‘หนิงเซียนหากลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ตัวพ่อคงไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพ่อขอโทษ ขอโทษเจ้าจากใจจริงโดยไม่ได้ถามความคิดเห็นจากเจ้า แต่พ่อเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อคนนี้จะทำให้เจ้าได้ พ่อไม่อยากให้เจ้าเข้ามาในวังวนนี้อีกพ่ออยากให้มันจบตัวพ่อ
พ่ออยากจะให้เจ้าได้ใช้ชีวิตตามที่ต้องการ เรื่องคำทำนายลูกคงได้ยินจากซีฮันแล้ว จากนี้พ่อฝากซีฮันด้วยนะต่อจากนี้เขาจะเป็นองครักษ์ของลูก ตัวพ่อนั้นได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้กับลูกที่หุบเขาวิญญาณหมดแล้ว มันพอที่จะให้ลูกได้อยู่อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต อาจจะถึงลูกของลูก และยังมีครอบครัวของเหล่าทหารทมิฬพ่อฝากดูแลพวกเขาด้วยนะ… ‘
หลังจากที่หนิงเซียนอ่านจดหมายฉบับแรกจบ ก็กลั้นสะอื้นอย่างที่สุด ก่อนจะเปิดอ่านจดหมายฉบับที่สอง
’ ฝากถึงหนิงเอ๋อร์ลูกแม่ ถึงตอนที่ลูกอ่านจดหมายฉบับนี้ตัวแม่คงไม่ได้อยู่อีกแล้ว ตัวแม่รู้ดีกว่าหลังจากนี้ครอบครัวเราจะเป็นอย่างไร เหตุที่ทำเช่นนี้แม่ไม่ได้รังเกียจหรือไม่ได้รักเจ้า แต่แม่รักเจ้าตั้งแต่แรกพบจนสุดหัวใจ ต่อจากนี้แม่อยากให้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราอีกแล้ว แม่รักหนูนะหนิงเอ๋อร์…มา
หนิงเซียนเลือกที่จะเปิดจดหมายฉบับที่สามต่อไป
’ หนิงเอ๋อร์นี่พี่ใหญ่ของเจ้า แม้ตอนเด็กเราจะไม่ได้เล่นด้วยกันแต่พี่ยังรักและห่วงเจ้าเสมอ พี่คาดหวังว่าหนิงเอ๋อร์จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่มีท่านพ่อท่านแม่และท่านย่า หนิงเอ๋อร์อาจจะคิดว่าพี่เห็นแก่ตัว แต่มันถึงจุดนี้แล้วเป็นพี่เองที่จะไปพร้อมกับทุกๆ คน พี่ขอโทษที่ปล่อยให้หนิงเอ๋อร์ตัวคนเดียว พี่ขอโทษ ต่อจากนี้หากเจ้ามีลูกตัวน้อยๆ ฝากบอกหลานให้กับพี่ด้วยนะว่าท่านลุงคนนี้รักท่านแม่ของพวกหลานมากๆ ที่เรือนหุบเขาวิญญาณพี่ได้เตรียมของขวัญของหลานๆ ไว้ในหีบมีทั้งของหญิงและชาย เจ้าไม่ต้องน้อยใจพี่ยังเตรียมไว้ให้เจ้าด้วย อย่างสุดท้ายพี่ขอให้เจ้าพบเจอบุรุษที่รักเจ้าด้วยใจจริง รักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว…’
หลังจากอ่านจบทั้งสามฉบับ หนิงเซียนกอดจดหมายทั้งสามพร้อมทั้งน้ำตามันทำใจยากเกินที่จะบรรยายออกมา นางได้แต่ให้น้ำตาเล่าถึงความเจ็บปวด ความคิดถึงของนางในตอนนี้ได้ดีที่สุด
ซีฮันปล่อยให้หนิงเซียนใช้เวลาอยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่ง รอจนหนิงเซียนเริ่มดีขึ้นเขาจึงพูดต่อ “หลังจากนี้พวกเราคงต้องเดินทางไปที่หุบเขาวิญญาณแล้วขอรับ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณหนูเอง” ซีฮันต้องการพาหนิงเซียนไปที่หุบเขาวิญญาณให้เร็วที่สุด เมื่อไปถึงที่นั่นเขาถึงจะมั่นใจได้ว่าหนิงเซียนได้ปลอดภัยแล้ว
“……” หนิงเซียนเงยหน้ามองซีฮันทั้งที่ยังมีน้ำตาอยู่
ทุกคนทำเพื่อนางขนาดนี้ แต่นางกลับไม่รู้ถึงมันเลย เป็นเพราะพวกมันที่ทำให้ครอบครัวของนางต้องเจอจุดจบเช่นนี้ เป็นเพราะพวกมันที่ชิงชังและอิจฉาในตระกูลหม่า ในเมื่อพวกมันทำเช่นนี้กับตระกูลของนาง นางก็จะเอาคืนพวกมันอย่างสาสม ให้แคว้นแห่งนี้ที่พวกมันต่างแย่งชิงกันไปมา นางผู้นี้จะทำให้มันพินาศย่อยยับไปกับมือของนางเอง
ซีฮันและลี่หลินที่เห็นแววตาของหนิงเซียนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทำให้ภายในใจของทั้งสองต่างสั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว แววตาที่พวกเขามองเห็นเต็มไปด้วยความโกรธ ความเกลียดที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีกแล้ว
“แม่นมพวกเราเก็บของกันเถิดเจ้าค่ะ พวกเราจะออกเดินทางหลังจากท่านซีฮันหายดีเจ้าคะ” หนิงเซียนหันมาบอกกับลี่หลิน แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับจดหมายในมือ ปล่อยให้ซีฮันและลี่หลินมองตากันปริบๆ
