หลังจากแยกบ้านวันนี้ก็ผ่านมาสามวันแล้ว เหอเสี่ยวหงในตอนนี้ก็กำลังบำรุงร่างกายเพราะเพิ่งแท้งลูกและยืนนานเกินไปตกดึกจึงปวดท้องทำให้ล้มนอนอีกครั้ง
‘พี่สะใภ้ใหญ่’
‘อ้าว น้องสาวสามตื่นแล้วเหรอ’
‘ใช่ค่ะ เสี่ยวจวี่ร้องไห้งอแงน่ะค่ะ’
เสียงทักทายของพี่สะใภ้และน้องสาวสามีดังขึ้นข้างนอกห้องของเหอเสี่ยวหง
เนื่องจากบ้านหลังนี้มี 8 ห้องนอน เหอเสี่ยวหงเลือกเอา 3 ห้อง เหอหรงหรงก็เลือกเอา 3 ห้อง โจวมี่เลือก 1 ห้อง มันจึงเหลือ 1 ห้อง ทั้งสามจึงตกลงกันว่าจะทำเป็นห้องครัว ส่วนห้องครัวเก่าก็จะทำเป็นห้องเก็บฟืน
บ้านหลังนี้อยู่ติดกับคลองน้ำที่ชาวบ้านใช้ แต่บ้านหลังนี้อยู่ต้นน้ำและมีกำแพงอ้อมสูง 2 เมตร ลานหน้าบ้านนั้นมีต้นไม้ต้นใหญ่ 2 ต้น ใต้ต้นไม้จะมีโต๊ะและเก้าอี้อยู่ 2-3 ตัว
ข้างบ้านด้านขวาจะมีห้องครัวเก่าที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นห้องเก็บฟืน กับมีบ่อน้ำที่มีไม่กี่บ่อในหมู่บ้าน ส่วนด้านหลังนั้นจะเป็นแปลงผักกับเล้าไก่เก่า
ภายในตัวบ้านจะคล้ายครึ่งวงกลม เมื่อเปิดประตูทางซ้ายจะเป็นห้องครัว ถัดจากห้องครัว 2 ห้อง จะเป็นห้องของเหอหรงหรง ส่วนอีกห้องจะเป็นห้องตรงข้ามกับประตู ข้างๆกันจะมีอีกห้องที่ยกให้โจวมี่ และทางด้านขวาจะเป็นห้องของเหอเสี่ยวหง
เหอเสี่ยวห้องนั้นนอนห้องที่อยู่ติดประตูและตรงข้ามห้องครัวกับลูกสาวคนเล็ก ส่วนลูกสาวคนโต คนรอง คนกลาง นอนห้องตรงกลางเพราะลูกๆเริ่มโตแล้วเหอเสี่ยวหงจึงแยกห้องนอน และเตียงเตานั้นเล็กเกินไป
ส่วนตรงกลางบ้านจะมีโต๊ะยาวที่สามารถนั่งได้หลายคนกับมีเก้าอีก 7 ตัว
ส่วนอาหารนั้นแน่นอนว่าต้องแยกกันทำเพราะทุกคนได้แยกบ้านกันแล้ว แต่ถ้าหากจะกินข้าวด้วยกันก็แค่ทำแล้วเอามารวมกันก็ได้
หม้อที่ได้จากการแยกบ้าน 1 ใบ กับโจวมี่ที่ได้มาจากบ้านอดีตสามี 1 ใบ พอดีกับเตาที่มีในบ้าน 2 เตา จึงทำให้การทำอาหารนั้นไม่ค่อยยุ่งยาก
แกร๊ก
“พี่สะใภ้ใหญ่ โจวมี่” เหอเสี่ยวหงเรียกทั้งสอง
“สะใภ้รองเป็นอย่างไรบ้าง มานั่งก่อน ๆ ” เหอหรงหรงมาพยุงเหอเสี่ยวหงไปนั่ง
สามวันที่ผ่านมาเหอเสี่ยวหงไม่ได้ลุกออกมาจากห้องเลย เพราะต้องพักร่างกายจะมีเหอหรงหรงกับโจวมี่เข้าไปดูอาการสลับกันบ้าง
ส่วนอาหารจะเป็นโจวเอ้อร์นีที่เป็นคนทำอาหาร ถึงแม้จะยังเด็กแต่เพราะเข้าครัวตั้งแต่เด็กจึงทำอาหารเป็นบ้าง
“เป็นอย่างไรบ้างคะพี่สะใภ้รอง” เป็นโจวมี่ที่เอ่ยถาม
“พี่ดีขึ้นแล้วจ้ะ” เหอเสี่ยวหงตอบ
“เฮ้อ หมดทุกข์สักทีนะ” เหอหรงหรงว่า
‘คิดแบบนั้นเหรอ’ เหอเสี่ยวหงคิดในใจ
“แล้วโจวมี่จะเอายังไงเหรอจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงถาม
“เดิมทีฉันจะเอาลูกมาฝากคุณแม่เลี้ยงน่ะค่ะ แต่จะจ้างเลี้ยง แต่คงจะไม่ได้แล้ว นี่ก็ใกล้หมดเวลาลาของฉันแล้ว” โจวมี่ว่าพลางป้อนนมลูกสาว
“แล้วทำไมถึงหย่ากับน้องเขยละจ๊ะ” เป็นเหอหรงหรงที่เป็นคนถาม
“ก็เพราะคนบ้านหลี่รู้ยังไงล่ะคะว่าพี่ชายใหญ่ฉันบาดเจ็บและพี่รองฉันถูกส่งไปที่อื่น! ก็เลยหาทางเขี่ยฉันออกเพราะสามีฉันไปชอบลูกสาวหัวหน้าแผนกฉัน! พอคลอดเสี่ยวจวี่ ก็บังคับฉันหย่า บอกว่าฉันไม่มีหลานชายให้ ยังดีที่พ่อสามียังมีเยื่อใยต่อหลานสาวบ้างก็เลยให้จักรเย็บผ้ากับจักรยานพ่วงข้างที่ได้เป็นสินสอดให้ฉัน เอาหม้อให้กับเงินอีกร้อยกว่าหยวน” โจวมี่พูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด
คนบ้านหลี่ย่อมรู้ว่าตอนนี้บ้านโจวไม่ต่างกับนกที่ปีกหัก เพราะเสาหลักของบ้านคนหนึ่งก็บาดเจ็บ คนหนึ่งก็ถูกย้ายไปที่อื่น ทำให้ไม่มีใครเกรงกลัวโจวมี่และบังคับหย่า
“คนบ้านหลี่นี่ก็จริงๆ พอจะแต่งก็แทบกราบเท้า พอจะหย่าก็หย่า!” เหอหรงหรงโมโห
ลูกสาวที่แต่งออกจากบ้านก็เหมือนกับน้ำที่ถูกสาดออก แล้วหากถูกหย่าก็ไม่มีใครอยากแต่งงานด้วยอีก ในตอนนี้ยังไม่ได้พัฒนามาก หากถูกหย่าและกลับบ้านเดิมก็จะถูกนินทา!
