‘หนิงเซียนหากลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ตัวพ่อคงไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพ่อขอโทษ ขอโทษเจ้าจากใจจริงโดยไม่ได้ถามความคิดเห็นจากเจ้า แต่พ่อเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อคนนี้จะทำให้เจ้าได้ พ่อไม่อยากให้เจ้าเข้ามาในวังวนนี้อีกพ่ออยากให้มันจบตัวพ่อ
พ่ออยากจะให้เจ้าได้ใช้ชีวิตตามที่ต้องการ เรื่องคำทำนายลูกคงได้ยินจากซีฮันแล้ว จากนี้พ่อฝากซีฮันด้วยนะต่อจากนี้เขาจะเป็นองครักษ์ของลูก ตัวพ่อนั้นได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้กับลูกที่หุบเขาวิญญาณหมดแล้ว มันพอที่จะให้ลูกได้อยู่อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต อาจจะถึงลูกของลูก และยังมีครอบครัวของเหล่าทหารทมิฬพ่อฝากดูแลพวกเขาด้วยนะ… ‘
หลังจากที่หนิงเซียนอ่านจดหมายฉบับแรกจบ ก็กลั้นสะอื้นอย่างที่สุด ก่อนจะเปิดอ่านจดหมายฉบับที่สอง
’ ฝากถึงหนิงเอ๋อร์ลูกแม่ ถึงตอนที่ลูกอ่านจดหมายฉบับนี้ตัวแม่คงไม่ได้อยู่อีกแล้ว ตัวแม่รู้ดีกว่าหลังจากนี้ครอบครัวเราจะเป็นอย่างไร เหตุที่ทำเช่นนี้แม่ไม่ได้รังเกียจหรือไม่ได้รักเจ้า แต่แม่รักเจ้าตั้งแต่แรกพบจนสุดหัวใจ ต่อจากนี้แม่อยากให้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราอีกแล้ว แม่รักหนูนะหนิงเอ๋อร์…มา
หนิงเซียนเลือกที่จะเปิดจดหมายฉบับที่สามต่อไป
’ หนิงเอ๋อร์นี่พี่ใหญ่ของเจ้า แม้ตอนเด็กเราจะไม่ได้เล่นด้วยกันแต่พี่ยังรักและห่วงเจ้าเสมอ พี่คาดหวังว่าหนิงเอ๋อร์จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่มีท่านพ่อท่านแม่และท่านย่า หนิงเอ๋อร์อาจจะคิดว่าพี่เห็นแก่ตัว แต่มันถึงจุดนี้แล้วเป็นพี่เองที่จะไปพร้อมกับทุกๆ คน พี่ขอโทษที่ปล่อยให้หนิงเอ๋อร์ตัวคนเดียว พี่ขอโทษ ต่อจากนี้หากเจ้ามีลูกตัวน้อยๆ ฝากบอกหลานให้กับพี่ด้วยนะว่าท่านลุงคนนี้รักท่านแม่ของพวกหลานมากๆ ที่เรือนหุบเขาวิญญาณพี่ได้เตรียมของขวัญของหลานๆ ไว้ในหีบมีทั้งของหญิงและชาย เจ้าไม่ต้องน้อยใจพี่ยังเตรียมไว้ให้เจ้าด้วย อย่างสุดท้ายพี่ขอให้เจ้าพบเจอบุรุษที่รักเจ้าด้วยใจจริง รักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว…’
หลังจากอ่านจบทั้งสามฉบับ หนิงเซียนกอดจดหมายทั้งสามพร้อมทั้งน้ำตามันทำใจยากเกินที่จะบรรยายออกมา นางได้แต่ให้น้ำตาเล่าถึงความเจ็บปวด ความคิดถึงของนางในตอนนี้ได้ดีที่สุด
ซีฮันปล่อยให้หนิงเซียนใช้เวลาอยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่ง รอจนหนิงเซียนเริ่มดีขึ้นเขาจึงพูดต่อ “หลังจากนี้พวกเราคงต้องเดินทางไปที่หุบเขาวิญญาณแล้วขอรับ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณหนูเอง” ซีฮันต้องการพาหนิงเซียนไปที่หุบเขาวิญญาณให้เร็วที่สุด เมื่อไปถึงที่นั่นเขาถึงจะมั่นใจได้ว่าหนิงเซียนได้ปลอดภัยแล้ว
“……” หนิงเซียนเงยหน้ามองซีฮันทั้งที่ยังมีน้ำตาอยู่
ทุกคนทำเพื่อนางขนาดนี้ แต่นางกลับไม่รู้ถึงมันเลย เป็นเพราะพวกมันที่ทำให้ครอบครัวของนางต้องเจอจุดจบเช่นนี้ เป็นเพราะพวกมันที่ชิงชังและอิจฉาในตระกูลหม่า ในเมื่อพวกมันทำเช่นนี้กับตระกูลของนาง นางก็จะเอาคืนพวกมันอย่างสาสม ให้แคว้นแห่งนี้ที่พวกมันต่างแย่งชิงกันไปมา นางผู้นี้จะทำให้มันพินาศย่อยยับไปกับมือของนางเอง
ซีฮันและลี่หลินที่เห็นแววตาของหนิงเซียนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทำให้ภายในใจของทั้งสองต่างสั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว แววตาที่พวกเขามองเห็นเต็มไปด้วยความโกรธ ความเกลียดที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีกแล้ว
“แม่นมพวกเราเก็บของกันเถิดเจ้าค่ะ พวกเราจะออกเดินทางหลังจากท่านซีฮันหายดีเจ้าคะ” หนิงเซียนหันมาบอกกับลี่หลิน แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับจดหมายในมือ ปล่อยให้ซีฮันและลี่หลินมองตากันปริบๆ
