1
บุคคลสำคัญล้วนปรากฎตัว
“นั่นเป็นเรื่องของพวกคุณ ฉันให้โอกาสพวกคุณเท่านี้ แต่พวกคุณควรรู้ไว้ว่าผู้บัญชาการมณฑลซูเป่ยจางอวี้เจินนั้นโหดเหี้ยมมาก หากเขาตั้งใจไม่ปล่อยไม่ว่าอยู่ที่ไหนเขาก็จะตามหาคุณจนเจอ”
คนร้ายเมื่อได้ฟังก็ขนลุกชันขึ้นทั่วร่าง พวกโจร ขโมยไม่มีใครไม่รู้จักกิตติศัพท์ของผู้บัญชาการมณฑลจางอวี้เจิน เพราะพวกเขามาจากที่อื่นจึงไม่รู้ว่าที่นี่คือเขตพื้นที่ของจางอวี้เจินผู้นั้น
ปืนในมือที่ใช้ข่มขู่เธอก่อนหน้านี้เริ่มสั่นเทาเล็กน้อย ไม่คิดว่าเธอจะโกหกเพียงเพื่อเอาตัวรอดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
“พวกเราควรทำอย่างไรต่อ”
“ถ้าเชื่อฉันก็แค่จอดรถ จอดรออยู่ตรงนี้รอให้ผู้บัญชาการมณฑลมาถึง”
“หากผู้บัญชาการมาถึงพวกเราจะรอดได้ยังไง”
“เมื่อตัดสินใจจะเชื่อฉัน พวกคุณก็ไม่ควรถามแล้วไม่ใช่หรือคะ”
รถที่ขับออกมาหยุดลงเมื่อเธอพูดจบ ถึงอย่างไรขับต่อก็ไม่รอดไม่สู้ยอมเสี่ยงอยู่ที่นี่กับเธอยังดีเสียกว่า ทั้งหมดจึงนั่งรออยู่ในรถ เกือบห้านาทีก็มีรถทหารสองคันวิ่งมาจอดฝั่งตรงข้ามของถนนนอกตัวเมือง ทหารผู้น้อยทุกคนลงจากรถแล้วจ่อปืนมายังรถที่คนร้ายขับ
เกาม่านอี้เปิดประตูลงจากรถยืนนิ่งอยู่ตรงประตู รอจนคนที่ตั้งใจมาพบลงจากรถตอนเห็นเธอ ชายหนุ่มรูปร่างสูงสมส่วนสมเป็นชายชาติทหาร ใบหน้าหล่อคม ดวงตาดุร้ายราวกับเหยี่ยวมองเหยื่อ เขาขมวดคิ้วเพ่งมองร่างอวบอีกฝั่งถนน
ทำไมเป็นเธอ เขาได้ยินว่ามีคนถูกจับป็นตัวประกันแต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเธอ แต่ที่คิดไม่ถึงมากที่สุดคงจะเป็นเธอไม่ร้องไห้เพราะความกลัว ทั้งยังยืนยิ้มอยู่ตรงนั้นตามลำพัง
จางอวี้เจินรีบเดินเข้าไปหาเธอด้วยความเป็นห่วง ไม่ระวังว่าจะถูกลอบทำร้ายเลยสักนิด พระรองของเธอคนนี้มั่นใจในฝีมือตนเองมากทำให้ไม่กลัวว่าจะถูกลอบทำร้าย พอเห็นคนที่รอกำลังเดินมาเกาม่านอี้ฉีกยิ้มกว้างตั้งใจวิ่งข้ามถนนไปหาชายหนุ่มอีกฝั่งหนึ่ง
“ม่านม่าน ทำไมอยู่ที่นี่”
“พี่อวี้เจิน ฉันถูกคนร้ายจับมาและกำลังรอพี่อยู่”
“รอพี่? ถูกคนร้ายจับแต่รอพี่แบบนี้มันยังไงกันม่านม่าน จะอย่างไรก็ช่างเถอะบาดเจ็บหรือเปล่า พวกมันไปไหนกันหมดพี่จะได้ส่งมันไปลงนรกเสีย”