“ยังดีนะคะ ที่บ้านหลี่ได้ซื้อนมไว้แล้วเพราะคิดว่าจะได้หลานชาย พอหย่าฉันก็ให้นมผงมา 5 กระปุก!” โจวมี่ว่า
“โอ้ ดีจริง ๆ” เหอเสี่ยวหงเห็นด้วย
หากจะซื้อของต้องมีคูปองและเส้นสายกับความเร็วบ้างถึงจะซื้อได้ เพราะของเป็นที่ต้องการมาก บ้านหลี่มีตำแหน่งในร้านค้าของรัฐหลายแห่งจึงซื้อได้แต่ก็ต้องจ่ายเงินอีกหลายหยวนเพื่อซื้อ
ตอนนี้เสี่ยวจวี่ยังกินนมของโจวมี่อยู่ นม 5 กระป๋องจึงยังไม่ได้ใช้ แต่ถ้าเสี่ยวจวี่ต้องกินนมผง อย่างน้อยก็อยู่ได้เดือนเดียวกับอย่างมากก็สองเดือน
“เอาอย่างนี้ไหม เอาเสี่ยวจวี่ให้พี่เลี้ยงให้ก่อน เธอจะได้ทำงานได้!” เหอหรงหรงบอกโจวมี่
จริงๆเหอเสี่ยวหงก็อยากเป็นคนเลี้ยงอยู่หรอกแต่ก็เพราะตอนนี้เหอเสี่ยวหงยังมีลูกสาวที่ต้องบำรุงร่างกายอยู่ จึงไม่สามารถรับปากว่าจะเลี้ยงให้ได้
“จริงเหรอคะ! ฉันจะให้เงินพี่ 6 หยวนต่อเดือนให้ดู เสี่ยวจวี่และเสี่ยวยวี่ให้ฉัน!” โจวมี่เหมือนเห็นแสงสว่าง
“ใช่จ้ะ ตอนนี้สะใภ้รองร่างกายไม่สะดวก พี่จะดูแลให้เอง” เหอหรงหรงยิ้ม
เหอเสี่ยวหงนั้นเพิ่งแท้งลูกไป อีกทั้งยังมีลูกสาวอีกสี่คนหากจะให้เลี้ยงคงจะไม่ได้ หล่อนมีลูกสาวสามคน คนโตกับคนกลางก็ดูแลตัวเองได้แล้ว เพราะฉะนั้นหล่อนจึงนับว่าเหมาะสมกว่าเหอเสี่ยวหง
แอ้ แอ้ แง่!~
“เอาเสี่ยวจวี่ไปนอนเถอะจ้ะ” เหอเสี่ยวหงบอกเพราะเสี่ยวจวี่เริ่มร้องไห้แล้ว
“ได้ค่ะ! ไปเถอะเสี่ยวยวี่” โจวมี่เรียกลูกสาวคนโต
จริง ๆ แล้วลูกสาวคนโตหล่อนชื่อว่า ‘หลี่ยวี่’ ลูกสาวคนเล็กชื่อว่า ‘หลี่จวี่’ แต่เพราะหย่ากันแล้วหล่อนจึงไม่อยากเกี่ยวของกันจึงไม่เรียกชื่อเต็มของลูกสาว
หลังจากโจวที่พาลูกสาวเข้าห้องไปก็เหลือเพียงเหอเสี่ยวหงกับเหอหรงหรง ส่วนลูกสาวนั้นเล่นกันอยู่ในห้อง
“คะ?” เหอเสี่ยวหงสงสัย
เพราะเมื่อโจวมี่เข้าห้องไป เหอหรงหรงก็เอาเงินออกมายื่นให้เหอเสี่ยวหงพร้อมกับตั๋วคูปองปึกใหญ่
“นี่คือเงิดชดเชยที่บาดเจ็บของสามีฉันเอง ทางนู้นส่งมาให้ในวันที่เราแยกบ้านกันพอดีแต่ฉันไม่ได้เอาออกมา” เหอหรงหรงบอก
“แต่นี่ของพี่ชายใหญ่นะคะ มันก็เป็นของบ้านใหญ่ก็ถูกแล้ว” เหอเสี่ยวหงตอบ
“เอาไปเถอะ! ถ้าไม่มีเธอเราก็ไม่ได้แยกบ้าน!” เหอหรงหรงยัดเงินและตั๋วคูปองใส่มือน้องสาวที่พ่วงตำแหน่งน้องสะใภ้
เพราะฉะนั้นเหอเสี่ยวหงจึงได้เงินเพิ่มมา บวกเงินตอนแยกบ้านและเงินเก็บที่มี เหอเสี่ยวหงก็พบว่าเธอมีเงินมากกว่าสองพันหยวน!! ไหนจะมีคูปองปึกใหญ่อีก
“ถ้าโรงเรียนในตำบลเปิด ฉันจะส่งลูกสาวเข้าเรียน!” เหอเสี่ยวหงพูดต่อ
เพราะตอนนี้โรงเรียนปิดให้เด็ก ๆ ไปช่วยผู้ปกครองเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่จึงจำเป็นต้องปิดโรงเรียน
ในตำบลจะมีโรงเรียนประถมของหน่วยผลิตอยู่แห่งหนึ่ง ค่าเรียนปีละ 10 หยวน เรียน 5 ปี! ไม่รวมค่าอื่นๆอย่างน้อยก็ต้องมี 50 หยวน!! ทำให้ไม่มีใครอยากส่งลูกหลานเรียน หากส่งเรียนแล้วคนในครอบครัวต้องอดจะส่งไปเรียนทำไม?
แต่ก็สามารถสอบเทียบระดับได้หากทั่นใจว่าจะผ่านเพราะจะได้ประหยัดค่าเล่าเรียนด้วย
ประถมเรียน 5 ปี มัธยมต้นและมัธยมปลายเรียนชั้นละ 2 ปี!
เพราะในตอนที่พ่อโจวยังมีชีวิตอยู่ ถึงนางหลี่ซือไม่มีอำนาจมากแต่นางก็กลัวลูกชายนางไม่มีเงินใช้ จึงบอกพ่อโจวว่าเงินไม่พอที่จะส่งหลานสาวเรียนทั้งหมดเพราะโจวกว่างเรียนอยู่ ถึงพอโจวจะรักลูกเท่าๆกันแต่แน่นอนว่าลูกชายกับหลานสาวพ่อโจวเลือกลูกชาย
ถึงแม้พวกนางยืนยันจะส่งลูกสาวเข้าเรียนเหมือนพวกนางก็ไม่สามารถทำได้ ในเวลานั้นเป็นช่วงที่พ่อโจวล้มป่วยด้วย นางหลี่ซือจึงมีข้ออ้างมากขึ้น
ลูกสาวของเธอจึงได้เรียนแค่ที่เธอสอนและในเวลาที่จะนอนแล้วเท่านั้น เพราะเวลาอื่นต้องทำงาน!
“พอดีเลย! ฉันก็จะส่งต้านีกับซือนีของฉันไปเรียนด้วย!!” เหอหรงหรงตาลุกวาว
พวกเธอเป็นคนบ้านเหอ แน่นอนว่าพวกเธอได้เรียนในระดับมัธยม! แต่มีเพียงเหอเสี่ยวหงจบในระดับมัธยมปลาย ส่วนเหอหรงหรงนั้นเรียนจบแค่มัธยมต้นเพราะถึงแม้บ้านเหอจะมีเงิน แต่เหอหรงหรงรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถเท่าเหอเสี่ยวหง จึงเรียนจบแค่มัธยมต้นเท่านั้น
“ฉันจะให้เอ้อร์นีกับซานนีไปเรียนก่อน แล้วปีหน้าค่อยส่งอู๋นีไปด้วย” เหอเสี่ยวหงบอก
“ใช่ อู๋นียังเด็ก” เหอหรงหรงพยักหน้า
“ต้องถามโจวมี่ด้วยจะให้เสี่ยวจวี่เข้าเรียนไหม” เหอหรงหรงพูดต่อ
“ใช่” เหอเสี่ยวหงเห็นด้วย
“ฉันว่าจะไปอำเภอน่ะค่ะ พี่จะฝากซื้ออะไรไหม” เหอเสี่ยวหงถามต่อ
“ไม่จ้ะ” เหอหรงหรงปฏิเสธ
“ฉันฝากลูกฉันด้วยนะคะ”
“ได้” เหอหรงหรงพยักหน้าตอบ
เพราะในวันนี้เหอเสี่ยวหงจะไปซื้อพวกของมาไว้กินกับลูก ๆ หากเธอเอาของออกมาโดยที่ไม่มีที่มาจะมีคนสงสัยเอาได้ และเธอก็จะไปหาดูลู่ทางทำเงินสักหน่อย
ของที่ได้มาตอนแยกบ้านมันไม่ได้ลดลงมากเพราะโจวเอ้อร์หงหรือที่เธอเรียกว่าเอ้อร์นี
นั้นเวลาที่ต้องมาช่วยทำอาหารต้องใช้น้อยที่สุด จึงไม่กล้าใช้ทำอาหารเยอะ
คิดว่าจะเอาพวกเนื้อออกไปขายสัก 2-3 ชั่งอย่างน้อยก็น่าจะได้สัก 3-4 หยวน ถึงแม้จะน้อยแต่ก็ดีกว่าไม่มีรายได้เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าโจวเหวินหลงเป็นอย่างไรบ้าง
ตั้งแต่ที่โจวเหวินหลงย้ายไปทำงานที่อื่นชั่วคราวหลังพ่อโจวเสียชีวิตก็จะ 2 เดือนแล้ว
พอบอกสะใภ้ใหญ่ว่าจะเข้าอำเภอ เหอเสี่ยวหงก็ไปยืมรถจักรยานกับโจวมี่ แล้วออกไปอาบน้ำที่บ่อข้างบ้าน
หลังจากอาบน้ำเสร็จเหอเสี่ยวหงก็แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กับกางเกงยีนสีดำที่โจวเหวินหลงเคยซื้อให้ เมื่อกำลังจะออกจากห้องจึงหันไปบอกลูกสาวคนโต
“เอ้อร์นีจ๊ะ แม่จะไปข้างนอก หนูดูแลน้องด้วยนะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาว
“ได้ค่ะ!” โจวเอ้อร์นีรับคำ
“ฉันไปแล้วนะคะ!!”
