตาของบุรุษผู้นี้ราวกับเป็นผลงานชิ้นเอกของสวรรค์
จมูกโด่งเป็นสัน โครงหน้าคมได้รูป ผิวพรรณนวลเนียนไม่แพ้สตรีใดแม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นแม่ทัพออกสงครามเป็นประจำก็ตาม
น่าอิจฉายิ่งนัก
ผมสีดำสลวยยาวพาดปัดออกมาด้านหน้า ซูเมิ่งที่กำลังยืนชื่นชมความสวยงามตรงหน้ารู้สึกขัดใจยิ่ง ดังนั้นมือบางจึงเอื้อมออกไปหมายช่วยจัดทัดผมคนเมาให้เรียบร้อยกว่าเดิม
“อ๊ะ”
ทว่าใครจะไปคิดว่าคนเมาที่เปลือกตาปิดสนิทจะประสาทสัมผัสไวยิ่งนัก ดังนั้นข้อมือของซูเมิ่งจึงถูกคว้าหมับก่อนที่จะถึงกลุ่มผมยุ่งเหยิงของเขา
“....”
“....”
______________________________________________________________________________
เอาแล้ว จะป็นอย่างไรหนอเจอกันครั้งแรก
ตอนหน้าลุย ๆ
“....”“....”ดวงตาสีดำสนิทดั่งรัตติกาลจ้องมองมายังดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังเบิกกว้างเพราะตกใจซูเมิ่งจะชักมือออกก็มิสามารถทำได้ดังนั้นริมฝีปากกลีบกุหลาบจึงขบเข้าหากันอย่างขัดใจที่ตนเองในชาตินี้แรงน้อยจนเกินไปหญิงสาวผ่อนลมหายใจเข้าออกเพื่อต้องการตั้งสติมิให้ตื่นตระหนกกับเพียงแค่เห็นดวงตาดุร้ายของคนเมากำลังจ้องมองมาที่นางเขม็ง“ท่านหยางเหวิน นี่ข้าเองเจ้าค่ะ ภรรยาของท่าน....” นางพยายามส่งยิ้มเป็นมิตรไปให้อีกฝ่าย ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่นางมักใช้ยามกำลังเจรจาข้อตกลงกับคู่ค้าในชาติที่แล้วซูเมิ่งขอตั้งชื่อให้กับรอยยิ้มนี้ว่า รอยยิ้มการค้าก็แล้วกัน“....ข้านามซูเมิ่งเจ้าค่ะ”“....”ทว่าดูท่าคู่ค้านางผู้นี้จะมิใช่คนที่มีนิสัยเป็นมิตรเสียแล้วดูเขาสิ จ้องมองนางเขม็ง ด้วยใบหน้าดุดันราวกับปิศาจเช่นนั้น หากเป็นเมื่อก่อนนางคงทำทุกวิถีทางที่จะเลี่ยงคบค้ากับคนประเภทนี้ไม่ทักทายกลับแถมยังไม่ส่งยิ้มให้สักครั้งทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันเฮ้อ สงสัยนางต้องศึกษานิสัยของผู้คนในเมืองหลวงแห่งนี้โดยละเอียดเสียหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นสตรีบ้านนอกควบด้วยสตรีต่างมิติเช่นนางเกรงว่าจะอยู่รอดได้ยาก“ท่านเมามาก ข้าเพียงต้อง
บทที่สองภรรยาผู้น่าสงสาร (เหรอ?)วันรุ่งขึ้น ซูเมิ่งได้รับข่าวใหญ่ที่ทำเอาช็อก มิใช่สิภาษาของคนที่นี่คงเรียกว่าตื่นตะลึงต้อนรับยามเช้า จิวซือบ่าวสาวใช้ของนางที่ติดตามมาตั้งแต่จากบ้านนอกวิ่งหน้าตาแตกตื่นเข้ามาหานางเพื่อแจ้งข่าวสามีที่ออกปากไล่นางเมื่อคืนบัดนี้ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เข้าร่วมสงครามและขบวนกองทัพได้ออกเดินทางไปตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ยามอิ๋น [1] กระมังเห็นว่ามีคนบอกกันเช่นนั้นเฮ้อ ท้ายที่สุดแล้วซูเมิ่งผู้เป็นภรรยาของบุรุษผู้นั้นก็รู้ข่าวเป็นคนสุดท้ายดียิ่งนัก!