ตอนที่ 4
ลูกชาย
“อ่าว.. ทำไมเป็นพี่ล่ะ!?”
ฉันหันไปมองตามเสียงของคนที่มาใหม่ เห็นว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นคนที่จะมาเป็นว่าที่ภรรยาของของผู้ชายอย่างปิติภัทร เธอมองเราสองคนด้วยสายตาที่แปลกใจ
“น้ำตาลมาผิดเวลาหรือเปล่าคะ”
“ไม่ค่ะ.. สวัสดีค่ะคุณน้ำตาล”
“สวัสดีค่ะ ดีใจจังที่พี่คนสวยก็ทำงานที่นี่”
“อ่อ.. ค่ะ”
“น้องน้ำตาลมาทำอะไรที่นี่ครับ”
“วันนี้น้ำตาลซื้อของมาฝากพี่เธียรเยอะเลยค่ะ”
ฉันมองผู้หญิงตรงหน้าที่มีความสดใสในตัวด้วยความรู้สึกเรียบเฉยไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรสักเท่าไหร่
“งั้นเข้าไปในห้องก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
“ม่านฟ้า.. เอ่อ.. ขอกาแฟสองแก้วนะ”
“ค่ะ”
ฉันตอบออกไปเรียบ ๆ ก่อนจะเดินหลบออกมาทำหน้าที่ของตัวเอง จนเมื่อเอากาแฟไปเสิร์ฟให้ทั้งสองคนเรียบร้อยแล้วถึงได้ออกมานั่งลงที่โต๊ะทำงานหน้าห้องอีกครั้ง
“เฮ้อ~ ม่านฟ้านะม่านฟ้า แกกำลังคิดฟุ้งซ่านอะไรอยู่”
ตืด~
ฉันปรายตามองไปยังมือถือที่กำลังส่งแรงสั่นจากสายเรียกเข้าด้วยความไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครที่โทรมาก็รีบเด้งตัวขึ้นมากดรับด้วยความเร็วแสง
“ฮัลโหล~”
“จริงหรอ.. กลับพรุ่งนี้แล้วหรอ ดีใจจังเลย”
“คิดถึงเหมือนกัน~ ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปรับที่สนามบินนะคะ”
“พี่ม่านฟ้าใช่ไหมคะ”
ฉันหันไปมองตามเสียงเรียกที่มาจากด้านหลัง เห็นว่าเป็นผู้หญิงที่ชื่อน้ำตาลคนนั้นเดินออกมาส่งยิ้มหวานให้ สองเท้าของเธอก้าวเดินมาใกล้ก่อนจะมาหยุดยืนส่งยิ้มหวานให้โดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้นะคะ วางก่อนน๊า” ฉันกดตัดสายมือถือก่อนจะหันไปมองผู้หญิงคนนี้ด้วยความสงสัย
“ใช่ค่ะ.. ฉันชื่อม่านฟ้าเป็นเลขาของคุณปิติภัทร.. คุณน้ำตาลต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”
“เรียกน้ำตาลเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ”
“ไม่ดีมั้งคะ.. คุณน้ำตาลเป็นถึงลูกสาวของเจ้าสัวฉันไม่กล้าค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะน้ำตาลไม่ถือ”
“แต่ฉันถือ”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้กลับรู้สึกหงุดหงิดจนแทบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ยิ่งเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสของเธอแล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่เข้าใจตัวเอง
“งั้น.. แล้วแต่พี่ก็แล้วกันค่ะอันนี้น้ำตาลให้”
หญิงสาวคนนี้ยื่นถุงของขวัญแบรนด์เนมมาให้ก่อนจะยิ้มหวานที่ดูว่าไม่ได้เสแสร้ง ฉันเหลือบตามองนิ่งก่อนจะใช้สายตาคมกริบมองเธออีกครั้ง
“คืออะไรคะ” เธอดูมีท่าทีอ้ำอึ้งไม่น้อยกับการกระทำนี้ แต่ก็ยังคงยื่นของชิ้นนั้นให้ไม่ได้ขยับไปไหน
“ของขวัญที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการค่ะ”
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ.. ยังไงคุณน้ำตาลก็เป็นแขกของเจ้านายฉัน ถือว่าเรารู้จักกันอย่างเป็นการแล้วแต่ของขวัญขออนุญาตไม่รับนะคะ”
“พี่ม่านฟ้ารังเกียจของขวัญของน้ำตาลหรอคะ” ผู้หญิงคนนี้ยังคงยื่นถุงของขวัญนั้นมาให้
“เขาไม่เอาก็ไม่ต้องไปยัดเยียดหรอกครับ”
เขาเดินตามเธอออกมาก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งหยิบถุงของขวัญนั้นวางไว้บนโต๊ะของฉันด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“แบบนี้ก็ถือว่าน้องน้ำตาลให้แล้ว.. ส่วนคุณเลขาเขาจะรับหรือไม่รับก็แล้วแต่เขา เราไปกันดีกว่าครับ”
ฉันมองเขาด้วยท่าทางของคนไม่สบอารมณ์ตามหลังพวกเขาไปนิ่ง ๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ใช้สายตาคมกริบมองทั้งสองเดินออกไปด้วยสายตาเรียบเฉย
“บ่ายมีประชุมกับคุณจอห์นกลับมาทันไหมคะท่านประธาน”
“ยกเลิก!”