“ท่านคิดเหมือนข้าใช่หรือไม่” ลี่หลินหันไปถามความคิดเห็นจากซีฮัน ซึ่งซีฮันพยักหน้าให้ลี่หลิน ทั้งสองรู้สึกได้ว่าคุณหนูเปลี่ยนไปจากเมื่อสักครู่อย่างมาก
“เช่นนั้นข้าไปเก็บของช่วยคุณหนูก่อน ท่านก็รักษาตัวอยู่ในห้องนี้ไปก่อน” ลี่หลินกล่าวกับซีฮันแล้วออกไปช่วยหนิงเซียนเก็บของ
ระหว่างที่รอซีฮันหายดีหนิงเซียนก็ได้รู้ว่าหอโคมแดงนารีที่โด่งดังในเมืองหลวง เหล่าบุรุษต่างๆ ในเมืองไปใช้บริการ เป็นของท่านแม่ของนาง มันยิ่งทำให้นางรู้สึกดีอย่างมาก หลังจากที่รู้เกี่ยวกับหอโคมแดงของท่านแม่ หนิงเซียนใช้ช่วงเวลาที่ซีฮันกำลังรักษาตัว เข้าไปในห้องยาของนางปรุงยาขึ้นมาเพื่อเตรียมไว้ใช้ในแผนการของนาง
ในยามค่ำคืนหนึ่ง ร่างบางของใครบางคนแอบย่องเข้าทางด้านหลังของหอโคมแดงนารี กระโดดข้ามกำแพงเข้าไปทางใน
“ผู้ใด” จู่ๆ ก็มีองครักษ์ปรากฏตัวออกมาตวัดดาบใส่ร่างบาง
“ข้าเอง” หนิงเซียนส่งเสียงร้องพร้อมกับยื่นตราตระกูลหม่าให้กับองครักษ์คนนั้นดู
“คุณหนู…ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ คุณหนูโปรดลงโทษข้าด้วยขอรับ” องครักษ์ที่เห็นหยกของบุคคลตรงหน้าถือก็รู้ว่าเป็นผู้ใด คุกเข่าลงด้วยความรู้สึกผิดเตรียมตัวรับโทษ
“ไม่เป็นอันใด ข้าไม่ถือโทษ เจ้าช่วยไปเรียกแม่นางเหมยฮวามาพบข้าที” หนิงเซียนรู้อยู่แล้วว่าหอโคมแดงแห่งนี้แข็งแกร่งเพียงใด เพราะแม้แต่ราชวงศ์ยังไม่สามารถควบคุมสถานที่แห่งนี้ได้เลย จนนางได้มารู้ว่าที่แห่งนี้เป็นของท่านแม่ของนาง
“ได้ขอรับ คุณหนูโปรดรอข้าสักครู่ ข้าจะไปตามแม่นางเหมยฮวามาให้ขอรับ” องครักษ์ผู้นั้นตอบรับคำของหนิงเซียนก่อนจะพลิ้วตัวหายไปต่อหน้านาง
รอไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มีหญิงสาวหน้าตาสะสวย สวมชุดสีแดงตัดกับสีผิวสีขาวนวลของนางเดินนำองครักษ์ผู้นั้นออกมา
“คุณหนู ขอประทานอภัยที่ข้าไม่สามารถช่วยนายหญิงออกมาได้” เหมยฮวามาคุกเข่าต่อหน้าหนิงเซียนอย่างรู้สึกผิด เป็นนางที่ไม่สามารถช่วยคนที่มีพระคุณต่อนางได้เลย
“ท่านลุกขึ้นเถอะ มันไม่ใช่ความผิดท่าน” หนิงเซียนประคองให้เหมยฮวาลุกขึ้นมา นางมองไปหน้าของเหมยฮวาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ทุกคนเสียใจที่ไม่อาจช่วยท่านพ่อและท่านแม่ของหนิงเซียนได้เช่นเดียวกับนาง
“แต่หากวันนั้น…” เหมยฮวากำลังจะเอ่ยแต่ก็ถูกหนิงเซียนเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ไม่มีแต่…แม้ข้าจะเสียใจที่ไม่อาจช่วยท่านแม่ท่านย่าและน้องเล็กของข้าในวันนั้นได้ แต่ในเมื่อพวกท่านเตรียมมาให้ข้าถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะไม่สานต่อได้อย่างไร เลือดต้องล้างด้วยเลือดเท่านั้น” หนิงเซียนเอ่ยด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้นมา
ทำให้เหมยฮวารู้สึกอดจะหวาดกลัวหนิงเซียนไม่ได้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกนางได้เจอกัน ยามที่พบกับนายหญิงก็จะบอกว่าให้ดูแลคุณหนูให้ดีอย่าให้ได้รับอันตรายใดๆ ซึ่งนางก็รับปากอย่างดี
“คุณหนูต้องการที่จะทำอันใดเจ้าคะ”
“นี่เป็นยาที่ข้าคิดค้นขึ้นมา ให้ท่านนำยาชนิดนี้ไปผสมกับสุราให้เหล่าเดนพวกนั้นได้ดื่ม… “หนิงเซียนยื่นถุงยาที่นางได้ปรุงขึ้นมาให้กับเหมยฮวา
” มันคือสิ่งใดเจ้าคะ “เหมยฮวารับถุงยามาจากหนิงเซียนแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
” เป็นยาที่ข้าคิดค้นขึ้นมาเองเจ้าคะ มันจะทำให้บุรุษที่ดื่มเข้าไปจะไม่สามารถมีบุตรได้ “
” จริงหรือเจ้าคะ “เหมยฮวาที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกทึ่งในตัวของหนิงเซียนอย่างมาก แม้นางจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นก็ตาม
” พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ยาชนิดนี้ไม่มีผลกับเหล่าสตรี “
“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวัง” เหมยฮวาตอบรับคำ ตัวนางเองก็จะช่วยหนิงเซียนให้เต็มที่เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับนายหญิงของนาง“มีเพียงเท่านี้แหละ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” หนิงเซียนเอ่ยลาเหมยฮวา แต่โดนเหมยฮวาเรียกเอาไว้“เดี๋ยวเจ้าค่ะคุณหนู ให้หม่าเถียวไปส่งเถอะเจ้าค่ะ “เหมยฮวาผายมือไปทางชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างๆ นาง นางกลัวว่าหนิงเซียนจะได้รับอันตรายระหว่างทาง” ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าเอาตัวรอดได้ “หนิงเซียนมองไปที่ชายชุดดำครั้งเมื่อตอนเข้ามาก่อนจะหันมาบอกกับเหมยฮวา แล้วกระโดดข้ามกำแพงออกไป” ตามนางไป อย่าให้นางได้รู้ตัว “เหมยฮวาหันมาเอ่ยกับหม่าเถียวที่อยู่ข้างๆ” ขอรับ “เหมยฮวารอจนหม่าเถียวแอบตามหนิงเซียนไปแล้วนางก็ถอนหายใจออกมา พร้อมมองไปบนฟ้าที่มืดสนิทคุณหนูเหมือนนายหญิงเลยนะเจ้าคะ…ตั้งแต่อยู่กับนายหญิงมา นางก็รู้ว่านายหญิงเป็นคนฉลาด ไม่ยอมให้ใครมารังแก พอนางหญิงแต่งเข้าตระกูลหม่านางก็ดูเรียบร้อยขึ้นราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งยังให้หม่าเถียวแอบตามคุณหนูตั้งแต่เล็กจนโต ต่อจากนี้ข้าจะคอยดูแลคุณหนูต่อจากท่านเองเจ้าค่ะ…หลังจากที่หนิงเซียนออกมาจากหอโคมแดง นางก็เดินดูผู้คนในยามค่ำ
“อร่อยหรือไม่” เหวยผิงที่เห็นเฟยฮวากินอย่างเอร็ดอร่อยก็อดจะถามไม่ได้ มันคือน้ำอะไรที่ทำให้เฟยฮวามีปฏิกิริยาได้ขนาดนี้“ชอบ ข้าชอบมากๆ” “เอ้…เหมือนสีบนตัวเจ้าจะชัดขึ้นหรือเปล่า” หลังจากกินน้ำพุนี้ไป เหวยผิงรู้สึกว่าสีบนตัวชัดขึ้นจากเดิมมีสีดำทั้งตัว ตอนนี้เริ่มมีสีแดงแซมขึ้นมา“จริงด้วย ข้ายังรู้สึกว่ามีแรงขึ้นเยอะเลย” เฟยฮวาเห็นอย่างนั้นก็บินไปเกาะที่ไหล่เหวยผิง เริ่มทำความสะอาดตัวเองเหวยผิงที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของเฟยฮวานางก็คิดจะลองบ้าง จึงใช้อุ้งมือตักน้ำพุขึ้นมา ริมฝีปากบางจรดที่อุ้งมือ ความเย็นไหลผ่านลำคอลงไปถึงช่วงท้อง รู้สึกว่าเรี่ยวแรงอันน้อยนิดเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ผิวพรรณมีความอวบอิ่มขึ้นของดี…ว่าแล้วทำไมเฟยฮวาถึงอยากได้มันมากนั้น นี้มันมีค่ายิ่งกว่าโสมคนเสียอีก ดูเหมือนนางจะเจอขุมทรัพย์เข้าให้แล้วแต่คงจะรู้เพียงนางเท่านั้น น้ำทิพย์นี้หากออกไปสู่โลกภายนอกตัวนางเองคงจะไม่ปลอดภัย“เป็นอะไรไปหรือ” เฟยฮวาเอ่ยถาม เมื่อเห็นเหวยผิงนิ่งเงียบไป“ข้าแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ไม่มีอันใดหรอก เราก็ออกไปจากที่นี่กันเถิด เพื่อหมาป่าพวกนั้นจะไปแล้ว” เหวยผิงลองหลับตาแล้วนึกภาพที่พวกน
“เปล่า ข้าแค่สงสัยว่าท่านเป็นใคร ถึงได้รู้ลึกขนาดนี้ ไม่รู้ว่าท่านแอบอยู่ใต้เตียงข้าหรือถึงรู้ว่าข้าถูกเฉียดหัวออกมา” เหวยผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พลางใช้มือปิดหูของอี้เหวินไว้ ไม่ให้ได้ยินคำที่นางเอ่ย“นี้เจ้าจะหาว่าข้าชอบสอดเรื่องชาวบ้านใช่หรือไม่” ฟางซินที่ได้ยินหญิงสาวเอ่ยขึ้นมา ก็ปี้ดขึ้นมาทันที“แล้วแต่ท่านจะคิด หากท่านไม่อยู่ใต้เตียงข้าจะรู้เรื่องของข้าได้อย่างไร อีกทั้งข้าเองก็ไม่รู้จักท่านอีกด้วย” “เจ้า…”“ฮ่า…ฟางซินปกติมันก็เป็นนิสัยของเจ้าไม่ใช่หรือ” เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น ทำให้เหวยผิงหันไปมองเห็นเป็นหญิงสาววัยกลางคน นางมีไฝที่หางตาซ้าย“เจ้าเกี่ยวอันใดด้วยไม่ทราบ” ฟางซินที่เห็นคู่อริของตนหัวเราะก็โกรธเกรี้ยวไม่น้อย“นี้เหวยผิง เจ้าก็อย่าไปถือสานางเลย สามีนางไปทำหญิงสาวหมู่บ้านอื่นท้อง ทำให้เวลานางเจอสาวหม้ายที่ไหนก็ชอบไปต่อว่าอย่างนี้แหละ” เจี่ยวมี่เมินประโยคของฟางซิน แล้วหันมาคุยกับเหวยผิงเองเหวยผิงที่ได้ยินก็เหลือบสายตามองฟางซินที่ทำหน้าราวกับจะฆ่าคนตาย ดูเหมือนจะบ้านางไม่เกี่ยวกับสามีนางเสียหน่อย“เจ้า…” ฟางซินที่ถูกเจี่ยวมี่พูดจี้จุดก็ง้างมือเตรียมตบเจี่ยวมี่“