ซูเมิ่งจมอยู่กับความคิดของตนเองทันที เพราะสถานการณ์เช่นนี้ราวกับสวรรค์ต้องการให้รางวัลแก่นาง แผนการต่างๆ ที่วาดฝันไว้ดูเป็นไปได้ในเวลาอันใกล้ซูเมิ่งแทบอยากกระโดดตีอกชกอากาศด้วยความดีใจ ทว่านางเพียงทำได้แต่ในใจเท่านั้น เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่านางบ้าเอาได้“ฮูหยิน อย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าคะ นายท่านอาจเร่งรีบจนไม่มีเวลาชี้แจงด้วยตัวเอง”“....”ใบหน้านางแสดงอาการเศร้าสร้อยหรือ ซูเมิ่งหันมามองสาวใช้ผู้ภักดีของตนเองฉงน ทว่านางก็มิได้เอ่ยแก้ตัวอันใดออกไปเพราะในความเป็นจริงซูเมิ่งผู้เป็นภรรยาของบุรุษผู้นั้นสมควรรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ส่วนทางฝ่ายซูเมิ่งที่พอเดินออกห่างจากศาลากลางน้ำมาไม่ถึงสิบก้าว จากที่เป็นสตรีตัวน้อยผู้น่าสงสารก็ผันเปลี่ยนท่าทาง ปลดมือที่ปิดหน้าลง รอยยิ้มบนใบหน้าเผยออกมาราวกับคนอารมณ์แจ่มใสมากกว่าสตรีที่โดนสามีทิ้งจิวซือที่บนหน้าตนเองยังมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่เดินตามจ้องมองเจ้านายตนเองตาปริบๆ จนเดินกันถึงเรือนหลังเล็กที่โดนแม่สามีสั่งให้ย้ายมาอยู่ที่นี่แทนเรือนหลังใหญ่ของลูกชายตนเองตั้งแต่เช้าจิวซือก็ยังตามอารมณ์เจ้านายตนเองไม่ทัน“อะ เอ่อ ฮูหยินของบ่าวยิ้มได้แล้วหรือเจ้าคะ”“หืม....คิก จิวซือเจ้าสมองช้ายิ่งนัก ตามข้ามาข้างในห้องก่อนเดี๋ยวข้าแถลงไขให้สมองน้อยๆ ของเจ้าเอง”“จะ เจ้าค่ะ”“ปิดประตูลงกลอนด้วย”“หืม เอ่อ แต่นี่ยังเช้าตรู่อยู่เลยนะเจ้าคะ”“เถอะน่า”“เจ้าค่ะ”จิวซือมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามานางคิดว่าคุณหนูของนางอาจเสียใจจนผีเข้าผีออก สับเปลี่ยนอารมณ์จนนางตามไม่ทันเสียแล้วแต่ไม่ว่าอย่างไรจิวซือก็จะอยู่รับใช้เจ้านายผู้นี้ของนางจนกว่าชีวิตน้อยนี้จะหาไม่แน่นอนฝ่ายซูเมิ่งพอบ่าวของตนเองเดินเข้ามานั่งรอรับคำสั่งของตนเองอย่างตั้งใจ หญิงสาวก็รีบชี้แจงตามแผนการที่สมองอันน้อยนิดนี้คิดออกมาได้ในเ
บทที่สามภรรยาเจอคนเป็นลมซูเมิ่งคาดว่าวันนี้น่าจะได้กลับจวนของตนเองเร็วกว่าปกติ เพราะวันนี้ผู้คนดูบางตากว่าทุกทีสงสัยอากาศร้อนอบอ้าวไม่มีลมพัดผ่านสักเท่าไหร่ ร้อนแบบมิใช่เพราะดวงอาทิตย์อย่างเดียว แต่คงเป็นเพราะความชื้นในอากาศเยอะจนเหงื่อบนร่างกายคนไม่ระเหย จึงสร้างความอึดอัดยิ่งนักเหมือนอากาศที่มักพบก่อนฝนจะตกผู้คนจึงพากันกลับบ้านหากเป็นไปได้กระมังซุเมิ่งเองก็มิอยากเปียกฝนเดี๋ยวเป็นไข้หวัดแล้วจะสร้างความยุ่งยากในอนาคตดังนั้นฝีเท้าสองข้างจึงตัดสินใจเบนออกจากเส้นทางหลักของตลาดเลี่ยงไปใช้อีกเส้นทางที่สามารถใช้เดินไปยังจวนตระกูลหยางได้เหมือนกันแต่ใกล้กว่าหากแต่ใครจะไปคิดว่าการเดินเลี่ยงมาใช้ถนนเส้นที่มิค่อยเป็นที่นิยมสัญจรของชาวบ้านที่นี่จะทำให้นางได้มาเจอกับบุรุษร่างอ้วนตัวใหญ่มองไกลๆ เหมือนบุรุษผู้นั้นนอนไร้สติอยู่บนพื้น ทว่านางเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พบว่าบุรุษปริศนาผู้นั้นยังมิได้สลบเพียงแต่นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นคนเดียวซูเมิ่งเดินเข้าไปช่วยเหลือทันทีเมื่อเห็นคนกำลังต้องการความช่วยเหลือในที่เปลี่ยวไร้ผู้คนเช่นนี้“ท่านตาเจ้าคะ เป็นอันใดมากหรือไม่เจ้าคะ”“ชะ....