“ค่ะ!” สิ้นสุดคำพูดของฉัน ปิติภัทรก็พาว่าที่ภรรยาของเขาเดินออกไปทันที
ฉันทำได้เพียงแค่มองทั้งสองจนสุดสายตา ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะของตัวเองอีกครั้ง สายตาจ้องมองไปที่ถุงของขวัญที่ผู้หญิงคนนี้นำมาให้ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมาเปิดดูเห็นว่าเป็นสร้อยเพชรจี้หยดน้ำเส้นหนึ่งที่สวยมากจริง ๆ
ด้านในมีการ์ดใบหนึ่งที่ถูกเขียนด้วยลายมือฉันหยิบมันขึ้นมาอ่านเนื้อหาด้วยสายตาที่เรียบนิ่ง
‘ของขวัญที่พบกัน’ ดูก็รู้ว่าสร้อยเส้นนี้ถูกซื้อมาให้กับเลขาของปิติภัทร ต่อให้ตรงนี้เป็นฉันหรือคนอื่นสร้อยเส้นนี้ก็ต้องมีเจ้าของอยู่ดี
“หึ! เข้าหาคนด้วยเงินตามฉบับลูกคนรวยจริง ๆ”
*///*
ครืด~
“ฮัลโหล”
‘ลืมหรือเปล่าว่าวันนี้ต้องมารับพี่’
“ลืมไปเลย!”
‘ยัยบื้อเอ๊ย!’
ฉันยกมือถือออกห่างจากหูทันทีที่ได้ยินเสียงของพี่ธันวา ซึ่งเป็นพี่ชายของฉันที่แผดเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ สายตาของฉันจ้องมองไปที่ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนหงุดหงิดขยี้ผมตัวเองอย่างน่าขบขันอยู่ไม่ไกลนัก ฉันตัดสายของเขาทิ้งก่อนจะรีบเดินไปหาด้วยความคิดถึง
“มาแล้ว!”
ฉันตะโกนออกมาเสียงดัง พร้อมทั้งสับขาทั้งสองข้างวิ่งไปอุ้มเด็กน้อยวัยห้าขวบเศษขึ้นมากอดด้วยความคิดถึง ก่อนจะหันไปเห็นท่าทางที่หงุดหงิดของพี่ชายตัวเอง
“เดี๋ยวนี้รู้จักโกหก!”
พี่ธันวาประเคนมะเหงกมาที่หน้าผากของฉันหนึ่งที ก่อนจะหันไปลากกระเป๋าเตรียมพร้อมจะกลับบ้านด้วยความเร่งรีบ
“พี่จะรีบไปไหนเนี่ย”
“กลับบ้าน”
“คุณลุงธันวาหงุดหงิดที่พี่เว่ยเอินไม่ยอมมากับคุณลุงครับ”
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัยห้าขวบเอ่ยออกมาอย่างล้อเลียน ฉันเหลือบตาไปมองพี่ชายตัวเองก็เห็นว่าเขามีอาการไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
“เว่ยเอิน.. ผู้หญิงที่พี่ตามจีบมาหลายปีน่ะหรอ”
“ไม่ต้องอยากรู้มากได้ไหม ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“ทำไม! อยากรู้จักจริง ๆ เลยผู้หญิงที่สามารถทำให้พี่ชายของฉันเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนี้หน้าตาเป็นยังไงนะ”
ฉันอุ้มเตชินลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเดินตามหลังของพี่ชายที่ลากกระเป๋าออกไปด้วยท่าทางของคนอารมณ์ไม่ดี
“ลุงของลูกนี่ไม่ไหวเลยเนาะ.. ผู้หญิงคนเดียวก็จีบไม่ติด”
ฉันแกล้งทำเป็นคุยกับลูกชายด้วยน้ำเสียงที่ดังหน่อย ทำให้พี่ธันวาหันมาแยกเขี้ยวใส่ชี้หน้าด้วยท่าทางไม่จริงจังนัก ก่อนจะยัดตัวเองลงไปในรถที่จอดไว้แล้วขับออกมาทันที
“ได้โรงเรียนหรือยัง” ทันทีที่พวกเรามาถึงบ้าน พี่ธันวาก็เริ่มถามเกี่ยวกับโรงเรียนของลูกชายทันที
“ได้แล้ว”
“ที่ไหน.. ปลอดภัยไหม.. ไกลหรือเปล่า”
“ไม่ไกล.. พี่ชบาไปรับไปส่งได้”
“อือ.. งั้นก็ดี แล้วนี่พี่ชบาไปไหน”
“พอรู้ว่าตาหนูกลับมาวันนี้ ก็ออกไปซื้อของมาทำอาหารให้เยอะแยะเลยน่าจะอยู่ในครัวมั้ง”
เพราะพี่ชบานั้นเลี้ยงเตชินมาตั้งแต่เกิด ทันทีที่เจ้าเด็กน้อยคนนี้ได้ยินว่าแม่นมของเขาอยู่ที่ไหน ก็รีบวิ่งตัวกลมไปหาแทบจะทันที
“ระวังล้มนะลูก”
ฉันมองลูกชายที่วิ่งไปในครัวจนลับสายตา ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าของพี่ชายตัวเองที่ดูเหมือนคนอกหักอย่างใส่ใจ
“อยากเล่าให้ฟังไหม”
ฉันเดินตามพี่ชายมานั่งลงบนโซฟากลางห้องรับแขก ก่อนจะเปิดทีวีจอใหญ่หันไปเอ่ยถามพี่ชายอย่างไม่ได้ใส่ใจคำตอบของเขามากนัก
“ไม่มี”
“อือ.. งั้นก็เลิกทำหน้าเหมือนหมาหงอยไม่มีเจ้าของได้ละ”
“ปากแกนี่มัน!”
