เช้านี้เป็นเช้าที่ตื่นมาแล้วเด็กบ้านเฉินต่างก็ตาบวมกันทุกคน เฉินเฟิ่นอี้เข้าใจว่าทุกคนเสียใจ และมันเป็นไปตามที่เธอบอก หากผู้ใหญ่รู้เรื่องนี้จะหาว่าเฉินเฟิ่นอี้บ้า ถ้าคนในหมู่บ้านรู้หรือคนนอกหมู่บ้านรู้เข้าเธออาจถูกลากออกไปประนามว่าเป็นปีศาจลุงสามออกไปจากบ้านตอนไหนเฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่รู้ รู้เพียงว่าเธอตื่นมาก็เหลือแต่เด็ก ๆ บ้านเฉินแล้ว เฉินเฟิ่นอี้เปลี่ยนชุดหอบเสื้อผ้าในตะกร้าออกมาด้านนอกห้อง วันนี้ต้องนำผ้าไปซัก ดีที่ซื้อเสื้อผ้าไว้หลายชุดเลยไม่ต้องซักบ่อย แต่ถ้าซักทุกวันได้ก็ดี"เฉินไห่หลิวล่ะคะ" เฉินเฟิ่นอี้ถามพี่สาวรองที่แยกผักอยู่ คงไปตัดมาทำอาหาร น้อง ๆ คนอื่นยกเว้นเฉินไห่หลิวกำลังช่วยกันถอนหญ้าในแปลงผัก วันนี้เธอตื่นสายมาก"ไปส่งพี่สาวใหญ่กลับบ้านน่ะ กินข้าวก่อนค่อยไปทำอย่างอื่น" หล่อนบอกคนมาใหม่ที่เพิ่งตื่น"ได้ค่ะ"เฉินเฟิ่นอี้วางตะกร้าผ้าลงพื้นเดินไปเปิดหม้ออาหาร วันนี้มีแกงไก่ใส่ฟักที่เธอตุ๋นไก่ให้นุ่มทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ไม่อย่างนั้นคงไม่ตื่นสายแบบนี้ นอกจากนี้ยังมีน้ำพริกและผักลวกที่วางไว้ในถาด เฉินเฟิ่นอี้ตักกับข้าวราดลงในถ้วยข้าวของเธอด้วยความเคยชิน บ่อยครั้งที่จะกินอาห
หน้าบ้านเฉินเต็มไปด้วยผู้คนที่ีเพิ่งเลิกงานและได้ยินข่าวว่าบ้านอี้ถูกรวบตัวไป หลายคนต่างสงสารบ้านอี้แต่ก็มีหลายคนสมน้ำหน้า มีใครบ้างที่ชอบอี้เหม่ยเฟิ่ง ทั้งแม่ทั้งย่าของหล่อนต่างยกหล่อนข่มคนอื่นไปทั่ว โอ้อวดว่ามีการศึกษา ได้คู่หมั้นที่ร่ำรวย แต่สุดท้ายเพราะความโลภจึงทำร้ายแม้กระทั่งลูกหลานของตนเองเฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจมือก็หั่นเนื้อไปด้วย ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงตอนนี้เกือบหกโมงเย็นสุดท้ายก็ไม่ได้ไปซักผ้า หลังจากนำตัวบ้านอี้เข้าอำเภอไป เฉินเฟิ่นอี้ก็กลับมานั่งคุยกับคนอื่น ๆก่อนลุงสามจะเข้าอำเภอไปได้สั่งให้ทำอาหารไว้ให้ ตอนเย็นจะกลับมากินอาหารที่บ้าน เลี้ยงขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือคดีนี้ แต่ยังเหลือตัวการใหญ่อย่างตระกูลหมิง ซึ่งคาดว่าคงไม่จบง่ายเหมือนบ้านอี้ และลุงสามก็ไม่ยอมจบเหมือนกันเฉินเฟิ่นอี้มองคนที่เดินเข้ามาใหม่ เป็นเฉินไห่หลิวที่ยังไม่ยอมคุยกับเธอด้วยสายตาละห้อย ทั้งที่ตอนนั้นยังช่วยเธอจากอี้เหม่ยเฟิ่งอยู่เลย พูดถึงอี้เหม่ยเฟิ่งแล้วเฉินเฟิ่นอี้คิดว่าหล่อนถูกจัดการง่ายเกินไป แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากตระกูลหมิงด้วยที่ไม่ให้ความช่วยเหลือหล่อนคงไม่ถูกปล่อยตัวออกมาง่ายแน่ ส่วนคนอื่น ๆ น่าจะอ
