[Danica’s part]
แม่เจ้าโว้ยยยย ทำไมเจ๊หวานไม่บอกฉันก่อนว่าคุณคามินทร์และน้องชายของเขานั้นหล่อมากกกก หล่อลากดินชนิดที่ว่าดาราเกาหลียังต้องชิดซ้าย ฉันไม่เคยพบเคยเจอความหล่อระดับนี้มาก่อนในชีวิต...
เอ่อ...ถ้านับชีวิตฉันที่เจอผู้คนน้อยถึงน้อยมากอะไรพวกนั้นน่ะนะ
แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ใบหน้าคมเข้มของเขานั้นเกลี้ยงเกลาอย่างกับไม่รู้จักคำว่ารูขุมขน คิ้วดกดำหนากำลังดี ดวงตาเรียวยาวทว่ากลับซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ในนั้นบอกไม่ถูก จมูกโด่งเป็นสันตามแบบฉบับลูกครึ่ง ริมฝีปากก็บางเฉียบเป็นสีชมพูระเรื่อมองแล้วอยากจะพุ่งเข้าไปจับจุ๊บให้รู้แล้วรู้รอด แม้ว่าหน้าเขาจะเหมือนกับคุณคามินทร์อย่างกับแกะ แต่กลับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันหยุดจ้องเขาไม่ได้เลย
แล้วไหนจะรูปร่างสูงโปร่งเหมือนต้นไม้ใหญ่ให้พึ่งพิงของเขา มันทำให้หัวใจฉันเผลอเต้นแรงไปวูบหนึ่งยามที่จ้องมอง แล้วมันก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้งเพราะคำถามของเขา
“แล้วนี่...ทำอะไรเป็นบ้างล่ะเรา?”
การที่เขาถามแบบนี้นั่นหมายความว่าเขาจะเคลมฉันแล้วจริงๆ ใช่ไหม ตายล่ะ ฉันไม่ได้ถามเจ๊น้ำหวานเลยว่าแล้วทำได้ไหม แต่ปกติต้องไม่ได้สิ ฉันเป็นพนักงานระดับล่างที่ทำได้แค่บริการทั่วไป เอนเตอร์เทนแขก ชงเหล้า ทำให้แขกสนุกสนานในระหว่างที่กินดื่ม ถ้าจะได้รับอนุญาตให้ขายร่างกายนั่นต้องได้รับการเทรนจากเจ๊ก่อน
“หนูไม่รับแขกค่ะ”
ฉันบอกออกไปตามตรง ทว่าคนตรงหน้ากลับมองหน้าฉันนิ่ง ไม่รู้ว่าเขากำลังพอใจหรือไม่พอใจ ฉันเลยต้องรีบพูดต่อ
“คือว่าหนูไม่ได้รับอนุญาตให้มีอะไรกับแขกค่ะ แต่อย่างอื่นทำได้หมดเลยนะคะ”
ฉันกลั้นใจพูดออกไปด้วยความเขินอายนิดๆ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองต้องมาพูดอะไรแบบนี้ แต่ทันทีที่ได้ยินเขากลับกอดอกแล้วพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“แล้วคิดว่าตัวเองขึ้นมาที่นี่ทำไม?”
ท่าทางของเขาทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก อย่าบอกนะว่าเขากำลังจะโกรธแล้วไล่ฉันออกไปนอกห้อง ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ เจ๊น้ำหวานบอกว่างานนี้ค่าตอบแทนสูง และฉันมีโอกาสได้ทิปหลักหมื่นจากเขา ไม่ว่าจะต้องใช้ไม้ไหนฉันเองก็ต้องอยู่ในห้องนี้ต่อให้ได้
ฉันยกมือขึ้นพนมตรงหน้า ก่อนจะไหว้ปลกๆ พร้อมทั้งแร๊พสิ่งที่เตรียมจะพูดออกมาจนหมดในไม่กี่วินาที
“นะ...หนูขอโทษจริงๆ ค่ะคุณนาวินทร์ หนูไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไร แต่ปล่อยหนูไปเถอะนะคะ หนูมาทำงานเพราะอยากได้เงิน หนูมีแม่ที่ต้องดูแล ท่านเป็นโรคร้ายต้องใช้เงินเยอะมากๆ หนูคิดว่าขึ้นมาตรงนี้ต้องได้เงินเยอะแน่ๆ หนูไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณแต่หนูทำได้ทุกอย่างจริงๆ ยกเว้นเรื่องนั้น...”