หลังจากออกจากห้องก็หันไปตะโกนบอกเหอหรงหรงที่อยู่ในห้อง จากนั้นก็ออกมาหน้าบ้านแต่ก็ได้ยินเหอหรงพูดตามหลังมาแต่ก็ไม่รู้ว่าบอกอะไร
เหอเสี่ยวหงปั่นจักรยานพ่วงข้างที่มีตะกร้า 2-3 อันอยู่ผ่านหมู่บ้านและผ่านแปลงนาเพราะถึงไม่อยากขี่ผ่านทางนี้ก็คงไม่ได้เพราะมันมีทางเดียว
ระหว่างทางเหอเสี่ยวหงที่ค่อย ๆ ปั่นในช่วงเวลาสายของวันจึงเห็นคนทำงานในแปลงนา
‘สะใภ้บ้านรองโจวจะไปไหนนั่น’ ชาวบ้านที่กำลังถอนวัชพืชกลุ่มหนึ่งพูดคุยกัน
‘เหอะ! คงจะไปใช้เงินน่ะสิ! หล่อนขอแยกบ้านแล้วเอาเงินไปหลายร้อยหยวน!’
จางซือสะใภ้รองบ้านจางที่อยู่ข้างบ้านโจวเอ่ยขึ้นอย่างดูแคลน
นางเป็นคนนอกหมู่บ้านที่แต่งเข้าบ้านจางก่อนที่เหอเสี่ยวหงแต่งเข้าบ้านโจวไม่กี่วัน! แต่เหอเสี่ยวหงกลับมีลูกก่อนนางเป็นปี นางถูกแม่สามีด่าว่าไร้ความสามารถเป็นปี!
ในขณะที่เหอเสี่ยวหงแม่สามีไม่กล้าด่าที่มีลูกเป็นผู้หญิงเพราะสามีของเหอเสี่ยวหงเป็นพนักงานที่มีเงินเดือน! นางที่แต่งเข้าบ้านจาง 2 ปี กลับคลอดลูกสาวออกมาให้แม่สามีด่าหนักกว่าเดิม!
‘โอ้ ทำไมเจ้ารู้’ ชาวบ้านที่ทำงานด้วยกันอุทาน
‘ทำไมจะไม่รู้? วันนั้นฉันหยุดงานแล้วได้ยินเลขาธิการหม่าพูด!’ วันนั้นหล่อนเป็นลมจึงต้องกลับไปพักที่บ้าน
‘โอ้! สามีไม่อยู่แทนที่จะกตัญูญูต่อแม่ของสามี!’ ชาวบ้านอีกคนว่า
‘ใช่’ หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย
เสียงที่ชาวบ้านนินทาเหอเสี่ยวหงนั้นไม่เบาเพราะแต่ละคนถึงจะทำงานบริเวณเดียวกันแต่ก็ห่างกันอยู่ไม่น้อยจึงต้องพูดคุยกันเสียงดัง แต่เหอเสี่ยวหงทำเป็นไม่ได้ยิน
ในยุคนี้หากแยกบ้านนั้น พ่อกับแม่ต้องเสียชีวิตเท่านั้น เพราะถ้าแยกบ้านตอนพ่อและแม่ยังมีชีวิตอยู่จะเป็นการอกตัญญู!
แต่เหอเสี่ยวหงไม่สนใจ เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะนางหลี่ซือไม่ใช่แม่ของสามีเธอ!
สองข้างทางจากหมู่บ้านโจวไปตำบลถ้าเดินใช้เวลาครึ่งชั่วโมงหากใช้รถจักรยานไม่ถึง 20 นาที แต่ถ้าไปอำเภอเดินใช้เวลา 2 ชั่วโมง มีจักรยานอย่างเร็วสุด 1 ชั่วโมง!
ในใจของเหอเสี่ยวหงนั้นอยากจะย้ายเข้ามาอยู่ในอำเภอเลย เพราะมันมีความสะดวกสบายมากกว่าอยู่หมู่บ้านยากจนอย่างหมู่บ้านโจว
แต่ก็นั่นแหละถ้าออกมาโดยที่มีแค่เธอและลูกจะถูกสงสัยเรื่องเงินทันที เพราะเธอคิดที่จะขายของเก็งกำไร!
เมื่อปั่นมาได้ครึ่งทางเหอเสี่ยวหงก็จอดพักเพราะเธอเหนื่อยและไม่อยากฝืนร่างกายเกินไป พอหายเหนื่อยก็ปั่นต่อและเป็นแบบนี้มาตลอดทาง กว่าจะถึงอำเภอก็ใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมง!