“ได้พี่มาไง.. ได้มาเยอะด้วย ภูมิใจสิ!” ฉันหันไปยิ้มหน้าทะเล้นให้เขา ก่อนจะหันไปจ้องจอทีวีต่อ
“เมื่อไหร่จะออกจากบริษัทนั้นสักที”
ทุกอย่างชะงักเมื่อเจอคำถามของพี่ชาย ก่อนก็ตีมึนหยิบส้มมาปอกเปลือกกินหน้าตาเฉย โดยที่ไม่ได้สนใจจะตอบคำถามของเขา
“ม่านฟ้า! พ่อถามพี่หลายรอบแล้วนะเมื่อไหร่แกจะไปทำงานที่บริษัท”
ตอนที่ 5ถ่านไฟเก่า“แล้วทำไมพี่ไม่ไปละ! อยู่กับคุณราชันย์อะไรของพี่นั่นอันตรายจะตาย มีแต่เรื่องชกต่อยไล่ตีกันเป็นว่าเล่น ทำไมไม่ลาออกไปทำงานที่บริษัทล่ะ!” ฉันหันไปมองหน้าพี่ชายทั้งที่ยังเคี้ยวส้มที่หวานจนตาแทบหยี“ก็..” แต่ยังไม่ทันที่พี่ชายของฉันจะได้พูดอะไรต่อ ส้มสามกลีบใหญ่ถูกยัดเข้าไปในปากของเขาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว นั่นเรียกให้ฉันรู้สึกชอบอกชอบใจไม่น้อย“ไอ้ม่าน! ส้มบ้าอะไรวะเปรี้ยวฉิบหาย”“พี่ธัน! ทำไมพูดจาไม่สุภาพ! ถ้าตาหนูมาได้ยินจะทำยังไง” ฉันแยกเขี้ยวใส่พี่ชายด้วยใบหน้าที่จริงจังผิดจากเมื่อครู่ลิบลับ สำหรับฉันคำพูดในบ้านเป็นเรื่องที่ซีเรียสมาก“เออ ๆ ขอโทษมันหลุดปาก” ฉันมองพี่ชายที่พยายามเคี้ยวส้มในปากด้วยใบหน้าที่เหยเกจนหมด“อร่อยเนอะ.. เอาอีกมั้ยคะ”“เก็บไปกินเองเถอะ! แล้วบอกพี่ชบาอย่าไปซื้อมาอีกนะส้มร้านนี้น่ะ ถ้าไม่อยากให้พี่ไปเผาร้านทิ้ง!” พี่ธันวาบ่นยาวก่อนจะลุกขึ้นเดินขึ้นไปด้านบน“คุณแม่ครับ”“ว่าไงครับ”“พี่ชบาบอกว่าผมต้องไปโรงเรียน.. ไม่ไปได้ไหมครับ” ฉันหันมองลูกชายที่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ อย่างไม่เข้าใจ เตชินเป็นเด็กชายวัยห้าขวบที่ตลอดเวลานั้นอยู่กับแม่นมอ
ตอนที่ 6 ระลึกความหลัง | NC18+ 🔞🔞และเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่ม่านฟ้าที่รู้สึกอยากลิ้มลองริมฝีปากของเขา ฝั่งด้านปิติภัทรเองก็ไม่น้อยไปกว่ากัน หน้าเขาโน้มใบหน้าของตนเองเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น สายตาของทั้งสองประสานกันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนที่เขานั้นจะหลุบมองริมฝีปากของเธออีกครั้ง "อื้อ" ริมฝีปากหนาประกบจูบลงบนริมฝีปากของเลขาสาวแสนสวยของตัวเองเนิบช้า ก่อนจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นตามอารมณ์อย่างคนที่หิวกระหาย“ม่านฟ้า.. ริมฝีปากเธอนี่หวานไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ”“พี่เธียร~ อื้อ~”รถตู้สีดำคันใหญ่แล่นไปตามท้องถนนอย่างรีบร้อน แต่มันกลับไม่ได้ทำให้ชายหญิงที่โดยสารอยู่ด้านในนั้นรู้สึกตัวเลยสักนิด ร่างบอบบางในชุดทำงานของเลขาสาวสวยกำลังนั่งคร่อมกายแกร่งของเขาเอาไว้อย่างยั่วยวนริมฝีปากบางสีแดงสดขยับขบเม้มไปตามริมฝีปากเขาอย่างคนที่เดินเกม สองมือของเธอดึงทึ้งเส้นผมของผู้ชายด้านล่างอย่างมันมือ“อืม~”เสียงครางกระเส่าดังออกมาจากของผู้ชายเบื้องล่างเป็นระยะ ทำให้อารมณ์ที่เก็บซ่อนภายในกายของทั้งสองนั้นกระเจิดกระเจิงยากที่จะเก็บกลับมาได้ทันทีที่รถตู้คันนี้จอดสนิทปิติภัทรไม่รอช้ารีบอุ้มร่างบอบบางของม่านฟ้า
ตอนที่ 7คิดให้ดีก่อน! ถ้าจะโกหก.. ไม่ต้องพูด!เธอไม่รู้ว่าเพราะเขามอมเมาหรือว่าตัวเธอเองก็ต้องการ ร่างบางเองก็ขยับไปตามจังหวะรักที่เขามอบให้ จากเชื่องช้าเป็นขยับเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ เนินอกสองเต้าของเธอยังคงถูกริมฝีปากร้อนครอบครองอย่างไม่ห่าง สลับดูดเม้มไปมาราวกับเด็กน้อยที่กำลังหิวกระหาย“อื้อ~ ส.. เสียว”มือทั้งสองข้างของเธอขยับกำเส้นผมของเขาพร้อมทั้งดึงทึ้งอย่างต้องการหาที่ระบาย“จะแตกแล้ว.. หนูเร็วหน่อย”ทันทีที่เสียงเร่งเร้าของผู้ชายด้านล่างดังขึ้นนั่นทำให้สะโพกกลมได้รูปของเธอเร่งไปตามจังหวะที่เขามอบให้ สร้างเสียงครางของความเสียวกระสันดังไปทั่วห้อง“อื้อ!!”*///*ความรู้สึกเย็นเฉียบของเครื่องปรับอากาศที่กระทบเข้ากับร่างกายทำให้ฉันลืมตาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อเปลือกตาที่แสนจะหนักหน่วงนี้เปิดขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือความมืดภายในห้องนี้มีเพียงแสงสว่างจากในห้องน้ำที่ส่องเข้ามาเล็กน้อย พร้อมกับเสียงน้ำไหลจากฝักบัวที่ตกกระทบพื้นไม่ใช่ว่าฉันจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพราะจำได้นั่นจึงทำให้รู้สึกว่าควรจะย้ายตัวเองออกไปจากที่นี่ด้วยความรวดเร็ว สายตาพยายามโฟกัสภายในห้องเป็นอย่างดีก
ตอนที่ 8อุบัติเหตุฉันที่นั่งนิ่งเงียบมาจนถึงบ้านโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับพี่ธันวาอีกแม้แต่คำเดียว ก่อนจะเดินขึ้นห้องมาเก็บเสื้อผ้าด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้“ถ้าพี่รู้ว่าไอ้ประธานบริษัทคือคนเดียวกับไอ้คนที่หักอกม่านเมื่อตอนนั้น.. จะยังเปิดใจรับแบบนี้ไหมนะ” “ตอนหากลับไม่เจอ” ฉันหงายหลังลงนอนก่อนจะหยิบไอแพดมาตรวจที่อยู่ของมือถือ เห็นว่ามันอยู่ที่ตำแหน่งของคอนโดปิติภัทร นั่นยิ่งทำให้งุนงงเข้าไปใหญ่เมื่อรู้ว่ามือถือไม่ได้หายไปไหนจึงปิดหน้าจอแล้วนอนแผ่หลาอีกครั้ง ดวงตาจ้องมองเพดานก่อนจะยกแขนของตัวเองมามองรอยจ้ำสีแดงตามเรียวแขน ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำนั่นยิ่งทำให้ต้องถอนหายใจเข้าไปอีกเมื่อนอนแผ่หลาอย่างสบายอารมณ์ได้ครู่ใหญ่ ก็ดันตัวเองให้ไปหยิบเสื้อผ้าเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกระโปรงสั้นเข้าไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว ก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าแล้ววิ่งไปที่รถคันหรูเท้าเหยียบคันเร่งจนแทบมิดไมล์ ดีหน่อยที่ตอนนี้เวลาเกือบจะตีสามแล้วทำใบบนท้องถนนโล่งมากเป็นพิเศษใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงโรงพยาบาล ฉันเดินเข้ามาในห้องกวาดสายตามองดูลูกชายที่ใบหน้าหายบวมจนกลับมาเป็นปกติแล้ว ก
ตอนที่ 9ทำไมถึงเป็นนายอีกแล้ว!ผมที่รู้สึกว่าเลขาคนสวยของผมเริ่มเงียบและไม่มีเสียงตอบรับกับคำถามของผม ด้วยความแปลกใจจึงหันหลังกลับไปมอง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือดวงตาของเธอกำลังปิดลงช้า ๆ พร้อมกับเท้าข้างหนึ่งที่กำลังจะก้าวลงบันไดก่อนที่จะทิ้งตัวเองลงมาจากชั้นสามสองเท้าของผมรวดเร็วกว่าสมองกระโดดเข้าไปรับร่างของผู้หญิงคนนี้มาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพากันกลิ้งเหมือนลูกขนุนตกลงสามสี่ขั้นสุดท้าย แต่เพราะที่แห่งนี้คือเขตก่อสร้างจึงเป็นธรรมดาที่ร่างกายของพวกเราจะกระแทกนั่นนี่จนเกิดแผลไปไม่น้อย“เห้ย!”“พี่ม่านฟ้า! พี่เธียร!”“เจ้านาย!”เสียงของคนอื่นที่กรีดร้องดังระงมนั้น ไม่ได้ทำให้ผมสนใจไปมากกว่าผู้หญิงตรงหน้าเลยสักนิดเดียว ความร้อนของร่างกายที่ร้อนทะลุเสื้อเชิ้ตสีขาวของเธอนั้นทำให้ผมตกใจมากกว่าสองแขนแกร่งรีบอุ้มเธอให้วิ่งลงมาด้านล่าง พร้อมกับให้คนขับรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล ใช้เวลาพักใหญ่ที่รถตู้ของผมนั้นติดอยู่บนถนนที่ดูจะไม่มีทีท่าว่าจะขยับง่าย ๆ ด้วยความร้อนใจผมเลือกที่จะอุ้มผู้หญิงคนนี้ลงจากรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่มองเห็นไกล ๆ ทันที“เดชาไปส่งคุณหนูน้ำตาลที่บ้านด้วย”“คุณเธียร!” ผมไม
ตอนที่ 10อยากเก็บเธอไว้ข้าง ๆฉันลืมตาขึ้นมาตกใจไม่น้อยที่เห็นพี่ธันวากำลังยืนจ้องหน้าอยู่กับคุณปิติภัทร แต่ก็ยังดีที่ทั้งคู่ไม่ได้ดูจะไม่เป็นมิตรกันสักเท่าไหร่“ขอบคุณนะคะ”“เธอเป็นยังไงบ้าง”“ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ.. คุณล่ะ”“ผมไม่เป็นไร เดี๋ยวผมออกไปเรียกหมอ”“ไม่ต้องค่ะ คุณรีบกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”“แต่ว่า..”