ฉันจำเป็นต้องหยุดพูดสักสามสี่วิเพื่อสูดหายใจเข้าปอดหลังจากรัวคำพูดจนเกือบขาดใจตาย ตอนนี้ร่างกายมันร้อนแข่งกับแอร์ภายในห้องนี้ที่เย็นเฉียบ เหงื่อก็แตกพลั่กเพราะกำลังลุ้นกับท่าทีของคนตรงหน้า
“...ดังนั้น...คุณไม่ไล่หนูไปได้ไหมคะ?”
ถ้าพูดขนาดนี้แล้วเขายังไม่ใจอ่อนก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว เขาเป็นหมอนี่นา จริงไหม อย่างที่ฉันได้ยินเมื่อกี้ คนเป็นหมอก็ต้องใจดีมีเมตตาสิ
ทว่าเขากลับแค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะพูดเสียงกลั้วหัวเราะ
“นี่เธอ คิดว่าฉันเป็นคนแบบไหนกันแน่ฮะ”
“คะ? กะ...ก็ เป็นน้องชายของคุณคามินทร์...” ไม่ได้สิ ถ้าฉันตอบออกไปแบบนี้รับรองถูกไล่ออกไปแน่ เอาใหม่ๆ “คือว่า คุณนาวินทร์เป็นคนที่หล่อมากๆ ค่ะ หน้าตาดีที่สุดที่ฉันเคยเจอมาเลย แล้วก็ดูนิสัยดี อบอุ่น น่าจะเป็นคนดีนะคะ”
“เธอมองคนว่าเป็นคนดีแค่เพราะเขาหน้าตาดีเหรอ?”
“อ่า...” ไม่ใช่เหรอวะ ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไหม
แต่ไม่ได้ ฉันมาที่นี่เพื่อเงิน จะมาตอบอะไรตามใจไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“เปล่าค่ะ คุณแค่ดูเป็นคนดี ฉันรู้สึกอย่างนั้น”
“โอเค ถือว่าตอบได้ถูกใจ”
คำตอบของเขาทำให้ฉันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ทว่ายังหายใจหายคอไม่ได้ถึงสามวินาที จู่ๆ เขาก็พุ่งเข้ามาจนฉันต้องถอยกรูดไปติดกับมุมผนังโซฟาตัวแอลที่เรานั่งอยู่ ทว่าด้วยความไวของเขาก็ทำให้ชายหนุ่มนั้นเข้ามาประชิดตัวฉันได้อย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเอามือกันไว้ไม่ให้ฉันหนีได้ทั้งซ้ายขวาอีกด้วย
ซวยแล้ว อีดาตายแน่ๆ
“คะ...คุณหมอคะ หนูว่าแบบนี้ไม่ดีแน่”
“อะไรที่ไม่ดี?”
“ก็...หนูบอกแล้วว่าหนูไม่รับงานอย่างว่า ยิ่งกับผู้ใหญ่อย่างคุณ...”
เขาเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูด ยิ่งฉันบอกว่าไม่รับเขาก็ยิ่งโน้มตัวลงมา จนกระทั่งใบหน้าของเขาห่างกับฉันแค่คืบจนฉันต้องหลับตาปี๋เบี่ยงหน้าหลบ นั่นทำให้พวงแก้มเกิดเห่อร้อนด้วยความที่ลมหายใจอุ่นที่เจือด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ของเขาเป่าลงมาไม่หยุด
อ้ากกก ออกไปเดี๋ยวนี้นะ
“หน้าฉันมันเหมือนคนอายุเท่าไหร่ เธอลองว่ามาซิ”
“เอ๊ะ?”
