ตอนที่ 3
ม่านฟ้า.. เธอเป็นคนจริงจังแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
คอนโด STAR2 ชั้น 27 ห้อง 2127
กระเป๋าใบหรูถูกโยนลงบนโซฟาในห้องอย่างไม่ได้สนใจราคาของมัน พร้อมทั้งถุงช็อปปิ้งมากมายถูกวางทิ้งไว้อย่างไม่ไยดี สองเท้าของฉันก้าวเดินตรงไปประตูหลังของคอนโดเพื่อจะเปิดผ้าม่านออกจนเห็นแสงสีของไฟไปทั่วทั้งเมืองที่เรืองรอง
“น่าเบื่อ!”
ฉันเปิดประตูกระจกออกมาด้านนอก สองเท้าเดินออกมารับลมด้านนอกสายตาทอดมองแสงสีของเมืองหลวงด้วยสายตาที่เรียบเฉย ถ้าถามว่าสวยไหมทุกที่ก็สวยอยู่ เพียงแต่มันก็มีดีแค่สวย ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด
ติ๊ง! ติ๊ง!
ฉันหันหลังไปมองเสียงของข้อความจากมือถือ ก่อนจะเดินพาตัวเองกลับเข้าไปในห้องล้วงมือไปหยิบมันออกมาดูข้อความบนจอ
‘ว่าที่ลูกสะใภ้ของฉันสวยไหม’ ฉันจ้องมองที่หน้าจอเห็นเป็นภาพของผู้หญิงคนนั้นกำลังยิ้มหวานจนหน้าบานเป็นกระด้ง กับใบหน้าของผู้ชายอย่างเขาที่ดูมีความสุขราวกับได้เจอของถูกใจ
“หึ! มีความสุขเสียจริง!”
‘สวยค่ะ’
ฉันกดตอบไปแบบขอไปทีก่อนจะปิดหน้าจอแล้วโยนมือถือทิ้งไว้เตียง
ติ๊ง!
‘จำหน้าของว่าที่ลูกสะใภ้ฉันไว้ให้ดี แล้วทำหน้าที่ของเธอให้เรียบร้อยเก็บกวาดผู้หญิงคนอื่นให้เกลี้ยง นอกจากหนูน้ำตาลแล้วฉันไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้ตาเธียรเด็ดขาด!’
ฉันใช้หางตามองหน้าจอมือถือด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างจะโมโหอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเบะปากมองบนด้วยการไม่อ่านข้อความของคุณหญิงอมร
สองเท้าก้าวเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัวเพื่อทำให้ร่างกายและความรู้สึกฟุ้งซ่านนั้นเบาบางลง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรคุณหญิงอมรถึงต้องการให้ฉันมาเป็นเลขาของคุณปิติภัทร ทั้งที่ฉันมั่นใจว่าคุณหญิงอมรรับรู้มาตลอดว่าฉันและลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาพวกเราเคยคบหาดูใจกันมาก่อน
“คิดแล้วก็น่าโมโหชะมัด!”
*///*
“ม่านฟ้า! ผมหิวข้าวสั่งข้าวให้หน่อย”
ฉันใช้หางตาหันไปมองผู้ชายที่ยื่นหน้าออกมาจากห้องประธานบริษัทด้วยความรู้สึกเรียบเฉย ก่อนจะหันกลับมาจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองอีกครั้ง อย่างไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก
“คุณได้ยินที่ผมพูดไหมเนี่ย! ผมบอกว่าหิวข้าวสั่งข้าวให้ผมหน่อย”
“ได้ยินค่ะ แต่ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงไม่ใช่เวลาทานอาหาร ต่อให้คุณเป็นประธานบริษัทคุณ ก็ควรจะทำตามกฎของบริษัท นี่ไม่ใช่เวลาทานอาหารนะคะ และไม่ใช่เวลาที่คุณไปประชุมงานเพราะฉะนั้นฉันจะสั่งให้คุณตอนเที่ยงอีกทีค่ะ”
“ม่านฟ้า! เธอจะเข้มงวดเกินไปแล้ว ก็ตอนนี้ฉันหิวถ้าฉันไม่ได้กินฉันต้องไม่มีแรงทำงานแน่ ๆ”
“เมื่อวานคุณก็ไปกินกับลูกสาวเจ้าสัวมาตั้งเยอะ ไม่อิ่มหรอคะ”
“หือ.. เธอแอบตามฉันไปหรอ”
น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความทะเล้นในคำพูด รับรู้ได้เลยว่าผู้ชายด้านข้างกำลังเดินออกจากห้องทำงานมายืนซ้อนอยู่ที่ด้านหลังของฉัน
“หากคุณคิดจะรุ่มร่ามตรงนี้เกรงว่าจะไม่ดีนะคะ.. ถอยออกไปจากตรงนี้ด้วยค่ะ”
“เธอยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลย.. เมื่อวานเธอแอบตามฉันไปหรอ”
“ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่ฉันจะต้องตามคุณนะคะ.. คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”
“ถ้าอย่างนั้นเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันกินเยอะ”
“คุณลืมไปแล้วหรอคะว่าฉันเป็นคนเตือนคุณเรื่องการไปทานอาหาร หรือคุณจะบอกว่าคุณไม่ได้กินอย่างนั้นหรอ”
ฉันหันหลังไปมองผู้ชายคนนี้ด้วยใบหน้าของคนที่เหนือกว่า ที่กำลังแสดงให้เขาเห็นว่าไม่ได้คิดอะไรหรือรู้สึกอะไรกับเขาทั้งนั้น
“ใช่! เมื่อวานฉันไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักคำนอกจากไวน์แดง 2 แก้วเท่านั้น ตื่นเช้ามาก็รีบมาทำงานเพราะโปรเจกต์ใหญ่กำลังเร่ง เหตุผลนี้ฉันควรได้รับอาหารในตอนเช้าหรือยัง”
ฉันไม่รู้เลยว่าความรู้สึกของฉันคืออะไร มันปะปนไปด้วยความดีใจเล็กน้อยอย่างที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่พอนึกถึงภาพของผู้ชายที่ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งที่คุณหญิงส่งมาก็ต้องทำให้หุบยิ้มอีกครั้ง
“คุณจะกินอะไร”
“ข้าวเหนียวส้มตำ”
“แน่ใจนะคะ”
“แน่ใจ”
“ได้ค่ะ”
*///*
“ที่รัก.. ยูเดินลงมาเอาข้าวที่สั่งรอบที่สี่แล้วนะ ยังไม่ถูกปากท่านประธานอีกหรอ”
เสียงของอันวาดังขึ้นทางด้านหลังที่เห็นว่าฉันนั้นเดินลงมาที่ฟอนต์เป็นครั้งที่สี่ และจริงอย่างที่เธอถามนั่นแหละ เหมือนกับว่าฉันกำลังโดนประธานบริษัทอย่างเขากำลังกลั่นแกล้งอยู่เป็นแน่
บอกว่าอยากกินส้มตำไก่ย่าง ฉันก็สั่งจากร้านหรูในห้างดังที่เขาว่ากันอร่อยที่สุดมาให้ก็ไม่ถูกใจ อยากกินอาหารง่าย ๆ อย่างอาหารตามสั่ง ฉันก็เลือกร้านดังก็บอกว่าไม่อร่อย อยากกินง่าย ๆ ขอเป็นก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟทะเลต้มยำน้ำข้นฉันก็สั่งร้านที่ดีที่สุดแพงที่สุดให้เขาก็ยังไม่พอใจ พอถามว่าอยากได้แบบไหนก็ทำหน้ามุ่ยเป็นปลาทูแม่กลองไม่ยอมตอบ
“แล้วนี่ประธานอยากกินอะไรอีกละ” อันวาชะโงกหน้าไปมองด้านนอก เห็นไรเดอร์เดินถืออาหารมาถาดใหญ่ทำให้เธอหันมองหน้าฉันนิ่ง
“พิซซ่า?”