ช่วย ด้วย ช่วยข้าด้ว
สามปีผ่านไปในหอลู่เหลียนอันเป็นสถานที่เปรียบเสมือนศูนย์รวมการค้าที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นเย่ ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองหลวงจึงนับเป็นสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงของแคว้นด้วยเช่นกันเมื่อก่อนหอลู่เหลียนรู้จักกันในชื่อโรงรับจำนำลู่เหลียนทว่าในตอนนี้แปรผันไปแล้วเนื่องจากธุรกิจภายในโรงรับจำนำเติบโตอย่างรวดเร็ว รวงร้านที่อยู่ภายในโรงรับจำนำแทบเรียกได้ว่าขายดีลูกค้าเยอะแซงหน้าโรงรับจำนำฉะนั้นเพื่อความเหมาะสมจึงเปลี่ยนชื่อเป็นหอรวมการค้าที่ชื่อว่าหอลู่เหลียนแทนและหนึ่งในร้านค้าที่ประสบความสำเร็จมีลูกค้าแวะเวียนมาจำนวนมากทุกวันมิขาดสายคือร้านรักสุขภาพหลันฮวาที่มีเถ้าแก่เนี้ยโฉมงามปริศนาเป็นเจ้าของร้าน“ยินดีต้อนรับทุกท่านที่สนใจเข้าร่วมฟังแผนการดูแลสุขภาพประจำปีของพวกเราชาวหลันฮวา”ดรุณีรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเดินย่างกายอันน่าลุ่มหลงลงมาจากบันไดท่ามกลางสายตาของลูกค้าเกือบสามสิบคนที่กำลังนั่งรอการปรากฏกายของนางสตรีผู้ที่มิได้มีโอกาสได้เห็นทุกวันแม่นางหลันฮวา เถ้าแก่เนี้ยคนงามของร้านรักสุขภาพแห่งนี้“สมาชิกที่ร้านเรายังคงได้รับสิทธิพิเศษเช่นเคย สินค้ามาใหม่และสิทธิในการจองแผนดูแลสุขภาพ ผู้ใดที่เป็นสม
บทที่สี่ภรรยากับหลานแม่สามี“วันนี้กลับมาเร็วยิ่งขอรับแม่นาง”เสียงผู้คุ้มหนุ่มทักทายซูเมิ่งในขณะที่นางเดินผ่านพวกเขาเข้าจวน“เจ้าค่ะ”ซูเมิ่งยิ้มแย้มเป็นมิตรให้พวกเขาราวกับการทักทายเช่นนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสามปีแล้วกระมังที่นางเข้าออกจวนแห่งนี้โดยมิได้บอกใคร นางตีซี้กับผู้คุ้มกันทั้งสองจนนับว่าเป็นสหายผู้หวังดีต่อกันได้เลยกระมังซูเมิ่งเดินทอดน่องสบายอารมณ์ไปยังเรือนเล็กของตนเองที่อยู่แทบจะท้ายจวนอาณาเขตกว้างขว้างแห่งนี้นางมิเคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิดเวลาเดินเข้าไปในเรือนหลังน้อยของนางที่แม่สามีนางจัดให้เอาจริงนะ เรือนที่นี่ดูดีกว่าเรือนแต่ก่อนที่ตระกูลบ้านเกิดของนางจัดให้อีกด้วยซ้ำไปตอนแรกที่นางมาอยู่ร่างในมิตินี้คือจวนหลังเก่าที่บ้านนอกห่างไกลความเจริญเก่าขนาดนางคิดว่าอีกไม่ถึงปีมันคงพังถล่มลงมากระมังส่วนตอนที่ย้ายไปอยู่เมืองหลวงประมาณสองสัปดาห์ได้ เรือนนั้นก็มิต่างจากเรือนคนใช้คนหนึ่งช่างน่าขันยิ่งชีวิตซูเมิ่งในชาตินี้“เปิดประตูบัดเดี๋ย