“ ขอบคุณเจ้าค่ะ อีกห้าวันจะนำมาขายอีก” เหวยผิงนำขวดกระเบื้องมาห่อใส่ผ้าไว้ ก่อนจะเอ่ยลา“ป่ะ…ไปซื้อถังหูลู่ของเจ้ากัน” หลังออกจากร้านเหวยผิงพาอี้เหวินตรงไปยังร้านขายถังหูลู่“ขอรับ” “ถังหูลู่ อร่อยๆ เชิญทางนี้เลยจร้า เจ้าหนูเอากี่ไม้” แม่ค้าที่เห็นสองแม่ลูกเดินเข้ามาก็เอ่ยขึ้น“เอาหนึ่งไม้ขอรับ” อี้เหวินเอ่ยสั่งกับแม่ค้า ผลไม้เคลือบน้ำตาลดูอร่อย“เอาสี่ไม้เจ้าค่ะ” เหวยผิงที่เห็นอี้เหวินสั่งแค่ไม้เดียวเศร้าใจไม่น้อย รู้ว่าที่บ้านคาดเเคลนเงินก็ไม่โลภสั่งแค่อยากกิน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วนางมีเงิน หากอี้เหวินอยากกินสิบไม้นางก็จะซื้อให้กิน“ขอบคุณขอรับท่านแม่” อี้เหวินเห็นท่านแม่สั่งสี่ไม้ก็ดีใจ ถึงแม้ตัวเขาจะพอรู้ว่าท่านแม่ได้เงินมาจากการขายปิ่นกับน้ำผึ้งของเฟยฮวา แต่ก็ต้องเก็บไว้ซื้ออาหารและไว้ซ่อมบ้าน“ต่อไปนี้เจ้าอยากกินอะไรก็บอกแม่ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน แม่จะจ่ายให้เจ้าเอง” “ขอรับ” “สี่ไม้ สิบสองอีแปะ” เหวยผิงหันไปจ่ายเงินกับแม่ค้า แล้วรับถังหูลู่มาให้อี้เหวิน“ขอบคุณขอรับ” เมื่อได้ของที่ต้องการอี้เหวินก็กินอย่างมีความสุข ถังหูลู่อร่อยเช่นนี้เอง ถึงว่าเด็กในหมู่บ้านชอบกินกัน“อร่อยหร
“เย็นนี้เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่ เเม่จะทำให้เจ้าเอง” เหวยผิงหันมาถามอี้เหวิน เพราะนางกำลังจะพาอี้เหวินไปซื้ออาหารตุนไว้“อะไรก็ได้ขอรับ ท่านแม่ทำอะไรก็อร่อย”“หืม…ลูกใครเนี่ย ช่างปากหวานเสียจริง” เหวยผิงก้มหอมแก้มอี้เหวินด้วยความหมั่นเขี้ยวเหวยผิงพาอี้เหวินมาตรงพวกขายของกิน เนื่องจากเป็นเวลาช่วงเช้าๆ ทำให้มีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยเป็นจำนวนมาก“เนื้อหมู เนื้อหมูสด พึ่งฆ่าเลย มาเลือกซื้อกันได้เลย” เสียงแม่ค้าส่งเสียงเรียกผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมา“ขายอย่างไรเจ้าค่ะ” เหวยผิงพาอี้เหวินเดินเข้าไปร้านขายหมูที่ดูใหญ่ที่สุด“เนื้อล้วนชั่งละสามร้อยอีแปะ เนื้อติดมันชั่งละสองร้อยห้าสิบอีแปะ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการแบบไหน” “ข้าเอาเนื้อติดมันสองชั่ง ข้าอยากจะรู้ว่ามีส่วนที่เป็นมันล้วนหรือไม่” เหวยผิงเอ่ยถามแม่ค้าดู เพราะนางไม่มั่นใจว่าคนที่นี่จะกินล้วนหรือไม่“มันล้วนหรือ แม่นางจะเอามันไปทำอะไร มันไม่อร่อยเลย” แม่ค้ามองเหวยผิงด้วยความแปลกใจ เหวยผิงเป็นคนแรกที่มาถามหามันล้วน“ข้ามีวิธีของข้าเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านมีหรือไม่เจ้าค่ะ” “มี ข้ามีเยอะเลย คนส่วนมากไม่ค่อยซื้อมันทำให้ข้าต้องปาดมันทิ้งทุกวัน ว่า
เมื่อมาถึงบ้านเหวยผิงก็แบ่งหยางเหมยออกมาประมาณสามจินล้างน้ำให้สะอาด ส่วนที่เหลือนางเก็บในมิติโดยมีอี้เหวินน้อยคอยเป็นลูกมือ กิจการแรกที่นางคิดจะทำก็คือสุราสายน้ำผึ้ง เมื่อภพที่แล้วนางถูกพี่สาวพาไปเรียนทำสุราสายน้ำผึ้ง จึงทำให้พอมีความรู้ติดตัวมาอยู่บ้าง อีกทั้งในภพนี้สุราก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผู้คนต่างซื้อกัน สุราที่นางจะหมักนี้มันหอมนุ่มจนสตรีสามารถทานได้เริ่มแรกนางเอาหยางเหมยมาบดให้พอแตกๆ แล้วก็ใส่ถังแล้วใช้ผ้าปิดหน้าถังไว้ไม่ให้อากาศเข้า“คงต้องไปซื้อถังใหม่เสียแล้วล่ะ” ถังที่เหวยผิงใช้เป็นถังที่ไว้ใช้สำหรับตักน้ำ เมื่อวานนางก็ลืมซื้อ เอาไว้คราวหน้าค่อยไปสั่งทำใหม่ ซึ่งนางเองก็ไม่รู้ว่าที่นางทำนี้จะได้ผลหรือเปล่า นางจึงเก็บถังหยางเหมยไว้ในมิติหลังจากหมักเสร็จแล้ว นางก็ไม่รู้จะทำอันใดอีกจึงมานั่งเล่นหน้าบ้านกับอี้เหวิน“ทำอันใดอยู่หรือ” เหวยผิงเดินเข้ามา ก็เห็นอี้เหวินกำลังขีดเขียนอะไรสักอย่างบนพื้นดิน“ข้าเขียนพวกเราขอรับ นี่ท่านแม่ นี่อี้เหวิน ส่วนนี่เฟยฮวา” อี้เหวินชี้ไปบนพื้นให้ท่านแม่ดูเหวยผิงที่เห็นรูปที่อี้เหวินวาดก็น้ำตาซึม นั่งลงข้างๆ อี้เหวินแล้วเอ่ยว่า“สวยมากๆ อี้เหวิ