“พิซซ่ามาส่งครับ”
“ไม่ต้องทอนนะคะขอบคุณค่ะ” ฉันยื่นธนบัตรใบเทาให้กับไรเดอร์ก่อนจะเอื้อมมือรับถาดพิซซ่ามาไว้ในมือนิ่ง
“แล้วยูไม่รีบไปละ เดี๋ยวประธานก็โมโหหิวตายหรอก”
“ยังไม่หมด”
“ห๊ะ!”
ฉันหันไปยิ้มหวานกับเพื่อนสนิทที่ทำหน้างง ก่อนที่เธอจะทำตาโตเมื่อมองออกไปด้านนอก เห็นไรเดอร์ส่งอาหารอีกหกเจ็ดคนเดินถืออาหารต่อแถวเข้ามาในบริษัทด้วยท่าทางที่ประหม่าไม่น้อย
“เอาอาหารมาส่งครับ”
“วางด้านนั้นเลยค่ะ” ฉันเอ่ยกับพวกเขาก่อนจะยื่นธนบัตรสีม่วงให้พวกเขาคนละใบ รอจนไรเดอร์ออกจากบริษัทไปจนหมดอันวาวิ่งถลาเข้ามาดูของบนโต๊ะด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อสายตา
“ยูทำอะไรเนี่ย! ประธานจะกินหมดนี่เลย?”
“ไม่กิน”
“อ่าว! แล้วยูซื้อมาทำไมเยอะขนาดนี้”
“ไม่กิน.. ฉันก็จะยัดปากให้กินให้หมด!”
พูดจบฉันก็ได้แต่พยักหน้าพร้อมส่งยิ้มหวาน ๆ ขอให้เพื่อนช่วยหิ้วอาหารทั้งหมดตามขึ้นไปด้านบน ยิ่งเมื่อนึกถึงใบหน้าของเขาแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
“อันนั้นก็ไม่เอา! อันนี้ก็ไม่กิน! อันโน้นก็ไม่อร่อย! อันโน้นก็น้ำมันเยอะ! หึ่ย!! หงุดหงิด!”
ฉันบ่นอุบออกมาอย่างคนที่อัดอั้นทันทีที่เราทั้งสองเดินเข้ามาในลิฟต์ ปรายตามองอันวานิ่ง ๆ ก็เห็นว่าเพื่อนของฉันนั้นได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ มาให้
“ใจเย็น ๆ นะที่รัก”
“อือ.. เย็นอยู่”
“นี่เย็นแล้ว?”
“อือ.. เย็นแล้ว”
ติ๊ง!
พวกเราเดินหอบหิ้วถุงอาหารมากมายออกมาทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เดินมุ่งหน้าตรงไปยังห้องทำงานของท่านประธานปิติภัทรด้วยใบหน้าและอารมณ์ที่บูดบึ้ง ก่อนจะผลักประตูเข้าไปโดยที่ไม่ได้เคาะบอกกับคนด้านในแม้แต่น้อย ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นภาพของประธานหนุ่มสุดหล่อที่กำลังตักอาหารเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ ด้วยท่าทางต่างจากก่อนหน้านี้สิ้นเชิง
“ตกใจหมด! เดี๋ยวนี้เข้าห้องไม่เคาะประตูละหรอ”
เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทะเล้นแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าเขานั้นกำลังกลั่นแกล้งฉันอย่างชัดเจน สายตาของฉันปาดมองไปยังอาหารที่เขาเพิ่งบอกว่าไม่อร่อยไม่กินที่แทบจะไม่มีชีวิตหลงเหลือในจาน
“ไหนบอกไม่อร่อยไม่กินไงคะ”
“ก็เธอทำงานช้า.. แล้วฉันก็หิวมาก”
“หิวมากเลยหรอคะ”
“ใช่! หิวมาก หิวมาก ๆ”
ฉันยืนมองเขาที่แสดงท่าทางน่าหมั่นไส้ด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่อัดแน่นในอก ก่อนจะยกยิ้มขึ้นที่มุมปากฉันมั่นใจว่าเวลานี้ใบหน้าของฉันน่าจะเหมือนใบหน้าของปีศาจไม่น้อย
“เข้าใจแล้วค่ะ.. ถ้าอย่างนั้น~”
ฉันเอ่ยออกมานิ่ง ๆ ก่อนจะเดินนำถุงอาหารทั้งหมดวางกระแทกลงบนโต๊ะให้เขาด้วยเสียงที่ดังมาก
“ทานให้หมดนะคะ! จะได้ไม่หิว!”
พูดจบก็ลากแขนของอันวาออกมาจากห้องทำงานของประธานอย่างรวดเร็ว
“ยู! ประธานจะไม่หักเราเดือนเราใช่ปะ”
“ทำไมต้องหัก”
“ก็เราไปทำกิริยาแบบนี้กับเขา ที่รัก~ ไอไม่มีเงินจ่ายค่าห้องเลยนะเว้ย”
“ถ้าโดนหักจริงไอจะซื้อคอนโดให้ยูเลยอะ”
“ทำเป็นพูดไป ไอไม่ปฏิเสธนะ ฮ่า ๆ”
“ไม่โดนหักหรอก.. ยูกลับไปทำงานเถอะ ตอนบ่ายประธานมีประชุม”
“อือ.. ไว้เจอกัน”
ติ๊ง!