"ครับ ผมเอง" ลุงสามบอกเสียงเรียบสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ย่าเฉินจึงให้ลูกสะใภ้พาหลานชายคนเล็กเข้าไปในบ้านพร้อมเฉินจางและเฉินเหม่ยเย่ ส่วนคนที่เหลือกำลังยืนเผชิญหน้ากับคนตระกูลหมิง เพื่อนของลุงสามอยู่รออยู่ด้านหลังเหมือนรู้ว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว แต่ทุกคนตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา หากเกิดอะไรขึ้นก็พร้อมจัดการ"นี่เป็นเรื่องของบ้านอี้กับบ้านเฉิน ตระกูลหมิงไม่ได้เกี่ยวข้องแต่กลับโดนลากไปด้วย""อี้เหม่ยเฟิ่งยอมเปิดปากแล้ว มีอะไรจะพูดไหมหมิงหลานฮุ่ย" ลุงสามไม่ได้สนใจพ่อของหมิงหลานฮุ่ย เขาหันไปถามหมิงหลานฮุ่ยที่ยืนอยู่"เป็นไปไม่ได้!""เรื่องอะไร ผมยังไม่ได้พูดเลย" คิ้วถูกเลิกขึ้นด้วยความยียวนเฉินเฟิ่นอี้หลุดขำออกมาท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด คนตระกูลหมิงตวัดสายตามองเธอด้วยความไม่พอใจ แต่เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้สนใจพวกเขาสักนิด สิ่งที่ทำให้เธอสนใจก็คือกระดาษแผ่นบางที่ลุงสามนำออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาใช้นิ้วคีบมันไปมาบนอากาศก่อนเปิดปากพูด"คำสารภาพของอี้เหม่ยเฟิ่ง ตอนนี้หล่อนถูกฝากขังอยู่ รอผู้มีส่วนร่วมรู้ร่วมคิดอีกคน ไม่สิ ต้องบอกว่ารออีกหลายคนมากกว่า" ลุงสามยิ้มแต่รอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตาทั้งยังพูดเ
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ”หลินมี่หรือย่าเฉินในวัยยี่สิบปลาย ๆ มองเอกสารในมือของสามีด้วยความไม่เข้าใจ เดือนนี้สามีของหล่อนกลับมาบ้านดึก ๆ ทุกวัน พ่อและแม่สามีก็บ่นหล่อนอยู่ตลอดเวลาที่ไม่ช่วยงานสามีทั้ง ๆ ที่ต้องดูแลลูกชายตั้งสี่คน ส่วนน้องสะใภ้สองคนที่มีลูกคนเดียวและสามีเลี้ยงให้นอนเล่นอยู่บ้านกลับไม่บ่นอะไร“ลายมือถูกเปลี่ยน” เฉินจงอี้ผู้เป็นสามีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดตระกูลเฉินมีกิจการค้าขาย ร้านอาหารและทำการเกษตร เฉินจงอี้รับหน้าที่ดูแลกิจการค้าขายของตระกูล น้องชายคนรองดูแลร้านอาหาร ส่วนน้องชายคนสุดท้องรับหน้าที่ดูแลการเกษตร เฉินจงอี้รับหน้าที่นี้ตั้งแต่เรียนจบอายุสิบแปดปี จนกระทั่งตอนนี้รวม ๆ แล้วก็สิบกว่าปีแม้จะรู้ว่าครอบครัวลำเอียงรักน้องชายทั้งสองมากกว่าตนเอง แต่เฉินจงอี้ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้ดีว่าตอนที่เขาเกิดครอบครัวไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น ตระกูลเฉินเพิ่งรุ่งเรืองมาได้ไม่กี่ปี และกิจการที่ช่วยตระกูลเฉินได้มากที่สุดก็คือในส่วนที่เขารับผิดชอบ ที่ผ่านมาเขาคิดว่าพ่อกับแม่จะรักเขามากขึ้นเพราะการหาเงินแต่เขาคิดผิดเอกสารนี้เขาจำได้ขึ้นใจ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาแม่ให้เขาเซ็นเอกสารโ