“ท่านคิดเหมือนข้าใช่หรือไม่” ลี่หลินหันไปถามความคิดเห็นจากซีฮัน ซึ่งซีฮันพยักหน้าให้ลี่หลิน ทั้งสองรู้สึกได้ว่าคุณหนูเปลี่ยนไปจากเมื่อสักครู่อย่างมาก
“เช่นนั้นข้าไปเก็บของช่วยคุณหนูก่อน ท่านก็รักษาตัวอยู่ในห้องนี้ไปก่อน” ลี่หลินกล่าวกับซีฮันแล้วออกไปช่วยหนิงเซียนเก็บของ
ระหว่างที่รอซีฮันหายดีหนิงเซียนก็ได้รู้ว่าหอโคมแดงนารีที่โด่งดังในเมืองหลวง เหล่าบุรุษต่างๆ ในเมืองไปใช้บริการ เป็นของท่านแม่ของนาง มันยิ่งทำให้นางรู้สึกดีอย่างมาก หลังจากที่รู้เกี่ยวกับหอโคมแดงของท่านแม่ หนิงเซียนใช้ช่วงเวลาที่ซีฮันกำลังรักษาตัว เข้าไปในห้องยาของนางปรุงยาขึ้นมาเพื่อเตรียมไว้ใช้ในแผนการของนาง
ในยามค่ำคืนหนึ่ง ร่างบางของใครบางคนแอบย่องเข้าทางด้านหลังของหอโคมแดงนารี กระโดดข้ามกำแพงเข้าไปทางใน
“ผู้ใด” จู่ๆ ก็มีองครักษ์ปรากฏตัวออกมาตวัดดาบใส่ร่างบาง
“ข้าเอง” หนิงเซียนส่งเสียงร้องพร้อมกับยื่นตราตระกูลหม่าให้กับองครักษ์คนนั้นดู
“คุณหนู…ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ คุณหนูโปรดลงโทษข้าด้วยขอรับ” องครักษ์ที่เห็นหยกของบุคคลตรงหน้าถือก็รู้ว่าเป็นผู้ใด คุกเข่าลงด้วยความรู้สึกผิดเตรียมตัวรับโทษ
“ไม่เป็นอันใด ข้าไม่ถือโทษ เจ้าช่วยไปเรียกแม่นางเหมยฮวามาพบข้าที” หนิงเซียนรู้อยู่แล้วว่าหอโคมแดงแห่งนี้แข็งแกร่งเพียงใด เพราะแม้แต่ราชวงศ์ยังไม่สามารถควบคุมสถานที่แห่งนี้ได้เลย จนนางได้มารู้ว่าที่แห่งนี้เป็นของท่านแม่ของนาง
“ได้ขอรับ คุณหนูโปรดรอข้าสักครู่ ข้าจะไปตามแม่นางเหมยฮวามาให้ขอรับ” องครักษ์ผู้นั้นตอบรับคำของหนิงเซียนก่อนจะพลิ้วตัวหายไปต่อหน้านาง
รอไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มีหญิงสาวหน้าตาสะสวย สวมชุดสีแดงตัดกับสีผิวสีขาวนวลของนางเดินนำองครักษ์ผู้นั้นออกมา
“คุณหนู ขอประทานอภัยที่ข้าไม่สามารถช่วยนายหญิงออกมาได้” เหมยฮวามาคุกเข่าต่อหน้าหนิงเซียนอย่างรู้สึกผิด เป็นนางที่ไม่สามารถช่วยคนที่มีพระคุณต่อนางได้เลย
“ท่านลุกขึ้นเถอะ มันไม่ใช่ความผิดท่าน” หนิงเซียนประคองให้เหมยฮวาลุกขึ้นมา นางมองไปหน้าของเหมยฮวาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ทุกคนเสียใจที่ไม่อาจช่วยท่านพ่อและท่านแม่ของหนิงเซียนได้เช่นเดียวกับนาง
“แต่หากวันนั้น…” เหมยฮวากำลังจะเอ่ยแต่ก็ถูกหนิงเซียนเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ไม่มีแต่…แม้ข้าจะเสียใจที่ไม่อาจช่วยท่านแม่ท่านย่าและน้องเล็กของข้าในวันนั้นได้ แต่ในเมื่อพวกท่านเตรียมมาให้ข้าถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะไม่สานต่อได้อย่างไร เลือดต้องล้างด้วยเลือดเท่านั้น” หนิงเซียนเอ่ยด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้นมา
ทำให้เหมยฮวารู้สึกอดจะหวาดกลัวหนิงเซียนไม่ได้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกนางได้เจอกัน ยามที่พบกับนายหญิงก็จะบอกว่าให้ดูแลคุณหนูให้ดีอย่าให้ได้รับอันตรายใดๆ ซึ่งนางก็รับปากอย่างดี
“คุณหนูต้องการที่จะทำอันใดเจ้าคะ”
“นี่เป็นยาที่ข้าคิดค้นขึ้นมา ให้ท่านนำยาชนิดนี้ไปผสมกับสุราให้เหล่าเดนพวกนั้นได้ดื่ม… “หนิงเซียนยื่นถุงยาที่นางได้ปรุงขึ้นมาให้กับเหมยฮวา
” มันคือสิ่งใดเจ้าคะ “เหมยฮวารับถุงยามาจากหนิงเซียนแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
” เป็นยาที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเองเจ้าคะ มันจะทำให้บุรุษที่ดื่มเข้าไปจะไม่สามารถมีบุตรได้ “
” จริงหรือเจ้าคะ “เหมยฮวาที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกทึ่งในตัวของหนิงเซียนอย่างมาก แม้นางจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็ตาม
” พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ยาชนิดนี้ไม่มีผลกับเหล่าสตรี “
“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวัง” เหมยฮวาตอบรับคำ ตัวนางเองก็จะช่วยหนิงเซียนให้เต็มที่เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับนายหญิงของนาง“มีเพียงเท่านี้แหละ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” หนิงเซียนเอ่ยลาเหมยฮวา แต่โดนเหมยฮวาเรียกเอาไว้“เดี๋ยวเจ้าค่ะคุณหนู ให้หม่าเถียวไปส่งเถอะเจ้าค่ะ “เหมยฮวาผายมือไปทางชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างๆ นาง นางกลัวว่าหนิงเซียนจะได้รับอันตรายระหว่างทาง” ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าเอาตัวรอดได้ “หนิงเซียนมองไปที่ชายชุดดำครั้งเมื่อตอนเข้ามาก่อนจะหันมาบอกกับเหมยฮวา แล้วกระโดดข้ามกำแพงออกไป” ตามนางไป อย่าให้นางได้รู้ตัว “เหมยฮวาหันมาเอ่ยกับหม่าเถียวที่อยู่ข้างๆ” ขอรับ “เหมยฮวารอจนหม่าเถียวแอบตามหนิงเซียนไปแล้วนางก็ถอนหายใจออกมา พร้อมมองไปบนฟ้าที่มืดสนิทคุณหนูเหมือนนายหญิงเลยนะเจ้าคะ…ตั้งแต่อยู่กับนายหญิงมา นางก็รู้ว่านายหญิงเป็นคนฉลาด ไม่ยอมให้ใครมารังแก พอนางหญิงแต่งเข้าตระกูลหม่านางก็ดูเรียบร้อยขึ้นราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งยังให้หม่าเถียวแอบตามคุณหนูตั้งแต่เล็กจนโต ต่อจากนี้ข้าจะคอยดูแลคุณหนูต่อจากท่านเองเจ้าค่ะ…หลังจากที่หนิงเซียนออกมาจากหอโคมแดง นางก็เดินดูผู้คนในยามค่ำ
“อร่อยหรือไม่” เหวยผิงที่เห็นเฟยฮวากินอย่างเอร็ดอร่อยก็อดจะถามไม่ได้ มันคือน้ำอะไรที่ทำให้เฟยฮวามีปฏิกิริยาได้ขนาดนี้“ชอบ ข้าชอบมากๆ” “เอ้…เหมือนสีบนตัวเจ้าจะชัดขึ้นหรือเปล่า” หลังจากกินน้ำพุนี้ไป เหวยผิงรู้สึกว่าสีบนตัวชัดขึ้นจากเดิมมีสีดำทั้งตัว ตอนนี้เริ่มมีสีแดงแซมขึ้นมา“จริงด้วย ข้ายังรู้สึกว่ามีแรงขึ้นเยอะเลย” เฟยฮวาเห็นอย่างนั้นก็บินไปเกาะที่ไหล่เหวยผิง เริ่มทำความสะอาดตัวเองเหวยผิงที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเฟยฮวานางก็คิดจะลองบ้าง จึงใช้อุ้งมือตักน้ำพุขึ้นมา ริมฝีปากบางจรดที่อุ้งมือ ความเย็นไหลผ่านลำคอลงไปถึงช่วงท้อง รู้สึกว่าเรี่ยวแรงอันน้อยนิดเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ผิวพรรณมีความอวบอิ่มขึ้นของดี…ว่าแล้วทำไมเฟยฮวาถึงอยากได้มันมากนั้น นี้มันมีค่ายิ่งกว่าโสมคนเสียอีก ดูเหมือนนางจะเจอขุมทรัพย์เข้าให้แล้วแต่คงจะรู้เพียงนางเท่านั้น น้ำทิพย์นี้หากออกไปสู่โลกภายนอกตัวนางเองคงจะไม่ปลอดภัย“เป็นอะไรไปหรือ” เฟยฮวาเอ่ยถาม เมื่อเห็นเหวยผิงนิ่งเงียบไป“ข้าแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไม่มีอันใดหรอก เราก็ออกไปจากที่นี่กันเถิด เพื่อหมาป่าพวกนั้นจะไปแล้ว” เหวยผิงลองหลับตาแล้วนึกภาพที่พวกน
“เปล่า ข้าแค่สงสัยว่าท่านเป็นใคร ถึงได้รู้ลึกขนาดนี้ ไม่รู้ว่าท่านแอบอยู่ใต้เตียงข้าหรือถึงรู้ว่าข้าถูกเฉียดหัวออกมา” เหวยผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พลางใช้มือปิดหูของอี้เหวินไว้ ไม่ให้ได้ยินคำที่นางเอ่ย“นี้เจ้าจะหาว่าข้าชอบสอดเรื่องชาวบ้านใช่หรือไม่” ฟางซินที่ได้ยินหญิงสาวเอ่ยขึ้นมา ก็ปี้ดขึ้นมาทันที“แล้วแต่ท่านจะคิด หากท่านไม่อยู่ใต้เตียงข้าจะรู้เรื่องของข้าได้อย่างไร อีกทั้งข้าเองก็ไม่รู้จักท่านอีกด้วย” “เจ้า…”“ฮ่า…ฟางซินปกติมันก็เป็นนิสัยของเจ้าไม่ใช่หรือ” เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น ทำให้เหวยผิงหันไปมองเห็นเป็นหญิงสาววัยกลางคน นางมีไฝที่หางตาซ้าย“เจ้าเกี่ยวอันใดด้วยไม่ทราบ” ฟางซินที่เห็นคู่อริของตนหัวเราะก็โกรธเกรี้ยวไม่น้อย“นี้เหวยผิง เจ้าก็อย่าไปถือสานางเลย สามีนางไปทำหญิงสาวหมู่บ้านอื่นท้อง ทำให้เวลานางเจอสาวหม้ายที่ไหนก็ชอบไปต่อว่าอย่างนี้แหละ” เจี่ยวมี่เมินประโยคของฟางซิน แล้วหันมาคุยกับเหวยผิงเองเหวยผิงที่ได้ยินก็เหลือบสายตามองฟางซินที่ทำหน้าราวกับจะฆ่าคนตาย ดูเหมือนจะบ้านางไม่เกี่ยวกับสามีนางเสียหน่อย“เจ้า…” ฟางซินที่ถูกเจี่ยวมี่พูดจี้จุดก็ง้างมือเตรียมตบเจี่ยวมี่“