“กลับไปเถอะ! น้องสาวผมผมดูแลได้” ฉันมองหน้าพี่ชายนิ่ง ๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าตาหนูเตชินนั้นยืนจ้องหน้าของปิติภัทรไม่ละสายตา“เตชิน.. มาหาแม่หน่อยสิครับ”“คุณแม่ครับ” ฉันยิ้มหวานส่งให้ลูกชาย ก่อนจะพยักหน้าให้พี่ธันวานั้นอุ้มตาหนูขึ้นมาด้านบนเตียง“คุณแม่เจ็บมั้ยครับ”“ไม่เจ็บแล้วครับ ลูกล่ะ คุณหมอให้ออกโรงพยาบาลได้แล้วหรอ”“ครับ.. ผมกำลังจะกลับบ้านก็เจอคุณแม่ก่อน ผมตกใจมากเลย”“ขวัญเอ๊ยขวัญมา หายตกใจยังครับ”“คุณแม่ครับ.. คุณลุงเจ้านายของคุณแม่หน้าตาคุ้นมากเลย” ตัวเล็กยื่นปากมากระซิบที่ข้างหูพูดด้วยน้ำเสียงเบาราวกับกำลังกลัวว่าจะมีใครได้ยิน นั่นทำให้ฉันหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้“อย่างนั้นผมกลับก่อนนะ” ฉันพยักหน้าให้กับคุณปิติภัทร ก่อนจะมองเขาที่เดินออกไปจนสุดสายตา“พี่ไม่
ตอนที่ 11น่าหมั่นไส้ชะมัดฉันหันขวับไปจ้องหน้าผู้ชายคนนี้ตาเขม็งทันทีที่เห็นว่าภาพบนหน้าจอนั้นปรากฏเป็นรูปของฉันและเขาเมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาจงใจเลือกรูปที่ฉันกำลังร้องไห้ขี้มูกโป่งออกมาแต่งอย่างเคร่งเครียด“แต่งรูปไง”“คุณว่างนักหรอ! แล้วไปเอารูปฉันมาจากไหน”“ถ่ายเอง”“โรคจิตหรือไง”“ทำไมต้องโรคจิต! พี่ถ่ายรูปเธอแถมเป็นตอนร้องไห้ขี้มูกโป่งแบบนี้ พี่ถือว่าได้ภาพช็อตเด็ดจากอดีตดาวคณะเลยนะ”“ลบเลย! น่าเกลียด!”“น่ารักดีออก! เรื่องไรจะลบพี่เก็บมาตั้งเจ็ดแปดปีเรื่องไรจะลบล่ะ”“พี่จะลบเองหรือจะให้ฉันลบ”“ไม่ลบ!” ฉันพุ่งตัวเข้าไปแย่งเมาส์จากมือของเขาทันทีที่เขาทำหน้ามึน และพี่เธียรเองก็ไม่ได้จะยอมให้ฉันนั้นแย่งมาได้ง่าย ๆ ทำให้เราสองคนยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่แบบนั้นนานหลายนาที จนไม่ได้เห็นเลยว่ามีบุคคลอื่นเดินเข้ามา“ทำอะไรกันน่ะ..” ฉันตกใจเสียงที่ดังมาจากทางหน้าห้องจนต้องเด้งตัวเองกลับมายืนนิ่ง หันไปด้านนอกก็เห็นว่าเป็นคุณหนูน้ำตาลที่เดินถือถุงขนมเข้ามามองเราสองคนด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก เธอมองหน้าฉันสลับกับมองหน้าของพี่เธียรอย่างคนที่แสดงออกถึงความไม่พอใจและสงสัยฉันยืนนิ่งอยู่เช่นนั
ตอนที่ 12เรากลับมาคบกันได้ไหม“เชื่อใจพี่” เขาไม่ทำเพียงแค่พูดปากเปล่า แต่สองเท้าของเขายังเดินตรงมาที่ฉันพร้อมทั้งใช้มือของเขาเอื้อมมาจับข้อมือของฉันเอาไว้พร้อมทั้งลากให้เข้าไปในห้องทันทีที่พวกเราเดินเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมที่มืดสนิท ฉันได้แต่ใช้มืออีกข้างกอดแขนของเขาเอาไว้แน่นเพราะบรรยากาศที่ไม่น่าไว้ใจ เพียงพริบตาเดียวที่พวกเราเข้ามานั้นแสงสว่างจากเปลวเทียนก็สว่างขึ้นตรงหน้าจนฉันรู้สึกสะดุ้งตกใจแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู~แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู~แฮปปี้เบิร์ดเดย์ แฮปปี้เบิร์ดเดย์~“สุขสันต์วันเกิดนะครับม่านฟ้า.. หนูอธิษฐานสิ” ฉันหันหน้าไปมองใบหน้าของผู้ชายด้านข้างที่หันมายิ้มให้ฉันจนตาหยีด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะกวาดสายตามองคนที่ยืนถือเค้กและอีกหลายคนที่ยืนให้กำลังใจอยู่รอบ ๆ“ทำไมพวกพี่..”“อธิษฐานเร็ว” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ถามอะไรมากนัก ท่านประธานจอมแผนการก็ดันให้ฉันนั้นมายืนตรงหน้าของเค้กก้อนนั้น ฉันหลับตาลงโดยที่ไม่ได้อธิษฐานใด ก่อนจะลืมตาขึ้นมาเป่าเค้กนั้นอย่างว่าง่ายและทันทีที่ไฟจากเทียนด้านหน้านั้นดับลงจนทั้งห้องมืดสนิทอีกครั้ง ฉันก็รู้สึกได้ว่าคนในห้องมีการขยับที่ทางกันเล็กน้อยก
ตอนที่ 42ครอบครัวหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผมก็รู้ว่าความจริงแล้วผมอาจจะไม่ได้เก่งอะไรเลย เพราะในทุก ๆ การเติบโตของผมนั้นจะคอยมีพี่ชายของตัวเองคอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ มาเสมอ ไอ้อัฐรู้มาตลอดว่าผมกับม่านฟ้าเป็นอะไรกันแต่มันกลับไม่เคยปริปากพูดกับพี่ชายของเธอเลยสักครั้งมันรู้มาตลอดว่าเรื่องราวของผมกับมันฟ้าเมื่อหกปีก่อนเกิดอะไรขึ้น แต่เพราะตอนนั้นมันไม่สามารถหาหลักฐานนั้นไว้ได้ ทำให้มันจำเป็นต้องปล่อยเบลอเรื่องในครั้งนั้นจนในวันที่ฟ้านั้นบินไปต่างประเทศมันพยายามถามธันวาหลายครั้งว่าเธอไปที่ไหน แต่สำหรับธันวาเองแล้วก็รักน้องสาวไม่แพ้กันจึงไม่เคยปริปากออกมาเลยสักครั้ง ไม่ว่าใครจะมาถามก็ตามตอนนี้บริษัทผมยังคงทรงตัว รวมทั้งบริษัทใหญ่ที่เคยถอนตัวไปนั้นเมื่อรู้ว่าบริษัทเอเมเจนจ์เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทของผมก็ทำให้หลายบริษัทกลับเข้ามาเซ็นสัญญาอีกครั้ง “แล้ววันนี้มึงจะไปไหน” เพราะหลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นนี่ก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วที่ผมต้องเทียวไปให้ปากคำ รวมถึงจัดการเรื่องราวในบริษัท และตัวไอ้อัฐเองหลังจากที่พวกเราเปิดอกคุยกันมันก็แทบจะยึดห้องผม อยู่กับผมที่คอนโดมาตลอดเจ็ดวันเช่นกัน“ไปหาเมีย”
ตอนที่ 41เปิดโปงผมเห็นว่าการ์ดหน้าห้องนั้นชะงักเล็กน้อยก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบกระซาบอะไรกันสักอย่าง ก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูงหันมามองที่พวกเราอีกครั้งพร้อมทั้งพยักหน้าและพาพวกเรามาอีกทางก่อนจะเปิดประตูให้“เชิญครับ” และทันทีที่ประตูเปิดออกก็เห็นว่าตรงนี้เป็นประตูอีกฝั่งที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหน้าเวทีมากนัก เราทั้งสี่คนเดินมาหยุดยืนอยู่หลังเวทีที่คุณหญิงอมร เจ้าสัว และข้างกันนั้นมีน้องน้ำตาลที่กำลังยืนร้องไห้บีบน้ำตาอยู่“งานร่วมมือกันของ2บริษัท ทำไมถึงมีแต่นักข่าวถามเรื่องของกู” ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางที่จะไม่เกิดประเด็น แต่ตั้งแต่ที่ผมยืนมาเกือบ 10 นาทีนั้น ยังไม่มีนักข่าวคนไหนถามเกี่ยวกับการร่วมมือของบริษัทเลยสักประโยค“มึงรอดูอะไรสนุก ๆ ได้เลย” สิ้นสุดคำพูดของไอ้อัฐผมเห็นว่ามีนักข่าวคนหนึ่งหันมามองที่พวกเราเล็กน้อย และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไอ้พีชให้สัญญาณ“คุณหญิงอมรครับผมมีคำถาม” และทันทีที่นักข่าวคนนั้นเอ่ยถามนักข่าวคนอื่น ๆ ก็เงียบเสียงลงทันทีราวกับปิดสวิตช์ ซึ่งมันแปลกมากสำหรับวงการนี้นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล“คุณหญิงอมรเป็นหัวหน้าสม
ตอนที่ 40 เก็บกวาดผมมองหน้าของม่านฟ้าก่อนจะปรายตาไปมองที่เรียวนิ้วของเธอ ซึ่งปลายนิ้วของเธอชี้มายังเสื้อคลุมสีขาวของผมที่พาดอยู่ที่แขนผมชูเสื้อคลุมตัวนี้ขึ้นเป็นเชิงคำถามว่าเธอกำลังหมายถึงชิ้นนี้อย่างนั้นหรอ และก็เป็นม่านฟ้าที่พยักหน้ารัวเป็นคำตอบว่าเธอหมายถึงสิ่งนั้นจริง ๆถึงแม้ว่าผมจะไม่เข้าใจว่าเธอต้องการมันไปทำอะไรแต่ก็ยินดียื่นให้เธออย่างไม่คิดลังเล ก่อนจะเดินลงมาจากรถพร้อมกับปิดประตูให้ รถตู้คันนี้ก็แล่นออกไปจากหน้าโรงพยาบาลทันที“ไอ้ธันมึงไม่กลับไปกับน้องหรอ" หลังจากที่รถตู้คันนั้นออกไปสู่ถนนใหญ่พวกเราก็หันมามองหน้ากัน ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงยังอยู่ตรงนี้"มึงมีเรื่องที่ยังเล่าไม่หมดหรือเปล่าไอ้อัฐ" และทันทีที่ไม่มีม่านฟ้าผมก็รู้สึกได้เลยว่าบทสนทนามันเปลี่ยนไป"มี""เรื่องอะไร" ผมเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างจะดังและฟังชัด เซนต์ของผมไม่น่าผิดพลาดเพราะว่าผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับม่านฟ้าแน่นอน“คนที่จ้างวานมาขับรถชนม่านฟ้า” ได้ยินเพียงแค่นั้นผมก็รู้สึกได้เลยว่าตัวเองเลือดขึ้นหน้าขนาดไหน ผมอยากรู้เหลือเกินว่าคนที่คิดจะทำร้ายเธอต้องจิตใจอำมหิตขนาดไหน แต่ผมกลับไ