วันนี้เป็นเช้าที่ไม่สดใส บ้านเฉินถูกผู้ใหญ่บ้านส่งคนมาบอกตั้งแต่เช้าให้หยุดงานในแปลงนาเพราะเรื่องเมื่อคืน ที่ว่าในอดีตปู่เฉินโกงสหายที่ทำงานด้วยกันมาแล้วพวกเขาจับได้จึงเป็นเศรษฐีตกอับ ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นในปีที่ปู่เฉินหอบภรรยาและลูกชายมาที่หมู่บ้านเฟิ่นหลิน คนในหมู่บ้านต่างรู้กันว่าครอบครัวนี้มีปัญหาจึงมาพึ่งพาครอบครัวเฉินในหมู่บ้านที่ไม่มีลูกหลาน มันจึงทำให้พวกเขาอยู่อย่างสงบมาตลอดเฉินเฟิ่นอี้เดินเข้ามาในครัวที่มีกับข้าวอยู่บนเตา บรรยากาศวันนี้มันทำให้เธอรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก ปกติตอนเช้าที่บ้านจะวุ่นวายเพราะต้องไปทำงาน ซึ่งตอนนี้มันเงียบมาก ทุกคนเลือกที่จะเก็บตัวอยู่ในห้องนอน เป็นเธอที่หิวข้าวจึงออกมาทำอาหารทิ้งไว้ และนี่ก็ใกล้จะถึงมื้อกลางวันแล้ว เด็ก ๆ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย"เฟิ่นอี้"“แม่"เป็นแม่ของเธอที่อุ้มเฉินชิงชิงเข้ามา สงสัยจะหิวแล้ว เฉินเฟิ่นอี้เปิดตู้กับข้าวเพื่อเอาอาหารที่เตรียมไว้ให้เฉินชิงชิงออกมา ถึงแม่เธอไม่ออกมาตอนนี้ ดูกับข้าวเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็จะนำอาหารไปให้น้องชายอยู่ดี เขายังเด็กและไม่สามารถอดอาหารได้เหมือนคนอื่น"แม่มาหาข้าวให้น้องเหรอคะ ฉันเ
ตระกูลหมิงปฏิเสธทุกข้อหาที่บ้านอี้กล่าวอ้าง และมีพยานว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันกับทางผู้อำนวยการโรงเรียนก็บอกว่าถูกตระกูลหมิงบีบ บังคับไม่อย่างนั้นเขาจะถูกสั่งย้าย ทั้งสองฝั่งยังไม่มีใครได้เจอกันจึงเล่าเป็นหนังคนละม้วน แน่นอนว่าคำพูดของผู้อำนวยการโรงเรียนอำเภอมีน้ำหนักมากกว่าเพราะเขาไม่ได้พลิกลิ้น แต่ไม่มีพยานมันจึงปัดตกได้เลยสิ่งที่น่ากังวลที่สุดก็คือคนบ้านอี้่ที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรกับคนอื่น และพวกเขาถูกนำมาฝากขังก่อนคนอื่นทำให้มีสภาพที่อ่อนแรง อี้เหม่ยเฟิ่งได้รับการดูแลที่ดีกว่าคนอื่นหน่อยเพราะหล่อนตั้งครรภ์ ซึ่งในส่วนนี้พลตำรวจจางชิวหลงไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงงานตำรวจท่านอื่นได้ หากต้องการความสงบก็ต้องอยู่อย่างเงียบ ๆเฉินเฟิ่นอี้มองคนตระกูลหมิงที่ถูกนำตัวออกมาสอบปากคำเพิ่มเติม ในตอนนี้ข้อกล่าวหามันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งทำร้ายร่างกาย พยายามฆ่า ติดสินบน ลอบติดตามคนอื่นและช่วยเหลือคนร้าย ถือว่าเป็นคดีที่ใหญ่คดีหนึ่ง ปู่หมิงกับลูกชายและญาติ ๆ อาจรอดตัวไป หมิงหลานฮุ่ยกับแม่มีพยานที่ว่ารู้เห็นกับอี้เหม่ยเฟิ่ง รวมถึงการติดสินบนผู้อำนวยการโรงเรียน"นั่นโม่เหลียนใช่ไหมคะ" เฉินเฟิ่นอ
บทสรุปยังไม่แน่ชัด เฉินเฟิ่นอี้เดินออกมาที่รถก่อนเพราะรู้สึกไม่สบายตัว ไม่นานเธอก็เห็นเด็กบ้านอี้เดินออกมา ยกเว้นอี้เหม่ยเฟิ่งที่ต่อให้ทุกคนรอดหล่อนก็ไม่รอด ข้างหลังมีลุงสามเดินตามมาด้วย พวกเขาหยุดคุยกันครู่หนึ่งก็เดินมาหาเฉินเฟิ่นอี้"เด็กบ้านอี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจึงถูกปล่อยตัวออกมาก่อน แต่หลังจากนี้ถ้าทำอะไรผิดก็จับกุมได้เลย ส่วนคนบ้านอี้ลุงจางจะจัดการให้หลานเอง อย่างน้อยพวกผู้ใหญ่ก็ไม่สามารถสร้างความรำคาญให้พวกเราได้อย่างน้อยสองปี