ฉันได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองเขาอย่างไม่เข้าใจคำถาม แต่การที่หันหน้ากลับมามองเขาตรงๆ แบบนี้มันยิ่งทำให้หัวใจฉันเต้นแรงอย่างคุมไม่อยู่ สุดท้ายก็ต้องหันหน้าหลบตามเดิม
“เรื่องที่ไหว้ฉันเหมือนคนแก่ก็เรื่องหนึ่ง เรื่องที่หาว่าฉันจะปล้ำเธอก็อีกเรื่องหนึ่ง คิดว่าฉันอายุเท่าไหร่ ห้าสิบกว่าเหรอ?”
“ไม่นะคะ อย่างมากก็แค่สี่สิบต้นๆ”
“นี่เธอ...”
ไม่ถูกเหรอ? ดูจากผิวหน้าของเขาแล้วก็เหมือนวัยรุ่นอายุไม่ถึงสามสิบอยู่หรอก เพียงแต่ถ้าฉันตอบแล้วเด็กเกินไปจะเป็นการปรามาสเขาหรือเปล่า หรือว่าจริงๆ เขาอาจจะแก่กว่านั้น?
ไม่เดาแล้วดีกว่า ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะชวดเงินก็ได้
“หนูไม่รู้จริงๆ ค่ะ แต่รู้แค่ว่าหล่อ แค่นั้นไม่พอเหรอคะ”
ฉันเลือกตอบออกไปตามความคิด แต่คิ้วที่ขมวดมุ่นของเขากลับไม่คลายลงเลยแม้แต่น้อย ฉันเลยต้องหาอย่างอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขาแทน
“เธอคิดว่าตัวเองขึ้นมาบนนี้ทำไมกัน”
ในเมื่อเขาถาม ฉันก็จะตอบออกไปอย่างไม่ปกปิด
“เงินค่ะ”
“เงิน?”
“ค่ะ ตอนนี้แม่หนูป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล ถ้าหนูไม่เอาเงินไปจ่ายค่ารักษาแม่ หนูอาจจะต้องพาแม่ไปรอความตายที่บ้าน”
มันไม่ใช่เรื่องราวน่าภูมิใจอะไรที่ควรเล่าให้คนอื่นฟังหรอก แต่ฉันไม่อยากถูกไล่ออกจากห้องนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม บางที...แค่บางที เผื่อว่าเขาอาจจะเกิดสงสารฉันขึ้นมาก็ได้
“นี่ไม่ใช่รายการเรียกคะแนนสงสารจากปมชีวิตนะ เอาดีๆ”
“หนูไม่ได้โกหกนะคะ”
“เท่าไหร่ล่ะที่ต้องจ่าย”
“ไม่ต้องรู้หรอกค่ะ รู้ไปทิปของคุณวันนี้ก็ไม่พอหรอก”
ในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมปล่อยฉันให้เป็นอิสระ เขาถอยหลังไปนั่งที่เดิมก่อนจะกอดอกแล้วถามฉันเสียงเข้ม
“ก็รู้ว่าไม่พอ แล้วขึ้นมาทำไม?”
“มันไม่พอจ่าย แต่มันก็มากพอให้หนูกินข้าวอิ่มไปอีกหลายมื้อนะคะ นอกจากค่ารักษาแม่ก็มีค่าเทอม ค่ายา แล้วหนูก็ยังต้องไปเรียนด้วย”
ฉันพยายามกะพริบตาปริบๆ ให้เขาเห็นใจขึ้นมาบ้าง ดูจากสีหน้าของเขาฉันว่ามันต้องได้ผลแหละ เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไล่ตะเพิดแล้วให้คนอื่นขึ้นมาแทนตั้งนานแล้ว
“แล้วคิดว่าฉันจะให้เท่าไหร่” นี่แหละคำถามที่ฉันรอคอย
“คุณอยากให้เท่าไหร่ก็ได้ค่ะ มันคือทิป ไม่ใช่ค่าจ้างนี่”
“งั้นก็ไม่ให้”
“ง่า...”