‘พวกเรากำลังจะบินกลับไทยแล้วนะครับ’
ฉันเปิดมือถืออ่านข้อความของผู้ชายคนหนึ่งด้วยใบหน้าที่ไม่สามารถหุบยิ้มได้เลยแม้แต่น้อย
‘ครับ.. รีบมานะ’
ฉันกดส่งข้อความตอบอย่างไม่ลังเล ก่อนจะเดินกลับมานั่งโต๊ะทำงานหน้าห้องของตัวเองโดยที่ใบหน้ายังไม่อาจหุบยิ้มได้ลง
“อุ๊ย! ตกใจหมด! ท่านประธานมายืนทำอะไรเงียบ ๆ คะ”
“คุยกับใครทำไมมีความสุขขนาดนั้น”
“นี่เรื่องส่วนตัวนะคะ.. ประธานไม่น่าจะมีเหตุผลที่เข้ามายุ่งเรื่องนี้”
“แต่นี่เวลาทำงาน”
“ก็ใช่ไงคะ.. ฉันกำลังจะนั่งทำงานนี่ไง”
“ม่านฟ้า! เธอหัดเถียงฉันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่ที่คุณปิติภัทรใช้ฉันซื้ออาหารสี่รอบ! น้ำสองรอบ! ด้วยเหตุผลไม่น่าฟังนั่นแหละค่ะ”
“เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้นี่นา”
เขายกมือของตัวเองเกาหัวตัวเองเบา ๆ เป็นการแก้เขิน แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกว่าจะน่ารักเลยแม้แต่น้อย
“มีอะไรอีกไหมคะ.. ไม่มีฉันจะได้ทำงาน”
ฉันยืนมองผู้ชายคนนี้ด้วยใบหน้าที่ราบเรียบ ก่อนจะเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเป็นเชิงถามอีกครั้ง
“มี!”
“มีอะไรคะ”
“อยากกินกาแฟ”
“คุณนี่มัน!.. ได้ค่ะ รอ! ซัก! ครู่! นะ! คะ!”
ฉันสะบัดหน้าเดินออกมาเล็กน้อยก่อนจะหยุดเท้าแล้วหันหลังเพื่อที่จะเดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน ก็เห็นว่าประธานปิติภัทรกำลังเดินเข้าไปเอื้อมมือกำลังจะหยิบมือถือของฉันอยู่ก่อนแล้ว
“พี่เธียร!”
ฉันรีบสาวเท้าวิ่งกลับไปคว้ามือถือของตัวเองออกจากมือเขาอย่างรีบร้อน ด้วยอารมณ์ที่ไม่พอใจเอามาก ๆ ก่อนจะยืนตรงจ้องหน้าเขาเขม็ง
“ทำอะไร! นี่มันของส่วนตัวของฉันคุณไม่มีสิทธิ์”
ฉันตะเบ็งเสียงใส่เขาอย่างคนที่หมดความอดทน เห็นใบหน้าที่แสดงออกถึงความตกใจและเหวอจนเหลอหลาของผู้ชายคนนี้อย่างเห็นได้ชัด
“ม่านฟ้า.. ทำไมต้องโมโหขนาดนี้ด้วย ผมแค่หยอกคุณเล่นเอง”
“คุณทำตัวให้มันน่าไว้ใจน่าเคารพหน่อยได้ไหมคะ คุณเป็นถึงประธานบริษัทดูแลลูกน้องเป็นร้อยคนยังมีอารมณ์มาเล่นเป็นเด็กแบบนี้หรอ.. อีกอย่างคุณจำไว้ให้ขึ้นใจ ฉันกับคุณเราไม่ได้เป็นอะไรกันไปมากกว่าเจ้านายลูกน้อง ฉันดูแลคุณในฐานะเจ้านาย คุณก็อย่าได้คืบจะเอาศอกให้มากนัก”
“อย่าคิดว่าการที่เราเคยรู้จักกันมาก่อนจะทำให้คุณอยากทำอะไรกับฉันก็ได้ ข้าวของของฉันคือสิทธิส่วนบุคคลของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่มย่ามวุ่นวายและอย่าลืมฐานะของตัวเอง ฉันไม่อยากมีปัญหาทีหลัง”
“ม่านฟ้า.. เธอเป็นคนจริงจังแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่ที่ได้รู้จักคุณนั่นแหละค่ะ”
ตอนที่ 4ลูกชาย“อ่าว.. ทำไมเป็นพี่ล่ะ!?”ฉันหันไปมองตามเสียงของคนที่มาใหม่ เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นคนที่จะมาเป็นว่าที่ภรรยาของของผู้ชายอย่างปิติภัทร เธอมองเราสองคนด้วยสายตาที่แปลกใจ“น้ำตาลมาผิดเวลาหรือเปล่าคะ”“ไม่ค่ะ.. สวัสดีค่ะคุณน้ำตาล”“สวัสดีค่ะ ดีใจจังที่พี่คนสวยก็ทำงานที่นี่”“อ่อ.. ค่ะ”“น้องน้ำตาลมาทำอะไรที่นี่ครับ”“วันนี้น้ำตาลซื้อของมาฝากพี่เธียรเยอะเลยค่ะ”ฉันมองผู้หญิงตรงหน้าที่มีความสดใสในตัวด้วยความรู้สึกเรียบเฉยไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรสักเท่าไหร่“งั้นเข้าไปในห้องก่อนนะครับ”“ค่ะ”“ม่านฟ้า.. เอ่อ.. ขอกาแฟสองแก้วนะ”“ค่ะ”ฉันตอบออกไปเรียบ ๆ ก่อนจะเดินหลบออกมาทำหน้าที่ของตัวเอง จนเมื่อเอากาแฟไปเสิร์ฟให้ทั้งสองคนเรียบร้อยแล้วถึงได้ออกมานั่งลงที่โต๊ะทำงานหน้าห้องอีกครั้ง“เฮ้อ~ ม่านฟ้านะม่านฟ้า แกกำลังคิดฟุ้งซ่านอะไรอยู่”ตืด~ฉันปรายตามองไปยังมือถือที่กำลังส่งแรงสั่นจากสายเรียกเข้าด้วยความไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครที่โทรมาก็รีบเด้งตัวขึ้นมากดรับด้วยความเร็วแสง“ฮัลโหล~”“จริงหรอ.. กลับพรุ่งนี้แล้วหรอ ดีใจจังเลย”“คิดถึงเหมือนกัน~ ไว้เดี๋ยวพรุ่ง