“ ขอบคุณเจ้าค่ะ อีกห้าวันจะนำมาขายอีก” เหวยผิงนำขวดกระเบื้องมาห่อใส่ผ้าไว้ ก่อนจะเอ่ยลา“ป่ะ…ไปซื้อถังหูลู่ของเจ้ากัน” หลังออกจากร้านเหวยผิงพาอี้เหวินตรงไปยังร้านขายถังหูลู่“ขอรับ” “ถังหูลู่ อร่อยๆ เชิญทางนี้เลยจร้า เจ้าหนูเอากี่ไม้” แม่ค้าที่เห็นสองแม่ลูกเดินเข้ามาก็เอ่ยขึ้น“เอาหนึ่งไม้ขอรับ” อี้เหวินเอ่ยสั่งกับแม่ค้า ผลไม้เคลือบน้ำตาลดูอร่อย“เอาสี่ไม้เจ้าค่ะ” เหวยผิงที่เห็นอี้เหวินสั่งแค่ไม้เดียวเศร้าใจไม่น้อย รู้ว่าที่บ้านคาดเเคลนเงินก็ไม่โลภสั่งแค่อยากกิน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วนางมีเงิน หากอี้เหวินอยากกินสิบไม้นางก็จะซื้อให้กิน“ขอบคุณขอรับท่านแม่” อี้เหวินเห็นท่านแม่สั่งสี่ไม้ก็ดีใจ ถึงแม้ตัวเขาจะพอรู้ว่าท่านแม่ได้เงินมาจากการขายปิ่นกับน้ำผึ้งของเฟยฮวา แต่ก็ต้องเก็บไว้ซื้ออาหารและไว้ซ่อมบ้าน“ต่อไปนี้เจ้าอยากกินอะไรก็บอกแม่ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน แม่จะจ่ายให้เจ้าเอง” “ขอรับ” “สี่ไม้ สิบสองอีแปะ” เหวยผิงหันไปจ่ายเงินกับแม่ค้า แล้วรับถังหูลู่มาให้อี้เหวิน“ขอบคุณขอรับ” เมื่อได้ของที่ต้องการอี้เหวินก็กินอย่างมีความสุข ถังหูลู่อร่อยเช่นนี้เอง ถึงว่าเด็กในหมู่บ้านชอบกินกัน“อร่อยหร
“เย็นนี้เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่ เเม่จะทำให้เจ้าเอง” เหวยผิงหันมาถามอี้เหวิน เพราะนางกำลังจะพาอี้เหวินไปซื้ออาหารตุนไว้“อะไรก็ได้ขอรับ ท่านแม่ทำอะไรก็อร่อย”“หืม…ลูกใครเนี่ย ช่างปากหวานเสียจริง” เหวยผิงก้มหอมแก้มอี้เหวินด้วยความหมั่นเขี้ยวเหวยผิงพาอี้เหวินมาตรงพวกขายของกิน เนื่องจากเป็นเวลาช่วงเช้าๆ ทำให้มีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก“เนื้อหมู เนื้อหมูสด พึ่งฆ่าเลย มาเลือกซื้อกันได้เลย” เสียงแม่ค้าส่งเสียงเรียกผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมา“ขายอย่างไรเจ้าค่ะ” เหวยผิงพาอี้เหวินเดินเข้าไปร้านขายหมูที่ดูใหญ่ที่สุด“เนื้อล้วนชั่งละสามร้อยอีแปะ เนื้อติดมันชั่งละสองร้อยห้าสิบอีแปะ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการแบบไหน” “ข้าเอาเนื้อติดมันสองชั่ง ข้าอยากจะรู้ว่ามีส่วนที่เป็นมันล้วนหรือไม่” เหวยผิงเอ่ยถามแม่ค้าดู เพราะนางไม่มั่นใจว่าคนที่นี่จะกินล้วนหรือไม่“มันล้วนหรือ แม่นางจะเอามันไปทำอะไร มันไม่อร่อยเลย” แม่ค้ามองเหวยผิงด้วยความแปลกใจ เหวยผิงเป็นคนแรกที่มาถามหามันล้วน“ข้ามีวิธีของข้าเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านมีหรือไม่เจ้าค่ะ” “มี ข้ามีเยอะเลย คนส่วนมากไม่ค่อยซื้อมันทำให้ข้าต้องปาดมันทิ้งทุกวัน ว่า
เมื่อมาถึงบ้านเหวยผิงก็แบ่งหยางเหมยออกมาประมาณสามจินล้างน้ำให้สะอาด ส่วนที่เหลือนางเก็บในมิติโดยมีอี้เหวินน้อยคอยเป็นลูกมือ กิจการแรกที่นางคิดจะทำก็คือสุราสายน้ำผึ้ง เมื่อภพที่แล้วนางถูกพี่สาวพาไปเรียนทำสุราสายน้ำผึ้ง จึงทำให้พอมีความรู้ติดตัวมาอยู่บ้าง อีกทั้งในภพนี้สุราก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนต่างซื้อกัน สุราที่นางจะหมักนี้มันหอมนุ่มจนสตรีสามารถทานได้เริ่มแรกนางเอาหยางเหมยมาบดให้พอแตกๆ แล้วก็ใส่ถังแล้วใช้ผ้าปิดหน้าถังไว้ไม่ให้อากาศเข้า“คงต้องไปซื้อถังใหม่เสียแล้วล่ะ” ถังที่เหวยผิงใช้เป็นถังที่ไว้ใช้สำหรับตักน้ำ เมื่อวานนางก็ลืมซื้อ เอาไว้คราวหน้าค่อยไปสั่งทำใหม่ ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่าที่นางทำนี้จะได้ผลหรือเปล่า นางจึงเก็บถังหยางเหมยไว้ในมิติหลังจากหมักเสร็จแล้ว นางก็ไม่รู้จะทำอันใดอีกจึงมานั่งเล่นหน้าบ้านกับอี้เหวิน“ทำอันใดอยู่หรือ” เหวยผิงเดินเข้ามา ก็เห็นอี้เหวินกำลังขีดเขียนอะไรสักอย่างบนพื้นดิน“ข้าเขียนพวกเราขอรับ นี่ท่านแม่ นี่อี้เหวิน ส่วนนี่เฟยฮวา” อี้เหวินชี้ไปบนพื้นให้ท่านแม่ดูเหวยผิงที่เห็นรูปที่อี้เหวินวาดก็น้ำตาซึม นั่งลงข้างๆ อี้เหวินแล้วเอ่ยว่า“สวยมากๆ อี้เหวิ
