บทที่ 9 สงบสุขที่ไม่ได้แปลว่าสงบสุขข่าวการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่สนข่าวลือของจางกุ้ยเฟยเริ่มกระจายไปทั่ววังหลวง และมันทำให้สนมเจินไม่พอใจอย่างมาก นางเก็บความโกรธไว้ไม่อยู่ เมื่อเห็นว่าผู้คนเริ่มหันมามองกุ้ยเฟยในแง่ดีซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่สนมเจินต้องการทั้งที่เคยคิดว่าจางกุ้ยเฟยคงจะเป็นหญิงสาวอ่อนแอและอยู่ได้ไม่นานนักในวังหลัง ดูเหมือนตอนนี้ที่เคยคิดเอาไว้จะผิดไปเสียทั้งหมด “ถ้าแค่นี้ทนได้ก็ทนต่อไปอีกหน่อยก็แล้วกัน” เช้าวันถัดมาขณะที่เฟยเฟยกำลังนั่งอยู่ในสวน สนมเจินก็เข้ามาหาโดยมีนางกำนัลคนสนิทและขันทีเดินตามเข้ามาติด ๆ หญิงสาวกรีดยิ้มอย่างน่ากลัวก่อนจะเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตรแต่แฝงไปด้วยคำพูดจาเหน็บแนม"ตำหนักของจางกุ้ยเฟยช่างเงียบเหงาเสียจริง ๆ นะ นางกำนัลและขันทีหายไปไหนกันหมดหรือ นี่พระสนมคงไม่ต้องกวาดถูตำหนักเองกระมัง” สนมเจินเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่แฝงความเยาะเย้ยแต่เฟยเฟยที่ได้ฟังกลับยิ้มเรียบๆ "ตำหนักของข้าเงียบก็จริง แต่ก็สงบใจดีไม่วุ่นวายเท่านั้น อ้อ แต่ก็เพิ่งวุ่นวายเมื่อครู่ เสียงคล้ายนกร้องบาดแก้วหู ดูเหมือนจะเป็นตอนที่พระสนมเข้ามากระมัง" แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแต่ปากคอแบ
บทที่ 10 นางเปลี่ยนไปค่ำคืนที่เงียบสงบ เหล่าข้าราชบริพารต่างทำหน้าที่ของตน นางกำนัลและขันทีไม่ได้เดินกันขวักไขว่เท่ากับตอนกลางวัน จึงทำให้หลี่อวิ๋นที่อยู่ในชุดราชองครักษ์เดินไปมาได้อย่างสบายใจและไม่มีใครสังเกตและสงสัยตัวเขาแน่นอนว่าหลี่อวิ๋นรู้ว่าราชองครักษ์ตัวจริงจะเดินมาถึงตรงนี้เมื่อไร ในเมื่อตารางการตรวจตราอยู่ในมือจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะใช้ช่วงเหล่านั้นแอบเข้าไปในตำหนักจางกุ้ยเฟยชายหนุ่มแอบเดินเข้าไปข้างในตำหนักที่ค่อนข้างเงียบกว่าตำหนักอื่น ชายหนุ่มคอยสังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้างให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดติดตาม หลี่อวิ๋นขยับตัวเข้าไปใกล้เฟยเฟยที่นั่งอยู่ในสวนริมน้ำของตนอย่างแผ่วเบา รอบกายของนางไม่มีแม้แต่นางกำนัลหรือขันที ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่จูหลิงและขันทีน้อยจะประกบติดนายหญิงของตนเสมอเมื่อมั่นใจว่าที่ตรงนี้มีเพียงแค่เขากับหญิงสาวอยู่กันตามลำพัง หมวกราชองครักษ์ก็ถูกถอดออกเพื่อให้เห็นใบหน้าของคนด้านในชัดเจนขึ้น"มาอีกแล้วหรือ มีธุระอันใดจึงมาหาข้าถึงตำหนักเช่นนี้เล่า"หลี่อวิ๋นยิ้มและก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เฟยเฟยเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแม้แววตาของนางจะสงบนิ่งแต่ก็มีความสงสัยแฝง