ตอนที่ 5ถ่านไฟเก่า“แล้วทำไมพี่ไม่ไปละ! อยู่กับคุณราชันย์อะไรของพี่นั่นอันตรายจะตาย มีแต่เรื่องชกต่อยไล่ตีกันเป็นว่าเล่น ทำไมไม่ลาออกไปทำงานที่บริษัทล่ะ!” ฉันหันไปมองหน้าพี่ชายทั้งที่ยังเคี้ยวส้มที่หวานจนตาแทบหยี“ก็..” แต่ยังไม่ทันที่พี่ชายของฉันจะได้พูดอะไรต่อ ส้มสามกลีบใหญ่ถูกยัดเข้าไปในปากของเขาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว นั่นเรียกให้ฉันรู้สึกชอบอกชอบใจไม่น้อย“ไอ้ม่าน! ส้มบ้าอะไรวะเปรี้ยวฉิบหาย”“พี่ธัน! ทำไมพูดจาไม่สุภาพ! ถ้าตาหนูมาได้ยินจะทำยังไง” ฉันแยกเขี้ยวใส่พี่ชายด้วยใบหน้าที่จริงจังผิดจากเมื่อครู่ลิบลับ สำหรับฉันคำพูดในบ้านเป็นเรื่องที่ซีเรียสมาก“เออ ๆ ขอโทษมันหลุดปาก” ฉันมองพี่ชายที่พยายามเคี้ยวส้มในปากด้วยใบหน้าที่เหยเกจนหมด“อร่อยเนอะ.. เอาอีกมั้ยคะ”“เก็บไปกินเองเถอะ! แล้วบอกพี่ชบาอย่าไปซื้อมาอีกนะส้มร้านนี้น่ะ ถ้าไม่อยากให้พี่ไปเผาร้านทิ้ง!” พี่ธันวาบ่นยาวก่อนจะลุกขึ้นเดินขึ้นไปด้านบน“คุณแม่ครับ”“ว่าไงครับ”“พี่ชบาบอกว่าผมต้องไปโรงเรียน.. ไม่ไปได้ไหมครับ” ฉันหันมองลูกชายที่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ อย่างไม่เข้าใจ เตชินเป็นเด็กชายวัยห้าขวบที่ตลอดเวลานั้นอยู่กับแม่นมอ
ตอนที่ 6 ระลึกความหลัง | NC18+ 🔞🔞และเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่ม่านฟ้าที่รู้สึกอยากลิ้มลองริมฝีปากของเขา ฝั่งด้านปิติภัทรเองก็ไม่น้อยไปกว่ากัน หน้าเขาโน้มใบหน้าของตนเองเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น สายตาของทั้งสองประสานกันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนที่เขานั้นจะหลุบมองริมฝีปากของเธออีกครั้ง "อื้อ" ริมฝีปากหนาประกบจูบลงบนริมฝีปากของเลขาสาวแสนสวยของตัวเองเนิบช้า ก่อนจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นตามอารมณ์อย่างคนที่หิวกระหาย“ม่านฟ้า.. ริมฝีปากเธอนี่หวานไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ”“พี่เธียร~ อื้อ~”รถตู้สีดำคันใหญ่แล่นไปตามท้องถนนอย่างรีบร้อน แต่มันกลับไม่ได้ทำให้ชายหญิงที่โดยสารอยู่ด้านในนั้นรู้สึกตัวเลยสักนิด ร่างบอบบางในชุดทำงานของเลขาสาวสวยกำลังนั่งคร่อมกายแกร่งของเขาเอาไว้อย่างยั่วยวนริมฝีปากบางสีแดงสดขยับขบเม้มไปตามริมฝีปากเขาอย่างคนที่เดินเกม สองมือของเธอดึงทึ้งเส้นผมของผู้ชายด้านล่างอย่างมันมือ“อืม~”เสียงครางกระเส่าดังออกมาจากของผู้ชายเบื้องล่างเป็นระยะ ทำให้อารมณ์ที่เก็บซ่อนภายในกายของทั้งสองนั้นกระเจิดกระเจิงยากที่จะเก็บกลับมาได้ทันทีที่รถตู้คันนี้จอดสนิทปิติภัทรไม่รอช้ารีบอุ้มร่างบอบบางของม่านฟ้า
ตอนที่ 7คิดให้ดีก่อน! ถ้าจะโกหก.. ไม่ต้องพูด!เธอไม่รู้ว่าเพราะเขามอมเมาหรือว่าตัวเธอเองก็ต้องการ ร่างบางเองก็ขยับไปตามจังหวะรักที่เขามอบให้ จากเชื่องช้าเป็นขยับเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เนินอกสองเต้าของเธอยังคงถูกริมฝีปากร้อนครอบครองอย่างไม่ห่าง สลับดูดเม้มไปมาราวกับเด็กน้อยที่กำลังหิวกระหาย“อื้อ~ ส.. เสียว”มือทั้งสองข้างของเธอขยับกำเส้นผมของเขาพร้อมทั้งดึงทึ้งอย่างต้องการหาที่ระบาย“จะแตกแล้ว.. หนูเร็วหน่อย”ทันทีที่เสียงเร่งเร้าของผู้ชายด้านล่างดังขึ้นนั่นทำให้สะโพกกลมได้รูปของเธอเร่งไปตามจังหวะที่เขามอบให้ สร้างเสียงครางของความเสียวกระสันดังไปทั่วห้อง“อื้อ!!”*///*ความรู้สึกเย็นเฉียบของเครื่องปรับอากาศที่กระทบเข้ากับร่างกายทำให้ฉันลืมตาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อเปลือกตาที่แสนจะหนักหน่วงนี้เปิดขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือความมืดภายในห้องนี้มีเพียงแสงสว่างจากในห้องน้ำที่ส่องเข้ามาเล็กน้อย พร้อมกับเสียงน้ำไหลจากฝักบัวที่ตกกระทบพื้นไม่ใช่ว่าฉันจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพราะจำได้นั่นจึงทำให้รู้สึกว่าควรจะย้ายตัวเองออกไปจากที่นี่ด้วยความรวดเร็ว สายตาพยายามโฟกัสภายในห้องเป็นอย่างดีก