เหวยผิงจึงหยิบขวดกระเบื้องที่ใส่น้ำทิพย์ขึ้นมากิน กลิ่นอันหอมหวานลอยคลุ้งไปทั่ว ทำให้ทั้งเฟยฮวาและเหล่าผึ้งงานบินมาหยุดต่อหน้าเหวยผิง มองน้ำทิพย์ที่อยู่ในขวดกระเบื้องตาเป็นประกาย“ถือว่าเป็นรางวัลของพวกเจ้าสำหรับวันนี้” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ลงใบไม้แล้วยื่นให้กับเหล่าผึ้งงานที่นำทางนางมาหาต้นหยางเหมยเหล่าผึ้งงานเองที่ได้รับอนุญาตก็บินมาเกาะใบไม้อย่างรวดเร็ว ดูดกินน้ำทิพย์อย่างเอร็ดอร่อย“นี่เหวยผิง ท่านต้องให้ข้าด้วยสิ ข้าก็พาท่านมานะ” เฟยฮวาเอ่ยประท้วงที่ตนไม่ได้รับน้ำทิพย์ เหมือนผึ้งงานของนาง“ได้สิ” เหวยผิงหยดน้ำทิพย์ไปที่หลังมือแล้วยืนไปใกล้ๆ เฟยฮวา“ขอบคุณ” เหวยผิงนั่งมองเหล่าผึ้งกินน้ำทิพย์อยู่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างสะกิดที่ขาหลังของนาง นางจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นพังพอนขาวที่กำลังใช้เท้าอันน้อยเขี่ยนางไปมา“แล้วนี่มีพังพอนขาวด้วยหรือ” เหวยผิงมองเจ้าพังพอนน้อยอย่างแปลกใจ เพราะปกตินางเห็นแต่พังพอนสีน้ำตาล นางยังไม่เคยเห็นพังพอนตัวสีขาวมาก่อนเลย“อี้ๆ…” เจ้าพังพอนน้อยก็เขี่ยขาหลังไปมา“เจ้าต้องการอันใดหรือ” เหวยผิงที่เห็นพังพอนขาวเขี่ยอยู่อย่างนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย“อี้ๆ…อี้” เหมือ
หลังจากที่นางกำลังเตรียมของแล้วก็ได้ให้เฟยฮวาไปตามอี้เหวินกับเสี่ยวไป๋มาเปลี่ยนชุดเพื่อไปในตัวอำเภอ นี่ก็ยามอู่แล้วนางไม่รู้ว่าท่านลุงไป๋ซานจะเข้าไปในตัวอำเภออีกหรือไม่ ไม่งั้นคงต้องจ้างไปตัวอำเภอโดยเฉพาะเสียแล้วอี้เหวินที่ได้ยินว่าท่านแม่จะพาไปเที่ยวในตัวอำเภอก็อุ้มเสี่ยวไป๋วิ่งกลับเร็ว แล้วเข้าไปเปลี่ยนซื้อผ้าตัวที่สำหรับออกบ้าน“เสร็จหรือยังอี้เหวิน” เหวยผิงเตรียมตัวเสร็จแล้ว จึงส่งเสียงเรียกอี้เหวิน“เสร็จแล้วขอรับ ไปตัวอำเภอกัน” อี้เหวินพร้อมชุดใหม่เดินอุ้มเสี่ยวไป๋ออกมาจากห้อง และยังมีเฟยฮวาที่เกาะอยู่บนไหล่อี้เหวินอีกด้วยระหว่างเดินผ่านบ้านท่านป้ากุ้ยฉิน เหวยผิงก็ตะโกนเรียก“ท่านป้าท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ เหวยผิงเองเจ้าค่ะ” “อ่าวพวกเจ้านั้นเอง มีอันใดหรือ” กุ้ยฉินที่ได้ยินคนส่งเสียงเรียกก็ออกมาจากบ้าน“ข้าเอาหยางเหมยมาให้เจ้าค่ะ พอดีข้าชิมแล้วมันหวาน สดชื่นมากๆ ข้าเลยแบ่งมาให้ท่าน” เหวยผิงส่งตะกร้าที่นางแบ่งหยางเหมยมาให้บ้านกุ้ยฉินได้ลองกินบ้าง“ขอบใจเจ้ามากๆ ข้าก็ไม่ได้กินหยางเหมยนานแล้ว ดูสิมีแต่ลูกแดงๆ น่ากินไม่น้อย ว่าแต่พวกเจ้าจะไปไหนหรือแต่งตัวซะดีเชียว”“ข้าจะเข้าไปตัวอ
เช้าวันรุ่งขึ้น…ในตำหนักของหนิงเซียนต่างวุ่นวายตามหาหมอหลวงอย่างเร่งรีบ เมื่อพบว่าหนิงเซียนโดนทำลายร้ายตอนนี้ทั้งวังหลวงต่างอยู่ในความตื่นตระหนก เหตุใดเมื่อคืนถึงบังอาจมีผู้ลักลอบเข้ามาทำลายว่าที่ฮองเฮาได้“ฝ่าบาทหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ” เข่อซิงวิ่งมาพร้อมกับหมอหลวง เข้ามาในห้องของที่มีร่างของหนิงเซียนนอนเจ็บอยู่ที่แขนของนางนั้นยังมีเลือดซึมอยู่ตลอดหมอหลวงเข้ามาแล้วก็รีบจัดการกับแผลของหนิงเซียน “ฝ่าบาทพระองค์โปรดออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าต้องใช้สมาธิอย่างมากในการรักษาคุณหนูหนิงเซียน” หมอหลวงหันมาบอกจางหมิงที่ยังยืนอยู่ในห้องดู“ข้า…” ทีแรกจางหมิงมีท่าทียึกยัก แต่พอคิดว่าจะต้องรีบรักษาหนิงเซียนให้เร็วที่สุดจึงตัดสินใจออกจากห้องไปพอหมองหลวงเห็นว่าฝ่าบาทออกไปแล้วก็หันมารักษาให้กับหนิงเซียน หยิบยาขึ้นมาก่อนจะป้อนให้กับหนิงเซียน ดวงตาที่หลับอยู่ของหนิงเซียนเปิดขึ้นทันทีคว้ายาในมือของหมอหลวงก่อนจะป้อนใส่ปากของหมอหลวงอย่างรวดเร็วนางตวัดร่างขึ้นก่อนจะล็อกร่างของหมอหลวงไว้ให้กลืนยาเม็ดนั้นลงไป ด้วยความที่ร่างหมอหลวงบอบบางเกือบเท่านางทำให้หมอหลวงไม่สามารถขัดขืนได้เลยทำใจต้องกลืนยาเม็ดนั้นลงไป“เจ