บทที่ 11 ช้าไปแสงจันทร์ส่องผ่านม่านบังลมในตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท ผู้ที่เพิ่งกลับมาหลังจากปลอมตัวเพื่อออกไปหาจางกุ้ยเฟยในยามดึก ชายหนุ่มถอนหายใจพลางปลดชุดราชองครักษ์ออกและสวมชุดรัชทายาทเช่นเดิม เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะไม้แกะสลักที่ติดกับบานหน้าต่างใต้ต้นไม้ใหญ่ มองดูใบไม้ร่วงหล่นลงมาตามสายลมที่พัดผ่าน ราวกับเป็นสัญญาณแห่งความผันแปรที่เขาไม่อาจควบคุมได้หลี่อวิ๋นคิดถึงคำพูดของเฟยเฟยอีกครั้ง ‘ท่านเองก็ระวังตนด้วย อย่าให้ใครจับได้ว่ามาหาข้าถึงตำหนักในยามดึกดื่นเช่นนี้ จะได้ไม่ต้องลำบากตัวเองเพราะข้าอีก ลำพังข้าเคยชินเสียแล้ว’ คำเตือนของนางก้องอยู่ในความคิด ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เขารู้สึกยินดีที่หญิงสาวเป็นห่วง แม้ในใจลึก ๆ จะรู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่ทุกครั้งที่ได้พบกับเฟยเฟย เขากลับรู้สึกเหมือนความรู้สึกที่เคยแสนอ้างว้างกลับมีสีสันขึ้นมาอีกครั้งมือแกร่งเอื้อมไปหยิบสุราในไหเล็กขึ้นมาเทใส่จอก ก่อนจะยกดื่มช้า ๆ เขาปล่อยให้รสขมและร้อนแผ่ซ่านไปในลำคอ ขณะเดียวกันปล่อยให้ความคิดความทรงจำในอดีตย้อนกลับคืนมา ภาพของหญิงสาวในวัยเด็กที่พูดคุยวิ่งเล่นกับเขามันบริสุทธิ์และสดใส
บทที่ 12 แผนการใส่ร้ายขันทีของสนมเจินยอบกายเข้าหาหญิงสาวอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยกระซิบอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ "สนมเจินพ่ะย่ะค่ะ มีข่าวที่อาจจะทำให้พระสนมสนใจทีเดียว มีนางกำนัลหลายคนเริ่มพูดกันว่ามีราชองครักษ์ที่เข้าออกตำหนักของจางกุ้ยเฟยบ่อยนัก ได้ยินมาว่าเขาคนนั้นมีหน้าที่จัดการเรื่องสิ่งของที่ถูกขโมยไปจากตำหนักจางกุ้ยเฟย ทั้งที่เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เขากลับทำให้ข้าราชบริพารในพระราชวังเริ่มหวาดกลัวจนไม่มีใครกล้าเข้าไปกลั่นแกล้งหรือแตะต้องของในตำหนักนั้นอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ"สนมเจินยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน "ราชองครักษ์หนุ่มถึงขั้นออกหน้ารับแทนนางเช่นนั้นหรือ ช่างน่าสนใจจริง ๆ เป็นถึงราชองครักษ์แต่กลับยอมลดตัวลงมาดูแลเรื่องเล็กน้อยของสนมที่ถูกลืมในวังหลัง ดูคล้ายว่าจะเป็นคนรับใช้มากกว่าจะเป็นองค์รักษ์ในวังหลวง แต่ก็น่าชื่นชมจริง ๆ เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่ น่าชื่นชมจนควรทำให้คนทั้งวังหลวงได้รู้เรื่องนี้กันให้ทั่ว"ขันทีพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "พ่ะย่ะค่ะ ที่จริงการที่ราชองครักษ์ผู้หนึ่งยอมเสียเกียรติไปทำหน้าที่เช่นนั้น และเขายังดูแลตำหนักจางกุ้ยเฟยอย่างใส่ใจเป็นพิเศษ หลายคนก็เร