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นรึ”ใบหน้าซีดเซียวของเจ้าของเรือนโผล่ออกมาจากม่านมุ้งล้อมรอบเตียงนอนผมกระเซอะกระเซิงราวกับเพิ่งตื่นจากการนอนหลับใหล“อะ อ้าว ที่แท้พี่หญิงก็มิสบายจริงอย่างที่นังบ่าวชั้นต่ำพูด”แม้ว่าการเห็นเจ้าของเรือนนั่งหน้าซีดอยู่เป็นเตียงจะมิใช่สิ่งที่นางคาดคิดเอาไว้ก็ตาม ทว่าแล้วอย่างไรคนที่ตระกูลหยางล้วนรู้ดีแก่ใจว่าแม้ฐานะภายนอกจะเป็นถึงภรรยาของทายาทสืบทอดผู้นำตระกูลแต่นางเป็นภรรยาตัวประกันของตระกูลศัตรูที่ หยางเหวินเพียงต้องการแต่งนางเข้ามาเพื่อแก้แค้นตระกูลซูเท่านั้นหากไม่มีเหตุผลข้อนี้คงไม่มีใครในตระกูลยอมรับสะใภ้ผู้นี้เป็นแน่นางนี่สิเป็นว่าที่ภรรยาของท่านพี่หยางเหวินที่มารดาของฝ่ายชายหมายมั่นให้แต่งเข้ามาอย่างแท้จริงเนื่องจากเมื่อวานท่านป้าแจ้งข่าวดีแก่นางว่าอีกไม่เกินสามวันกองทัพของท่านพี่หยางเหวินจะเคลื่อนพลมาถึงเมืองหลวงพร้อมกับชัยชนะแสนยิ่งใหญ่วันนี้ถือเป็นโอกาสดียิ่งนักที่นางจะมาแสดงตัวตนให้สตรีในเรือนแห่งนี้รู้ว่านางแท้จริงแล้วคือใครกันแน่ลี่เฉี่ยวยืนกอดอกอยู่กลางเรือนอันแสนคับแคบแห่งนี้จ้องมองเจ้าของเรือนที่ยังไม่รีบลุกขึ้นมาต้อนรับแขกอย่างนางอี
บทที่ห้าภรรยากับสามีอารมณ์ร้ายเพร้ง!ภายในเรือนหลังน้อยท้ายจวนตระกูลหยางหากเป็นปกติมักได้ยินเสียงนกร้องหรือไม่ก็เสียงแมลงทักทายกันท่ามกลางความเงียบสงบทว่าวันนี้สองนายบ่าวของเรือนวันนี้ที่คนเป็นบ่าวสาวใช้กำลังนั่งปักผ้า ส่วนคนเป็นเจ้านายกำลังนั่งขีดเขียนตัวหนังสือลงบนกระดาษอยู่บนเตียงนอนตนเองต่างหันมองหน้ากันขวับเมื่อได้เสียงของหนักตกกระแทกพื้นเป็นระยะๆเสียงดังมาจากพื้นที่อื่นในจวนอันห่างไกลจากเรือนของนางนี่ขนาดไกลขนาดนี้ยังได้ยินเสียงนั้น“ฮูหยินได้ยินเหมือนที่บ่าวได้ยินใช่ไหมเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับ “แต่ช่างเถอะเป็นเรื่องของพวกเขามิเกี่ยวกับพวกเรา”“เจ้าค่ะ”เพร้ง!สองนายบ่าวสบตากันโดยมิได้นัดหมายอีกรอบ ทว่าหนนี้มีหลายเสียงดังต่อเนื่องเข้ามาในสถานที่แสนสงบสุขแห่งนี้“เจ้าออกไปดูหน่อยก็แล้วกัน”“ได้เจ้าค่ะ”ใช้เวลาไม่นานจิวซือก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาในเรือน ท่าทีของหญิงสาวดูตื่นตระหนกราวกับเพิ่งไปเห็นบางสิ่งที่น่าหวาดกลัวมา“ฮะ ฮูหยินเจ้าคะ คะ คือ โอ๊ย...” อยู่ดีดีจิวซือก็ติดอ่างพูดจาไม่รู้เรื่องขึ้นมากระทันหัน นางจึงตบปากตนเองไปหลายทีเพื่อตั้งสติ“ใจเย็น ค่อยๆ พูดก็ได้ข้าหาได้