ส่วนเด็กคนนั้นมีส่วนรู้เห็นหลายเรื่อง" และเฉินหมิงไม่ยอมความ อาจถูกขังหลายปีหน่อย ตอนนั้นหลานสาวของเขาคงแต่งงานมีลูกแล้ว"ตระกูลหมิงล่ะคะ""ปู่หมิงโยนทุกเรื่องให้ลูกสะใภ้อาจรอดตัวไปได้ แต่หลานไม่ต้องห่วง ตอนนี้ลุงกำลังสืบ ๆ เรื่องเบื้องหลัง มันน่าจะเกี่ยวกับบ้านเฉินแน่นอน" หนีไปได้หลายปีในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้า แต่ก่อนเขายังมีความกลัวแต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ทุกคนเข้มแข็งและพร้อมเผชิญหน้า"หมิงหลานฮุ่ยคงไม่รอดตัวนะคะ""ไม่หรอก เขามีความผิดพอ ๆ กับอี้เหม่ยเฟิ่ง ไม่สิมากกว่าด้วยซ้ำ"ถ้าเรื่องอยู่ในมณฑลใหญ่หรือเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ ไม่แน่ว่าอี้เหม่ยเฟิ่งจะถ
ผ่านมาเป็นสัปดาห์ สมาชิกบ้านเฉินก็ยังไม่ได้ลงแปลงนา ทั้งที่ีไปสอบถามก็ไม่ได้รับคำตอบ สร้างความไม่สบายให้กับหลายคน โดยเฉพาะเหล่าสะใภ้ที่กลัวว่าเงินของบ้านจะหมด สะใภ้แต่ละคนล้วนถูกเลี้ยงมาด้วยการทำงาน ไม่ทำงานก็คือไม่มีเงิน และไม่มีเงินก็ไม่มีอาหารให้ประทังชีวิต แม้ลูกชายคนที่สามของบ้านและหลานชายคนโตจะทำงานมีเงินเดือนก็ตามเฉินจงถึงวัยที่ควรแต่งงานแล้ว แต่เขากลับเจริญรอยตามลุงสามไปพร้อมกับการขอหาภรรยาเอง ซึ่งปู่เฉินกับย่าเฉินไม่บังคับหลาน ต่อให้ปีนี้อายุจะเข้าเลขสอง เด็กที่เหลือก็ยังเรียนอยู่ จำเป็นต้องใช้เงินมากมาย ผักในสวนหลังบ้านที่เคยนำไปขายก็ถูกเฉินเฟิ่นอี้ห้ามไว้ ไข่ไก่ก็เก็บไว้กินขายไม่ได้ ทำให้บ้านเฉินไม่มีรายได้เข้ามาตลอดสัปดาห์แต่เฉินเฟิ่นอี้ไม่มีอะไรให้เดือดร้อนเพราะเธอนำเงินไปให้ย่าเฉินใช้จ่ายแล้ว แถมเวลาไปซื้อของเข้าบ้านก็ไม่ได้ไปสหกรณ์ตำบล เป็นเฉินเฟิ่นอี้กับลุงสามที่ไปซื้อของเข้าบ้าน และก็เป็นของในระบบทั้งนั้นที่เธอหยิบออกมาใช้ที่ีสำคัญเพราะผู้ชายบ้านเฉินไม่ได้ทำงานในแปลงนา เฉินเฟิ้่นอี้จึงสั่งให้ทำของให้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระดานไม้ โต๊ะ เก้าอี้ กล่อง และของอื่น ๆ ไม
วันที่ 5 เดือน 3 ปี 1984 งานมงคลสมรสของเฉินเฟิ่นอี้และโอวหยางจิงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่ได้รับเชิญต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างหนาแน่น เฉินเฟิ่นอี้ต้องลุกมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืด ทั้งต้องคอยถามถึงหน้างานเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาดในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง สิ่งที่รอคอยนั่นคือการแต่งงานสักครั้งในชีวิต ในตอนที่เป็นแป้งร่ำ เธอพลาดโอกาสนั้นแล้ว ครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ย่อมไม่พลาด"พี่สาวสามสวยมาก" เฉินเหม่ยเย่เอ่ยชมพี่สาวด้วยความตื่นเต้น ทั้งที่ไม่ใช่งานของตนเองนาน ๆ ที เฉินเฟิ่นอี้จะได้แต่งหน้าและแต่งตัว หากไม่ใช่วันสำคัญ แต่ก็ไม่ได้จัดเต็มเหมือนวันนี้ ภายใต้ชุดสีแดงมงคล