ตอนที่ 39ให้อภัยฉันหันขวับไปมองที่พี่อัฐนิ่ง ฉันมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของผู้หญิงที่จงใจทำลายสิ่งที่พี่เธียรสร้างขึ้นมาแน่ เพราะฉะนั้นเหลือเพียงเหตุผลเดียวที่บริษัทยักษ์ใหญ่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย“เข้าใจแล้ว.. เดี๋ยวม่านฟ้าจัดการบอกคุณปิติภัทรให้ค่ะ” ฉันเอ่ยออกมาเพียงแค่นั้นก่อนจะกดวางสายแล้วยื่นมือถือคืนให้กับเขา พี่เธียรหันมามองที่มือถือเล็กน้อยแต่กลับไม่ได้หยิบมันไป สายตาของเขาชำเลืองมองไปที่ส้มลูกหนึ่งที่เขากำลังปลอกมันยังสวยงาม“หนูเพิ่งฟื้นกินอะไรหน่อยไหม รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าพี่เธียรนั้นตั้งใจที่จะง้อ และไอ้ความรู้สึกไม่รักดีของฉันในตอนนี้ก็พร้อมจะให้อภัยเขาซะด้วยสิ แต่การที่เราจะให้อภัยง่าย ๆ มันก็ไม่สนุกสิ ถูกไหม?“ไม่กิน” ฉันตอบออกไปแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่หารู้หรือไม่ว่าภายในท้องไส้ของฉันนั้นปั่นป่วนเหลือเกิน ความรู้สึกที่อยากกินจนน้ำลายสอ ความรู้สึกที่หอมอย่างที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนฉันใช้จมูกค่อยๆ สูดดมฟุดฟิดไปตามในห้องจนพบว่ากลิ่นที่หอมที่สุดและแรงที่สุดในตอนนี้มาจากตัวของพี่เธียร แล้วเหมือนว่าเขาเองก็จะเห็นอาการ
ตอนที่ 38เรื่องราวคลี่คลายผมหันไปตามเสียงที่ได้ยินเห็นว่าเป็นม่านฟ้าที่ลืมตามองพวกเราอยู่ก่อนแล้ว สองเท้าผมรีบปรี่เข้าไปหาเธอด้วยท่าทีของคนทั้งตื่นเต้นและดีใจ“หนูเป็นยังไงบ้าง” ผมทำได้เพียงแค่ยืนมองเธอมือไม้สั่นไม่กล้าแม้แต่จะจับ สังเกตได้ว่าเธอมองผมด้วยสายตาเรียบเฉย เย็นชา แต่ก็เป็นแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้นเพราะเธอหันไปถามพี่ชายของผมอีกครั้ง“เรื่องที่พี่พูดมาเป็นเรื่องจริงหรอคะ”“เธอจะมัวมาสนใจเรื่องนี้ทำไม! เดี๋ยวพี่ไปตามหมอให้” สิ้นสุดเสียงของธันวาเขาก็เตรียมที่จะหันหลังออกไปตามพยาบาล แต่กลับเป็นเสียงของม่านฟ้าที่รั้งเขาเอาไว้“พี่ธันอย่าพึ่งไป หนูอยากฟังทั้งหมดให้จบ”“ทั้งหมด?” เป็นเสียงของพี่ชายของผมที่มันเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของเธอ“อือ.. ทั้งหมด เพราะว่าหนูก็ฟังเรื่องทั้งหมดนี้พร้อมกับพวกพี่ตั้งแต่แรก” เธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเหลือบสายตามามองผมอีกครั้งสายตาของเธอที่จ้องมองมาไม่ได้แสดงออกว่าโกรธแค้น และก็ไม่ได้รู้สึกดีใจ ไม่ได้รู้สึกเสียใจ แต่เธอมองมาด้วยสายตาที่ว่างเปล่าราวกับว่าผมเป็นอากาศธาตุ“ถ้าอย่างนั้นพี่เล่าต่อนะ”“ค่ะ” ผมทำได้เพียงแค่มองหน้า
ตอนที่ 37เรื่องมีอยู่ว่า ที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องจริงเราสองคนหันไปตามเสียงของผู้ที่มาทีหลัง และทันทีที่ผมเห็นหน้าของมันความรู้สึกหมั่นไส้ก็เกิดขึ้น“มึงมาทำไม” ผมหลงลืมไปชั่วขณะว่าความจริงแล้วไอ้อัฐมันเป็นเพื่อนของธันวา“ก็นี่น้องสาวเพื่อนกู.. กูจะมาเยี่ยมน้องสาวเพื่อนกูไม่ได้หรอ" มันก็ยังคงเป็นพี่ชายที่กวนตีนผมไม่เลิก และเพราะเกรงใจพ่อของเธอที่นั่งอยู่ทำให้ผมได้แต่เบือนหน้าหนี แต่จู่ ๆ ผมก็นึกถึงคำพูดของมันเมื่อครู่"ว่าแต่เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ" เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหันไปมองหน้ามันอีกครั้ง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดออกมาจากริมฝีปากของผู้ชายที่หน้าตาไม่เหมือนผมเลยสักนิด"กูบอกว่า! มึงไม่ได้เอาเข้า! แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าไม่ได้! มึงได้ยินชัดหรือยังไอ้น้องเวร!” มันจงใจพูดเน้นเสียงทุกคำถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่แต่ในเวลานี้ผมกลับรู้สึกเหมือนว่าผมพลาดอะไรไป“คืออะไร” ผมเอ่ยถามมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันทำเพียงแค่ยกยิ้มส่งให้ด้วยใบหน้าของคนเหมือนดูหมิ่นดูแคลน แต่ก็เป็นแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น“ไอ้พีช! ของที่กูให้มึงเอามาอยู่ไหน” ทันทีที่ไอ้อัฐเอ่ยขึ้นเพื่อนสนิทของมันก็เดินเข้ามาหาพวกผมด้ว