ทีแรกก็อยากถามเรื่องที่เธอบอก พอนึกได้ว่าเธอถูกคนร้ายทั้งสี่จับตัวมาก็นึกโมโห หากเธอเป็นอะไรไปต่อให้ตามฆ่าพวกมันทั้งหมดก็ไม่คุ้มค่าเลย ผู้บัญชาการทหารรีบล้วงเอาปีนที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา ดึงเธอให้หลบอยู่ด้านหลัง ก้าวไปข้างหน้าไม่มีท่าทางเกรงกลัวเลย เดินได้แค่ก้าวเดียวก็ถูกหญิงสาวฉุดข้อมือแข็งแกร่งไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวค่ะ พี่อวี้เจิน ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บคนพวกนั้นแค่ได้ยินชื่อพี่ก็พากันกลัวจนตัวสั่นหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันจะยืนอยู่ตรงนี้ได้หรือคะ”
“ถึงม่านม่านจะไม่บาดเจ็บแต่พวกนั้นจับเธอมา อีกทั้งยังขโมยของย่อมต้องถูกลงโทษ ในฐานะผู้บัญชาการอย่างไรพี่ก็ปล่อยไปไม่ได้”
“แต่ฉันสัญญากับพวกเขาไว้ว่าถ้าหากยอมปล่อยฉัน ฉันจะให้พี่ไว้ชีวิตพวกเขา หากพี่อวี้เจินเอาเรื่องพวกเขาฉันก็กลายเป็นคนเสียสัจจะไม่ใช่หรือคะ”
จางอวี้เจินมองหน้าลูกสาวเพื่อนสนิทของพ่อที่โตมาด้วยกัน สงสัยท่าทีของเธอไม่น้อย เขาย่อมต้องสงสัยในเมื่อก่อนหน้านี้ม่านม่านของเขาเป็นคนยอมคน มีเขาคอยปกป้องเสมอ ปฏิเสธหรือดื้อรั้นก็ไม่เป็น เขาถึงได้อยากอยู่ข้าง ๆ คอยดูแลเธอไปตลอด แต่ตอนนี้กลับแย้งคำพูดของเขาเพื่อขอชีวิตคนร้าย
“นะคะพี่อวี้เจิน”
“พี่เห็นแก่ม่านม่าน จะปล่อยไปสักครั้งแต่เรื่องที่ขโมยก็ยังต้องลงโทษอยู่ดี”
“คนพวกนั้นแค่มาขโมยของตัวเองกลับไปเพราะถูกขโมยก่อน ไม่ใช่พวกหัวขโมยมืออาชีพ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่กล้าเข้ามาในเขตซูเป่ยที่มีผู้บัญชาการมณฑลจางอวี้เจินดูแลอยู่หรอกค่ะ และถ้าพวกเขาเป็นคนไม่ดีฉันจะยอมขอร้องพี่เพื่อพวกเขาหรือคะ”
จางอวี้เจินยืนฟังนิ่ง ๆ คิดตามก็เห็นด้วยกับเธอทุกสิ่ง แม้เธอจะโกหกเขาก็เลือกจะเชื่ออยู่ดี ขอเพียงเธอร้องขอต่อให้ต้องช่วยคนชั่วแค่ไหนเขาก็ทำได้ เขายิ้มออกมาทันทีเมื่อเกาม่านอี้เกาะแขนเงยหน้าส่งสายตาออดอ้อนราวเด็กน้อยมาให้เขา
ทหารชั้นผู้น้อยเหล่านั้นรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัว เพราะตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ไม่เคยเห็นผู้บัญชาโหดเหี้ยมยิ้มแบบนี้แม้แต่ครั้งเดียว
“พี่อวี้เจินไม่เชื่อฉันหรือคะ”
“พี่ต้องเชื่อม่านม่านอยู่แล้ว ถ้าไม่เป็นอะไรก็กลับกันเถอะพี่จะไปส่ง”
เพราะเขาเป็นคนแสนดีสำหรับเกาม่านอี้เสมอไม่ว่าเมื่อไร เขาจึงกลายเป็นตัวละครในนิยายที่เธอรักที่สุด ไม่รู้เพราะรักที่สุดหรือเปล่าเธอจึงไม่ยอมให้เขามีความรักจนจบเรื่อง คราวนี้ได้ย้อนกลับมาแก้ไขเธอถึงอยากให้เขาเป็นพระเอก หากได้ย้อนกลับมาก่อนตกลงแต่งงานเธอจะไม่แต่งกับเย่หมิงเสวียนอย่างแน่นอน