“เจ้าหัวเราะอันใด” ซูเม่ยมองไปที่หนิงเซียนอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดมันจึงไม่เป็นไปตามที่นางคาดไว้“ข้าแค่เพียงชื่นชมในบทละครที่คุณหนูซูเม่ยตั้งใจเล่นเป็นอย่างมาก แต่เพียงคุณหนูบทของท่านกลับไม่เป็นจริงสักเรื่อง”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“ท่านยังต้องถามข้าอีกหรือ ข้าอยากจะรู้นักว่าคนที่ไปสืบเรื่องนี้มาเหตุใดจึงสืบมาได้เพียงแค่นี้ เรื่องราวที่เหตุขึ้นที่ซีฉินออกจะใหญ่โต งั้นตัวข้าหนิงเซียนจะเล่าให้ทุกคนฟังในเรื่องที่ถูกต้อง จะได้เล่าเรื่องของตระกูลข้าได้อย่างตรงไปตรงมาไม่บิดเบือน” หนิงเซียนไล่สายตาไปหาผู้คนในงานนี้ ผู้ที่เผลอสบสายตากับนางก็รีบหลบสายตาหนีทันที“เรื่องที่ตระกูลหม่าของข้าถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏนั้นเป็นความจริง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ตระกูลข้าถูกใส่ร้ายเท่านั้น พวกบ้าหลงระเริงอยู่ในอำนาจหวาดกลัวต่อตระกูลของข้าที่ย่อมสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดิน คุณหนูซูเม่ยต่อจากนี้ท่านจงตั้งใจฟังให้ดี… “หนิงเซียนจ้องเข้าไปในดวงตาของซูเม่ยที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก” ตัวข้ากองทัพทมิฬของท่านพ่อข้าและยังมีกองทัพหนันเหลียงร่วมจัดการโค่นบัลลังก์ตระกูลราชวงศ์องค์ก่อนนั้นคือสิ่งที่คุณหนูซูเม่ยขาดหายไป” หลังจาก
ภายในท้องพระโรง“ฝ่าบาทมีม้าเร็วจากซีฉินส่งสารมาว่าเหล่าคณะขุนนางของซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนหนันเหลียงในอีกห้าวันข้างหน้าขอรับ” สิ้นสุดเสียงของนางกองทำให้เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างถกเถียงกันกับการมาเยือนของคณะซีฉินในครั้งนี้ เพราะทั้งสองแคว้นนั้นก็นับว่าไม่ได้ปรองดองกันถึงขนาดที่ว่าจะไปมาหาสู่กันได้แต่ข้อถกเถียงก็ข้อถกเถียงเมื่อจางหมิงสั่งให้ขุนนางทุกคนเตรียมความพร้อมให้ดีในการมาเยือนของคณะซีฉินอีกห้าวันข้างหน้า“คุณหนูเจ้าคะ คณะจากซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ในอีกห้าวันข้างหน้า” เหมยฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“ท่านลุงจะมาที่นี่หรือ” หนิงเซียนแปลกใจเหตุใดนางถึงไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับซีฮัน“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาทสั่งให้เหล่าขุนนางเตรียมความพร้อมต่างๆ ท่านซ่งเสี่ยนเองก็เริ่มสั่งให้นางกำนัลเตรียมการสถานที่วังหลวงรอแล้วเจ้าค่ะ”หนิงเซียนพยักหน้าเข้าใจ นางก็อยากรู้ว่าที่ซีฮันมาเยือนหนันเหลียงครั้งนี้ด้วยเหตุอันใด “คงจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแล้ว”ห้าวันผ่านไปตลอดเวลาที่ซีฉินส่งมาแล้วมาว่าจะมาเยี่ยมเยือนให้อีกห้าวันข้างหน้า คนในวังหลวงต่างมีหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ให้พร้อม และวันนี้เป็นวันที่คณะของ