เอาจริงเหรอคุณหมอ เขาเองก็ดูภูมิฐานน่าจะมีหน้าที่การงานที่ดี เงินเล็กน้อยแค่นี้คงไม่งกถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง
“เธอรู้ไหมว่าคนที่จะได้ทิปหนักขนาดนั้นเขาต้องทำอะไรบ้าง อย่างแรกเลย เขาต้องพูดจาหวานๆ ไม่ใช่เสียงแข็งใส่ลูกค้าแบบนี้”
“อ๋า...อย่างนั้นหนูก็ทำได้ค่ะ คุณนาวินทร์ขา อยากดื่มอะไรดีคะ?”
ในเมื่อเขาว่าอย่างนั้นฉันก็จัดให้แบบไม่มีขัดขืน พูดจาหวานๆ เอาอกเอาใจลูกค้าเหรอ ได้สิ แต่ทนความหวานในแบบของฉันให้ได้ก็แล้วกัน
ฉันรินเหล้าใส่แก้วของเขาก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะเขยิบเข้าไปใกล้จนตัวเราแทบจะติดกันเป็นแฝดสยาม แล้วเอาแก้วเหล้ายื่นไปที่ปากของเขา
“ให้ดาป้อนนะคะคุณวินทร์”
เจอลูกอ้อนแบบนี้เข้าไปเขาถึงกับชะงักงันทำอะไรไม่ถูก แม้ใบหน้าจะไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่ใบหูของเขากลับแดงฉ่าจนเหมือนจะมีควันน้อยๆ ออกมา
“คุณวินทร์อยากให้ดาทำอะไรอีกคะ?”
“อะแฮ่ม” เขากระแอมน้อยๆ ก่อนจะขยับออกไปสองสามคืบ “ไม่ต้องเรียกคุณ”
“คะ?”
“เรียก พี่วินทร์ก็ได้ ฉันไม่ติด”
“ได้ค่ะ พี่วินทร์”
ฉันก็ทำตามใจเขาแล้วนะ ทว่าพอฉันขยับเข้าไปหาชายหนุ่มกลับขยับออกไปอีกครั้ง แต่ในเมื่อเขาหนี ฉันก็จะตาม บอกแล้วว่าลูกอ้อนของฉันมันไม่เหมือนใคร เอาให้รำคาญกันไปข้าง
แต่เหมือนเขาจะลืมว่าโซฟาตัวนี้มันมีจุดสิ้นสุด ในจังหวะสุดท้ายที่เราขยับไปพร้อมๆ กัน ทำให้ทั้งเขาและฉันร่วงลงไปกองที่พื้นในขณะที่แก้วเหล้าในมือฉันหกกระจาย
ซ่า...
เสียงน้ำราดลงกับพื้นพรมตามด้วยเสียงแก้วตกดังตุ้บ ฉันไม่ได้สนใจว่ามันจะแตกหรือไม่แตก ตอนนี้ดวงตาของฉันกำลังเบิกโพลง เพราะไอ้การล้มเมื่อกี้ฉันได้ร่วงลงมาทับบนตัวของเขาที่นอนหงายอยู่กับพื้น และริมฝีปากของเรากำลังประกบกันเข้าเต็มๆ
มันจะไม่เป็นไรเลยถ้าฉันจะเคยจูบใครมาก่อน ไม่นะ จูบแรกที่แสนสำคัญของฉัน ม่ายยยย มันจะมาเสียเพราะสถานการณ์อย่างนี้ไม่ได้
ฉันพยายามที่จะดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากตัวของเขาทันทีที่รู้ตัว แต่ไม่คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะรังแกฉันด้วยการเอื้อมมือมาล็อกเอวฉันไว้ไม่ให้ลุกไปไหน ฉันยังไม่ทันได้ตั้งสติถามอะไรออกไปทั้งนั้น มืออีกข้างของเขาก็สอดเข้ามายังบริเวณท้ายทอย ก่อนจะกดใบหน้าฉันให้ลงไปจูบกับเขาให้แนบแน่นกว่าเดิม
ริมฝีปากนิ่มที่กำลังมอบความอุ่นแสนวาบหวามให้แก่ฉันทำให้ฉันคิดอะไรไม่ออกเลย ดวงตาของฉันเบิกกว้างจนเห็นว่าเขากำลังหลับตาพริ้มในขณะที่วาดริมฝีปากด้วยอารมณ์ที่ฉันเองก็เดาไม่ถูก