เกาม่านอี้ในนิยายไม่เคยรู้ตัวเลยว่าจางอวี้เจินหลงรักเธอมาตลอด เขาก็ไม่ได้บอกเพราะอยากรอให้ถึงวันที่ตนเองมีหน้าที่มั่นคง เมื่อสองปีก่อนเขาได้รับภารกิจให้ไปทำจึงไม่ได้พบเธอเป็นเวลาเกือบสองปี พอกลับมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชามณฑลแห่งซูเป่ย และรู้ว่าเกาม่านอี้มีคนรักเสียแล้ว ทั้งยังจะแต่งงานกันอีกไม่กี่เดือนจึงเก็บทุกอย่างไว้ในใจตนเองเงียบ ๆ
1บุคคลสำคัญล้วนปรากฎตัวงานสมรสก็ไม่ได้ไปอ้างว่าติดภารกิจแท้จริงไม่สามารถทนมองหน้าเจ้าบ่าวได้ กระทั่งได้เจอเธอในวันนี้และเธอจำเขาได้ในทันที“ขอบคุณค่ะ แต่รบกวนพี่รอฉันสักครู่นะคะ”กล่าวขอบคุณเสร็จกำลังจะตามเขากลับไปก็นึกขึ้นมาได้จึงรีบวิ่งกลับไปที่รถด้านหลัง รถนั่นเธอควรนำมันกลับไปด้วย ตระกูลเย่มีรถเพียงสองคันหายไปหนึ่งก็คงลำบากเธอเอง“พวกคุณไปได้แล้ว”“เธอพูดจริง ๆ หรือ”หนึ่งในคนที่จับเธอมาร้องถามด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าแค่เธอเดินออกไปพูดไม่กี่คำ ผู้บัญชาการจอมโหดนั่นจะยอมปล่อยโจรอย่างพวกเขาไปง่ายแบบนี้“ฉันบอกแล้วไง ถ้าพวกคุณเชื่อฉันพวกคุณจะรอด”“เธอเป็นใครกันแน่ ทำไมผู้บัญชาการถึงยอมปล่อยพวกเราไป”“น้องสาว ถ้าอยากรู้อะไรก็ถามต่อได้เลยฉันจะตอบหมดทุกอย่างแต่ถ้านานไปผู้บัญชาการรอนานพวกคุณอาจจะไม่รอดแล้ว”พอเธอพูดจบพวกเขาก็รีบวิ่งลงจากรถไปทันที โอกาสรอดชีวิตแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ ต่อให้มีหลายชีวิตก็คงไม่พอใช้หากทำให้จางอวี้เจินไม่พอใจร่างอวบอิ่มเดินกลับไปหาคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ชาย ก่อนจะยิ้มกว้างให้เขา เธอมีเรื่องต้องขอให้เขาช่วยอีกแล้ว“พี่อวี้เจินให้คนของพี่ขับรถนั่นกลับไปที่สำนักงานตร
บทนำย้อนกลับไปที่บทนำหญิงสาวลืมตาขึ้นพยายามหรี่ตามองภาพตรงหน้าให้ชัดเจน ยิ่งพยายามกลับยิ่งรู้สึกว่ามันพร่าเลือน เพ่งมองอย่างดีจึงรู้ว่าเธอกำลังมองมันผ่านบางสิ่งบางอย่าง ฝ่ามืออวบอิ่มดึงผ้าคลุมหน้าผืนสีแดงบางพริ้วออกจากหัวเชื่องช้า ก่อนหยิบมาดูด้วยความงุนงง“นี่มันอะไรกันอีกละเนี่ย ไม่ใช่ว่าฉันตายไปแล้วหรอ”เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเธอถูกตัวละครตัวหนึ่งลวงไปฆ่า ทั้งที่ตอนนั้นเธออยู่ในนิยายของตนเองแท้ ๆ แต่เมื่อถึงตอนจบของนิยายเธอกลับไม่ได้หลุดออกไปจากนิยายเรื่องนี้ กลับกันนิยายยังคงดำเนินต่อไปทั้งที่มันควรจะจบเมื่อถึงบทสุดท้ายเธอเป็นนักเขียนที่ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือชะตากลั้นแกล้งถึงได้ทะลุมิติเข้าไปเป็นนางเอกในนิยายของตัวเอง นิยายเรื่องนี้ของเธอนางเอกมีชีวิตรักที่รันทดมากทั้งที่ครอบครัวมั่งมีมากแท้ ๆ เธอก็แค่เขียนเพราะมันขายได้ แต่เมื่อได้หลุดเข้ามาเป็นนางเอกถึงได้รู้ว่าตัวละครของเธอเจ็บช้ำร่างกายจิตใจมากแค่ไหนเพราะเธอไม่ได้ฝืนชะตาปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามเส้นเรื่องอย่างที่ควรจะเป็น ถึงอย่างไรพระเอกก็ต้องกลับมาตามง้อนางเอกและอยู่กันอย่างมีความสุขเมื่อเขารู้ว่าเธอท้อง มันควรจะเป็นแบบน
บทนำย้อนกลับไปที่บทนำ“อาอี้” เสียงแหบพร่าร่ำเรียกผู้เป็นภรรยา เขาทำใจอยู่นานกว่าจะทำใจได้ว่าต้องร่วมหอกับเธอ เดิมทีแสร้งรักไม่เท่าไรแต่ร่วมหอเขาต้องทำใจอยู่นานเพื่อให้เธอตายใจว่าเขารักด้วยใจจริง“พี่หมิงเสวียน” เกาม่านอี้แสร้งขานรับเดินไปหาเขาเชื่องช้า เก็บใบหน้าเบื่อหน่ายเอาไว้ แสดงรอยยิ้มใสซื่อให้เขาเห็นประคองเขาเดินไปยังโต๊ะกลางห้องที่ตั้งใจรินเหล้าไว้ให้เขา“อาอี้เหนื่อยหรือเปล่า”“ไม่ค่ะ พี่หมิงเสวียนต่างหากที่เหนื่อย ดื่มหน่อยสิคะฉันเตรียมเหล้านี้ไว้ให้พี่เองเลย” น้ำเสียงอ่อนโยนพูดพร้อมยกแก้วเหล้าขึ้นมาจ่อริมฝีปากเขา ฝืนใจแค่ไหนเย่หมิงเสวียนก็ไม่ปริปากพูดเขา พยักหน้ายิ้มให้แล้วเทเหล้าเข้าปากจนหมดแก้ว“พี่ดีใจจริง ๆ รู้หรือเปล่าที่อาอี้ยอมแต่งงานกับพี่” เย่หมิงเสวียนจ้องหน้าภรรยาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สองมือประคองใบหน้าอิ่มของเธอไว้ตั้งใจจะจุมพิตแล้วพาเธอไปที่เตียง ใบหน้าโน้มใกล้เรื่อย ๆ แต่ไม่ทันได้แตะริมฝีปากเย่หมิงเสวียนก็ฟุบหน้าลงกับไหล่ของเธอ“หลับไปซะ อิหลัวชั่ว กล้าพูดนะว่าดีใจ แกน่ะเสียใจสุด ๆ เลยที่ได้แต่งกับอาอี้ ชั่วจริง ๆ” หลี่ม่านม่านในร่างเกาม่านอี้บ่นพึมพำทั้งที่