เฉินเฟิ่นอี้เป็นผู้หญิงที่สวยมากในสายตาของน้องสาว"พี่สาวสามของเธอเป็นคนสวยมาตั้งนานแล้ว หล่อนแค่ไม่แต่งตัวเหมือนกับเธอที่ต้องทำงาน" พี่สาวใหญ่เดินเข้ามานั่งใกล้น้องสาวภายในห้องเจ้าสาวตอนนี้ มีพี่สาวใหญ่ พี่สาวรอง เฉินเหม่ยเย่ และเฉินเฟิ่นอี้ที่เป็นเจ้าสาว ทั้งสี่คนเป็นหลานสาวสายหลักของลุงสามที่เป็นผู้นำตระกูล ต่อให้แต่งงานแล้วแต่ยังเป็นคนสำคัญเฉินเฟิ่นอี้แต่งงานแล้วเธอจะเป็นคนของตระกูลโอวหยาง แต่ว่ายังสามารถมีปากเสียงในตระกูลเ
ต่อให้เร่งมากแค่ไหน การสร้างบ้านยังต้องใช้เวลาสองเดือน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้เวลาที่ว่างในการช่วยเฉียนลี่เซียนเปิดร้านตัดเย็บ มันเป็นเพียงการตัดเย็บที่ลูกค้าสั่งตัดไม่เกินห้าตัว ปะซ่อมบริเวณที่ขาดกว่าบ้านจะเสร็จ ร้านตัดเย็บเฉียนก็เริ่มเข้าที่แล้ว เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เธอปล่อยให้หล่อนจัดการร้านเอาเอง เพราะมีเฉียนเฟยเข้ามาช่วยจึงไม่ค่อยห่วงนักบ้านที่สร้างใหม่เป็นบ้านปูนห้าห้องนอน ล้อมรั้วแข็งแรงไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่เฉินเฟิ่นอี้ฝากกุญแจให้ผู้ใหญ่บ้านจ้างคนไปทำความสะอาดข้างนอกบ้านให้ รวมถึงถางหญ้าในที่ดิน ค่าดูแลเดือนละยี่สิบหยวน แน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยอมจ่ายทันทีที่บ้านเสร็จ กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเริ่มงาน พวกผู้หญิงมีงานถ่ายแบบเข้ามาบ้าง เฉินเฟิ่นอี้อนุญาตให้ทำและลดเงินเดือนบางส่วนของพวกหล่อนลงร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ยอีกสองสาขาอยู่ห่างจากสาขาใหญ่พอสมควร แต่เป็นบริเวณที่มีคนเดินผ่าน แน่นอนว่าร้านของเธอพี่ใหญ่เฉินเป็นคนหาให้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าสาขาที่สองเป็นสาขาที่เฉินเฟิ่นอี้สร้างร่วมกับน้องชายน้องสาว ส่วนสาขาใหญ่ตอนนี้มันเป็นเพียงชื่อของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าการ
งานมงคลผ่านไปแล้ว มีแต่คนอิจฉาเจ้าสาวเพราะได้รับสินสอดจำนวนมาก หลังงานมงคลเฉินเฟิ่นอี้เรียกผู้รับเหมาเข้าไปดูบ้านพร้อมกับสร้างบ้านใหม่ด้วยเวลาอันน้อยนิด เฉินเฟิ่นอี้จ่ายไม่อั้นเพื่อให้บ้านเสร็จก่อนกลับปักกิ่ง แต่ถึงจะเสร็จไม่ทันเธอก็จะรอให้มันเสร็จก่อนอยู่ดี ต่อให้มีคนนินทาและด่าว่าโง่ที่เอาเงินมาทิ้งกับบ้านที่ไม่ได้อยู่ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้สนใจ"พี่จัดการเรื่องผ้าถุงเสร็จแล้ว พวกเรากลับไปที่ร้านกันก่อนเถอะครับ" โอวหยางจิงบอกคนรักที่นั่งรออยู่ในโรงงานวันนี้เฉินเฟิ่นอี้เข้ามาจัดการเรื่องที่จะให้โรงงานส่งผ้าถุงเข้าไปในปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายในการขนส่งแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ยินดีจ่าย ขอแค่ให้ของไปถึงมือส่วนร้านเซี่ยเซี่ยร้านแรกของเธอจะยุติการขาย เรื่องนี้ได้คุยกับลุงเหว่ยเทาไปแล้วตอนที่กลับมาถึงวันแรก แต่ต้องเข้าไปคุยอีกทีเพื่อยกเลิกสัญญาพอมีการประกาศออกไปดูเหมือนว่าทุกคนจะตกใจและรีบมาซื้อเก็บเอาไว้ สินค้าจะมีเหลือให้ขายเพียงห้าพันผืนสุดท้าย หากขายหมดก่อนร้านจะปิดลงทันที"ค่ะ"หากเป็นเมื่อก่อนเฉินเฟิ่นอี้กับโอหยางจิงคงปั่นจักรยานกัน แต่ตอนนี้คุณลุงโอวหยางให้คนรักของเธอนำรถมาใช้งานระหว่างอยู