ตอนที่ 8อุบัติเหตุฉันที่นั่งนิ่งเงียบมาจนถึงบ้านโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับพี่ธันวาอีกแม้แต่คำเดียว ก่อนจะเดินขึ้นห้องมาเก็บเสื้อผ้าด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้“ถ้าพี่รู้ว่าไอ้ประธานบริษัทคือคนเดียวกับไอ้คนที่หักอกม่านเมื่อตอนนั้น.. จะยังเปิดใจรับแบบนี้ไหมนะ” “ตอนหากลับไม่เจอ” ฉันหงายหลังลงนอนก่อนจะหยิบไอแพดมาตรวจที่อยู่ของมือถือ เห็นว่ามันอยู่ที่ตำแหน่งของคอนโดปิติภัทร นั่นยิ่งทำให้งุนงงเข้าไปใหญ่เมื่อรู้ว่ามือถือไม่ได้หายไปไหนจึงปิดหน้าจอแล้วนอนแผ่หลาอีกครั้ง ดวงตาจ้องมองเพดานก่อนจะยกแขนของตัวเองมามองรอยจ้ำสีแดงตามเรียวแขน ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำนั่นยิ่งทำให้ต้องถอนหายใจเข้าไปอีกเมื่อนอนแผ่หลาอย่างสบายอารมณ์ได้ครู่ใหญ่ ก็ดันตัวเองให้ไปหยิบเสื้อผ้าเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกระโปรงสั้นเข้าไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว ก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าแล้ววิ่งไปที่รถคันหรูเท้าเหยียบคันเร่งจนแทบมิดไมล์ ดีหน่อยที่ตอนนี้เวลาเกือบจะตีสามแล้วทำใบบนท้องถนนโล่งมากเป็นพิเศษใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงโรงพยาบาล ฉันเดินเข้ามาในห้องกวาดสายตามองดูลูกชายที่ใบหน้าหายบวมจนกลับมาเป็นปกติแล้ว ก
ตอนที่ 9ทำไมถึงเป็นนายอีกแล้ว!ผมที่รู้สึกว่าเลขาคนสวยของผมเริ่มเงียบและไม่มีเสียงตอบรับกับคำถามของผม ด้วยความแปลกใจจึงหันหลังกลับไปมอง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือดวงตาของเธอกำลังปิดลงช้า ๆ พร้อมกับเท้าข้างหนึ่งที่กำลังจะก้าวลงบันไดก่อนที่จะทิ้งตัวเองลงมาจากชั้นสามสองเท้าของผมรวดเร็วกว่าสมองกระโดดเข้าไปรับร่างของผู้หญิงคนนี้มาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพากันกลิ้งเหมือนลูกขนุนตกลงสามสี่ขั้นสุดท้าย แต่เพราะที่แห่งนี้คือเขตก่อสร้างจึงเป็นธรรมดาที่ร่างกายของพวกเราจะกระแทกนั่นนี่จนเกิดแผลไปไม่น้อย“เห้ย!”“พี่ม่านฟ้า! พี่เธียร!”“เจ้านาย!”เสียงของคนอื่นที่กรีดร้องดังระงมนั้น ไม่ได้ทำให้ผมสนใจไปมากกว่าผู้หญิงตรงหน้าเลยสักนิดเดียว ความร้อนของร่างกายที่ร้อนทะลุเสื้อเชิ้ตสีขาวของเธอนั้นทำให้ผมตกใจมากกว่าสองแขนแกร่งรีบอุ้มเธอให้วิ่งลงมาด้านล่าง พร้อมกับให้คนขับรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล ใช้เวลาพักใหญ่ที่รถตู้ของผมนั้นติดอยู่บนถนนที่ดูจะไม่มีทีท่าว่าจะขยับง่าย ๆ ด้วยความร้อนใจผมเลือกที่จะอุ้มผู้หญิงคนนี้ลงจากรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่มองเห็นไกล ๆ ทันที“เดชาไปส่งคุณหนูน้ำตาลที่บ้านด้วย”“คุณเธียร!” ผมไม
ตอนที่ 10อยากเก็บเธอไว้ข้าง ๆฉันลืมตาขึ้นมาตกใจไม่น้อยที่เห็นพี่ธันวากำลังยืนจ้องหน้าอยู่กับคุณปิติภัทร แต่ก็ยังดีที่ทั้งคู่ไม่ได้ดูจะไม่เป็นมิตรกันสักเท่าไหร่“ขอบคุณนะคะ”“เธอเป็นยังไงบ้าง”“ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ.. คุณล่ะ”“ผมไม่เป็นไร เดี๋ยวผมออกไปเรียกหมอ”“ไม่ต้องค่ะ คุณรีบกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”“แต่ว่า..”“กลับไปเถอะ! น้องสาวผมผมดูแลได้” ฉันมองหน้าพี่ชายนิ่ง ๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าตาหนูเตชินนั้นยืนจ้องหน้าของปิติภัทรไม่ละสายตา“เตชิน.. มาหาแม่หน่อยสิครับ”“คุณแม่ครับ” ฉันยิ้มหวานส่งให้ลูกชาย ก่อนจะพยักหน้าให้พี่ธันวานั้นอุ้มตาหนูขึ้นมาด้านบนเตียง“คุณแม่เจ็บมั้ยครับ”“ไม่เจ็บแล้วครับ ลูกล่ะ คุณหมอให้ออกโรงพยาบาลได้แล้วหรอ”“ครับ.. ผมกำลังจะกลับบ้านก็เจอคุณแม่ก่อน ผมตกใจมากเลย”“ขวัญเอ๊ยขวัญมา หายตกใจยังครับ”“คุณแม่ครับ.. คุณลุงเจ้านายของคุณแม่หน้าตาคุ้นมากเลย” ตัวเล็กยื่นปากมากระซิบที่ข้างหูพูดด้วยน้ำเสียงเบาราวกับกำลังกลัวว่าจะมีใครได้ยิน นั่นทำให้ฉันหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้“อย่างนั้นผมกลับก่อนนะ” ฉันพยักหน้าให้กับคุณปิติภัทร ก่อนจะมองเขาที่เดินออกไปจนสุดสายตา“พี่ไม่
ตอนที่ 11น่าหมั่นไส้ชะมัดฉันหันขวับไปจ้องหน้าผู้ชายคนนี้ตาเขม็งทันทีที่เห็นว่าภาพบนหน้าจอนั้นปรากฏเป็นรูปของฉันและเขาเมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาจงใจเลือกรูปที่ฉันกำลังร้องไห้ขี้มูกโป่งออกมาแต่งอย่างเคร่งเครียด“แต่งรูปไง”“คุณว่างนักหรอ! แล้วไปเอารูปฉันมาจากไหน”“ถ่ายเอง”“โรคจิตหรือไง”“ทำไมต้องโรคจิต! พี่ถ่ายรูปเธอแถมเป็นตอนร้องไห้ขี้มูกโป่งแบบนี้ พี่ถือว่าได้ภาพช็อตเด็ดจากอดีตดาวคณะเลยนะ”“ลบเลย! น่าเกลียด!”“น่ารักดีออก! เรื่องไรจะลบพี่เก็บมาตั้งเจ็ดแปดปีเรื่องไรจะลบล่ะ”“พี่จะลบเองหรือจะให้ฉันลบ”“ไม่ลบ!” ฉันพุ่งตัวเข้าไปแย่งเมาส์จากมือของเขาทันทีที่เขาทำหน้ามึน และพี่เธียรเองก็ไม่ได้จะยอมให้ฉันนั้นแย่งมาได้ง่าย ๆ ทำให้เราสองคนยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่แบบนั้นนานหลายนาที จนไม่ได้เห็นเลยว่ามีบุคคลอื่นเดินเข้ามา“ทำอะไรกันน่ะ..” ฉันตกใจเสียงที่ดังมาจากทางหน้าห้องจนต้องเด้งตัวเองกลับมายืนนิ่ง หันไปด้านนอกก็เห็นว่าเป็นคุณหนูน้ำตาลที่เดินถือถุงขนมเข้ามามองเราสองคนด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก เธอมองหน้าฉันสลับกับมองหน้าของพี่เธียรอย่างคนที่แสดงออกถึงความไม่พอใจและสงสัยฉันยืนนิ่งอยู่เช่นนั