บทนำย้อนกลับไปที่บทนำ“พี่หมิงเสวียนอย่าตำหนิน้องอวี่เลยค่ะ เธอยังเด็กอีกทั้งเธอก็ไม่ได้มีงานอะไรให้ทำ จะตื่นสายบ้างก็ไม่เป็นไรมั้งคะ”คำพูดนี้ไม่ได้ช่วยพูดแก้ต่างแม้แต่น้อย ดูเหมือนเป็นการยั่วโทสะของสาวน้อยอย่างเย่หมิงอวี่มากกว่า เธอไม่ชอบเกาม่านอี้อยู่แล้ว พอเธอช่วยพูดจึงดูเหมือนเป็นการว่ากล่าวเสียดสี“เธอไม่ต้องยุ่ง ฉันจะทำหรือไม่ทำงานก็ไม่เกี่ยวกับเธอ”“พี่แค่ไม่อยากให้พี่หมิงเสวียนตำหนิน้องอวี่เท่านั้น”“เรื่องของฉัน ไม่ต้องรบกวนเธอเป็นห่วง”“อาอวี่ อาอี้เป็นพี่สะใภ้ของเธอ ทำอะไรต้องให้เกียรติเธอ”เย่หมิงอวี่หน้างอสะบัดหน้าหนีเมื่อถูกพี่ชายตำหนิเรื่องที่เธอโต้เถียงเกาม่านอี้เมื่อครู่ เรื่องที่ตระกูลเย่กำลังมีปัญหาทุกคนในบ้านรู้ดี เพราะต้องใช้เกาม่านอี้เย่หมิงอวี่ถึงได้ยอมอ่อนลง ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการหนังสืออนุญาตผ่านทางของเกาม่านอี้ ตระกูลเย่คงไม่ยอมอ่อนถึงขนาดนี้แต่ก็มีบ้างที่จะลืมตัวแล้วเอ่ยตำหนิแสดงกิริยาไม่ชอบเธอจนเห็นได้ชัดเจน ถึงอย่างนั้นเกาม่านอี้ก็ไม่ได้สนใจ ขอเพียงสามีรักเธอ เธอก็พอใจมากแล้วบรรยากาศบนโต๊ะอาหารสงบลงเล็กน้อยเมื่อเย่หมิงเสวียนใช่สายตาบอกแม่กับน้องสาวให้สง
1บุคคลสำคัญล้วนปรากฎตัว“พี่หมิงเสวียนที่นี่คือสำนักงานของตระกูลเย่หรือคะ”“ใช่แล้วอาอี้ เราเข้าไปข้างในกันเถอะคุณพ่อคงรออยู่แล้ว”เขาพาเธอเดินเข้าไปในสำนักงานตรงหน้าเข้าไปข้างในเป็นโถงกว้าง มองจากภายนอกอาคารนี้ดูใหญ่โดดเด่นที่สุดในแถบนี้ แต่เมื่อเข้ามาภายในจะเห็นว่าอาคารเริ่มทรุดโทรมลงตามกาลเวลาและไม่ได้ซ่อมแซมเลย บ่งบอกพวกเขากำลังอยู่ในวิกฤตเรื่องการเงินสองฝั่งซ้ายมือขวามือมีประตูฝั่งละบาน ฝั่งขวาเป็นห้องของพวกลูกน้อง บรรดานักเลงที่ใช้ลงไปช่วยกันในสุสานได้ ฝั่งซ้ายเป็นที่รับซื้อของโบราณจากพวกชาวบ้านหรือคนที่บังเอิญได้มา ชั้นสองเป็นห้องของพวกหัวหน้าสายต่าง ๆ และมีห้องรับซื้อข้อมูล ชั้นบนสุดเป็นห้องของเจ้าของสำนักงานและรับแขกสำคัญ เรื่องพวกนี้เธอรู้ดีอยู่แก่ใจเพราะเป็นคนวางแผนผังอาคารเองทั้งหมด“ที่นี่เงียบจังเลยนะคะ”“คนที่นี่จะอยู่ในห้องของตัวเองเสียส่วนใหญ่ จึงเงียบแบบนี้แต่ถ้ามีงานอะไรก็จะเรียกรวมตัว ไปเถอะครับ”ชายหนุ่มประคองมือเธอเดินขึ้นไปยังชั้นสาม ระหว่างทางเดินขึ้นไปบนผนังของทางเดินมีกรอบภาพขนาดใหญ่กรอบหนึ่ง ในกรอบมีมีดเก่าแก่ติดอยู่ ดูเหมือนพวกเขาจะตั้งใจทำไว้ตกแต่งอาคารส