นี่ฉันกำลัง...ถูกจูบงั้นเหรอ จูบที่แปลว่าจูบจริงๆ ไม่ใช่แค่ปากแตะกันเหมือนก่อนหน้านี้ มันน่าแปลกที่หัวใจของฉันไม่เต้นแรงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับได้ยินเสียงวิ้งๆ อยู่ในหูจนสมองมึนเบลอไปหมด
รอจนกระทั่งเขาถอยออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาใต้แว่นหนานั่นก็ทำให้ฉันได้สติจนหน้าร้อนฉ่าไปหมด
“ไหนบอกว่าทำได้ทุกอย่าง ที่เห็นเมื่อกี้มันไม่ใช่นะ”
เขากำลังล้อเล่นกับฉันอยู่งั้นเหรอ แค่เพราะฉันบอกว่าต้องการเงินเลยทำได้ทุกอย่างอย่างนั้นสินะ ตอนนี้อารมณ์ของฉันเริ่มเปลี่ยนไปเพราะคำพูดของเขา แค่อายที่ถูกเขาพรากจูบแรกไปก็แย่พออยู่แล้ว นี่ยังมาเจอคำพูดที่เหมือนจะดูถูกนั่นอีก
“ถ้าทำได้แค่นี้ก็อย่าหวังจะได้เงินเยอะๆ จากฉันหรือคนอื่นเลย...”
ฉันพยายามควบคุมอารมณ์อย่างหนักไม่ให้หงุดหงิดไปกับการยั่วยุของเขา ทว่าก่อนที่ประโยคสุดท้ายของเขาจะพูดจบ ฉันก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
“กลับไปฝึกมาใหม่...อั้ก!!!”
หมัดแน่นๆ ของฉันทุบเข้าที่กลางอกของเขาอย่างจังจนไอ้ชีกอตรงหน้าฉันยอมปล่อยในที่สุด แม้ว่าการกระทำนั้นอาจจะทำให้ฉันไม่ได้เงินจากงานนี้ แต่ตอนนี้ฉันไม่สนหรอก ทำขนาดนี้ก็แล้วถูกเขาจูบก็แล้วยังจะมาบอกว่าจะไม่ให้เงินอีก ช่างเถอะ เสียเวลาไปแล้วก็ช่างมัน ได้ทุบเขาสักครั้งก็พอใจแล้ว เชอะ
“เดี๋ยวสิ นั่นเธอจะไปไหน”
เขาลุกขึ้นมากุมหน้าอกพลางเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นขึ้นสีแดงก่ำจนน่ากลัว แต่ฉันก็ไม่ได้มีความคิดที่จะสงสารเขา รีบเดินมาที่ประตูด้วยความรวดเร็ว
“ไม่ให้เงินก็อย่าคิดจะแอ้มให้ยาก นอนจุกตายไปเถอะ ชิ”
ไอ้คนบ้า ขอชีวิตนี้อย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย
โรงพยาบาล KL โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงหนึ่งปีครึ่งเท่านั้น ด้วยเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ทำให้ที่นี่นับเป็นศูนย์รักษามะเร็งที่ดีที่สุดในประเทศไทยคำโฆษณาที่น่าตื่นตาตื่นใจนี่แหละที่พาฉันและแม่มาจนถึงที่นี่ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่มันเป็นความคิดที่ดีหรือแย่ แต่รู้ว่าพอแม่มาที่นี่แล้ว จากอาการของคนที่รอความตายนอนพะงาบๆ ในโรงพยาบาลที่ใช้สิทธิ์รักษาฟรี ก็กลับมามีชีวิตชีวาสามารถยิ้มแย้มได้อีกครั้งแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโชคจะเข้าข้างเราตลอดไป“ดาดูนี่สิลูก นางเอกเรื่องนี้เป็นมะเร็งเหมือนแม่เลยเห็นไหม เขายังสาวยังสวยอยู่เลยนะ แต่ดันโดนสามีนอกใจแล้วไม่มาจ่ายค่ารักษาพยาบาล น่าสงสารน่าดูเลย”ฉันกลับมาที่โรงพยาบาลหลังจากที่เลิกงานแล้ว ดูเหมือนว่าแม่ยังคงไม่รู้เรื่องที่ฉันได้รับข้อความนั้น บนใบหน้าซีดเซียวของแม่ยังคงมีรอยยิ้มพลอยทำให้คนรอบข้างยิ้มตามไปด้วย มันน่าเศร้าตรงที่โรคร้ายมันทำให้แม่ทรมานจนบางครั้งฉันก็เห็นแม่แอบร้องไห้อยู่คนเดียวบ่อยๆ แต่ต่อหน้าฉันแม่กลับทำเป็นร่าเริงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เพราะแม่เป็นอย่างนี้ไงเลยทำให้โลกใบนี้ใจร้ายกั