บทส่งท้ายและวันนั้นทั้งวันหยางเหวินโดนพ่อตาของตนเองลากไปไหนมาไหนด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันจนซูเมิ่งนึกสงสัยว่าหรือสามีของนางจะเป็นลูกชายที่หายสาบสูญไปอีกคนหนึ่งของบิดาตนเองซูเมิ่งทั้งวันไม่ไปนั่งพูดคุยกับญาติพี่น้องร่วมสายเลือดในจวนก็เข้าไปนั่งเล่นกับน้องชายสุดแสนน่ารักที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหนาวเท่านั้นจวบจนตอนค่ำยามซวี [1] นั่นแหละนางจึงมีโอกาสขอตัวกลับเรือนของตนเองที่ครอบครัวนางเตรียมเอาไว้ให้เรือนหลังนี้ใหญ่ไม่แพ้หลังไหนๆ ในจวน การตกแต่งแม้จะเรียบง่ายแต่ของใช้ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ยังมิเคยได้ใช้ เป็นวัสถดุเนื้อดีทั้งนั้นเรือนส่วนตัวสภาพดีขนาดนี้นี่เป็นครั้งแรกของนางเลยกระมังที่ได้รับการดูแลเช่นนี้“ยิ้มขนาดนั้น เจ้าชอบเรือนหลังนี้มากเลยหรือ”เสียงของหยางเหวินบุรุษที่วันนี้หายหน้าหายตาไปจากซูเมิ่งทั้งวัน พร้อมกับอ้อมกอดจากคนตัวโตสวมโอบนางจากข้างหลัง“เจ้าค่ะข้าชอบที่นี่ แต่มิใช่แค่เรือนหลังนี้ แต่เป็นทุกคนที่นี่ด้วย พวกเขาต้อนรับข้าอย่างดียิ่ง”“เช่นนั้นหากเรากลับแคว้นไปข้าให้คนสร้างจวนของพวกเราสองคนแยกออกมาดีหรือไม่ ข้าได้รับพระราชทานที่ดินทำเลดีมิหยอก ข้ายกให้เจ้า จะให้สร้างจวนห
บทที่ยี่สิบภรรยากับครอบครัวที่แท้จริงณ แคว้นหูอี๋ฉีจวนตระกูลโจวจวนหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลโจวเป็นตระกูลแม่ทัพตั้งแต่รุ่นทวดลงมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับแคว้นเย่ ตระกูลโจวก็เปรียบได้ดั่งตระกูลหยางดีที่เวลานี้สองแคว้นสงบศึกเปลี่ยนมาสมานฉันท์กันหลายปีแล้ว มิเช่นนั้นสองทายาทตระกูลแม่ทัพคงเคยพบเจอกันบ้างในสงครามระหว่างแคว้นแม้ว่ารุ่นลูกอาจไม่เคยฟาดฟันกันแต่สำหรับรุ่นพ่อนั้นไม่แน่ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขตระกูลหยางกับประมุขตระกูลโจวแห่งสองแคว้นจะเคยปะทะฟาดฟันวัดฝีมือกันมาก่อนเวลานี้ฝ่ายซูเมิ่งรวมฝ่ายของพี่ชายและคนของสามีนางแยกย้ายจากขบวนสินค้าของตระกูลลู่มาระยะหนึ่งแล้วเป็นเพราะไปคนละทาง ตระกูลลู่ต้องการไปเมืองชายแดนเพื่อส่งสินค้า แต่พวกนางต้องการไปเมืองหลวงดังนั้นเวลานี้ซูเมิ่งจึงกำลังนั่งรถม้าคันของโจวเฉิงเค่ออยู่นั่นเองเห็นพี่ชายบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามจะถึงจวนของเราพี่ชายใช้คำว่าของเราทำให้ซูเมิ่งรู้สึกซาบซึ้ง....ในที่สุดนางก็กำลังมีบ้านและครอบครัวเป็นของตนเองสักที“ถึงจวนตระกูลโจวแล้วขอรับคุณชาย”เนื่องจากในห้องโดยสารมีคนนั่งอยู่เพียงสองคนคือนางและพี่ชาย
บทที่สิบเก้าภรรยากับคำสารภาพ“คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้ขบวนของเราโชคดีได้หยุดพักที่สถานที่มิห่างไกลจากน้ำตกมากนัก คุณชายฝากถามว่าคุณหนูอยากชำระร่างกายหรือแช่น้ำหรือไม่เจ้าคะ เวลานี้ไม่มีคนใช้งานและเดี๋ยวให้คนไปกั้นเขตให้คุณหนูเจ้าค่ะ”“น้ำตกหรือ...