วันที่เจ็ดเดือนสามปี 1982 กลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้เดินทางมาถึงบ้านพักในอำเภอจวี่ที่เป็นบ้านหลังเดิม และเพื่อนของลุงสามเป็นคนจัดพื้นที่เอาไว้ให้แล้วการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินทางมาด้วย มีเพียงผู้ปกครองที่เดินทางกลับบ้าน เฉินเฟิ่นอี้พร้อมกับน้อง ๆ ต้องการมาเข้าร่วมงานมงคลของเว่ยฟ่งกับเจียวซีถึงได้ตามกันมา ยกเว้นเฉินชิงชิงน้องชายคนเล็กของบ้านที่ปีนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้วเฉินเฟิ่นอี้รับกุญแจจากลุงเหว่ยเทาทันทีที่มาถึง บ้านพักหลังนี้ถือว่าเป็นความทรงจำของเธอก็ว่าได้ อยู่มาตั้งหลายปี ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม"คุณลุงเหว่ยไม่ได้ปล่อยบ้านให้คนอื่นเช่าเหรอคะ" เฉินเฟิ่นอี้หันไปถามเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ในห้องโถง และสอบถามเรื่องราวระหว่างที่ไปอยู่ในปักกิ่ง"บ้านหลังนี้หลานบอกว่ามันเป็นความทรงจำไม่ใช่หรือ ถึงลุงไม่ได้ขายให้แต่ก็เก็บเอาไว้รอพวกหลานกลับมา" เหว่ยเทายิ้มเล็กน้อยเขาไม่ได้แต่งงานมีภรรยา สมบัติที่มีอยู่จึงเป็นของเขาและมีรายได้จากการปล่อยเช่าห้องพัก ไม่จำเป็นต้องปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้คนอื่น และเด็กบ้านเฉินก็เหมือนลูกเหมือนหลานของเขา"ขอบคุณค่ะ""ลุงสามฝากบอกว่าถ้ามีเวลาให้ขึ
หลังงานเลี้ยงจบลง ข่าวที่หลายคนจับตามองมากที่สุดไม่พ้นหลานชายหลานสาวของตระกูลเฉินมีคนรักแล้ว หลายคนยังคงต้องการขยับความสัมพันธ์ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาส จึงจ้างกลุ่มของเฉินเฟิ่นอี้ไปร่วมงานอยู่บ่อย ๆช่วงปิดภาคเรียนเป็นช่วงที่ต้องทำหลายอย่าง กว่าจะลงตัวก็เปิดภาคเรียนแล้ว ภาคเรียนที่สองเป็นภาคเรียนที่เหนื่อยมาก บ่อยครั้งที่เฉินเฟิ่นอี้ต้องนอนในหอพักของมหาวิทยาลัยความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนยังคงหนาแน่น ยิ่งที่บ้านย้ายเข้าไปอยู่ในเขตตระกูลเฉิน ทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักทำให้ได้พบเจอหน้ากันทุกวันยิ่งได้อยู่ด้วยกันกับเฉินเฟิ่นอี้ ทุกคนต่างลงความเห็นที่จะทำงานกับเพื่อนสาว เว่ยฟ่งถึงขั้นต่อสายมาหาพ่อกับแม่เรื่องที่เขาเรียนจบแล้วจะกลับไปแต่งงานกับเจียวซีแล้วจะกลับมาอยู่ในปักกิ่งคนอื่น ๆ ก็มีท่าทีไม่ต่างกัน ผู้ชายเข้าไปช่วยรุ่นพี่โอวหยางจิงทำงาน ผู้หญิงช่วยเฉินเฟิ่นอี้ในร้านผ้าถุงเซี่ยเซี่ย ตอนนี้ได้ค่าตอบแทนน้อย แต่ถือว่าคุ้มเพราะช่วยอยู่เบื้องหลังแค่มาเรียนปีแรกก็ทำเอาผู้ปกครองปวดหัวแล้ว ปีที่ีสองยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่มีใครกลับบ้านในช่วงปิดภาคเรียน ถ้าอยากเจอก็ให้เดินทางมาหาความสัมพัน