ตอนที่ 42ครอบครัวหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผมก็รู้ว่าความจริงแล้วผมอาจจะไม่ได้เก่งอะไรเลย เพราะในทุก ๆ การเติบโตของผมนั้นจะคอยมีพี่ชายของตัวเองคอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ มาเสมอ ไอ้อัฐรู้มาตลอดว่าผมกับม่านฟ้าเป็นอะไรกันแต่มันกลับไม่เคยปริปากพูดกับพี่ชายของเธอเลยสักครั้งมันรู้มาตลอดว่าเรื่องราวของผมกับมันฟ้าเมื่อหกปีก่อนเกิดอะไรขึ้น แต่เพราะตอนนั้นมันไม่สามารถหาหลักฐานนั้นไว้ได้ ทำให้มันจำเป็นต้องปล่อยเบลอเรื่องในครั้งนั้นจนในวันที่ฟ้านั้นบินไปต่างประเทศมันพยายามถามธันวาหลายครั้งว่าเธอไปที่ไหน แต่สำหรับธันวาเองแล้วก็รักน้องสาวไม่แพ้กันจึงไม่เคยปริปากออกมาเลยสักครั้ง ไม่ว่าใครจะมาถามก็ตามตอนนี้บริษัทผมยังคงทรงตัว รวมทั้งบริษัทใหญ่ที่เคยถอนตัวไปนั้นเมื่อรู้ว่าบริษัทเอเมเจนจ์เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทของผมก็ทำให้หลายบริษัทกลับเข้ามาเซ็นสัญญาอีกครั้ง “แล้ววันนี้มึงจะไปไหน” เพราะหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นนี่ก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วที่ผมต้องเทียวไปให้ปากคำ รวมถึงจัดการเรื่องราวในบริษัท และตัวไอ้อัฐเองหลังจากที่พวกเราเปิดอกคุยกันมันก็แทบจะยึดห้องผม อยู่กับผมที่คอนโดมาตลอดเจ็ดวันเช่นกัน“ไปหาเมีย”
ตอนที่ 41เปิดโปงผมเห็นว่าการ์ดหน้าห้องนั้นชะงักเล็กน้อยก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบกระซาบอะไรกันสักอย่าง ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูงหันมามองที่พวกเราอีกครั้งพร้อมทั้งพยักหน้าและพาพวกเรามาอีกทางก่อนจะเปิดประตูให้“เชิญครับ” และทันทีที่ประตูเปิดออกก็เห็นว่าตรงนี้เป็นประตูอีกฝั่งที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหน้าเวทีมากนัก เราทั้งสี่คนเดินมาหยุดยืนอยู่หลังเวทีที่คุณหญิงอมร เจ้าสัว และข้างกันนั้นมีน้องน้ำตาลที่กำลังยืนร้องไห้บีบน้ำตาอยู่“งานร่วมมือกันของ2บริษัท ทำไมถึงมีแต่นักข่าวถามเรื่องของกู” ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะไม่เกิดประเด็น แต่ตั้งแต่ที่ผมยืนมาเกือบ 10 นาทีนั้น ยังไม่มีนักข่าวคนไหนถามเกี่ยวกับการร่วมมือของบริษัทเลยสักประโยค“มึงรอดูอะไรสนุก ๆ ได้เลย” สิ้นสุดคำพูดของไอ้อัฐผมเห็นว่ามีนักข่าวคนหนึ่งหันมามองที่พวกเราเล็กน้อย และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไอ้พีชให้สัญญาณ“คุณหญิงอมรครับผมมีคำถาม” และทันทีที่นักข่าวคนนั้นเอ่ยถามนักข่าวคนอื่น ๆ ก็เงียบเสียงลงทันทีราวกับปิดสวิตช์ ซึ่งมันแปลกมากสำหรับวงการนี้นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล“คุณหญิงอมรเป็นหัวหน้าสม
ตอนที่ 40 เก็บกวาดผมมองหน้าของม่านฟ้าก่อนจะปรายตาไปมองที่เรียวนิ้วของเธอ ซึ่งปลายนิ้วของเธอชี้มายังเสื้อคลุมสีขาวของผมที่พาดอยู่ที่แขนผมชูเสื้อคลุมตัวนี้ขึ้นเป็นเชิงคำถามว่าเธอกำลังหมายถึงชิ้นนี้อย่างนั้นหรอ และก็เป็นม่านฟ้าที่พยักหน้ารัวเป็นคำตอบว่าเธอหมายถึงสิ่งนั้นจริง ๆถึงแม้ว่าผมจะไม่เข้าใจว่าเธอต้องการมันไปทำอะไรแต่ก็ยินดียื่นให้เธออย่างไม่คิดลังเล ก่อนจะเดินลงมาจากรถพร้อมกับปิดประตูให้ รถตู้คันนี้ก็แล่นออกไปจากหน้าโรงพยาบาลทันที“ไอ้ธันมึงไม่กลับไปกับน้องหรอ" หลังจากที่รถตู้คันนั้นออกไปสู่ถนนใหญ่พวกเราก็หันมามองหน้ากัน ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงยังอยู่ตรงนี้"มึงมีเรื่องที่ยังเล่าไม่หมดหรือเปล่าไอ้อัฐ" และทันทีที่ไม่มีม่านฟ้าผมก็รู้สึกได้เลยว่าบทสนทนามันเปลี่ยนไป"มี""เรื่องอะไร" ผมเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างจะดังและฟังชัด เซนต์ของผมไม่น่าผิดพลาดเพราะว่าผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับม่านฟ้าแน่นอน“คนที่จ้างวานมาขับรถชนม่านฟ้า” ได้ยินเพียงแค่นั้นผมก็รู้สึกได้เลยว่าตัวเองเลือดขึ้นหน้าขนาดไหน ผมอยากรู้เหลือเกินว่าคนที่คิดจะทำร้ายเธอต้องจิตใจอำมหิตขนาดไหน แต่ผมกลับไ