อืม ก็ดีเหมือนกัน ข้าอยากแช่น้ำเย็นสักหน่อย มิได้อาบน้ำทุกวันดังเช่นปกติ รู้สึกเหนียวตัวยิ่งนัก”“เจ้าค่ะ เช่นนั้นเดี๋ยวบ่าวรีบไปเรียนคุณชายให้จัดกั้นพื้นที่ให้นะเจ้าคะ รอบ่าวสักครู่”“ได้ ขอบใจมากนะ”พอหลิ่นปินไปภายในกระโจมหลังน้อยก็เงียบลงทันตา ซูเมิ่งหันหลังกับไปเตรียมชุดและของใช้อาบน้ำที่จำเป็นด้วยตนเองที่ด้านหลัง เวลาผ่านไปไม่ถึงถ้วยน้ำชานางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในกระโจมนาง“กลับมาเร็วยิ่ง คุณชายว่าอย่างไรบะ บ้าง....อ้าว ท่านพี่! อุ้บ!”คนที่เดินเข้ามากลับไม่ใช่สาวใช้อย่างที่ซูเมิ่งคิด แต่เป็น หยางเหวิน บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พอก้าวเท้าเข้ามาในกระโจมก็ดูคับแคบขึ้นมาทันตา ชายหนุ่มคงรู้ว่าซูเมิ่งไม่อยากเจอหน้าอีกฝ่ายจึงก้าวเข้ามาประชิดตัวนางและใช้มือหนาปิดปากมิให้ส่งเสียงดังโวยวาย“อื้อ อ่านเอ้าอาไอ้อ่างไอ อ่อยอ้า!”“หากข้าปล่อยแล้วเจ้าจะเร
“นั่นเจ้าใช่หรือไม่ซูเมิ่ง เป็นเจ้า!” เสียงของหยางเหวิน บุรุษที่นางเคยรู้สึกปลอดภัยยามได้ยินเสียง ทว่าบัดนี้มิใช่อีกต่อไปแล้ว....“ข้าเอง พวกท่านกำลังทำสิ่งใด อย่าทำร้ายพวกเขานะ”ซูเมิ่งโดนจับได้นางจึงวิ่งออกไปขวางมิให้คนของหวางเหวินทำร้ายหรือมาต่อสู้กับคนของลู่เจ๋อทีแรกบุรุษทั้งสามเมื่อเห็นใบหน้าของสตรีที่ตามหามาหลายวันก็พากันดีใจ รอยยิ้มปรากฏบนหน้าไปตามๆ กัน ทว่าพอเห็นนางวิ่งเข้ามาไม่เกรงกลัวอันตรายหรือลูกหลงท่ามกลางการต่อสู้ก็ตกใจ หัวใจหล่นไปที่ตาตุ่มกันหมด“พวกเจ้าหยุดลงมือ!”คนของฝ่ายหยางเหวินหยุดต้อนผู้คุ้มของขบวนสินค้าทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็เพียงได้รับคำสั่งให้ต้อนพวกนี้ให้จนมุมยอมศิโรราบเท่านั้นก็ตามซูเมิ่งบัดนี้ยืนอยู่กลางทางระหว่างขบวนสินค้าตระกูลลู่กับฝ่ายของพี่ชายและสามีนาง“น้องน้อยเจ้าอย่าเพิ่งวิ่งไปทั่วสิ มันอันตราย” เสียงของโจวเฉิงเค่อเต็มไปด้วยความวิตกกังวล นางมองเห็นบนใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมีเหงื่อ แววตาดูตื่นตระหนกเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจริงอย่างที่พี่ชายเอ่ย“แม่นางซูทางนั้นอันตรายเข้ามาหลบพักในรถม้าก่อนเถิด”ลู่เจ๋อและผู้คุ้มกันของเข
บทที่สิบแปดภรรยามิยอมอีกต่อไปแล้ว“ทำไมเจ้ามิตามนางไปด้วย ปล่อยให้นางซึ่งเป็นสตรีปีนขึ้นรถม้าขบวนพวกพ่อค้าจิตใจเจ้าเล่ห์แสนกลไปได้เยี่ยงไร”“ขะ ข้าน้อยคิดไม่ทัน คุณหนูบอกมิให้ข้าตามไป บอกให้ข้ามาส่งข่าวท่านว่าให้ตามนางได้ที่ขบวนสินค้าตระกูลลู่ขอรับ”“เจ้าเป็นคนที่แคว้นนี้มิใช่รึ รู้จักหรือไม่ตระกูลพ่อค้าลู่”“รู้แล้วอย่างไร ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ”“เหอะ”“เหอะ”โจวเฉิงเค่อและหยางเหวินทะเลาะกันอีกหนหากมีช่องว่างโอกาสให้แขวะใส่กันเวลานี้ขบวนรถม้าของทั้งโจวเฉิงเค่อและขบวนม้าของหยางเหวินเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้หลายชั่วยามแล้ว