“คุณหนูเกิดเรื่องใหญ่เข้าเจ้าค่ะ” เสียงของเข่อซิงดังมาตั้งแต่หน้าตำหนัก ทำให้หนิงเซียนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องยาต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น“เกิดอะไรขึ้นหรือเข่อซิง” ท่าทีของเข่อซิงดูร้อนรนไม่น้อย“ข่าวเกี่ยวกับท่านเจ้าค่ะ ตอนนี้ในเมืองต่างกล่าวถึงตัวท่านอย่างสนุกเลยเจ้าค่ะ เกี่ยวกับที่ตระกูลหม่าของท่านเป็นตระกูลแม่ทัพที่ก่อกบฏร้ายแรงสังหารชาวบ้านไม่เว้น แต่ดีที่ราชวงศ์ของตงหยางสั่งประหารได้ทัน พวกเขายังเล่นกันอีกกว่าเป็นท่านที่หนีรอดมาได้” เข่อซิงที่ออกไปซื้อของให้กับลี่หลิน นางจึงบังเอิญได้ยินเข้าหนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปมากนัก” งั้นหรือเจ้าจะตกใจไม่ใย “ทำให้เข่อซิงสงสัยไม่น้อยตอนนี้ตระกูลของท่านกำลังถูกมองไม่ดีอยู่นะเจ้าคะ” แต่… “” มันไม่ใช่ความจริง เหตุใดข้าต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องพวกนั้นด้วยล่ะ“เรื่องที่กล่าวมาไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น เหตุใดจึงไม่บอกไปด้วยละว่านางคนนี้ที่เป็นคนล้มราชวงศ์ซีฉินกับมือเอง” เจ้าค่ะ “เข่อซิงพยักหน้าตอบรับ ในเมื่อหนิงเซียนไม่ดูเดือดร้อนกับข่าวที่เกิดขึ้นเลยนางก็หาได้เดือดร้อนไม่“ขบวนองค์หญิงสามเสด็จ” เสียงของใครบางคนดัง
หนิงเซียนที่ได้ฟังเรื่องราวของก็รู้สึกสงสารจางหมิงไม่น้อย เป็นถึงเชื่อราชวงศ์ใช่ว่าจะสุขสบาย ต้องคอยระวังภัยกันเอง“แล้วฝ่าบาทจะตื่นจากบรรทมเมื่อใด”“หากไม่มีดอกไม้นั้นแล้ว กว่าพิษที่อยู่ในร่างกายของจางหมิงจะหายหมด ข้าคิดว่าอย่างต่ำสี่ถึงห้าวัน”ซ่งเสี่ยนพยักหน้าอย่างโล่งใจ คิดว่าจางหมิงจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้เสียอีกเมื่อจัดการตรงนี้เสร็จรีบร้อยนางจึงลาซ่งเสี่ยนกลับตำหนักวันนี้นางคิดที่จะไปเยี่ยมพวกเสี่ยวเปาเสียหน่อย นางเดินมาถึงทางออกเห็นว่ามู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้านิ่งเรียบ” มีอันใดหรือมู่เฉิน “” คุณหนูท่านจะกลับตำหนักแล้วหรือขอรับ “” ใช่ ว่าแต่เกิดอันใดขึ้น “” ตอนนี้เหล่าขุนนางต่างหมายจะเข้ามาเยี่ยมฝ่าบาทขอรับ “ตอนนี้มีเหล่าขุนนางประมาณหกเจ็ดคนยืนรออยู่หน้าตำหนักของจางหมิงเพื่อหวังจะเข้ามาดูอาการ” มีทางออกอื่นหรือไม่ “หนิงเซียนเองก็ไม่อยากปะทะขุนนางพวกนั้นในตอนนี้หรอกมู่เฉินได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า ทางลับของตำหนักของฝ่าบาทย่อมมีอยู่แล้ว” ตามข้ามาขอรับ “หนิงเซียนเดินตามมู่เฉินออกไปทางลับที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของตำหนัก” ทางเดินไปทางนี้แล้วเลี้ยวซ้าย ท่านจะไปออกหลังน้ำตกใ
ทันทีที่นางเข้ามาในห้องบรรทมของจางหมิง สิ่งที่ทำให้นางขมวดคิ้วอย่างแรกก็คือกลิ่นของกำยานนางรู้สึกว่าในกลิ่นของกำยานนี้มีบางอย่างแอบแฝงอยู่ แต่นางปล่อยผ่านมองไปที่เตียงก็เห็นร่างอันคุ้นเคยนอนแน่นิ่งอยู่กับเตียง ผิวกายซีดขาวราวกับคนตายระหว่างนั้นนางก็ยืนรอเพราะตอนนี้กำลังมีหมอหลวงคอยตรวจอาการของจางหมิงอยู่“หมอหลวงอาการของฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่หมอหวังเหว่ยตรวจเสร็จแล้วก็เข้าไปถามหมอหลวงหันมาพบว่ามีหญิงสาวผู้หญิงยื่นจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเรียบนิ่งก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบหวังเหว่ย “อาการฝ่าบาทคล้ายคนปกติ ชีพจรเต้นมั่นคงดูเหมือนคนแข็งแรงทั่วไปแต่ที่ข้าสงสัยคือผิวที่ซีดราวกับคนตายของฝ่าบาท ข้าคงต้องขอไปปรึกษาหารือกลับหมอหลวงคนอื่นๆเสียก่อน ท่านองครักษ์หวังเหว่ยท่านโปรดวางใจ” หมองหลวงเอ่ยตอบพลางเหลือบตาไปมองหญิงสาวที่ยืมอยู่ในห้องนี้อีกคน“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก คุณหนูเชิญท่านตรวจดูอาการของฝ่าบาทได้เลย” หวังเหว่ยเอ่ยขอบคุณหมอก่อนจะหันมาบอกกับหนิงเซียน“ไม่ได้ ท่านหวังเหว่ยนางเป็นใครกล้าดีอย่างไรถึงให้นางมาจับตัวฝ่าบาทท่านไม่รู้หรือว่าตอนนี้ฝ่าบาทกำลังจะประชวรอยู่” หมอหลวง