1บุคคลสำคัญล้วนปรากฎตัวงานสมรสก็ไม่ได้ไปอ้างว่าติดภารกิจแท้จริงไม่สามารถทนมองหน้าเจ้าบ่าวได้ กระทั่งได้เจอเธอในวันนี้และเธอจำเขาได้ในทันที“ขอบคุณค่ะ แต่รบกวนพี่รอฉันสักครู่นะคะ”กล่าวขอบคุณเสร็จกำลังจะตามเขากลับไปก็นึกขึ้นมาได้จึงรีบวิ่งกลับไปที่รถด้านหลัง รถนั่นเธอควรนำมันกลับไปด้วย ตระกูลเย่มีรถเพียงสองคันหายไปหนึ่งก็คงลำบากเธอเอง“พวกคุณไปได้แล้ว”“เธอพูดจริง ๆ หรือ”หนึ่งในคนที่จับเธอมาร้องถามด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าแค่เธอเดินออกไปพูดไม่กี่คำ ผู้บัญชาการจอมโหดนั่นจะยอมปล่อยโจรอย่างพวกเขาไปง่ายแบบนี้“ฉันบอกแล้วไง ถ้าพวกคุณเชื่อฉันพวกคุณจะรอด”“เธอเป็นใครกันแน่ ทำไมผู้บัญชาการถึงยอมปล่อยพวกเราไป”“น้องสาว ถ้าอยากรู้อะไรก็ถามต่อได้เลยฉันจะตอบหมดทุกอย่างแต่ถ้านานไปผู้บัญชาการรอนานพวกคุณอาจจะไม่รอดแล้ว”พอเธอพูดจบพวกเขาก็รีบวิ่งลงจากรถไปทันที โอกาสรอดชีวิตแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ ต่อให้มีหลายชีวิตก็คงไม่พอใช้หากทำให้จางอวี้เจินไม่พอใจร่างอวบอิ่มเดินกลับไปหาคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ชาย ก่อนจะยิ้มกว้างให้เขา เธอมีเรื่องต้องขอให้เขาช่วยอีกแล้ว“พี่อวี้เจินให้คนของพี่ขับรถนั่นกลับไปที่สำนักงานตร
1บุคคลสำคัญล้วนปรากฎตัว“นั่นเป็นเรื่องของพวกคุณ ฉันให้โอกาสพวกคุณเท่านี้ แต่พวกคุณควรรู้ไว้ว่าผู้บัญชาการมณฑลซูเป่ยจางอวี้เจินนั้นโหดเหี้ยมมาก หากเขาตั้งใจไม่ปล่อยไม่ว่าอยู่ที่ไหนเขาก็จะตามหาคุณจนเจอ”คนร้ายเมื่อได้ฟังก็ขนลุกชันขึ้นทั่วร่าง พวกโจร ขโมยไม่มีใครไม่รู้จักกิตติศัพท์ของผู้บัญชาการมณฑลจางอวี้เจิน เพราะพวกเขามาจากที่อื่นจึงไม่รู้ว่าที่นี่คือเขตพื้นที่ของจางอวี้เจินผู้นั้นปืนในมือที่ใช้ข่มขู่เธอก่อนหน้านี้เริ่มสั่นเทาเล็กน้อย ไม่คิดว่าเธอจะโกหกเพียงเพื่อเอาตัวรอดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว“พวกเราควรทำอย่างไรต่อ”“ถ้าเชื่อฉันก็แค่จอดรถ จอดรออยู่ตรงนี้รอให้ผู้บัญชาการมณฑลมาถึง”“หากผู้บัญชาการมาถึงพวกเราจะรอดได้ยังไง”“เมื่อตัดสินใจจะเชื่อฉัน พวกคุณก็ไม่ควรถามแล้วไม่ใช่หรือคะ”รถที่ขับออกมาหยุดลงเมื่อเธอพูดจบ ถึงอย่างไรขับต่อก็ไม่รอดไม่สู้ยอมเสี่ยงอยู่ที่นี่กับเธอยังดีเสียกว่า ทั้งหมดจึงนั่งรออยู่ในรถ เกือบห้านาทีก็มีรถทหารสองคันวิ่งมาจอดฝั่งตรงข้ามของถนนนอกตัวเมือง ทหารผู้น้อยทุกคนลงจากรถแล้วจ่อปืนมายังรถที่คนร้ายขับเกาม่านอี้เปิดประตูลงจากรถยืนนิ่งอยู่ตรงประตู รอจนคนที่ตั้งใจม