เดินทางติดต่อกันยาวนานระยะหนึ่งจนต้องหยุดพักให้ม้าพักกินอาหารกินน้ำก่อนส่วนคนที่เหลือก็มาดูแผนที่วางแผนหาทางตามหาขบวนขนสินค้าตระกูลลู่ตามเบาะแสที่ซูเมิ่งทิ้งไว้ให้“คนม้าของเรายังสืบมิได้ความอีกรึ ป่านนี้ยังมิมีใครมาถึงอีก” หยางเหวินเดินออกมาจากกระโจมอีกฝ่ายหลังจากรำคาญทั้งหน้าและน้ำเสียงจนทนไม่ไหวตัดสินใจเดินกับมาหาเบาะแสจากคนของตนดีกว่าพอยิ่งได้รู้ว่าซูเมิ่งไปกับตระกูลลู่ตระกูลที่เขาเคยให้คนไปสืบประวัติมาเพราะเขาเคยเห็นอีกฝ่ายทักทายเอ่ยสนทนาอย่างสนิทสนสน
“คุณหนูเจ้าคะ มิทราบว่าคุณหนูคิดถึงสิ่งใดอยู่ มีเรื่องใดเป็นกังวลหรือไม่ ระ....หรือบ่าวรับใช้ไม่ดีพอเจ้าคะ”“หะ หา เรียกข้าหรือ”“บ่าวดูแลไม่ดีตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ บอกให้บ่าวปรับปรุงแก้ไขได้หมดนะ ตะ แต่อย่าไล่บ่าวออกเลย”“ข้าจะไปไล่เจ้าได้ย่างไร ลุกขึ้นก่อน”ซูเมิ่งตื่นจากภวังค์ของตนเองมาก็เพราะตกใจที่อยู่ดีดีสาวใช้ที่ลู่เจ๋อส่งมาคอยช่วยอำนวยความสะดวกนางลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บนดวงตากลมโตของนางมีน้ำตาเอ่อคลอราวกับกลัวว่าซูเมิ่งจะลงโทษเสียอย่างนั้น“ข้ามิได้ไม่พอใจเรื่องใด เพียงคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น”“คิดถึงครอบครัวที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”“อืม....” ซูเมิ่งหยุดคิดจากคำเรียกของอีกฝ่าย “มิรู้ว่าข้าสามารถเรียกพวกเขาว่าครอบครัวได้หรือไม่”เพราะคนที่เมื่อสักครู่ซูเมิ่งเผลอคิดถึงคือหยางเหวินน่ะสิ...มิใช่พี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างโจวเฉิงเค่อซูเมิ่งรู้สึกเหมือนนางทิ้งสิ่งสำคัญบางอย่างไป มันทำให้ในหัวใจนางรู้สึกเหมือนโดนคนขโมยเฉือนเนื้อบางส่วนทิ้งไประยะเวลาผ่านมาไม่กี่เดือนกับการอยู่ร่วมกันกับหยางเหวินในฐานะสามีภรรยามันช่างดูยาวนาน มีหลายครั้งที่นางเผลอผูกพันกับชายหนุ่ม
บทที่สิบเจ็ดภรรยาห่างไกลออกไปหากแต่ในขณะที่ซูเมิ่งกำลังนั่งรถม้าอยู่ข้างในห้องโดยสาร อยู่ดีดีรถม้าก็หยุดชะงักทันทีทันใดจนตัวนางเซถลาไปชนผนังรถดีที่ไม่ได้บาดเจ็บอันใด“ขออภัยขอรับคุณหนู ข้างหน้ามีทหารของทางการเพร่นพร่านเต็มไปหมด เกรงว่าจะเป็นคนของท่านแม่ทัพหยางเหวิน พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับคุณหนู”“!!”ไม่ได้นะ นางจะให้เขารู้ว่านางอยู่ที่นี่มิได้ ความผิดเดิมพวกเขายังมิทันได้คลายปมเลยสักนิด ความผิดกระทงใหม่เช่นนี้จะมีเพิ่มมิได้เกรงว่าหยางเหวินบุรุษที่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่เช่นนั้น เขาจะมิยอมให้นางไปพบบิดาที่แคว้นหูอี๋ฉีแคว้นหูอี๋ฉีเป็นแคว้นที่ซูเมิ่งจำได้ว่าชายหนุ่มเคยทำสงครามด้วยมาก่อนเป็นหนึ่งในแคว้นที่อีกฝ่ายเกลียดชังยิ่งนักแม้ว่าในปัจจุบันสองแคว้นนี้จะกลายเป็นแคว้นพันธมิตรกันแล้วก็ตามซูเมิ่งเปิดม่านออกไปดูภาพความวุ่นวายภายนอกรถม้านางคาดเดาว่าแม่ทัพหยางอาจรู้แล้วว่านางหนีออกมาจากจวนของเขาซูเมิ่งไม่อยากกลับไปถูกกักขังเขาไม่สิทธิ์!แต่เนื่องจากซูเมิ่งเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องฉะนั้นการที่หยางเหวินทำเช่นนั้นจึงมิสามารถไปเรียกร้องกับใครได้เลยยุคโบราณที่บุรุษเป็นใหญ่เช่นนี้ช่างไม่ย