หลานชาย หลานสาว รวมถึงกลุ่มเพื่อนสนิทถูกจับแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานสำคัญ อันที่จริงกลุ่มเพื่อนของเฉินเฟิ่นอี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมก็ได้ แต่ทุกคนลงความคิดเห็นว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ภายใต้การดูแลของบ้านเฉินแล้วแขกภายในงานมีหลายคนที่เคยสนิทกับคนในตระกูลเฉิน เพราะฉะนั้นเฉินเฟิ่นอี้จึงพยายามบอกคนอื่นให้หลีกเลี่ยงเท่าที่จะทำได้เฉินเฟิ่นอี้มองชุดที่ออกแบบด้วยฝีมือของพี่เยี่ยฉิงจากร้านเยว่ซิน ทันทีที่จะมีการจัดเตรียมงานเธอได้ทำการติดต่อขอตัดเย็บเสื้อผ้าให้ และตระกูลเยี่ยคือหนึ่งในพันธมิตรของปู่เธอ"เสียดายจริง ๆ ที่เธอไม่คิดจะทำงานในวงการบ้างหรือ" เยี่ยฉิงมองชุดบนตัวของเฉินเฟิ่นอี้"ไม่ละค่ะ ฉันชอบทำงานเบื้องหลังมากกว่า" เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธไป ให้ช่วยแต่งหน้าหรือทำอย่างอื่นได้ แต่จะให้ถ่ายแบบเธอทำไม่ได้จริง ๆ"อื้อ ๆ ฉันก็ว่าแบบนั้นดูเป็นเธอมากกว่า" หล่อนหัวเราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นเจ้าของร้านผ้าถุงที่ออกแบบลวดลายเอง เยี่ยฉิงเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าที่ไม่ถ่ายแบบงานตัวเอง จึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเยี่ยฉิงที่ช่วยเฉินเฟิ่นอี้แต่งตัวแล้วเดินไปช่วยคนอื่นต่อ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้แต่งตัว แน่นอนว่างานส
ข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของหลายวันมานี้จะเป็นข่าวอะไรไปไม่ได้นอกจากข่าวผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลเฉิน เป็นผู้นำที่หลาย ๆ คนคิดว่าเหมาะสมที่สุด นั่นก็คือ เฉินจงอี้ หรือปู่เฉินของเด็ก ๆ บ้านเฉิน ที่รับช่วงต่อระหว่างรอลูกชายทั้งสี่เรียนรู้งานเฉินเฟิ่นอี้ให้พี่ใหญ่เฉินส่งคนคอยตามคนตระกูลเฉินไปอย่างลับ ๆ เธอไม่ไว้ใจพวกเขา อย่าลืมว่าเฉินหานกับ เฉินหว่านทั้งสองต่างมีชื่อเสียง เป็นไปไม่ได้ที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ และปู่รอง ปู่สามของตระกูลจะไม่มีน้ำยาทำอะไรจริง ๆ น่ะหรือ"ปู่คะ ฉันว่าพวกเราอยู่ที่บ้านนี้สักพักก่อนดีกว่าค่ะ ส่วนบ้านหลังนั้นก็ให้คนเข้าไปเก็บกวาดซ่อมแซมใหม่ก่อน" เฉินเฟิ่นอี้เสนอเมื่อปู่เฉินจะพาทุกคนย้ายเข้าไปอยู่บ้านตระกูลเฉินบ้านมันเก่ามากแล้วควรทำความสะอาดครั้งใหญ่ อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าข้างในจะมีอะไรที่เป็นอันตรายหรือไม่ และเธอสะดวกใจที่จะอยู่บ้านพักหลังนี้มากกว่า แต่ว่าถ้าปู่เฉินต้องการที่จะย้ายไปเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ขอเพียงให้มั่นใจก่อนว่ามันจะปลอดภัยจริง ๆช่วงนี้เธอไม่สามารถติดต่อกับระบบได้และมันก็หายไปหลายวันแล้ว ทำให้เฉินเฟิ่นอี้เป็นกังวลและคิดว่าควรรอมากกว่า"ทำไมล่ะ ที่จริงพวกเร