1บุคคลสำคัญล้วนปรากฎตัว“พี่หมิงเสวียนที่นี่คือสำนักงานของตระกูลเย่หรือคะ”“ใช่แล้วอาอี้ เราเข้าไปข้างในกันเถอะคุณพ่อคงรออยู่แล้ว”เขาพาเธอเดินเข้าไปในสำนักงานตรงหน้าเข้าไปข้างในเป็นโถงกว้าง มองจากภายนอกอาคารนี้ดูใหญ่โดดเด่นที่สุดในแถบนี้ แต่เมื่อเข้ามาภายในจะเห็นว่าอาคารเริ่มทรุดโทรมลงตามกาลเวลาและไม่ได้ซ่อมแซมเลย บ่งบอกพวกเขากำลังอยู่ในวิกฤตเรื่องการเงินสองฝั่งซ้ายมือขวามือมีประตูฝั่งละบาน ฝั่งขวาเป็นห้องของพวกลูกน้อง บรรดานักเลงที่ใช้ลงไปช่วยกันในสุสานได้ ฝั่งซ้ายเป็นที่รับซื้อของโบราณจากพวกชาวบ้านหรือคนที่บังเอิญได้มา ชั้นสองเป็นห้องของพวกหัวหน้าสายต่าง ๆ และมีห้องรับซื้อข้อมูล ชั้นบนสุดเป็นห้องของเจ้าของสำนักงานและรับแขกสำคัญ เรื่องพวกนี้เธอรู้ดีอยู่แก่ใจเพราะเป็นคนวางแผนผังอาคารเองทั้งหมด“ที่นี่เงียบจังเลยนะคะ”“คนที่นี่จะอยู่ในห้องของตัวเองเสียส่วนใหญ่ จึงเงียบแบบนี้แต่ถ้ามีงานอะไรก็จะเรียกรวมตัว ไปเถอะครับ”ชายหนุ่มประคองมือเธอเดินขึ้นไปยังชั้นสาม ระหว่างทางเดินขึ้นไปบนผนังของทางเดินมีกรอบภาพขนาดใหญ่กรอบหนึ่ง ในกรอบมีมีดเก่าแก่ติดอยู่ ดูเหมือนพวกเขาจะตั้งใจทำไว้ตกแต่งอาคารส
บทนำย้อนกลับไปที่บทนำ“พี่หมิงเสวียนอย่าตำหนิน้องอวี่เลยค่ะ เธอยังเด็กอีกทั้งเธอก็ไม่ได้มีงานอะไรให้ทำ จะตื่นสายบ้างก็ไม่เป็นไรมั้งคะ”คำพูดนี้ไม่ได้ช่วยพูดแก้ต่างแม้แต่น้อย ดูเหมือนเป็นการยั่วโทสะของสาวน้อยอย่างเย่หมิงอวี่มากกว่า เธอไม่ชอบเกาม่านอี้อยู่แล้ว พอเธอช่วยพูดจึงดูเหมือนเป็นการว่ากล่าวเสียดสี“เธอไม่ต้องยุ่ง ฉันจะทำหรือไม่ทำงานก็ไม่เกี่ยวกับเธอ”“พี่แค่ไม่อยากให้พี่หมิงเสวียนตำหนิน้องอวี่เท่านั้น”“เรื่องของฉัน ไม่ต้องรบกวนเธอเป็นห่วง”“อาอวี่ อาอี้เป็นพี่สะใภ้ของเธอ ทำอะไรต้องให้เกียรติเธอ”เย่หมิงอวี่หน้างอสะบัดหน้าหนีเมื่อถูกพี่ชายตำหนิเรื่องที่เธอโต้เถียงเกาม่านอี้เมื่อครู่ เรื่องที่ตระกูลเย่กำลังมีปัญหาทุกคนในบ้านรู้ดี เพราะต้องใช้เกาม่านอี้เย่หมิงอวี่ถึงได้ยอมอ่อนลง ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการหนังสืออนุญาตผ่านทางของเกาม่านอี้ ตระกูลเย่คงไม่ยอมอ่อนถึงขนาดนี้แต่ก็มีบ้างที่จะลืมตัวแล้วเอ่ยตำหนิแสดงกิริยาไม่ชอบเธอจนเห็นได้ชัดเจน ถึงอย่างนั้นเกาม่านอี้ก็ไม่ได้สนใจ ขอเพียงสามีรักเธอ เธอก็พอใจมากแล้วบรรยากาศบนโต๊ะอาหารสงบลงเล็กน้อยเมื่อเย่หมิงเสวียนใช่สายตาบอกแม่กับน้องสาวให้สง