เหวยผิงจึงหยิบขวดกระเบื้องที่ใส่น้ำทิพย์ขึ้นมากิน กลิ่นอันหอมหวานลอยคลุ้งไปทั่ว ทำให้ทั้งเฟยฮวาและเหล่าผึ้งงานบินมาหยุดต่อหน้าเหวยผิง มองน้ำทิพย์ที่อยู่ในขวดกระเบื้องตาเป็นประกาย“ถือว่าเป็นรางวัลของพวกเจ้าสำหรับวันนี้” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ลงใบไม้แล้วยื่นให้กับเหล่าผึ้งงานที่นำทางนางมาหาต้นหยางเหมยเหล่าผึ้งงานเองที่ได้รับอนุญาตก็บินมาเกาะใบไม้อย่างรวดเร็ว ดูดกินน้ำทิพย์อย่างเอร็ดอร่อย“นี่เหวยผิง ท่านต้องให้ข้าด้วยสิ ข้าก็พาท่านมานะ” เฟยฮวาเอ่ยประท้วงที่ตนไม่ได้รับน้ำทิพย์ เหมือนผึ้งงานของนาง“ได้สิ” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ไปที่หลังมือแล้วยืนไปใกล้ๆ เฟยฮวา“ขอบคุณ” เหวยผิงนั่งมองเหล่าผึ้งกินน้ำทิพย์อยู่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างสะกิดที่ขาหลังของนาง นางจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นพังพอนขาวที่กำลังใช้เท้าอันน้อยเขี่ยนางไปมา“แล้วนี่มีพังพอนขาวด้วยหรือ” เหวยผิงมองเจ้าพังพอนน้อยอย่างแปลกใจ เพราะปกตินางเห็นแต่พังพอนสีน้ำตาล นางยังไม่เคยเห็นพังพอนตัวสีขาวมาก่อนเลย“อี้ๆ…” เจ้าพังพอนน้อยก็เขี่ยขาหลังไปมา“เจ้าต้องการอันใดหรือ” เหวยผิงที่เห็นพังพอนขาวเขี่ยอยู่อย่างนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย“อี้ๆ…อี้” เหมือ
หลังจากที่นางกำลังเตรียมของแล้วก็ได้ให้เฟยฮวาไปตามอี้เหวินกับเสี่ยวไป๋มาเปลี่ยนชุดเพื่อไปในตัวอำเภอ นี่ก็ยามอู่แล้วนางไม่รู้ว่าท่านลุงไป๋ซานจะเข้าไปในตัวอำเภออีกหรือไม่ ไม่งั้นคงต้องจ้างไปตัวอำเภอโดยเฉพาะเสียแล้วอี้เหวินที่ได้ยินว่าท่านแม่จะพาไปเที่ยวในตัวอำเภอก็อุ้มเสี่ยวไป๋วิ่งกลับเร็ว แล้วเข้าไปเปลี่ยนซื้อผ้าตัวที่สำหรับออกบ้าน“เสร็จหรือยังอี้เหวิน” เหวยผิงเตรียมตัวเสร็จแล้ว จึงส่งเสียงเรียกอี้เหวิน“เสร็จแล้วขอรับ ไปตัวอำเภอกัน” อี้เหวินพร้อมชุดใหม่เดินอุ้มเสี่ยวไป๋ออกมาจากห้อง และยังมีเฟยฮวาที่เกาะอยู่บนไหล่อี้เหวินอีกด้วยระหว่างเดินผ่านบ้านท่านป้ากุ้ยฉิน เหวยผิงก็ตะโกนเรียก“ท่านป้าท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ เหวยผิงเองเจ้าค่ะ” “อ่าวพวกเจ้านั้นเอง มีอันใดหรือ” กุ้ยฉินที่ได้ยินคนส่งเสียงเรียกก็ออกมาจากบ้าน“ข้าเอาหยางเหมยมาให้เจ้าค่ะ พอดีข้าชิมแล้วมันหวาน สดชื่นมากๆ ข้าเลยแบ่งมาให้ท่าน” เหวยผิงส่งตะกร้าที่นางแบ่งหยางเหมยมาให้บ้านกุ้ยฉินได้ลองกินบ้าง“ขอบใจเจ้ามากๆ ข้าก็ไม่ได้กินหยางเหมยนานแล้ว ดูสิมีแต่ลูกแดงๆ น่ากินไม่น้อย ว่าแต่พวกเจ้าจะไปไหนหรือแต่งตัวซะดีเชียว”“ข้าจะเข้าไปตัวอ
เพียงแวบตาเดียวที่จางหมิงหันมาสบตากับนางก่อนจะหันไปทางอื่น ในมุมนี้ทำให้หนิงเซียนเห็นนิสัยอีกด้านหนึ่งของจางหมิงเลยก็ว่าได้ พอตอนอยู่กับนางจางหมิงชอบแกล้งนางเป็นที่หนึ่ง ตามติดไม่ห่างราวกับเป็นคนขาดความอบอุ่น แต่พอนางมาเป็นจางหมิงในมุมนี้ ในสถานะราชาปกครองแคว้นจางหมิงทั้งดูสุขุม มีอำนาจที่สามารถสยบผู้คนได้แต่ด้วยภาพลักษณ์แบบนี้ไม่สามารถทำลายภาพจำที่จางหมิงทำไว้กับนางได้หรอก“เริ่มงานเลี้ยงได้” จางหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางมองไปรอบๆ งานก่อนจะมีหญิงสาวของแต่ละตระกูลขึ้นมาแสดงความสามารถเพื่อหวังมัดใจฝ่าบาทเพราะตอนนี้จางหมิงยังไม่มีฮองเฮาข้างกาย มันทำให้หญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนต่างหมายปองทั้งตำแหน่งนั้น ยิ่งทำให้ตระกูลเป็นที่เชิดหน้าชูตาเลยทีเดียวหนิงเซียนเองก็ใช่ช่วงเวลาที่หญิงสาวทั้งหลายแย่งกันแสดงความสามารถต่อหน้าจางหมิง นางกินของนางที่เข่อซิงเอามาอย่างเอร็ดอร่อย พลางดูการแสดงของหญิงสาวแต่ละคนไปด้วย“พี่เหมยฮวาท่านว่าคุณหนูพวกนั้นร่ายรำเป็นอย่างไรบ้าง” หนิงเซียนเอี้ยวตัวมาถามคนที่เก่งในทุกๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการร่ายรำ เล่นเครื่องดนตรีต่างๆ นับได้ว่าเหมยฮวาก็ไม่เป็นสองรองใคร แต