บทที่ 13 ปกป้องแม้มิได้ครอบครองราชองครักษ์หนุ่มยังคงก้มหน้าลงต่ำ ใจเต้นแรงจากทั้งความกลัวและความชื่นชมและประทับใจในฝีมือขององค์รัชทายาท เขาตระหนักได้ทันทีว่าไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะองค์รัชทายาทได้เลยแม้แต่น้อยองค์รัชทายาทมองราชองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจหนัก "เจ้าลุกขึ้น แล้วตามข้ามาที่ตำหนักบูรพา ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงเห็นบางอย่างที่ตำหนักจางกุ้ยเฟย"ราชองครักษ์หนุ่มกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ใจเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนกและก็เพิ่งนึกได้ตอนนี้ว่าเขาได้เข้าไปรู้เรื่องไม่ควรรู้เข้าเสียแล้วแต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลุกขึ้นยืนตามคำสั่งขององค์รัชทายาท ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไปยังตำหนักบูรพาโดยไม่ขัดขืนเมื่อไปถึงตำหนักบูรพา องค์รัชทายาทก็นั่งลงและจ้องราชองครักษ์ตรงหน้าอย่างพิจารณา นัยน์ตาเฉียบคมของพระองค์บ่งบอกว่าไม่มีสิ่งใดสามารถหลุดรอดสายตานั้นได้"เจ้าคงสงสัยว่าข้าไปตำหนักจางกุ้ยเฟยทำไมใช่หรือไม่" องค์รัชทายาทเอ่ยเสียงเรียบราชองครักษ์หนุ่มก้มหน้าลง "กระหม่อมไม่กล้าคิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่ปฏิบัติตามหน้าที่"องค์รัชทายาทพยักหน้าเล็กน้อย "ดี หากเจ
บทที่ 14 ความหวังดีจากพ่อหลังจากที่หลี่อวิ๋นออกจากห้องทรงงานไป ฮ่องเต้ก็ไอหนักออกมา อาการที่เขาเป็นยิ่งเหมือนเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับตัวของเขา สายตาของคนมีอายุเหลือบมองไปที่สวนด้านนอกที่ดอกไม้เบ่งบานสะพรั่งแต่ใจของคนมองกลับไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความสวยงามของมันเลย เพราะความวิตกกังวลแทรกซึมเข้าสู่วิญญาณไปแล้ว เวลาที่เหลือก็ไม่รู้ว่าจะเพียงพอต่อการจัดการทุกอย่างหรือเปล่าขันทีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป จึงพยายามทำให้เจ้านายของตนผ่อนคลายมากขึ้น“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นห่วงรัชทายาทหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” แม้จะไม่ตอบแต่ท่าทางคิดหนักนั่นก็มากเพียงพอที่จะตอบแล้ว “ทั้งหลี่อวิ๋นและจางกุ้ยเฟย...” คนมีอายุไอและเริ่มพูด “ไม่รู้ว่าภาระหน้าที่นี้จะเร็วไปไหมสำหรับคนทั้งสอง อีกทั้งสถานการณ์ตอนนี้มันก็ซับซ้อนเกินไป จะแก้ไขให้ไม่ผิดเพี้ยนก็คงจะไม่ได้”“อย่าทรงกังวลพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ในสถานการณ์ตอนนั้นการรับคุณหนูจางเข้ามาในพระราชวังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากนางยังอยู่ข้างนอกคงจะวุ่นวายกว่านี้อีก”“เรารู้...เพราะรู้ดีถึงได้ทำเช่นนี้ลงไป” ฮ่องเต้ถอ