ส่วนทางด้านสตรีที่เป็นฝ่ายหนีออกมาจากจวนตระกูล หยาง นางหลบหนีออกมาโดยการปลอมตัวเป็นบ่าวสาวใช้ที่ติดตามหลงจู๊ร้านค้านางมานั่นเองในจดหมายซูเมิ่งได้ทำการบอกแผนการทั้งหมดตั้งแต่...ให้หลิ่งซานขนม้วนเอกสารมาเป็นกองใหญ่ๆ ไม่สามารถขนคนเดียวหมด โดยให้นำสาวใช้ใบหน้าเป็นแผลเป็นเหวอะหวะจนต้องคลุมหน้าเพราะอายสายตาผู้อื่นติดตามด้วยหนึ่งคนตอนขาเข้าให้เปิดใบหน้าให้ผู้คุ้มกันเรือนดู และให้อธิบายว่าซูเมิ่งสงสารจึงรับบ่าวคนนี้เข้ามาทำงานในร้านตอนขาออกแน่นอนว่าซูเมิ่งต้องสลับตัวกับสาวใช้ผู้นั้นเพื่อลอบออกไปข้างนอกอย่างแน่นอนนางก็เพียงสร้างรอยแผลปลอมบนหน้าและคลุมผ้าคลุมศีรษะออกจากจวนมาอย่างแนบเนียนที่ด้านข้างรั้วตระกูลหยางถัดออกไปอีกสองซอยมีรถม้าจอดรอรับซูเมิ่งอยู่แล้วหนึ่งคันโดยคนขับรถม้าเป็นลูกน้องของพี่ชายที่พลัดพรากกันของนางนั่นเอง“คุณชายโจวเฉิงเค่อให้มารับตัวคุณหนูขอรับ รีบขึ้นมาเถอะขอรับ”“ได้สิ แล้วพี่ชายข้าไปที่ใดรึ คิดว่าจะมารับด้วยตัวเองเสียอีก”“คุณชายไปจัดการธุระด่วนก่อนขอรับ ฝากบอกว่ามิต้องห่วงเดี๋ยวคุณชายจะตามคุณหนูมาอย่างแน่นอน”“หืม ธุระอันใดหรือ ไหนบอกว่าท่านพ่อส่งข่าวมาว่ามิสบายมิ
“ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านแม่ทัพ ได้ยินที่ข้าน้อยรายงานหรือไม่ขอรับ”หยางเหวินเหม่ออีกแล้ว เจ้านายเป็นเช่นนี้ลูกน้องเช่นเขาทำงานลำบากขึ้นทุกที หวงลู่ส่ายศีรษะอย่างทำใจในโชคชะตาตนเอง“ข้าได้ยิน นางต้องการให้นำหลงจู๊ไปพบนางที่เรือนใช่หรือไม่”“ขอรับ นายท่านมีความเห็นว่าเยี่ยงไรขอรับ”“หลงจู๊ของนางเป็นบุรุษหรือสตรี”“บุรุษขอรับ นามว่าหลิ่งซาน....”“ข้าไม่อนุญาต!”“เขามีลูกและภรรยาเรียบร้อยแล้วขอรับ”“ไยเจ้าไม่พูดให้จบตั้งแต่แรกหวงลู่”ก็เพราะท่านคัดค้านเสียงแข็งขึ้นก่อนน่ะสิ....หึหึ หวงลู่ได้แต่คิดในใจ“เช่นนั้น....อนุญาตหรือไม่ขอรับ”“ข้าจะห้ามทำได้เยี่ยงไร ในเมื่อร้านนั้นเป็นร้านที่นางรักยิ่ง แต่ให้บ่าวรับใช้เข้าไปอยู่เป็นเพื่อนระหว่างนางพูดคุยด้วยแล้วกัน”หวงลู่อยากจะบอกเหลือเกินว่าเมื่อสักครู่เป็นเจ้านายเองนั่นแหละที่หึงหวงภรรยาตนเองออกนอกหน้าเพียงรู้ว่าหลงจู๊เป็นผู้ชายใจบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ไยปากเจ้านายของเขาจึงมิตรงกับใจตนเองเลยสักนิดสงสัยรอให้รู้ซึ้งถึงการสูญเสียก่อนกระมังจึงจะรู้สึก“ขอรับ แล้วเมื่อไหร่ท่านแม่ทัพจะกลับจวนขอรับ หรือจะนอนถาวรที่ค่ายทหารแห่งนี้ไปตลอด”“....”“ข้าน้อยถามม