อันดับแรกที่เหอเสี่ยวหงไปนั่นก็คือตลาดมืด! เมื่อก่อนเหอเสี่ยวหงไม่เคยมาเลยเพราะอย่างที่รู้ ๆ ว่าตลาดมือคืออะไร
และแน่นอนว่าถ้าไม่เคยมาย่อมไม่รู้รหัส เหอเสี่ยวหงจึงจ่ายเงินติดสินบนผู้คุมทางเข้าไป 1 เหมา
ภายในตลาดมืดนั้นคนคึกคักเป็นอย่างมาก แต่เสียงกลับไม่ดังแต่ก็ไม่เบา
เหอเสี่ยวหงที่ใส่ผ้าคลุมหัวแล้วเก็บจักรยานเข้ามิติจากนั้นหยิบสบู่กลิ่นผลไม้รวมของตระกูลเบอร์รี่ออกมา 10 ก้อนและไข่ไก่ 1 แผง จากที่ตอนแรกจะเอาหมูมาขาย
“คุณป้ามองหาอะไรคะ? ให้ฉันช่วยหาไหม” เหอเสี่ยวหงรีบตรงไปที่ผู้หญิงวัยกลางคนที่เหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่แล้วเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา
“ฉันมองหาไข่ไก่นะจ้ะ พอดีที่บ้านหลานสาวฉันหล่อนชอบกินมาก แต่วันนี้มันหมดฉันเลยมาซื้อแต่หาไม่เจอเลย”
คุณป้าที่เหอเสี่ยวหงเรียกนั้นที่บ้านมีลูกชายเป็นทหารและมีหลานสาวคนเดียวหล่อนจึงเลี้ยงหลานอย่างดีด้วยไข่ไก่ที่อย่างน้อยก็ต้องได้กินวันละ 2 ฟอง! แต่วันนี้ร้านที่ซื้อประจำกลับไม่มา
“คุณป้าคะ! พอดีฉันมีของนะคะ” เหอเสี่ยวหงรีบบอก
“โอ้! เธอมีจริงๆเหรอ!” คุณป้าอุทาน
“ใช่ค่ะ ฉันมีอยู่ 6 ชั่ง นี่ค่ะ ดูได้เลย” เหอเสี่ยวหงเปิดตะกร้าที่ใช้ผ้าปิดไว้ออกและข้างในมันมีไข่แผง 1 และสบู่ที่ซีลใซ่ถุงใส่อยู่อีกทาง
“โอ้! เธอมีไข่ไก่ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ! ฉันเอาทั้งหมด!” คุณป้าอุทานตกใจอีกรอบที่เห็นไข่ไก่
ไข่ไก่ใน ปี2022 มีขนาดใหญ่กว่าไข่ไก่ใน ปี1960 ไข่ไก่ใน ปี1960 2 ฟอง ค่อยมีขนาดใหญ่เท่าไข่ไก่ใน ปี2022
“แต่ไข่ไก่ของฉันมีราคามากกว่าปกตินะคะ!” เหอเสี่ยวหงรีบบอกเพราะเดี๋ยวจะหาว่าเธอโกง
“แล้วเท่าไรละจ๊ะ” คุณป้าถาม
“ 6 ชั่ง 1 หยวนค่ะ” เหอเสี่ยวหงที่คิดราคาในใจแล้วตอบคุณป้า
“แพงจัง! 8 เหมา 5 เฟิน ได้ไหม” คุณป้าที่ตอนแรกคิดว่าราคามันจะเป็นราคาที่ขายในตลาดมืดก็ต่อรองราคากับเหอเสี่ยวหง
“คุณป้าดูไข่ของฉันซิคะ! ถ้าผัด 3 ฟองก็กินได้ทั้งครอบครัว ไม่ต้องใช้คูปอง ปกติไข่ไก่ชั่งละ 1 เหมา แต่นี่ที่ไหนคะ? ไม่ต้องใช้คูปอง ไข่ไก่ก็ฟองใหญ่ ถ้าไม่เอาก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปแล้ว” เหอเสี่ยวหงเดินออก
เรื่องอะไรที่เธอจะลดราคาล่ะ! ถ้าซื้อในสหกรณ์ต้องใช้คูปอง 3 ใบ กับเงินอีก 6 เหมา! ถ้าซื้อในตลาดมืดราคาจะอยู่ที่ 1 เหมา 2 เฟิน ถึง 1 เหมา 4 เฟิน หรือบางทีถ้าใช้คูปองด้วยอาจได้ราคาถูกกว่า
“เดี๋ยวจ้ะ! ฉันจะเอาทั้งหมดเลย!”
เหอเสี่ยวหงยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี
หลังจากที่เหอเสี่ยวหงขายไข่ไก่ให้คุณป้าคนนั้นแล้วเหอเสี่ยวหงก็ยังขายสบู่ในราคาก้อนละ 3 หยวน และเอาผลไม้อย่างอื่นออกมาขายอีกเล็กน้อยก็ได้เงินทั้งหมด 51 หยวน 8 เฟิน! เป็นเงินเดือนสามีของเธอเกือบ 2 เดือน!แม้นิยายในปี2022 ที่เหอเสี่ยวเคยอ่านหลาย ๆ เรื่องจะเห็นว่ามาขายครั้งหนึ่งได้เป็นร้อย ๆ หยวนก็ตาม แต่นี่คือชีวิตจริง! หากเธอจะขายของได้เป็นร้อย ๆ หยวนคงต้องใช้เวลามากกว่า 4 ชั่วโมง! เพราะแค่นี้เธอก็ขายของ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ และเธอคงจะฝืนร่างกายเหนื่อยอยู่หรอก! กว่าจะปั่นจักรยานกลับบ้านอีก!เมื่อขายของเสร็จแล้วเหอเสี่ยวหงก็ปั่นจักรยานมาจอดที่ห้างสรรพสินค้าในอำเภอและเข้าไปดูของข้างใน แต่เพราะมันเป็นช่วงปลายเดือน ของจึงยังไม่มาเติม และหากของมาเติม ไม่ถึงวันก็ไม่น่าพอเพราะของน้อยมาก ตอนนี้ของน้อยชนิดที่ว่าเหลืออันละไม่เกิน 3 ชิ้น!‘แบบนี้ฉันจะเอาอะไรกลับไปให้บ้านใหญ่กับโจวมี่เล่า’ เหอเสี่ยวหงคิดในใจ ที่เธอจะไม่เอาของในมิติให้ก็เพราะไม่อยากให้ทั้งสองสงสัยว่าเอาของมาจากไหนในเวลาที่ของหายากแบบนี้ ‘งั้นเอาแอปเปิลให้สัก 2 ลูกก็ได้’ เหอเสี่ยวหงตอบตัวเองในใจ เหอเสี่ยวหงที่ขี่จักรยานออกจากห้างสรรพ
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม”เหอเสี่ยวหงหันไปมองตามเสียงก็เห็นสะใภ้ใหญ่เดินออกมา ตามมาด้วยลูกสาวคนโตอย่างโจวต้าหงหรือโจวต้านีวัย 9 ขวบที่จับมือน้องสาวคนรองอย่างโจวซือหงหรือโจวซือนีเด็กน้อยวัย 7 ขวบ ออกมาด้วยส่วนลูกสาวคนเล็กวัยสามขวบของบ้านใหญ่อย่างโจวมู่หงหรือโจวมู่นีนั้นเหอเสี่ยวหงไม่เห็น อาจจะยังนอนอยู่ก็ได้“พี่สะใภ้มาพอดีเลยช่วยฉันขนของหน่อยค่ะ” เหอเสี่ยวหงบอก“ได้จ้ะ” สะใภ้ใหญ่ตอบ“เดี๋ยวหนูช่วยค่ะ!/หนูช่วยค่ะ!”เป็นโจวต้านีกับโจซือนีบอกพร้อมกับเดินมาช่วยทุกคนขนของเข้าไปในบ้าน เพราะคนบังคับเกวียนวัวเป็นผู้ชาย เหอเสี่ยวหงจึงไม่ได้ให้เขาเอาเกวียนเข้าไปในบ้านส่วนเหอเสี่ยวหงนั้นเมื่อทุกคนขนของเข้าไปข้างในทั้งหมดและอาศัยช่วงเงลาที่คนบังคับเกวียนนั่งพักเอาแรง ก็นำผ้านวมที่พับซีลใส่ถุงสูญกาศออกมาแล้วทำเป็นหยิบจากเกวียนเข้าไปในบ้าน“โอ้! สะใภ้รอง เธอได้ผ้านวมมาจากไหนน่ะ! ผืนใหญ่มาก” สะใภ้ใหญ่อุทานตาโตตอนนี้เป็นช่วงกลางเดือนกันยายนแน่นอนว่าอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะเป็นฤดูหนาว ที่เหอเสี่ยวหงเอาออกมาตอนนี้ทั้ง ๆ ยังไม่ถึงฤดูที่ต้องใช้ก็เพราะมันยังหาง่ายอยู่ยังไงล่ะ!หากเข้าสู่ช่วงหนาวแล้วทุกบ้า