“คุณหนูท่านงดงามมากเจ้าค่ะ” เหมยฮวาถึงกับตะลึงในความงามของหนิงเซียนแค่เพียงนางแต่งเติมเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ก็ขับให้หนิงเซียนดูโดดเด่นขึ้นมาทันตา“ท่านก็กล่าวเกินไป”“คุณหนูท่านงดงามจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านงดงามเหมือนนายหญิงเลยเจ้าค่ะ” เหมยฮวาเอ่ยชมเรียกได้ว่าความสวยของหนิงเซียนได้รับมาจากนายหญิงเต็มๆ ทั้งปาก จมูก คิ้วรวมทั้งผิวพรรณ“……”“คุณหนูข้าไม่ได้ตั้งใจ” เหมยฮวาที่รู้สึกว่าหนิงเซียนเงียบผิดปกติก็นึกได้ว่าตนเผลอเอ่ยสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยออกมาเสียแล้ว“ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ท่านแม่นางสวยมากจริงๆ” เรื่องมันผ่านมาแล้วหนิงเซียนจะไม่พยายามจมปลักอยู่กับมันอีกแล้ว จะอยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด“เจ้าค่ะ”ก๊อกๆ“คุณหนูขันทีซ่งเสี่ยนส่งคนมารับท่านแล้วเจ้าค่ะ” เสียงเคาะประตูก่อนร่างของลี่หลินจะปรากฏตัว พร้อมกับบอกว่าคนที่ซ่งเสี่ยนบอกไว้เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนมารับแล้ว“ไปกันเถอะพี่เหมยฮวา ข้าอยากจะรู้นักว่างานเลี้ยงของเหล่าราชวงศ์เป็นเช่นไร”“เจ้าค่ะ” เหมยฮวาเพียงส่งยิ้มบางๆ ให้กับหนิงเซียนเพียงเท่านั้น“แม่นมท่านไม่ไปกับพวกเราจริงๆ หรือ” หนิงเซียนยังไม่ลืมหันมาชวนลี่หลินอีกครั้ง เพราะตัวลี่หลินให้เ
เช้าวันรุ่งขึ้น…วันนี้เป็นวันที่สองที่หนิงเซียนได้อยู่ในที่แห่งนี้ มันช่างรู้สึกเหงาไม่น้อยเพราะว่าพวกนางไม่สามารถออกไปไหนได้เลย หันไปถามหวังเหว่ยก็ได้คำตอบกลับว่าแค่ว่า “รอให้ฝ่าบาทกลับมาก่อนขอรับ”นั่นแหละเป็นคำตอบที่นางได้รับจากหวังเหว่ยทำให้นางเองต้องมานั่งปรุงยารอจางหมิงกลับมา ซึ่งก็ไม่รู้เวลาไหนเหมือนกันก๊อกๆ“ข้ารบกวนเวลาของเจ้าหรือไม่” เสียงบุคคลที่หนิงเซียนรอคอยมาตลอดทั้งเช้าในที่สุดก็ปรากฏตัวเสียที“จางหมิงท่านหายไปไหนมา”“ข้าติดภารกิจนิดหน่อย หวังเหว่ยดูแลเจ้าดีหรือไม่” จางหมิงหันไปมองหวังเหว่ยที่ยืนอยู่ด้านหลัง“ดูแลก็ดูแลดีอยู่ แต่หวังเหว่ยไม่ให้ข้าออกไปไหนเลย”“มันเป็นคำสั่งของข้าเอง”“อันใดท่านจะมากักขังข้าแบบนี้ไม่ได้นะ ข้าอุตส่าห์ยอมตามท่านมา” หนิงเซียนมองไปที่จางหมิงด้วยความไม่พอใจ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปนางคงอกแตกตายเป็นแน่“มันไม่ใช่อย่างนั้น แค่เพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น หลังจากนี้เจ้าจะออกไปไหนได้ตามใจชอบ”“ท่านไม่ได้หลอกข้าให้ดีใจเล่นๆ ใช่หรือไม่” หนิงเซียนมองจางหมิงอย่างจับผิดจางหมิงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมา” คืนนี้จะมีงานเลี้ยงต้อนรับข้ากลับมาแล้วเจ