ขบวนรถม้าของหนิงเซียนมาจอดอยู่หน้าเรือนขนาดใหญ่ ทำให้เด็กต่างมองด้วยความตื่นเต้น“พี่หนิงเซียนพวกเราจะอยู่ที่นี่กันหรือเจ้าคะ” เปาซานเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น มองไปภายในเรือนด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางไม่เคยเห็นเรือนที่มีขนาดใหญ่เท่านี้มาก่อนเลยหนิงเซียนพยักหน้าตอบลง” ใช่นับตั้งแต่วันนี้ไปพวกเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ ข้าจะมีอาหารให้พวกเจ้ากินทุกมื้อและยังจะจ้างคนมาสอนหนังสือให้กับพวกเจ้าด้วย “นางคิดมาดีแล้ว เด็กๆ พวกนี้นางจะรับดูแลเอง” จริงหรือขอรับ “เสี่ยวเปามองไปที่หนิงเซียนด้วยสายตาเปล่งประกายไม่คิดว่าเขาจะได้เรียนหนังสือเหมือนกับคุณหนูคุณชายตระกูลใหญ่” ใช่ “” เอาละทุกคนอยู่ที่นี่ต้องทำตามกฎเข้าใจหรือไม่ หากใครดื้อเกเรจะต้องถูกลงโทษ พวกเจ้าทุกคนแยกชายหญิงแล้วจับคู่กัน “เด็กที่ได้ยินอย่างนั้นก็ทำตามที่หนิงเซียนบอกโดยมีพวกเหมยฮวาคอยช่วยเสี่ยวเปาที่สงสัยจึงเอ่ยถามออกไป” เหตุใดต้องแยกชายหญิงแล้วจะต้องจับคู่ด้วยขอรับ “” พวกเจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าชายหญิงมีความแตกต่างกันนั้นจึงเป็นเหตุที่ข้าให้พวกเจ้าแยกชายหญิง ส่วนที่เจ้าถามว่าจับคู่ทำไม เพราะคู่ของพวกเจ้านั้นจะต้องพักอยู่ในห้องเดียวกัน คอยช
“พี่หนิงเซียนท่านลุงป่วยเป็นอันใดขอรับ”“ท่านลุงก่อนที่ท่านจะล้มป่วยท่านทำงานอย่างหนักใช่หรือไม่”“ขอรับ” ฮุ่ยซานเอ่ยตอบตามจริง เพราะเขาเองก็อยากหาจากโรคบ้าๆ นี้แล้ว“บ้างเวลาท่านรู้สึกแน่นที่อกข้างซ้ายใช่หรือไม่ “” ขอรับ ข้าเป็นอันใดหรือขอรับ “เพราะอาการที่หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยตรงตามที่เขาเป็นทุกอย่าง” จะนับว่าร้ายแรงสิ่งที่ท่านเป็นมันก็ไม่ได้ดูร้ายแรงเท่านั้น ร่างกายท่านเพียงอ่อนล้าจากการทำงานอย่างหนักทำให้ร่างกายของท่านมีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นเวลาที่ท่านทำงานหนักพักผ่อนไม่เพียงพอ มันจะทำให้อาการเหล่านี้กลับมาอีก ส่วนที่ท่านยังไม่หายก็เพราะไม่ได้รับอาหารที่เพียงพอและยาที่ตรงตามโรค“แล้วข้าจะต้องทำอย่างไรถึงจะต้องไม่เป็นมันอีกขอรับ” ฮุ่ยซานไม่อยากเป็นโรคนี้อีกแล้ว มันช่างทรมานเหลือเกินที่จะต้องนอนอยู่บนเตียงเฉยไม่มีแรงไปทำสิ่งใด“ง่ายต่อจากนี้ท่านต้องหยุดทำงาน แล้วดูแลตัวของท่านให้ดี”“ไม่ได้ข้าหยุดทำงานไม่ได้ หากข้าหยุดพวกเด็กๆ ก็จะไม่มีอาหารประทังชีวิต”“ท่านลุงทางอารามไม่ส่งอาหารมาให้พวกเราแล้วขอรับ” เสียงของเสี่ยวเปาทำให้ฮุ่ยซานหันไปโดยเร็ว“อะไรกันข้าไม่ได้ไปทำงานเพียงไม่กี่วันพ
“เด็กน้อยเจ้าเป็นอย่างไร” หนิงเซียนพยายามปลุกเด็กน้อย แต่ไม่ว่านางจะทำอย่างไรเด็กชายก็ไม่ตื่นขึ้น ดูจากอาการแล้วน่าจะอดอาหารมาเป็นเวลานาน นางจับชีพจรพบว่าชีพจรเต้นเบาอย่างมาก“จางหมิงท่านไปซื้อยาสมุนไพรแถวนี้มาให้ข้าหน่อย” หนิงเซียนบอกรายชื่อสมุนไพรที่ต้องการให้กับจางหมิง เพราะกระเป๋ายาของนางไม่ได้เอามาด้วยเลยต้องหาเอาจากที่นี่แทน“คุณชายเกิดอันใดขึ้นขอรับ” คนขับรถม้าเห็นว่าเหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นจึงเข้ามาถาม“เจ้าไปซื้อสมุนไพรพวกนี้มาให้นาง” จางหมิงหันไปบอกกับคนขับรถม้าอีกหน“ขอรับ”หนิงเซียนเอาน้ำให้เด็กชายจิบอย่างช้าๆ รอเวลาที่คนของจางหมิงไปซื้อสมุนไพรมาให้นาง หนิงเซียนเห็นว่าเริ่มมีคนสนใจมากขึ้น นางจึงอุ้มเด็กชายขึ้นแล้วพาตรงไปยังรถม้าเวลารักษานางไม่ค่อยชอบให้คนมาดูมากนัก มันจะชอบมีพวกปากมากติติงการรักษาของนาง“ข้าอุ้มเอง” จางหมิงเข้าไปแย่งเด็กชายมาอุ้มด้วยตัวเองก่อนจะพาไปยังรถม้าหนิงเซียนที่เห็นอย่างนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากรีบตามจางหมิงไปติด ไม่นานคนขับรถม้าก็นำสมุนไพรที่ซื้อมาให้กับนาง“ท่านโปรดรออยู่ข้างนอก” หนิงเซียนให้จางหมิงออกไปรออยู่ข้างนอกก่อนที่นางจะเริ่มทำการรักษาให้กั