บทที่ 15 จากลาอีกครั้งเมื่อเฟยเฟยได้ยินข่าวว่าหลี่อวิ๋นต้องออกไปรบอีกครั้ง หัวใจของนางก็รู้สึกหน่วงขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ถึงแม้จะรู้ดีว่าในฐานะของกุ้ยเฟย การแสดงความกังวลอย่างเปิดเผยต่อรัชทายาทของแผ่นดินนั้นไม่เหมาะสม ทว่าส่วนหนึ่งในใจกลับบีบคั้นจนทำให้หญิงสาวต้องหาทางส่งความรู้สึกนี้ออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้เฟยเฟยรีบเขียนข้อความสั้น ๆ ลงในจดหมายด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย ก่อนจะมอบมันให้กับจูหลิงสาวใช้ที่อยู่เคียงข้างนางมาตลอด “จูหลิง ช่วยส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้...องค์ชายด้วย…แต่ระวังอย่าให้ใครจับได้เด็ดขาดเข้าใจไหม”“พระสนม” จูหลิงมองนายหญิงของตัวเองด้วยสายตาไม่เข้าใจ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นนางก็รับจดหมายมาจากมือของหญิงสาวเฟยเฟยมองตามหลังนางกำนัลของนางที่ต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ออกไปจากตำหนักก็คิดในใจว่า บางทีความรู้สึกของนางที่มีต่อหลี่อวิ๋นคงลึกซึ้งเกินกว่าที่จะมองข้ามไปเสียแล้วเฟยเฟยรู้สึกได้ว่าในระยะหลัง ๆ ความสะดวกสบายในพระราชวังหรูหราแห่งนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อทั้ง ๆ ที่เคยชอบแท้ ๆ แต่ทุกสิ่งที่เคยให้ความสำราญกลับไม่อาจเติมเต็มใจของนางได้อีกต่อไป เพราะในใจของเฟยเฟยนั้น มีเพีย
บทที่ 16 เพ็ดทูลสนมเจินและสนมเซียงที่ปกติมักจะไม่ลงรอยกันเป็นทุนเดิม แต่ครั้งนี้กลับร่วมมือกันเพื่อหวังจะชักจูงฮ่องเต้ด้วยการบอกกล่าวถึงข่าวลือของกุ้ยเฟยที่ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษกับราชองครักษ์ทั้งสองยิ้มแย้มและเข้ามาคำนับฮ่องเต้ด้วยกิริยานอบน้อม อีกทั้งยังออดอ้อนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานเหมือนที่เคยทำทุกครั้ง“ฝ่าบาทเพคะพวกเราได้ข่าวจากท่านพ่อ ว่าทรงพระชวรระหว่างที่ประชุมเช้าจึงต้มสมุนไพรนำมาถวาย” คนมีอายุยิ้มน้อย ๆ ราวกับรู้ทัน ทั้งสนมเจินและสนมเซียงอยู่กับเขามานาน พวกนางมาเพราะอะไรทำไมพระองค์จะไม่รู้“บอกเรื่องที่พวกเจ้าอยากพูดมาเถอะ” สนมเจินทำเป็นไม่กล้าพูดแต่สีหน้าบอกชัดว่ามีอะไรอยู่ในใจส่วนสนมเซียงก็รีบแก้ตัวทันที “หม่อมฉันจะมีอะไรเล่าเพคะ ก็แค่เป็นห่วงพระวรกายของฝ่าบาทก็เท่านั้น” “หึ แค่เจ้าเดินเข้ามาเราก็รู้แล้ว นึกว่ามีอะไรในวังหลวงแห่งนี้ที่เราไม่รู้บ้าง เอาเป็นว่าเรารู้เรื่องที่เจ้าอยากจะบอก แต่การที่เราไม่ทำอะไร นั่นไม่ได้หมายความว่าคือคำสั่งของเราหรอกหรือ” พระสนมทั้งสองที่ตั้งใจจะมาฟ้องฮ่องเต้เรื่องของกุ้ยเฟยกับราชองครักษ์ก็นิ่งไป“แต่ถึงจะเป็นคำสั่งของฝ่าบาทแต่
บทที่ 30ไม่นานหลังจากนั้น ตัวแทนของบริษัทก็เข้ามาพบเธอ พวกเขาอธิบายถึงเงินชดเชยที่เธอจะได้รับเพื่อไม่ให้ฟ้องร้องบริษัท แม้จะรู้ว่าเป็นหัวหน้างานที่ทำผิด แต่บริษัทก็ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น“เราขอโทษจริง ๆ ครับสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ” ตัวแทนกล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษ “เราหวังว่าคุณจะยอมรับเงินชดเชยนี้และพักฟื้นอย่างสบายใจ”เฟยเฟยมองเงินก้อนโตที่อยู่ตรงหน้า เธอรู้ว่าการตัดสินใจในวันนี้จะส่งผลต่ออนาคตของเธอ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจรับเงินก้อนนั้นไว้เพื่อไม่ให้ฟ้องบริษัท