ตอนที่ 39ให้อภัยฉันหันขวับไปมองที่พี่อัฐนิ่ง ฉันมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของผู้หญิงที่จงใจทำลายสิ่งที่พี่เธียรสร้างขึ้นมาแน่ เพราะฉะนั้นเหลือเพียงเหตุผลเดียวที่บริษัทยักษ์ใหญ่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย“เข้าใจแล้ว.. เดี๋ยวม่านฟ้าจัดการบอกคุณปิติภัทรให้ค่ะ” ฉันเอ่ยออกมาเพียงแค่นั้นก่อนจะกดวางสายแล้วยื่นมือถือคืนให้กับเขา พี่เธียรหันมามองที่มือถือเล็กน้อยแต่กลับไม่ได้หยิบมันไป สายตาของเขาชำเลืองมองไปที่ส้มลูกหนึ่งที่เขากำลังปลอกมันยังสวยงาม“หนูเพิ่งฟื้นกินอะไรหน่อยไหม รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าพี่เธียรนั้นตั้งใจที่จะง้อ และไอ้ความรู้สึกไม่รักดีของฉันในตอนนี้ก็พร้อมจะให้อภัยเขาซะด้วยสิ แต่การที่เราจะให้อภัยง่าย ๆ มันก็ไม่สนุกสิ ถูกไหม?“ไม่กิน” ฉันตอบออกไปแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่หารู้หรือไม่ว่าภายในท้องไส้ของฉันนั้นปั่นป่วนเหลือเกิน ความรู้สึกที่อยากกินจนน้ำลายสอ ความรู้สึกที่หอมอย่างที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนฉันใช้จมูกค่อยๆ สูดดมฟุดฟิดไปตามในห้องจนพบว่ากลิ่นที่หอมที่สุดและแรงที่สุดในตอนนี้มาจากตัวของพี่เธียร แล้วเหมือนว่าเขาเองก็จะเห็นอาการ
ตอนที่ 38เรื่องราวคลี่คลายผมหันไปตามเสียงที่ได้ยินเห็นว่าเป็นม่านฟ้าที่ลืมตามองพวกเราอยู่ก่อนแล้ว สองเท้าผมรีบปรี่เข้าไปหาเธอด้วยท่าทีของคนทั้งตื่นเต้นและดีใจ“หนูเป็นยังไงบ้าง” ผมทำได้เพียงแค่ยืนมองเธอมือไม้สั่นไม่กล้าแม้แต่จะจับ สังเกตได้ว่าเธอมองผมด้วยสายตาเรียบเฉย เย็นชา แต่ก็เป็นแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้นเพราะเธอหันไปถามพี่ชายของผมอีกครั้ง“เรื่องที่พี่พูดมาเป็นเรื่องจริงหรอคะ”“เธอจะมัวมาสนใจเรื่องนี้ทำไม! เดี๋ยวพี่ไปตามหมอให้” สิ้นสุดเสียงของธันวาเขาก็เตรียมที่จะหันหลังออกไปตามพยาบาล แต่กลับเป็นเสียงของม่านฟ้าที่รั้งเขาเอาไว้“พี่ธันอย่าพึ่งไป หนูอยากฟังทั้งหมดให้จบ”“ทั้งหมด?” เป็นเสียงของพี่ชายของผมที่มันเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของเธอ“อือ.. ทั้งหมด เพราะว่าหนูก็ฟังเรื่องทั้งหมดนี้พร้อมกับพวกพี่ตั้งแต่แรก” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเหลือบสายตามามองผมอีกครั้งสายตาของเธอที่จ้องมองมาไม่ได้แสดงออกว่าโกรธแค้น และก็ไม่ได้รู้สึกดีใจ ไม่ได้รู้สึกเสียใจ แต่เธอมองมาด้วยสายตาที่ว่างเปล่าราวกับว่าผมเป็นอากาศธาตุ“ถ้าอย่างนั้นพี่เล่าต่อนะ”“ค่ะ” ผมทำได้เพียงแค่มองหน้า
ตอนที่ 37เรื่องมีอยู่ว่า ที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องจริงเราสองคนหันไปตามเสียงของผู้ที่มาทีหลัง และทันทีที่ผมเห็นหน้าของมันความรู้สึกหมั่นไส้ก็เกิดขึ้น“มึงมาทำไม” ผมหลงลืมไปชั่วขณะว่าความจริงแล้วไอ้อัฐมันเป็นเพื่อนของธันวา“ก็นี่น้องสาวเพื่อนกู.. กูจะมาเยี่ยมน้องสาวเพื่อนกูไม่ได้หรอ" มันก็ยังคงเป็นพี่ชายที่กวนตีนผมไม่เลิก และเพราะเกรงใจพ่อของเธอที่นั่งอยู่ทำให้ผมได้แต่เบือนหน้าหนี แต่จู่ ๆ ผมก็นึกถึงคำพูดของมันเมื่อครู่"ว่าแต่เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ" เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหันไปมองหน้ามันอีกครั้ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดออกมาจากริมฝีปากของผู้ชายที่หน้าตาไม่เหมือนผมเลยสักนิด"กูบอกว่า! มึงไม่ได้เอาเข้า! แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าไม่ได้! มึงได้ยินชัดหรือยังไอ้น้องเวร!” มันจงใจพูดเน้นเสียงทุกคำถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่แต่ในเวลานี้ผมกลับรู้สึกเหมือนว่าผมพลาดอะไรไป“คืออะไร” ผมเอ่ยถามมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันทำเพียงแค่ยกยิ้มส่งให้ด้วยใบหน้าของคนเหมือนดูหมิ่นดูแคลน แต่ก็เป็นแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น“ไอ้พีช! ของที่กูให้มึงเอามาอยู่ไหน” ทันทีที่ไอ้อัฐเอ่ยขึ้นเพื่อนสนิทของมันก็เดินเข้ามาหาพวกผมด้ว