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว เหอเสี่ยวหงจึงได้กินแผ่นแป้งเย็นที่ลูกสาวเหลือไว้ให้สองแผ่นพาลูกสาวทั้งสี่คนไปอาบน้ำแล้วไล่เข้าห้องไป รวมถึงโจวลิ่วนีที่เธอให้ เด็กๆอยู่ด้วยกันก่อน จุดเทียนไว้ 3 เล่ม แล้วบอกให้เด็กๆระวังเปลวไฟจากนั้นจึงมาจุดเตาไฟที่มีฟืนและถ่านยังแดงร้อนอยู่เล็กน้อย ใส่ฟืนและพัดให้ไฟลุกจะได้ทำอาหารไว้กินพรุ่งนี้เช้า เหอเสี่ยวหงนำรากผักชีในมิติออกมาผัดใส่พริกไทยในน้ำมันเล็กน้อยผัดให้เครื่องหอมแล้วเทน้ำใส่ไปเกือบเต็มหม้อ ใส่ผงปรุงรส เกลือ ซีอิ๊ว คนให้ละลายจากนั้นนำกระดูกหมูที่มีเนื้อติดใส่ลงไป 2 ชั่ง แล้วปิดฝาไว้ทิ้งไว้ เนื่องจากมันมีถ่านจากการปิ้งแผ่นแป้งอยู่แล้วบวกกับใส่ฟืนลงไป คืนนี้จึงไม่ต้องลุกมาใส่ฟืนอีกพรุ่งนี้เหอเสี่ยวหงจะใส่อย่างอื่นเพิ่มแล้วก็จะหุงข้าวกินกับน้ำซุปกระดูกหมูที่ได้ต้มไปหันไปอีกเตาที่ยังไม่ได้จุดไฟ เหอเสี่ยวหงได้ย้ายไฟจากอีกเตามาใส่และใส่เชื้อเพลิงลงไปทำให้ไฟลุกขึ้น หยิบหม้อตักน้ำใส่ต้มให้สุก แล้วเหอเสี่ยวหงนำน้ำต้มสุกใส่กระติกน้ำร้อนไว้ พรุ่งนี้เธอจะได้ผสมกับนมให้เด็กๆดื่มถ้าไปต้มพรุ่งนี้เช้า คงจะไม่ทันเพราะมี 2 เตา และ 3 บ้าน กว่าจะทำอาหาร
ป่าทางด้านตะวันออกเป็นป่าที่ชาวบ้านเข้าไปเก็บผักป่าและหาฟืน เหอเสี่ยวหงที่พ่วงลูกสาวมาด้วยสามคนจึงต้องเข้าไปป่าที่ชาวบ้านเข้ามา เพราะเธอไม่สามารถที่จะดูแลลูกสาวคนเดียวได้เวลาแปดโมงเช้าเป็นเวลาที่ชาวบ้านในหมู่บ้านลงแปลงนากันแล้ว ยกเว้นบ้านที่มีแม่ให้กำเนิดลูกที่อยู่ไฟกับคนแก่ชราที่ไม่ได้ลงแปลงนา บางคนอาจอยู่บ้าน บางคนก็จะเข้ามาเก็บฟืน ทำให้เหอเสี่ยวหงเห็นคนเดินเข้าออกไม่กี่คน“พวกหนูเก็บเศษไม้ตรงนี้นะจ๊ะ แม่จะหาฟืนตรงนั้น ถ้ามีอะไรให้ตะโกนเรียกเสียงดัง ๆ นะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงชี้บอกลูกสาวตรงที่เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาวว่าจะไปเก็บฟืนไม่ได้ห่างจากตรงที่จะเก็บเศษไม้มากนักแต่เหอเสี่ยวหงก็ห่วงลูกสาว“ได้ค่าาา” เป็นโจวซานนีที่ตอบ“เอ้อร์นีจ๊ะ ดูแลน้องด้วยนะลูก” เหอเสี่ยวหงหันไปหาลูกสาวคนโต“ได้ค่ะ!” โจวเอ้อร์นีรับคำ“แม่วางตะกร้าไว้ตรงนี้ ถ้าเหนื่อยก็พาน้องนั่งนะลูก” เหอเสี่ยวหงพูดต่อเด็กทั้งสามคนจึงพยักหน้ารับทราบคำที่แม่บอก พร้อมทั้งพากันเดินเก็บเศษไม้มาใส่เถาวัลย์ที่หาเจอเมื่อกี้กันเหอเสี่ยวหงมองแล้วจึงเดินไปตรงที่จะเก็บฟืน เธอจะเก็บวันละ 1-2 มัดก็พอ กว่าจะถึงฤดูหนาวฟืนก็น่าจะเยอะแล้ว และรอแปล
เหอเสี่ยวหงถือจานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และขวดเก็บอุณหภูมิไปวางไว้บนหัวเตียงเตา แล้วยืนมองเด็กๆเขียน“อู๋นีจ๊ะ บรรทัดนี้ขีดมากไปจ้ะ” เหอเสี่ยวหงชี้ให้ดูโจวอู๋นีพยักหน้า‘ลิ่วนีขีดเล็กไปจ้ะ’‘ซานนีหนูลืมคำนี้”‘เอ้อร์นีเขียนถูกแล้วจ้ะ แต่ตัวใหญ่เกินไป’‘อู๋นี หนูเขียนสลับกัน’‘ลบตรงนี้ออก’‘เขียนตัวนี้แบบนี้นะ’‘มันมีสามขีดจ้ะ’‘เขียนใหม่เลยจ้ะ หนูเขียนสลับอีกแล้ว’‘ถูกแล้วจ้ะ’เสียงเหอเสี่ยวหงที่ชี้ตรงที่ผิดให้เด็ก ๆ ดูดังต่อเนื่องมาเกือบชั่วโมงแล้ว “พักกันก่อนนะจ๊ะ”เหอเสี่ยงหงบอก เด็ก ๆ จึงวางปากกาลงและปิดหนังสือเอาไว้“ผลไม้ 9 ชนิดนี้มีรสเปรี้ยวอมหวาน กินแค่รองท้องนะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงยกจานมาให้“แม่ มันหวานมากค่ะ” โจวเอ้อร์นีตาโต“มันเปรี้ยวมาก!” โจวซือนีหลับตา“อย่ากินลูกเขียวสิ” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาว“อร่อยไหมจ๊ะ” ก่อนที่จะหันมาป้อนลูกสาวคนเล็กโจวลิ่วนีพยักหน้าแต่ไม่พูดเพราะผลไม้เต็มปากอยู่“แม่จะไปดูหม้อสักหน่อย กินเสร็จแล้วพาน้องไปล้างมือแล้วก็ไปปลดทุกข์ให้เรียบร้อย เสร็จแล้วแม่จะมาสอนต่อ” เหอเสี่ยวหงหันหลังมาบอกก่อนจะออกจากห้องหน่อไม้ที่เหอเสี่ยวหงต้มนั้นจืดแล้ว เมื่อนำลงจากเตาก็
ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วและอีกไม่กี่วันที่โจวมี่จะต้องกลับเข้าไปทำงานในอำเภอ หนึ่งอาทิตย์มานี้ ช่วงเช้าทุกคนจะพากันไปเก็บฟืนมาไว้ใช้ ส่วนแปลงผักนั่นกำลังเตรียมดินอยู่จึงต้องพักในส่วนนี้ไปห้องครัวเก่าที่ตอนนี้กลายมาเป็นห้องเก็บฟืนนั้นมีขนาดกว้าง ไม่มีโต๊ะหรือเตียงในห้องจึงทำให้ห้องครัวกว้างมากฟืนที่อยู่ในห้องเก็บฟืนถูกฟันเป็นท่อนวางซ้อนกันจนเต็มไปหมด ระหว่างที่เข้าป่าไปเก็บฟืน เหอเสี่ยวหงยังได้โสมคนอีกหลายร้อยต้น ยังมีเห็ดหลินจืออีกหลายร้อยดอกเช่นเดียวกันเห็ดหลินจือถูกนำไปล้างแล้วผ่าตากแดดเกือบครึ่ง ส่วนที่เหลือเธอเก็บเข้ามิติ โสมคนก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่จะล้างแล้วนำไปตากแดดตั้งแต่ขุด ล้าง ผ่า ตากแดด และเก็บเป็นเหอเสี่ยวหงทำเองทั้งหมดไม่ให้ใครช่วยเลยส่วนไก่ป่าทั้งสองตัวเหอเสี่ยวหงเห็นว่ามันออกไข่วันละหลายฟองจึงปล่อยมันไว้และให้อาหารอย่างพวกมะละกอสุกในมิติ ไม่ก็ข้าวขาว ผสมกากผลไม้หรือพวกเปลือกข้าวเด็ก ๆ ก็ยังคงเรียนหนังสือจากเหอเสี่ยวหง ตอนนี้โจวเอ้อร์นีนั้นท่องตัวอักษรได้แล้วแต่ยังเขียนผิดนิดหน่อยส่วนโจวซานนีอ่านและเขียนตัวอักษรได้เก