ปู่เฉิน ย่าเฉิน ลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสาม พ่อของเธอ พี่ใหญ่เฉิน และเฉินเฟิ่นอี้อยู่บนรถยนต์เพื่อเดินทางไปยังตระกูลเฉินตามที่เคยบอกเฉินหว่านเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้พูดเล่น ตอนนี้ตระกูลเฉินมีหนี้และอีกไม่นานกิจการค้าขายที่เคยเป็นของปู่เฉินก็จะถูกยึด พี่ใหญ่เฉินกล่าวว่ามีคนจากตระกูลเฉินขอกู้เงินจำนวนหนึ่งล้านหยวนแลกกับกิจการเฉินเฟิ่นอี้นั่งข้างคนขับซึงก็คือพี่ใหญ่เฉิน นอกจากพวกเธอแล้วยังมีนายทหารอีกสองคันที่พี่ใหญ่เฉินพามาด้วย ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะไม่มีเงินจ้างคนทำความสะอาดทางเข้า เขตบ้านตระกูลเฉินรกมากรถยนต์ดับลงหน้าบ้าน สมาชิกบ้านเฉินลงจากรถ เฉินเฟิ่นอี้เดินไปหาย่าเฉินที่อยู่ในวงล้อมของลูก ๆ เฉินเฟิ่นไม่ได้กลัวแต่ถ้าเกิดมีการลงไม้ลงมือกัน อย่างน้อยอยู่ใกล้ย่าเฉินจะปลอดภัยที่สุด“ที่นี่คือตระกูลเฉินเหรอคะ?”เฉินเฟิ่นอี้มองไปยังบ้านหลายหลังที่อยู่ติดกัน ด้านหน้าทางเข้าพบว่าเป็นบ้านสมัยใหม่ที่ดูดี แต่พอเข้ามาด้านหลังต้องบอกว่ามันทรุดโทรมมาก โดยเฉพาะหลังที่เป็นเหมือนบ้านรวม ตัวหลังคาหน้าบ้านมันแตกแล้ว“เปลี่ยนไปมากจริง ๆ” ปู่เฉินว่าด้วยความเสียดาย ที่ผ่านมาเขาคิดว่าจะมีคนดูแลที่นี่เหมือนก
เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดร้านนานหลายวัน เฉินเฟิ่นอี้กลับมาเปิดร้านอีกครั้งและจ้างคนมาเฝ้าหน้าร้านถึงสามคนเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หนังสือพิมพ์ลงข่าวทายาทของเจ้าของกิจการที่ยกให้น้องชายก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมครอบครัว ทำให้ร้านผ้าถุงมีลูกค้าเข้ามาซื้อของมากขึ้น และมีหลายร้านที่มาจ้างให้เฉินเหม่ยเย่ไปถ่ายงาน นอกจากนี้กลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็ยังมีงานตามมาอีกไม่ต่างกันเฉินเฟิ่นอี้นั่งลงบนเก้าอี้เพื่อตรวจสอบบัญชีของเมื่อวานที่ยังไม่ได้จัดการ ข้าง ๆ กันมีโอวหยางจิงที่ตามมาด้วย เห็นบอกว่างานในโรงงานไม่ได้มีอะไรให้ทำและไม่ได้รับลูกค้าเพิ่ม เพียงตัดเย็บให้ร้านของเธอกับตัดเย็บเสื้อผ้าให้ร้านเยว่ซินก็ทำแทบไม่ทันแล้ว"เมื่อวานโจวซิงฉือบอกว่าที่บ้านติดต่อมา มีคนเข้าไปหาพวกเขาสอบถามถึงเรื่องของเธอ แต่ครอบครัวของเขาบอกไปว่าไม่รู้จักเธอ" โอวหยางจิงเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งมองคนรักทำงานทุกคนติดต่อไปยังครอบครัวเพื่อให้บอกว่าไม่รู้จักบ้านเฉินหรือหากพวกเขามีพยานให้ตอบว่าเป็นเพื่อนของลูกเท่านั้นไม่ได้รู้จักสนิทสนม และเป็นคำสั่งของเฉินเฟิ่นอี้เองเพื่อความปลอดภัยของทุกคน และไม่มีใครถามเนื่องจากเชื่อในตัวของเพื่อน