และเพื่อใช้เวลาพักผ่อนกับตัวเอง “ขอบคุณค่ะ” เธอพูดออกมาด้วยน้้ำเสียงเด็ดขาดราวกับยังคงอยู่ในยุคโบราณเฟยเฟยใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลพักใหญ่ ก่อนที่หมอและพยาบาลจะปล่อยให้เธอกลับบ้าน เธอตัดสินใจที่จะไม่กลับไปทำงานที่บริษัทนี้อีก เธออยากเริ่มต้นใหม่ แต่ก่อนหน้านั้นเธอจะต้องพยายามอยู่กับปัจจุบันให้ได้ซะก่อน ในทุกคืนหญิงสาวยังคงฝันถึงชายหนุ่มคนรักที่ห่างกับเธอตอนนี้เป็นร้อยเป็นพันปี เธอมั่นใจว่าเขาจะต้องเสียใจมากแน่ ๆ กับการจากมาของเธอเฟยเฟยออกไปซื้อด้ายและผ้ามาทำผ้าเช็ดหน้า เธอไม่เคยทำพวกนี้ได้ แต่ตอนนี้กลับทำม
บทที่ 29บั้นปลายชีวิตของหลี่อวิ๋น เขาสละราชบัลลังก์ให้กับน้องชายและใช้ชีวิตอยู่ที่สุสานของฮองเฮาเพียงคนเดียวของเขาสุสานแห่งนี้มีขนาดใหญ่โต สร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาวสะอาดตา มีการแกะสลักลวดลายดอกไม้บานสะพรั่งรอบ ๆ เหมือนสวนของพวกเขา เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความทรงจำ หลี่อวิ๋นเลือกสถานที่นี้เพราะมันตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสวยงาม มีดอกไม้หลากหลายชนิดบานสะพรั่งรอบ ๆ ราวกับว่าดอกไม้เหล่านั้นก็รู้ดีถึงความรักที่เขามีต่อเฟยเฟยจึงผลัดกันบานไม่เคยหยุด “เฟยเฟย...” เสียงที่เคยหนุ่มกลับแหบแห้งและขาดหายแบบคนมีอายุ เขายังคงจดจำรอยยิ้มของนางอันเป็นที่รักได้ “ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน แม้จะไม่อยากรบกวนเจ้าแต่ก็อดไม่ได้ที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้”เขานั่งอยู่กับสุสานนานหลายชั่วโมง น้ำตาที่รินไหลลงมาบนแก้ม กลายเป็นน้ำตาที่ซึมซาบลงไปในดินที่รอบ ๆ สุสาน มือที่แห้งเหี่ยวปัดฝุ่นบนจารึกหินอ่อนและยิ้มจาง ๆ “อีกไม่นานข้าก็คงจะตามไปเจอเจ้าแล้วไม่ว่าที่ไหนก็ตาม” วันนั้นหลี่อวิ๋นไม่ได้กลับออกไปจากสุสาน เขายังคงอยู่ที่สุสานแห่งนี้ สถานที่ที่เต็มไปด้วยความรักและความเจ็บปวดของเขาร่างของอดีตฮ่องเต้ถูกพบหลังจากน
บทที่ 28ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันทำให้หลี่อวิ๋นและเฟยเฟยเข้าใจว่าแม้จะมีอุปสรรคใด ๆ แต่หากพวกเขาอยู่เคียงข้างกันก็จะสามารถก้าวข้ามไปได้อย่างมีความสุขโดยไม่คิดเลยว่าเรื่องราวมันจะบานปลายไปได้ถึงเพียงนี้แม้ทุกคนจะรู้ว่ามีการต่อต้านเฟยเฟยอย่างรุนแรง แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าความเกลียดชังจะนำไปสู่การทำร้ายถึงชีวิตได้ หลี่อวิ๋นระแวดระวังทุกย่างก้าวของเฟยเฟย เพราะรู้ดีว่ามีภัยซ่อนเร้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมค่ำคืนหนึ่งขณะที่หลี่อวิ๋นทำงานอยู่ในห้องทรงงาน เขาได้ยินเสียงเฟยเฟยเรียกชื่อเขา “หลี่อวิ๋น ช่วยด้วย” เมื่อเขารีบเข้าไปที่ห้องบรรทมก็พบว่าเฟยเฟยนอนหมดสติอยู่ที่พื้นทั้ง ๆ ที่เขาไม่สนอะไรและนำตัวหญิงสาวมาอยู่ตำหนักเดียวกันแล้วแท้ ๆ ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือด หลี่อวิ๋นตกใจและรีบเข้าไปกอดนางแน่น เขารู้สึกถึงความเย็นและร้อนของร่างกายที่แปลกประหลาด“ตามหมอหลวงเร็ว และปิดตำหนักเดี๋ยวนี้” หลี่อวิ๋นตะโกนเสียงดังเมื่อหมอหลวงมาถึง หลี่อวิ๋นที่แทบจะตั้งสติไม่ได้ก็ทำได้แค่เดินไปมาและจ้องมองหมอหลวงรักษาหญิงสาวที่รักด้วยความกระวนกระวาย “นางต้องฟื้นคืนมา ข้าขอร้อง” เขาพูดเสียงสั่น หมอพยักหน้าแต่สีหน้าก็ไม่มั่นใจ
บทที่ 27วันเวลาผ่านไป ภายในพระราชวังยังคงมีเสียงกระซิบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหลี่อวิ๋นและเฟยเฟยอยู่ แม้ขุนนางส่วนใหญ่เริ่มยอมรับนาง แต่กระแสต่อต้านก็ยังไม่สิ้นสุด ขุนนางบางคนมักบอกว่านางเป็นปีศาจที่ล่อลวงคนพ่อและยังล่อลวงคนลูกอีกด้วย ความไม่พอใจเหล่านี้ทำให้เกิดความตึงเครียดและข่าวลือที่อาจจะทำให้ตำแหน่งของหญิงสาวสั่นคลอนแต่ในช่วงเวลาที่ทั้งสองเหนื่อยล้าจากหน้าที่ พวกเขาก็มักจะมานั่งคุยกันในสวน “หากการรับสนมจะทำให้พวกเขาหยุดพูด...” “ข้าไม่รับใครนอกจากเจ้า” เฟยเฟยยังไม่ทันพูดจบ หลี่อวิ๋นก็ขัด เรื่องในพระราชวังตอนนี้ ดูก็รู้ว่าเป็นเพราะอยากได้อำนาจ“ข้ารักแต่เจ้าไม่สามารถแสร้งทำเป็นรักคนอื่นได้หรอก” เฟยเฟยมองหลี่อวิ๋นด้วยความรักแล้วหญิงสาวก็แอบแปลกใจว่า วันเวลามันเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร จากคนแปลกหน้าที่ไม่มีวันได้พบ ตอนนี้กลายเป็นคู่ชีวิตที่นางพร้อมจะรับฟังคำของอีกฝ่าย“อย่าได้ห่วงไปเราจะดูแลเจ้าอย่างดี คงต้องเพิ่มคนดูแลเจ้าอีกหน่อย เรื่องพวกนั้นก็คงต้องปล่อยให้พูดไป คนเชื่อจริงไม่มีหรอก แค่อยากรู้เท่านั้นว่าใครยังกล้าถึงเพียงนี้ มิเห็นตระกูลหนิงหรืออย่างไร”“แม้ข้าจะพยายามทำให้
บทที่ 26หลี่อวิ๋นฟังคำนั้นก็หัวเราะเบา ๆ “คิดว่ากำลังจะตัดใจจากเจ้า แต่น่าแปลกเมื่อเห็นเจ้า… ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป”เฟยเฟยรู้สึกถึงความร้อนผ่าวในใบหน้า ขณะที่หญิงสาวนึกถึงช่วงเวลานั้น นางจำได้ว่ารู้สึกแปลก ๆ เมื่อได้สบตากับเขา “ข้าดีใจที่เราได้เจอกัน” หญิงสาวพูดออกมาจากใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่นำพานางมาที่นี่นางขอบคุณหลี่อวิ๋นกระชับตัวหญิงสาวที่เดินมาข้างกันให้แน่นขึ้นอีก เขาจับมือของนางอย่างเบามือ “ข้าก็ดีใจที่ได้พบกับเจ้า ทันเวลา...” หลี่อวิ๋นรู้ดีว่าตอนนั้นเขาเพียงแค่รู้สึกว่าต้องทำตามสัญญาหลังจากรู้สึกไม่ดีมานานนับปีและอีกฝ่ายก็เลี่ยงที่จะพบเจอเขา สุดท้ายเขาตั้งใจจะจบทุกอย่าง แต่คนที่เคยหลีกเลี่ยงเขาอย่างเฟยเฟยกลับเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ที่จริงวันนั้นเขาคงตัดใจจากเฟยเฟยในยามเด็กที่กลายเป็นสนมของเสด็จพ่อไปได้ แต่กลับตกหลุมรักคนเดิมอีกครั้ง มีหลายครั้งที่เขาสงสัยถึงท่าทางแปลก ๆ และความสามารถที่เคยมีและเคยไม่มี แต่ยามนี้เขาไม่สนแล้ว นางคือเฟยเฟยของเขาหลี่อวิ๋นหันไปสบตากับหญิงสาวอีกครั้ง ความรู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยนแล่นผ่านไปทั่วร่าง สายลมที่พัดผ่านทำให้ดอกไม้รอบตัวไหวเอน เหมือน