ในที่สุดขบวนรถม้าของจางหมิงก็มาถึงเมืองหนันเหลียงสักที นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเซียนได้มาต่างเมือง นางมองสองข้างทางด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนว่าเมืองหนันเหลียงนั้นจะดีกว่าเมืองซีฉินอย่างมาก ทั้งความเป็นอยู่ของชาวบ้านตลอดสองข้างทาง และบ้านเมืองที่ดูอลังการกว่าของซีฉินไม่น้อยขบวนรถม้าแล่นมาเรื่อยๆ จนถึงเขตวังหลวง ทำให้นางได้เห็นถึงความแตกต่างของหนันเหลียงและซีฉิน“พวกเจ้าเป็นผู้ใด โปรดแสดงตัว” ทหารที่คุมประตูทางเข้าพระราชวังขอตรายืนยันตัวตน เพราะคนที่จะเข้าไปในวังหลวงได้นั้นต้องมีตราสัญลักษณ์โดยเฉพาะหวังเหว่ยยื่นตราสัญลักษณ์ของจางหมิงให้ทหารผู้นั้นได้ดู” ฝ่าบาท เปิดทางฝ่าบาททรงเสร็จกลับมาแล้ว “ทหารที่เห็นตราสัญลักษณ์มังกรทองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของใครเพราะมันมีเจ้าของเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เสียงประกาศของทหารผู้นี้ทำให้คนที่ได้ยินต่างหันมาอย่างพร้อมเพียง จากนั้นก็รีบไปแจ้งนายของตนว่าฝ่าบาทได้กลับมาแล้วจางหมิงหาไปสนใจกับคนพวกนั้นไม่ นำขบวนรถม้าของหนิงเซียนมุ่งหน้าไปยังทิศเหนือของวังหลวง พามาหยุดอยู่หน้าตำหนักหนึ่ง“เฉิงเฉียนกง”หนิงเซียนมองชื่อตำหนักที่อยู่ต่อหน้านาง มองจากข้างนอกแล้วเรี
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นไป ทั้งซีฮันและเฟยหยางต่างเร่งเร้าให้นางขึ้นเป็นจักรพรรดินีคนต่อไปของแคว้นซีฉิน แต่หนิงเซียนก็เลือกที่จะปฏิเสธพร้อมกับบอกซีฮันว่าตนนั้นไปอยู่หนันเหลียงกับจางหมิง ตอนที่ซีฮันรู้เรื่องระหว่างของหนิงเซียนกับจางหมิงเขาถึงกับโวยวายอยู่พักใหญ่ ทำให้หนิงเซียนและลี่หลินไปช่วยกันอธิบายถึงทำให้ใจเย็นลงหนิงเซียนยังได้แต่งตั้งให้ซีฮันไปดูแลซีฉินแทนนางก่อน ซึ่งตัวซีฮันก็ตอบตกลงทันที นางนั้นรู้ว่าตัวซีฮันน้อยใจนางที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้กับเขารู้เป็นคนแรก” คุณหนูท่านไม่ต้องกังวลเขาหรอก เดี๋ยวเขาหายโกรธก็มาหาท่านเอง “ลี่หลินเอ่ยบอกกับหนิงเซียน เพราะลี่หลินอยู่กับซีฮันมาหลายเดือนก็พอจะรู้นิสัยของซีฮันแล้ว” เจ้าค่ะ “” หนิงเซียนมีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่ “นับตั้งแต่วันที่หนิงเซียนเอ่ยตกลง จางหมิงก็ยิ่งตัวติดนางมากกว่าเดิม ไม่ว่าจะทำอันใด ไปที่ไหนก็จะมีจางหมิงอยู่ใกล้ๆ ตลอด” ข้ากับพี่เหมยฮวาเก็บเรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะ “ตั้งแต่ที่เหมยฮวามาอยู่ที่นี่ คำเรียกของพวกนางก็เปลี่ยนไป ตอนแรกเหมยฮวาจะให้เรียกนางเฉยๆ แต่หนิงเซียนไม่ยอมเพราะว่าเหมยฮวาก็อายุมากกว่านาง จนเหมยฮวาเองต้องยอมให
“ตัวข้าหากใครดีกับข้า ข้าจะดีตอบคนผู้นั้น แต่สำหรับคนเลวๆ อย่างพวกเจ้าอย่าหวังว่าข้าจะดีตอบ เอาละเพื่อไม่ให้เวลามันยืดเยื้อไม่มากกว่านี้ เราควรมาจบเรื่องนี้กันเสียที”นิ้วเรียวยาวชี้ไปที่ตงหยางก่อนจะเอ่ยสั่งกองทัพ “โจมตี” กองทัพทมิฬเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วบุกประชิดประตูเมือง ทหารของตงหยางเพียงไม่กี่พันคนถูกกองทัพทมิฬจัดการอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่อยู่ในหลังประตูเมืองต่างวิ่งกันจ้าละหวั่นเพื่อเอาชีวิตรอด“พระองค์หนีเถอะขอรับ” ไป๋ซานเห็นท่าไม่ดีแล้ว ไปประชิดตัวตงหยางเพื่อจะพาหนี แต่ก็ไม่ทันการเมื่อซีฮันมาดักทางทั้งสองไว้“เจ้าหลบไปอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ไป๋ซานเอ่ยขู่ซีฮันซีฮันได้แต่เหลือบมองไป๋ซานด้วยสายตาเรียบนิ่งเท่านั้น “ตงหยางวันนี้เป็นวันตายของเจ้า อย่าคิดเลยว่าเจ้าจะหนีจากคุณหนูของข้าพ้น” จากนั้นซีฮันก็พุ่งไปจัดการตงหยาง ทำให้ไป๋ซานต้องออกมารับมือแทนเพราะฝีมือของตงหยางแทบจะสู้ซีฮันไม่ได้เลยระหว่างที่ตงหยางหลบอยู่หลังของไป๋ซานมีร่างของใครบางคนปรากฏตัวอยู่ข้างๆ แล้วจับตัวตงหยางทุ่มลงกับพื้น“อึก…จางหมิงเจ้า” ตงหยางกระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ
ไม่นานข่าวการพ่ายแพ้ของกองทัพซีฉินที่ชายแดนก็กระจายไปทั่วเมือง ทำให้ประชาชนตอนนี้อยู่ในความหวาดกลัว ไม่รู้ว่าทหารของหนันเหลียงจะบุกโจมตีเมื่อไหร่ ซึ่งมีหลายครอบครัวไม่น้อยที่รีบอพยพหนีตายกันไปตอนตั้งแต่วันรู้ข่าวแล้วและก็มีขุนนางหลายตระกูลไม่น้อยที่คิดจะหนีออกจากที่นี่ แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะตัวของตงหยางนั้นได้ส่งองครักษ์มาคุ้มไม่ให้ตระกูลขุนนางแต่ละตระกูลหนี“เหตุใดแม่ทัพของพวกเราจึงได้โง่เง่าเช่นนี้”“ข้าบอกแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือเมื่อก่อนแม่ทัพตระกูลหม่าไม่เคยแพ้ต่อกองทัพใดเลยเพราะมีกองทัพทมิฬหนุนหลังอยู่ แล้วตอนนี้เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร”“อะไรของเจ้า ไม่ใช่ว่าตระกูลหม่าก่อกบฏหรือ”“เจ้าคิดว่าตระกูลหม่าจะก่อกบฏจริงหรือ หากทำจริงพวกเขาแค่สั่งกองทัพทมิฬบุกชิงบัลลังก์ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าก็รู้ดีว่าไม่มีใครสามารถต้านกองทัพทมิฬได้อยู่แล้ว”“มันก็จริงของเจ้า ด้วยอำนาจของกองทัพทมิฬพวกราชวงศ์ย่อมสู้ไม่ได้อยู่แล้ว”“เจ้าก็รู้ๆ กันอยู่ ท่านผู้นั้นกลัวว่าอำนาจของตระกูลหม่าจะมากเกินไป จึงรวมหัวกับเหล่าขุนนางเพื่อกำจัดตระกูลหม่าให้สิ้น”“เจ้าแน่ใจหรือ ไม่ใช่แต่งเรื่องขึ้นมา”“ไม่ต้องไปสืบข่าวข้
“ตอนนี้กำลังเสริมของทหารซีฉินมาถึงแล้วขอรับ ซึ่งซินหยานเป็นผู้นำทัพในครั้งนี้” หวังเหว่ยองครักษ์ของจางหมิงกล่าวรายงาน“โอ้…องค์รัชทายาทเป็นแม่ทัพเลยหรือ ถ้างั้นข้าก็จะคงไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน” หนิงเซียนแสยะยิ้มมุมปาก มาให้จัดการถึงที่นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร ก่อนนางจะหันไปพยักหน้าให้กับจางหมิง“รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร” จางหมิงเอ่ยบอกกับหวังเหว่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ขอรับนายท่าน” จากนั้นหวังเหว่ยก็ออกจากกระโจมไปสั่งเคลื่อนพลบุกโจมตีกองทัพของซีฉินโดยเร็ว“หน้าข้ามีอันใดติดหรือ” หนิงเซียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะนางเห็นจางหมิงมองมาที่นางเกือบหนึ่งเค่อแล้ว“ไม่มี ตอนนี้ข้าเพียงคิดว่าจะขออันใดจากเจ้าดี” จางหมิงยิ้มกรุ้มกริ่มหนิงเซียนที่เห็นสายตาของจางหมิงมองมา นางเริ่มคิดแล้วว่าตัวนางนั้นคิดถูกหรือคิดผิดที่บอกจางหมิงไปอย่างนั้น…“อันใดกันเหตุใดพวกมันจึงบุกรวดเร็วขนาดนี้” ตัวของซินหยานที่มุ่งหน้ามาชายแดนอย่างไม่ได้หยุดพัก ก็ต้องหัวเสียเมื่อพบว่าพอเขามาถึงพวกทหารหนันเหลียงก็บุกโจมตีทันที” ข้าเองก็ไม่ทราบขอรับ “นายกองที่มาพร้อมกับซินหยานก็หงุดหงิดไม่แพ้ซินหยานเลยทหารขอ
รถม้าของหนิงเซียนที่กำลังเข้าไปในหุบเขาก็มีเหล่าทหารทำหน้าที่คุ้มกันมาขวางทางไว้” พวกเจ้าเป็นผู้ใครกัน “ผู้คุ้มชักดาบออกมาเตรียมพร้อมสำหรับโจมตีคนที่อยู่ในรถม้านี้” ข้าเองไม่ใช่ใครที่ไหน “หนิงเซียนยืนเพียงหัวออกมาทักบอกกับเหล่าผู้คุ้ม หากนางไม่รีบปรากฏตัวรับรองว่ามีเลือดสาดกันแน่” คุณหนูเป็นท่านนั้นเอง เปิดประตูคุณหนูกลับมาแล้ว ข้าขอโทษด้วยที่ไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน” ทหารหนุ่มโค้งคำนับขอโทษที่ตนไม่ตรวจสอบให้ละเอียดเสียก่อน“ไม่เป็นไรถือว่าเจ้าทำตามหน้าที่”จากนั้นหนิงเซียนก็บอกทางให้หม่าเถียวพาไปจอดที่โรงหมอซีฮันที่เห็นคนคุ้นเคยจึงเข้ามาทักทาย “เป็นเจ้านั้นเองว่าแต่คุณหนูละ” ซีฮันมองหาตัวของหนิงเซียน“ท่านลุงข้าอยู่นี้ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ” หนิงเซียนโผล่หัวออกมาทักทาย“ข้าสบายดี เป็นข้าเองเสียมากกว่าที่ต้องถามท่านว่า ออกไปเที่ยวเล่นสนุกหรือไม่ขอรับ”หนิงเซียนที่โดยถามอย่างนั้นนางส่งยิ้มแหยๆ ให้ซีฮันก่อนนางจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “แม่นมอยู่นี้หรือไม่เจ้าค่ะ” พลางสอดส่องหาลี่หลินไปทั่วโรงหมอ“นางพึ่งขึ้นไปทำอาหารมื้อเที่ยงก่อนคุณหนูมาไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ” หนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็พ