ตอนที่ 36ความจริงเมื่อ6ปีก่อน“เด็กในท้อง?” ไม่รู้ว่าตัวว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหน รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้ผมตกใจกับสิ่งที่ได้ยินมากจริงๆ หากวันนี้เธอไม่ประสบอุบัติเหตุผมไม่รู้เลยว่าจะได้รู้เรื่องที่กำลังมีลูกเมื่อไหร่ หรือม่านฟ้าตั้งใจที่จะปิดบังผมไปตลอดชีวิต ผมละสายตาจากใบหน้าของผู้เป็นพ่อเปลี่ยนไปจ้องมองผู้หญิงที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว ก่อนจะหันกลับไปมองใบหน้าของชายมีอายุและพี่ชายที่แสนจะเกรี้ยวกราดของเธออีกครั้ง“พ่อไปบอกมันทำไม! คนอย่างมันไม่สมควรที่จะรับรู้อะไรเกี่ยวกับไอ้ม่านเลยด้วยซ้ำ!” เขายังคงมีน้ำโหและยังคงพูดจาเชือดเฉือน จ้องมาที่ใบหน้าผมเรากลับว่าอยากจะกินเลือดกินเนื้อ“ผม.. กำลังจะเป็นพ่อลูกสองหรอ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดจะตกใจ หันไปขอความมั่นใจทางผู้ใหญ่ที่อยู่เพียงคนเดียวในห้องนี้ แต่ยังไม่ทันที่พวกเรานั้นจะได้เอ่ยอะไรต่อก็มีพยาบาลเดินเข้ามาในห้องพักฟื้น ทำให้พวกเราต้องเงียบเสียงลง“เธอเป็นยังไงบ้างครับ” ผมเอ่ยถามทันทีที่พยาบาลเตรียมจะออกด้านนอก เธอหันมามองหน้าผมพร้อมตอบด้วยนะเสียงเรียบนิ่ง“อาจต้องรอคุณหมอนะคะ จากที่ดูตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ”
ตอนที่ 35พ่อของเด็กในท้องคือผมหรอ“นายโอเคมั้ย” ผมหลุดออกจากภวังค์หันหน้าไปมองผู้ชายที่กำลังขับรถด้วยความเร็วที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เพราะการจราจรที่ติดขัดทำให้เราไม่ได้ดั่งใจสักเท่าไหร่“อืม” ผมตอบออกไปเพียงเท่านั้นก่อนจะหันหน้าจ้องมองไปบนถนนด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“ถ้าเป็นห่วงคนรักของนาย ไม่ต้องกังวลหรอกเธอถึงมือหมอแล้ว” สิ่งที่ผมรู้สึกว่าผมโชคดีมากก็คือ ผมกับพีชไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเราเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาเจอกัน แต่ในเวลาเร่งด่วนคนที่ช่วยผมกลับเป็นเขา“ทำไมถึงช่วย” เพราะไม่ว่าผมจะคิดยังไงหรือทางใด มันไม่มีจุดไหนเลยที่จะทำให้เขาต้องยื่นมือเข้ามาช่วยคนอย่างผม เพราะว่าแม้แต่ทางด้านธุรกิจเราสองคนแทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลยแม้แต่น้อย หรือหากเขากำลังทำดีเพื่อการร่วมมือในอนาคตอย่างนั้นหรอ“ไม่ดีหรอ” พีชหันมามองหน้าผมพร้อมกับตอบด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท แต่ผมกลับรู้สึกว่าในสายตาของเขามีอะไรที่มากกว่านั้น“ก็แค่รู้สึกสงสาร.. แล้วก็เห็นใจนาย” ยิ่งคำพูดของเขายิ่งทำให้ผมสงสัยในเรื่องนี้เข้าไปใหญ่ ในเมื่อเราไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเพราะอะไรเขาถึงต้องมาสงสาร แล
ตอนที่ 34ผิดสัญญาผมที่สวมชุดสูทสีขาวกลัดดอกกุหลาบแดงที่หน้าอกข้างซ้าย สองเท้าก้าวเดินต้อนรับแขกเหรื่อที่เข้ามาในงาน ข้างกายมีสาวสวยอย่างน้องน้ำตาลที่สวมชุดราตรีปักเพชรสีเดียวกันเรียกได้ว่าทำให้เราทั้งสองคนนั้นเป็นจุดเด่นในงานครั้งนี้ถึงแม้ว่าช่วงนี้ก็มีความรู้สึกที่แปลกใจอยู่สักหน่อย ราวกับว่าจะมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแต่เพราะมันคือหน้าที่ที่ผมตัดสินใจแล้ว และนี่ก็เป็นผลของการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่งงานหมั้นที่ถูกจัดที่โรงแรมหรู แขกเรือที่เข้ามาในงานมีแต่คนมีอำนาจ เงินทอง และชื่อเสียง ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะเพอร์เฟกต์ไปเสียหมด แต่สำหรับผมมันก็เป็นแค่งานที่รวมคนรวยเท่านั้น“พี่เธียรยิ้มหน่อยไหมคะ ทำหน้าเหมือนคนอมทุกข์ขนาดนี้ ทำไมคะการที่พี่กำลังจะเข้าพิธีหมั้นกับน้ำตาลมันดูทุกข์ขนาดนั้นเลยหรอคะ” ผมเบนหน้าไปลงเล็กน้อยมองสาวที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา น้ำตาลจ้องใบหน้าของผมพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ แต่ช่างดูเป็นรอยยิ้มที่ผมดูยังไงก็ไม่จริงใจเลยสักนิด“อย่าบังคับพี่ให้มาก” ผมตอบเพียงแค่นั้นโดยไม่ได้สนใจอะไร ก่อนจะเดินหลบมุมก่อนจะปลีกตัวออกมาด้านนอก เมื่อเห็นเป้าหมายจึงได้เดิน