เหอเสี่ยวหงปั่นจักรยานมาจอดในที่ลับตาคนก่อนจะเอาผ้านวมออกมา 6 ผืนและหมอนอีก 5 ใบ ผ้าห่มของสะใภ้ใหญ่ 2 ผืน ของโจวมี่ 2 ผืน และของเธออีก 2 ผืน ส่วนหมอนนั้นของเธอและลูก ๆผ้านวมและหมอนถูกซีลในถุงสูญญากาศ จากผืนใหญ่ ๆ ตอนนี้มันหดลงเล็กมากและเมื่อแกะออกมันก็จะอยู่ในสภาพเดิม เหอเสี่ยวหงชอบผ้านวมยี่ห้อนี้มากยังดีที่ของในจักรยานเอาขึ้นเกวียนวัวหมดแล้ว เหอเสี่ยวหงจึงปั่นจักรยานได้ง่าย และผ้านวมก็ใส่จักรยานได้หมดเหอเสี่ยวหงจึงหยิบเอาบัวหิมะออกมาวางไว้ประมาณ 2 ช่าง เธอจะให้โจวมี่เห็นว่าเธอได้ซื้อมันมาจริง ๆ เวลาจะกินหล่อนจะได้ไม่สงสัยนำพวกธัญพืชออกมาอย่างละชั่งและนำหมูออกมานิดหน่อย ยังมีพวกนมผลและผลไม้อีก เหอเสี่ยวหงตัดสินใจที่จะไม่เอาของออกมาเพิ่ม เธอรีบปั่นจักรยานที่เต็มไปด้วยของกลับสหกรณ์อำเภอทันที ใกล้ถึงตัวสหกรณ์เหอเสี่ยวหงก็เห็นนางหลี่ซือเดินอยู่อาทิตย์นี้นางได้นำธัญพืชมาส่งลูกชายอีกครั้งในที่พักในอำเภอที่พักอยู่ ที่อยู่ใกล้โรงเรียนมัธยมปลาย เหอเสี่ยวหงอยากจะรู้จริง ๆ ว่าโจวกว่างนั้นเรียนจริงหรือเปล่าเพราะปีนี้เป็นปีที่สองแล้วที่เขาเรียนไม่จ
ชาวบ้านหลายคนกำลังเกี่ยวข้าวธัญพืชที่เหลืออีกไม่กี่วันก็จะเสร็จอยู่เกือบห้าสิบคน ข้างหลังคนเก็บเกี่ยวข้าว จะมีคนเกี่ยวกอข้าวและบางคนกำลังเก็บเอารวงข้าวไปตากบนลานข้างบน บางส่วนก็นำไปตากที่หน่วยผลิตข้าง ๆ แปลงนาจะมีพวกธัญพืชอยู่อีกหลายแปลง อย่างถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วเหลืองหรือถั่วดำก็มีชาวบ้านเกือบยี่สิบคนกำลังเก็บเกี่ยวหมู่บ้านโจวเป็นหมู่บ้านกลาง ๆ ไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป มีบ้านมากกว่า 100 หลัง มีคนอาศัยอยู่เกือบพันคน แต่เป็นหน่วยผลิตอันดับหลัง ๆ ของกลุ่มคอมมู เพราะว่าได้ผลผลิตน้อยมากในแต่ละการเก็บเกี่ยว นอกจากจะต้องแบ่งผลผลิตให้กับคนในหน่วยแล้วยังต้องแบ่งให้กองกลางอีกมากกว่าครึ่ง! ทำให้ผลผลิตที่น้อยอยู่แล้วน้อยขึ้นไปอีกพอถึงเวลาแบ่งธัญพืชนอกจากจะไม่เพียงพอต่อแต่ละบ้านแล้วยังไม่เหลือให้ซื้ออีก แต่ปีนี้ต่างออกไป เห็นว่าผลผลิตของปีนี้ได้มากกว่าปีที่แล้วหลายสิบเท่า‘โอ้! จักรยาน! สะใภ้รองบ้านโจวมีจักรยาน!’‘โอ๊ย จับทีฉันจะเป็นลม!’‘หล่อนได้จักรยานมาจากใคร’‘ใช่ ๆ&rs
เรื่องราวของหยาดฟ้าที่เหอเสี่ยวหงคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรทั้งนั้นหยาดฟ้าในวัยสิบสองขวบเป็นเด็กสาวที่น่าสงสารคนหนึ่ง ตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่เคยเห็นหน้าผู้เป็นพ่อสักครั้ง แม่ให้เหตุผลว่าเลิกกันก่อนที่เธอจะลืมตาดูโลก และเล่าให้ฟังว่าพ่อติดเหล้าหนักมาก และชอบทุบตีแม่ที่กำลังท้องเธอเกือบห้าเดือน สุดท้ายแม่ทนไม่ไหวก็เลยเก็บเงินที่ซ่อนไว้หนีมาบ้านเกิดผู้เป็นยายและยายของเธอก็เป็นเพื่อนวัยเด็กของคุณย่าเหอ คุณย่าเหอที่สงสารก็เลยรับแม่ของเธอมาเป็นคนสนิท จนกระทั่งเธออายุสิบสองขวบก็เกิดข่าวร้ายแม่ของเธอมีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงหลังจากที่คลอดเธอออกมา และไม่ยอมเข้ารักษาอาการป่วยจนเกิดเรื้อรัง สุดท้ายจึงจากเธอไปวันนั้นหยาดฟ้าจำได้ดี เธอร้องไห้แทบใจขาดเมื่อคนที่อยู่กับเธอมาตลอดจากไป และเป็นวันเดียวกันที่มีคนเข้ามาช่วยพยุงเธอเอาไว้ นั่นก็คือคุณย่าเหอกับเหอเสี่ยวหง เพื่อนสนิทสาวพ่วงตำแหน่งเจ้านายของเธอ ถึงคุณย่าเหอกับเหอเสี่ยวหงไม่ได้เจ้ากี้เจ้าการกับตำแหน่ง และเธอก็ถือว่าเป็นหลานบุญธรรมของท่านแล้ว แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าไม่ควรเอาตัวเองไปเทียบกับเหอเสี่ยวหงคุณย่าเหอเ
เหอเสี่ยวหงรู้สึกว่าช่วงนี้ดวงของสามีตกมาก เมื่อได้ที่ดินคืนมาแล้วทั้งโจวเหวินหลงกับพี่ชายใหญ่ก็จะพากันกลับ แต่ก็เกิดเรื่องอีกครั้งโจวกว่างโมโหที่ผู้เป็นพ่อยกบ้านและที่ดินให้กับพี่ชาย จึงลงมือกับคนเป็นแม่ด้วยอาการมึนเมา มีคนเข้าไปช่วยทันแต่อาการนางหลี่ซื่อก็หนักมาก เพราะไม่มีเงินไปหาหมอโจวเหวินหลงรับรู้และเขาก็ยังกลับฉงชิ่งไม่ได้ การกลับบ้านจึงต้องเลื่อนออกไปอีกหลายวัน ถึงนางหลี่ซื่อไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของโจวเหวินหลง โจวจือหยวน และโจวมี่ แต่นางก็เลี้ยงโจวมี่มา โจวมี่เลยมาขอร้องพี่ชายให้พานางหลี่ซื่อไปโรงพยาบาล“ถ้าคุณพานางไป ก็ไม่ต้องกลับมา” เหอเสี่ยวหงกล่าวเสียงเรียบในวันที่เธอแท้งลูก นางหลี่ซื่อไม่มีแม้แต่เชิญหมอมารักษาหรือพาเธอไปหาหมอ ปล่อยให้เธอแท้งลูกซ้ำยังบอกย่าโจวว่าเธอสะดุดขยะในห้องล้มอีก แม้นางหลี่ซื่อตายเธอก็ไม่เสียใจ‘ผมบอกพวกเขาแล้วครับ’มีไม่กี่เรื่องที่เหอเสี่ยวหงจะปฏิเสธสามี และครั้งนี้ต่อให้ใครมาขอร้องเหอเสี่ยวหงก็ไม่ยอม ลูกชายและลูกสะใภ้ หลานของนางก็ยังอยู่ ทำไมถึงต้องมาพึ่งสามีเธอด้วย อีกอย่างก่อนที่พวกเธอจะออกจากหมู่บ้าน นางหลี่ซื่อยังอยู่ในกลุ่มที่มาไล่พวกเธอเลย“ฉัน