บทที่ 25หลังจากเรื่องราววุ่นวายผ่านไปไม่นาน เมื่อหลี่อวิ๋นเริ่มจัดการทุกอย่างในพระราชวัง ราชกิจต่าง ๆ ก็เป็นชายหนุ่มที่จัดการ เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางฮ่องเต้ก็หมดห่วงและจากไปในพระราชวังที่เคยมีความรุ่งเรืองและอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ ขณะนี้กลับเต็มไปด้วยความเงียบสงัด เดินผ่านไปทางไหนก็ได้ยินเพียงเสียงแผ่วเบาของการร้องไห้ ทุกซอกทุกมุมของวังเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความเศร้าโศกฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว การจากไปของเจ้าชีวิตทิ้งความว่างเปล่าไว้ในใจของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระสนม ข้าราชบริพาร หรือแม้แต่ชาวบ้านที่อยู่ภายนอกวังหลวง ทุกคนล้วนแต่รู้สึกเสียใจจากการสูญเสียครั้งใหญ่นี้เฟยเฟยยืนอยู่ที่กลางพระตำหนัก น้ำตาไหลอาบแก้ม ใจของนางเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยเมื่อคิดถึงอีกฝ่าย หลังจากเรื่องของนางและหลี่อวิ๋นชัดเจนขึ้นมา หญิงสาวก็ได้เข้าเฝ้าทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาบ่อยครั้ง ทั้งสองเหมือนเป็นคนเติมตะเกียงเพื่อส่องทางให้แสงสว่างในชีวิตที่จะต้องใช้ในวันข้างหน้าของหญิงสาว แม้จะเตรียมใจแต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องสูญเสียพระองค์ไปเร็วเช่นนี้ ความรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดกัดกินหัวใจของทุกคนในพระราชวังหลี่อวิ๋นประ
บทที่ 24ขันทีคนนั้นกำลังราดน้ำมันจะจุดไฟ ราชองครักษ์เร่งเข้าไปจับกุมคนของสนมหนิง พวกเขาถูกควบคุมตัวและนำตัวไปสอบสวนข่าวการจับกุมแพร่กระจายไปทั่วพระราชวัง สนมหนิงที่ได้รู้ก็เตรียมจะหนีแต่ดูเหมือนจะไม่ทัน นางถูกราชองครักษ์ที่เฝ้าเวรยามเข้าไปจับถึงในตำหนักฮ่องเต้เมื่อได้รับทราบเรื่องก็รู้สึกโกรธเคืองและผิดหวังในความไม่จงรักภักดีของสนมหนิง เขาตัดสินใจเรียกสนมหนิงและคนของนางเข้ามาพบเพื่อตัดสินโทษ โดยให้โอกาสสนมหนิงได้ชี้แจงความจริง“เราเห็นเจ้าเป็นครอบครัวจึงเล่าเรื่องให้ฟัง แต่เจ้ากลับไม่เชื่อฟังเรา ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำในวังหลวง” ฮ่องเต้กล่าวเสียงแข็ง “แม้เจ้าจะรับใช้เรามานานแต่เราคงเก็บคนอย่างเจ้าเอาไว้ไม่ได้ ทำไมถึงได้ทำอย่างนี้กัน”สนมหนิงเชิดหน้าอย่างไม่เกรงกลัวเพราะอย่างไรก็คงจะต้องตายอยู่แล้ว “หม่อมฉันเพียงต้องการทำให้แน่ใจว่า จะไม่มีผู้ที่ไม่สมควรอยู่ เข้ามาในราชวงศ์”ฮ่องเต้ส่ายหน้า “นั่นไม่ใช่ความจริง ขันทีของเจ้าบอกเราแล้ว เฟยเฟยนางได้ตำแหน่งที่เจ้าต้องการจะยกให้กับหลานสาว ความริษยาและความโกรธของเจ้าทำให้เจ้าสูญเสียสติไปแล้ว เราจะไม่ให้เจ้ามีโอกาสทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป”เม