ตอนที่ 36ความจริงเมื่อ6ปีก่อน“เด็กในท้อง?” ไม่รู้ว่าตัวว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหน รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้ผมตกใจกับสิ่งที่ได้ยินมากจริงๆ หากวันนี้เธอไม่ประสบอุบัติเหตุผมไม่รู้เลยว่าจะได้รู้เรื่องที่กำลังมีลูกเมื่อไหร่ หรือม่านฟ้าตั้งใจที่จะปิดบังผมไปตลอดชีวิต ผมละสายตาจากใบหน้าของผู้เป็นพ่อเปลี่ยนไปจ้องมองผู้หญิงที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว ก่อนจะหันกลับไปมองใบหน้าของชายมีอายุและพี่ชายที่แสนจะเกรี้ยวกราดของเธออีกครั้ง“พ่อไปบอกมันทำไม! คนอย่างมันไม่สมควรที่จะรับรู้อะไรเกี่ยวกับไอ้ม่านเลยด้วยซ้ำ!” เขายังคงมีน้ำโหและยังคงพูดจาเชือดเฉือน จ้องมาที่ใบหน้าผมเรากลับว่าอยากจะกินเลือดกินเนื้อ“ผม.. กำลังจะเป็นพ่อลูกสองหรอ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดจะตกใจ หันไปขอความมั่นใจทางผู้ใหญ่ที่อยู่เพียงคนเดียวในห้องนี้ แต่ยังไม่ทันที่พวกเรานั้นจะได้เอ่ยอะไรต่อก็มีพยาบาลเดินเข้ามาในห้องพักฟื้น ทำให้พวกเราต้องเงียบเสียงลง“เธอเป็นยังไงบ้างครับ” ผมเอ่ยถามทันทีที่พยาบาลเตรียมจะออกด้านนอก เธอหันมามองหน้าผมพร้อมตอบด้วยนะเสียงเรียบนิ่ง“อาจต้องรอคุณหมอนะคะ จากที่ดูตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ”
ตอนที่ 35พ่อของเด็กในท้องคือผมหรอ“นายโอเคมั้ย” ผมหลุดออกจากภวังค์หันหน้าไปมองผู้ชายที่กำลังขับรถด้วยความเร็วที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เพราะการจราจรที่ติดขัดทำให้เราไม่ได้ดั่งใจสักเท่าไหร่“อืม” ผมตอบออกไปเพียงเท่านั้นก่อนจะหันหน้าจ้องมองไปบนถนนด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“ถ้าเป็นห่วงคนรักของนาย ไม่ต้องกังวลหรอกเธอถึงมือหมอแล้ว” สิ่งที่ผมรู้สึกว่าผมโชคดีมากก็คือ ผมกับพีชไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเราเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านมาเจอกัน แต่ในเวลาเร่งด่วนคนที่ช่วยผมกลับเป็นเขา“ทำไมถึงช่วย” เพราะไม่ว่าผมจะคิดยังไงหรือทางใด มันไม่มีจุดไหนเลยที่จะทำให้เขาต้องยื่นมือเข้ามาช่วยคนอย่างผม เพราะว่าแม้แต่ทางด้านธุรกิจเราสองคนแทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลยแม้แต่น้อย หรือหากเขากำลังทำดีเพื่อการร่วมมือในอนาคตอย่างนั้นหรอ“ไม่ดีหรอ” พีชหันมามองหน้าผมพร้อมกับตอบด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท แต่ผมกลับรู้สึกว่าในสายตาของเขามีอะไรที่มากกว่านั้น“ก็แค่รู้สึกสงสาร.. แล้วก็เห็นใจนาย” ยิ่งคำพูดของเขายิ่งทำให้ผมสงสัยในเรื่องนี้เข้าไปใหญ่ ในเมื่อเราไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเพราะอะไรเขาถึงต้องมาสงสาร แล
ตอนที่ 34ผิดสัญญาผมที่สวมชุดสูทสีขาวกลัดดอกกุหลาบแดงที่หน้าอกข้างซ้าย สองเท้าก้าวเดินต้อนรับแขกเหรื่อที่เข้ามาในงาน ข้างกายมีสาวสวยอย่างน้องน้ำตาลที่สวมชุดราตรีปักเพชรสีเดียวกันเรียกได้ว่าทำให้เราทั้งสองคนนั้นเป็นจุดเด่นในงานครั้งนี้ถึงแม้ว่าช่วงนี้ก็มีความรู้สึกที่แปลกใจอยู่สักหน่อย ราวกับว่าจะมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแต่เพราะมันคือหน้าที่ที่ผมตัดสินใจแล้ว และนี่ก็เป็นผลของการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่งงานหมั้นที่ถูกจัดที่โรงแรมหรู แขกเรือที่เข้ามาในงานมีแต่คนมีอำนาจ เงินทอง และชื่อเสียง ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะเพอร์เฟกต์ไปเสียหมด แต่สำหรับผมมันก็เป็นแค่งานที่รวมคนรวยเท่านั้น“พี่เธียรยิ้มหน่อยไหมคะ ทำหน้าเหมือนคนอมทุกข์ขนาดนี้ ทำไมคะการที่พี่กำลังจะเข้าพิธีหมั้นกับน้ำตาลมันดูทุกข์ขนาดนั้นเลยหรอคะ” ผมเบนหน้าไปลงเล็กน้อยมองสาวที่อยู่ด้านข้างอย่างไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา น้ำตาลจ้องใบหน้าของผมพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ แต่ช่างดูเป็นรอยยิ้มที่ผมดูยังไงก็ไม่จริงใจเลยสักนิด“อย่าบังคับพี่ให้มาก” ผมตอบเพียงแค่นั้นโดยไม่ได้สนใจอะไร ก่อนจะเดินหลบมุมก่อนจะปลีกตัวออกมาด้านนอก เมื่อเห็นเป้าหมายจึงได้เดิน