เข้าสู่วันที่ห้าของการกลับบ้านของโจวเหวินหลง เหอเสี่ยวหงก็ได้รับข่าวร้าย สกุลโจวได้สิ้นผู้อาวุโวอย่างย่าโจวไปแล้ว นางจากไปด้วยโรคชราที่เป็นปัญหามาหลายปีเหอเสี่ยวหงส่ายหน้าเมื่อวางสายจากสามีไปหลังเขาติดต่อมา ในร้านน้ำชามีโทรศัพท์จึงไม่แปลกที่เหอเสี่ยวหงจะได้รับการติดต่อจากสามี ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาการย่าโจวทรุดหลังจากที่เธอพาครอบครัวกลับ“มีอะไรหรือเปล่าครับ”เป็นผู้จัดการหลงที่เก็บโต๊ะเสร็จถามเหอเสี่ยวหง เขาเห็นเจ้านายนั่งคุยกับปลายสายไม่นาน แต่ตอนนี้หล่อนกลับมีสีหน้าที่เคร่งเครียด“ไม่มีอะไรค่ะ เดี๋ยวถ้าเอาบัญชีร้านขึ้นไปบนห้อง ตามโจวต้านีให้ด้วยนะคะ” เหอเสี่ยวหงส่ายหน้า“ได้ครับ”โจวต้านียังไม่กลับมาทำงาน คงเพราะหลานสาวตัวน้อยของเธอป่วย อันที่จริงเธอก็บอกหล่อนแล้วว่าไม่ต้องมา แต่โจวต้านีก็รั้นมาจนได้“แม่คุยอะไรกับพ่อเหรอคะ”พอผู้จัดการหลงเดินออกจากร้านไป ก็เป็นซานนีที่ประจำร้านอยู่เอ่ยถาม หล่อนรู้แค่ว่ามารดาคุยกับใคร แต่จับใจความไม่ค่อยได้“ย่าโจวเสียแล้ว” เหอเสี่ยวหงถอนหายใจสำหรับเหอเสี่ยวหงแล้วเธอรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วมาก อีกอย่างเรื่องที่เธอแท้งเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ยังไม่ได้บอกย่าโจ
เหอเสี่ยวหงมองหน้าหลานสาวตัวน้อยนามเฟยฮวาวัยห้าเดือนในอ้อมแขนแล้วถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าสกุลเฟยตาบอดหรือยังไง ทำไมถึงมองไม่เห็นความน่ารักของหลานสาวตัวน้อยคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเมื่อมองลูกสาวช่วยคนอื่นขนของโจวต้านีลงจากรถ หรือเพราะเธอไม่บังคับลูกสาวกันนะ ถึงไม่ได้มีหลานให้อุ้มแบบนี้ได้แต่อิจฉาสะใภ้ใหญ่ที่ได้ลูกเขยก่อนคนอื่น แล้วยังได้หลานก่อนคนอื่นอีก ยังดีที่สหายของเธอยังไม่มีหลาน เหอเสี่ยวหงจึงไม่ต้องทนฟังเสียงอวดหลาน“ให้ฉันอุ้มหลานบ้างสิ”สะใภ้ใหญ่เดินเข้ามาหาผู้เป็นน้องสะใภ้และน้องสาว ตั้งแต่ที่ลูกสาวอุ้มหลานสาวลงรถมา นางก็ยังไม่ได้อุ้มหลานเลย มีแต่เหอเสี่ยวหงที่อุ้มหลานแล้วไม่ยอมปล่อยให้ใครอุ้มต่อ“เดี๋ยวพี่ก็ได้อุ้มแล้ว” เหอเสี่ยวหงแย้งอย่างไม่จริงจังนักโจวต้านีขอเข้าทำงานพร้อมสามีในร้านผู้เป็นอากับอาสะใภ้ โดยที่แม่ของหล่อนยินดีที่จะดูแลหลานระหว่างที่พ่อกับแม่ของหลานทำงานแบบไม่เอาเงินสักเฟิน“หลับแล้ว” สะใภ้ใหญ่บอก“อืม”เหอเสี่ยวหงส่งหลานสาวให้ผู้เป็นยายแท้ ๆ อุ้ม แล้วตัวเองก็ออกมาช่วยทุกคนขนของเข้าบ้านตึกแถว ยังไงโจวต้านีก็แต่งออกแล้วจะให้ไปอยู่รวมกับครอบครัวก็ไม่ใช่ อีกอย
จากที่จะกลับไปพักผ่อนอยู่บ้านเกิดในช่วงปิดเทอมตามคำขอของสาว ๆ บ้านรองโจวก็ต้องกลับมาอยู่ที่ฉงชิ่ง เหอเสี่ยวหงเอ่ยขอโทษลูกสาวกับหลานสาวที่ต้องพากลับกระทันหัน ยิ่งกับอาสามแล้วเหอเสี่ยวหงยิ่งเอ่ยขอโทษอยู่หลายครั้งเหอเสี่ยวหงรู้ว่าอาสามอยากอยู่ที่บ้านเหอ แต่พอเหอเสี่ยวหงจะกลับเขาก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้ เป็นห่วงหลาน ๆ หากปล่อยให้มาด้วยกัน“เอาไว้เรียนจบแม่ค่อยพากลับไปดีกว่า” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาวอีกตั้งหลายปีที่เด็ก ๆ จะเรียนจบ ทุกคนในหมู่บ้านก็คงจะลืมไปแล้ว อีกอย่างทุกคนก็รู้กฎหมายกันอย่างดี เหอเสี่ยวหงจึงไม่กลัวที่จะกลับไป แต่ครั้งนี้มันตั้งตัวไม่ทัน“ไม่กลับก็ได้ค่ะ อยู่นี่ก็ดีแล้ว” เอ้อร์นีเอ่ยตอบเป็นคนแรกหล่อนอยากกลับไปที่บ้านเกิดก็จริง แต่หล่อนกลัวเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นอีก ลึก ๆ แล้วหล่อนรู้ว่าแม่ของหล่อนเป็นห่วงเรื่องการบังคับแต่งงาน เอ้อร์นีไม่ใช่คนโง่ หล่อนถูกมารดาเลี้ยงมาอย่างดีแต่ก็ไม่ได้เลี้ยงให้โง่เขลา แม่ของหล่อนไม่ชอบการบังคับ หล่อนก็ไม่ชอบการบังคับเช่นเดียวกัน“ใช่ค่ะ ไม่กลับไปแล้วก็ได้” ลิ่วนีเอ่ยด้วยความหวาดกลัว หล่อนเป็นเด็กที่ตั้งแต่จำความได้ก็เติบโตมาในเมือง จึงไม่ร