บทที่ 23“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าการเสี่ยงทำความผิดมันจะได้ผลรางวัลคุ้มขนาดนี้” เฟยเฟยยิ้ม “ถึงตำหนักแล้ว” “ยังไม่อยากจากเจ้าเลย” ชายหนุ่มหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา “เพราะถึงแม้จะมีสิ่งนี้แต่มันก็ไม่หอมและอ่อนโยนนุ่มนวลเช่นเจ้า” เฟยเฟยหัวเราะใบหน้าแดง“อ่อนโยนคงไม่ใช่ข้าแล้วกระมัง” หลี่อวิ๋นพยักหน้า เขารู้ว่าพรุ่งนี้จะยิ่งเหนื่อยยิ่งกว่าวันนี้ แต่เมื่อมีเฟยเฟยอยู่เคียงข้าง เขาก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ “เราจะทำให้ดีที่สุดเพื่อสร้างอนาคตที่ดีร่วมกัน” หลี่อวิ๋นพูดด้วยความมั่นใจ แม้ว่าจะมีความท้าทายรออยู่ แต่เขาเชื่อว่าความรักของพวกเขาจะช่วยให้พวกเขาเผชิญหน้ากับทุกสิ่งได้“พรุ่งนี้จะมาขอกำลังใจเจ้าแต่เช้า” แม้จะรู้ว่าไม่ควร แต่เพราะเขาและหญิงสาวก็ไม่เคยสนใจกฎระเบียบเหล่านั้นอยู่แล้ว เฟยเฟยได้ยินก็ยิ้มหวานและถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตอบออกไปแต่นางคิดว่าจะตั้งหน้าตั้งตารออย่างแน่นอน ในขณะที่ข่าวเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจางเฟยเฟยกับหลี่อวิ๋นเริ่มกระจายไปทั่วพระราชวัง ผู้คนส่วนใหญ่ก็รับรู้และเห็นชอบในความรักของทั้งคู่ หรือไม่ก็ยอมจำนนต่อพระราชโองการแต่สนมหนิงกลับรู้สึกไม่พอใจอย่า
บทที่ 22“ไม่ใช่สนมแล้วเป็นอะไรกัน” เสียงของสนมเจินดังขึ้นพร้อมกับความตกใจ สายตาของนางหันไปหาสนมเซียงและสนมหนิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “ฝ่าบาทนี่หมายความว่าอย่างไร” สนมเซียงถามอย่างไม่เชื่อ ในขณะที่สนมหนิงยกมือขึ้นปิดปากเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงหวีดร้องหลุดออกมา “นางเข้ามาอยู่ในวังหลวงในฐานะว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทตลอดมา แต่ตอนนั้นเรื่องราวมันวุ่นวาย ที่เราบอกพวกเจ้าก็เพราะเห็นว่าเป็นครอบครัวเดียวกันไม่อยากให้เข้าใจกันผิด” ฮ่องเต้ประกาศชัดและบอกถึงเหตุผลในใจแต่แน่นอนว่าความจริงที่ได้ฟังทำให้บรรดาสนมที่เคยเห็นเฟยเฟยเป็นเพียงแค่หนึ่งในสนมของฮ่องเต้ตกใจจนแทบจะเป็นลม เพราะพวกนางแกล้งหญิงสาวเอาไว้มากฮ่องเต้จ้องไปที่สนมเจิน สนมเซียง และสนมหนิงอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าต้องการให้พวกเจ้าเข้าใจฐานะที่แท้จริงของจางเฟยเฟย นางไม่ใช่เพียงสนมธรรมดา แต่จะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างกับหลี่อวิ๋นในวันข้างหน้า”“แต่ฝ่าบาท ทำไมถึง…” สนมเจินยังไม่สามารถพูดจบได้ ฮ่องเต้ก็ยกมือขึ้นเพื่อทำให้นางสงบ“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีความรู้สึกไม่พอใจต่อกัน แต่ขอให้พวกเจ้ารับฟังสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด” พระองค์หยุดหายใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่