บทนำย้อนกลับไปที่บทนำ“อาอี้” เสียงแหบพร่าร่ำเรียกผู้เป็นภรรยา เขาทำใจอยู่นานกว่าจะทำใจได้ว่าต้องร่วมหอกับเธอ เดิมทีแสร้งรักไม่เท่าไรแต่ร่วมหอเขาต้องทำใจอยู่นานเพื่อให้เธอตายใจว่าเขารักด้วยใจจริง“พี่หมิงเสวียน” เกาม่านอี้แสร้งขานรับเดินไปหาเขาเชื่องช้า เก็บใบหน้าเบื่อหน่ายเอาไว้ แสดงรอยยิ้มใสซื่อให้เขาเห็นประคองเขาเดินไปยังโต๊ะกลางห้องที่ตั้งใจรินเหล้าไว้ให้เขา“อาอี้เหนื่อยหรือเปล่า”“ไม่ค่ะ พี่หมิงเสวียนต่างหากที่เหนื่อย ดื่มหน่อยสิคะฉันเตรียมเหล้านี้ไว้ให้พี่เองเลย” น้ำเสียงอ่อนโยนพูดพร้อมยกแก้วเหล้าขึ้นมาจ่อริมฝีปากเขา ฝืนใจแค่ไหนเย่หมิงเสวียนก็ไม่ปริปากพูดเขา พยักหน้ายิ้มให้แล้วเทเหล้าเข้าปากจนหมดแก้ว“พี่ดีใจจริง ๆ รู้หรือเปล่าที่อาอี้ยอมแต่งงานกับพี่” เย่หมิงเสวียนจ้องหน้าภรรยาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สองมือประคองใบหน้าอิ่มของเธอไว้ตั้งใจจะจุมพิตแล้วพาเธอไปที่เตียง ใบหน้าโน้มใกล้เรื่อย ๆ แต่ไม่ทันได้แตะริมฝีปากเย่หมิงเสวียนก็ฟุบหน้าลงกับไหล่ของเธอ“หลับไปซะ อิหลัวชั่ว กล้าพูดนะว่าดีใจ แกน่ะเสียใจสุด ๆ เลยที่ได้แต่งกับอาอี้ ชั่วจริง ๆ” หลี่ม่านม่านในร่างเกาม่านอี้บ่นพึมพำทั้งที่
บทนำย้อนกลับไปที่บทนำหญิงสาวลืมตาขึ้นพยายามหรี่ตามองภาพตรงหน้าให้ชัดเจน ยิ่งพยายามกลับยิ่งรู้สึกว่ามันพร่าเลือน เพ่งมองอย่างดีจึงรู้ว่าเธอกำลังมองมันผ่านบางสิ่งบางอย่าง ฝ่ามืออวบอิ่มดึงผ้าคลุมหน้าผืนสีแดงบางพริ้วออกจากหัวเชื่องช้า ก่อนหยิบมาดูด้วยความงุนงง“นี่มันอะไรกันอีกละเนี่ย ไม่ใช่ว่าฉันตายไปแล้วหรอ”เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเธอถูกตัวละครตัวหนึ่งลวงไปฆ่า ทั้งที่ตอนนั้นเธออยู่ในนิยายของตนเองแท้ ๆ แต่เมื่อถึงตอนจบของนิยายเธอกลับไม่ได้หลุดออกไปจากนิยายเรื่องนี้ กลับกันนิยายยังคงดำเนินต่อไปทั้งที่มันควรจะจบเมื่อถึงบทสุดท้ายเธอเป็นนักเขียนที่ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือชะตากลั้นแกล้งถึงได้ทะลุมิติเข้าไปเป็นนางเอกในนิยายของตัวเอง นิยายเรื่องนี้ของเธอนางเอกมีชีวิตรักที่รันทดมากทั้งที่ครอบครัวมั่งมีมากแท้ ๆ เธอก็แค่เขียนเพราะมันขายได้ แต่เมื่อได้หลุดเข้ามาเป็นนางเอกถึงได้รู้ว่าตัวละครของเธอเจ็บช้ำร่างกายจิตใจมากแค่ไหนเพราะเธอไม่ได้ฝืนชะตาปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามเส้นเรื่องอย่างที่ควรจะเป็น ถึงอย่างไรพระเอกก็ต้องกลับมาตามง้อนางเอกและอยู่กันอย่างมีความสุขเมื่อเขารู้ว่าเธอท้อง มันควรจะเป็นแบบน