เหอเสี่ยวหงเดินนำลูกสาวตามโจวเหวินหลงเข้าไปภายในบ้าน ชาวบ้านที่มามุงแหวกออกให้เข้าไป แต่พอเข้าไปแล้วก็กลับมามุงเหมือนเดิมครั้งก่อนอยู่เพียงนอกบ้าน แต่ครั้งนี้ที่ต้องเข้ามาในบ้านเพราะย่าโจวล้มป่วยอีกแล้ว ภายในบ้านที่ไม่ใหญ่จึงแคบลงถนัดตาเมื่อมีคนล้อมรอบ‘หลานสาวบ้านโจวแน่ ๆ’‘ฉันต้องทาบทามจากย่าโจวแล้ว’‘ฝันอยู่เหรอ บ้านรองโจวอยู่ในมือสะใภ้รองโจว คงจะให้ลูกสาวแต่งมาอยู่ชนบทหรอก!’‘ใครจะไปรู้ อีกอย่างสะใภ้ก็ต้องเชื่อฟังครอบครัวของสามี’‘ไม่ใช่ว่าแต่งงานกันแล้วรึ อายุขนาดนี้แล้ว’‘จริง ถ้ายังไม่แต่งคงจะไม่มีใครเอา’เหอเสี่ยวหงหันไปมองชาวบ้านที่นินทาลูกสาวของเธอ เรื่องที่ลูกสาวจะแต่งกับใครเหอเสี่ยวหงไม่ได้ห้าม ต่อให้ฝ่ายชายไม่มีเงินแต่ง ถ้าลูกสาวจะแต่งเธอก็ให้แต่ง สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่เป็นไร แต่คนอื่นจะเดือดร้อนด้วยทำไม“ลูกสาวฉันไม่แต่งงานแล้วทำไม”ชาวบ้านที่ซุบซิบอยู่หน้าบ้านเงียบปากกันลงทันที เมื่อสะใภ้รองโจวพูดขึ้น ใคร ๆ ก็ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับเหอเสี่ยวหง“นี่ย่าทวด เป็นย่าของพ่อเรา”เหอเสี่ยวหงแนะนำย่าโจวให้ลูกสาวทำความเคารพ ซึ่งเด็ก ๆ รู้จัก แต่นี่ก็ไม่ได้มาเจอกันนานแล้ว เธอจึง
สาว ๆ ปิดเทอมสองเดือนในภาคเรียนแรก ที่ปิดนานขนาดนี้เพราะเพิ่งเปิดปีแรก จึงต้องปรับเปลี่ยนอะไรหลายอย่างจึงหยุดนานทุกคนมาปรึกษากันดูแล้ว ลูกสาวอยากกลับไปดูบ้านเกิดกันมาก โจวเหวินหลงจึงจะพาไป แต่รถคันเดียวไม่สามารถไปกันได้หมด จึงต้องซื้ออีกคันเพราะถ้าไม่ซื้อก็ไปกันไม่หมดแน่ ลำพังแค่ของก็เต็มรถแล้วแต่ครั้งนี้ต่างออกไป อาสามเหอจะไปด้วย รถที่ซื้ออีกคันก็เป็นเขาขับ ส่วนอาสี่ยังกลับไม่ได้เพราะเดินเรื่องยังไม่เสร็จ ซึ่งอาสี่เศร้ามาก หลายเดือนจนจะปีแล้วการลาออกยังไม่ถึงไหนเลย เหมือนทางกองทัพจะรั้งเขาไว้ด้วย การลาออกจึงถูกสกัดไว้“เดี๋ยวหนูกับซานนีแล้วก็เสี่ยวยวี่จะไปนั่งกับตาสามเอง” เอ้อร์นีบอกเพราะรถมีสองคันจึงต้องแบ่งกันนั่ง อีกอย่างถ้าจะเบียดกันไปก็คงจะไม่ได้“ดีเลยค่ะ หนูอยากนั่งกับแม่” ลิ่วนีพยักหน้าเหอเสี่ยวหงส่ายหัวก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เดินตรวจดูของพอเห็นว่าไม่ขาดอะไร ก็ไปสั่งงานผู้จัดการร้านไว้ “ฉันฝากร้านด้วยนะคะ ไม่มีกำหนดกลับ แต่ก่อนสาว ๆ จะเปิดเทอมแน่นอน” เหอเสี่ยวบอก“ได้ครับ คุณนายโจวไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะจัดการให้” ผู้จัดการหลงพยักหน้า“ส่วนบัญชีส่งให้ดูหลังวันหยุดนะคะ”
เหอเสี่ยวหงอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่เช้าเพื่อมารอคุณลุงลี่โจวหูเอาใบชามาส่ง นี่ก็ผ่านมาสามวันตามที่เอ้อร์นีบอกว่าคุณลุงจะเป็นคนมาส่งใบชาเอง และเมื่อวานตอนเย็นคุณลุงติดต่อมาอีกครั้งว่ามาถึงฉงชิ่งแล้ว แต่เพราะมันมืดแล้วจึงจะพักกันก่อน พรุ่งนี้เช้าจึงจะมาส่งส่วนวันนี้โจวเหวินหลงไม่ได้ออกไปคุมช่าง เพราะวันนี้ทำแค่ความสะอาด และวันนี้เป็นวันที่อู๋นีบอกว่าจะกลับบ้านด้วย“ฉันลงไปรอข้างล่างนะคะ” เหอเสี่ยวหงบอกสามีที่แต่งตัวอยู่จริง ๆ เธอไม่ต้องเป็นคนรับของเองก็ได้ จะให้ผู้จัดการหลงรับเหมือนปกติก็ได้ แต่เนื่องจากครั้งนี้คุณลุงมาส่งเอง เหอเสี่ยวหงจึงต้องออกมาต้อนรับ“มากันครบแล้วเหรอ” เหอเสี่ยวหงถามพนักงาน“ครบแล้วค่ะ” เฟยหยางอิงตอบ“ไปทำความสะอาดที่เก็บใบชาเถอะ” เหอเสี่ยวหงพยักหน้าก่อนจะสั่งงาน“ได้ค่ะ”“ได้ครับ”ยังดีที่สามวันที่ผ่านมาลูกค้าที่จองห้องได้เข้าใช้ห้องครบทุกคิว เนื่องจากใบชามีเพียงพอต่อสองวัน และเมื่อวานก็เป็นวันหยุด ทุกคนไม่ได้ทำงานกัน วันนี้เหอเสี่ยวหงจึงต้องให้ทำความสะอาดห้องที่เก็บใบชา เวลาเก็บใบชาจะได้เก็บนาน ๆ อีกอย่างก็จะไม่ได้มีฝุ่นมาเกาะ“แม่!”เหอเสี่ยวหงสะดุ้งตกใจก่อนจะหัน
ตั้งแต่ที่ทำการซื้อขายใบชาจากไร่ชา เหอเสี่ยวหงซื้อใบชามาจากไร่ของคุณลุงลี่โจวหูคนเดียวเท่านั้น เพราะเธอได้เซ็นสัญญาเรื่องการซื้อขายเอาไว้ ปกติก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร คงจะมีแต่ช่วงนี้ที่มีปัญหา และใบชาก็ไม่ได้มาส่งเป็นเวลาสามวัน และคงไม่ถึงสองวันที่ใบชาที่มีจะหมดส่วนเรื่องผ้าผลตอบรับดีมาก ลูกค้าเก่าที่เคยซื้อแทบจะร้องไห้ออกมาเพราะอยากได้อีก บางคนก็ซื้อไปขายที่อื่นแต่เหอเสี่ยวหงก็ให้ราคาเต็ม ไม่ได้ลดราคาให้เพราะเธอไม่ได้ขายส่ง ส่วนจะเอาไปขายที่อื่นเธอก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเขาซื้อไปแล้วยังดีที่ผ้าปักลายมีมากถึงพันกว่าม้วน จึงไม่ทำให้ของขาดตลาดเท่าไร จะมีก็แต่บางลายเท่านั้นที่เหอเสี่ยวหงให้สหายปักเพิ่ม ในหนึ่งวันจะได้ผ้าปักลายเพียงห้าม้วน หรือบางวันก็มากกว่าสิบม้วน อย่างสามวันที่ผ่านมาก็ปักลายผ้าได้ยี่สิบเก้าม้วน เหอเสี่ยวหงเก็บมันเอาไว้แยกอีกที่หนึ่ง เอาไว้ของในร้านหมดค่อยเอามาเพิ่มตอนนี้ทุกคนพยายามช่วยกันติดต่อไร่ชา เพราะต้องสอบถามเรื่องใบชาแต่ไม่มีใครรับสายเลย ไม่รู้ว่าเพราะรู้ว่าเป็นพวกเธอหรือเปล่าจึงไม่ยอมรับ หรือไม่ก็พวกเขามีปัญหากันจริง ๆ“อย่างนี้เราแย่แน่ ๆ เลยครับ” ผู้จัดการหลงเอ่