ชีวิตฉันต้องสั้นไปอีกสิบปีแน่ๆ ตอนนี้ฉันมาอยู่ที่หน้าตึกคณะของตัวเองอย่างปลอดภัยและทันเวลาพอดีเป๊ะ แต่ว่าหน้าของฉันกลับชาไปหมด ทั้งคอก็เจ็บเพราะกรี๊ดมาตลอดทาง“ฮ่าๆๆๆ สนุกดีเนอะ”ในขณะที่เขาหัวเราะชอบใจ แต่ฉันไม่รู้สึกสนุกด้วยแม้แต่นิดเดียว เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ รถของเขาก็ไม่ใช่ แถมยังเพิ่งจะขับครั้งแรก แต่กลับพาฉันซิ่งมุดข้างรถคันนั้นคันนี้อย่างกับการแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบาก หัวใจอีดานิกาจะวายตาย ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดมาจนถึงตรงนี้ได้“คะ...คุณรีบเอารถไปคืนเดี๋ยวนี้เลยนะคะ เดี๋ยวเจ้าของเขามาหาแล้วจะไม่เจอ”ฉันบอกเขาเสียงสั่น ตอนนี้ความเจ็บจากการล้มก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว ซึ่งทั้งหมดมันก็เป็นเพราะเขานั่นแหละ“เอาไปคืนที่ไหน นี่รถฉันเอง”ทว่าเขากลับเอ่ยออกมาอย่างนั้นหน้าตาเฉย“อ้าว ก็เมื่อกี้คุณบอกว่า...”โอเค เห็นรอยยิ้มของเขาฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงสามารถขับรถซิกแซกได้ขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเขาเป็นเจ้าของรถคันนี้นี่เอง ผู้ชายเจ้าเล่ห์ เขานึกสนุกอะไรถึงมารังแกคนอย่างฉัน งานการไม่มีทำหรือยังไงกันตั้งแต่ในห้องวันนั้นเขาเองก็แกล้งฉันจนหนำใจแล้วมันยังไม่พอสินะ หรือว่า
ฉัน...ถูกไล่ออกฉันยังพูดไม่ชัดพอเหรอ เธอถูกไล่ออกคำพูดของอาจารย์ยังคงดังอยู่ในหูแม้ว่าฉันจะออกมาจากตรงนั้นแล้วก็ตาม ในวินาทีที่ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น ฉันได้แต่เดินออกมาจากห้องเรียนด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก สายตาของเพื่อนทั้งชั้นมองฉันนิ่งๆ ไม่ได้เห็นใจหรือสมน้ำหน้า ทว่าคู่กรณีอย่างทรายแก้วกับน้ำหอมกลับหัวเราะสะใจแต่ในขณะที่ฉันถูกไล่ออก คนที่เริ่มก่อนอย่างทรายกลับถูกเรียกเข้าไปนั่งเรียนที่เดิมเสียอย่างนั้นโลกใบนี้มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับคนจนเสมอแหละ ฉันไม่เคยอยากจะคิดอย่างนั้นเลย มันไม่ต่างอะไรจากการเอาความจนมาเป็นเกราะป้องกันความล้มเหลวของตัวเอง แต่พอคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ทั้งยายที่ทำเหมือนฉันกับแม่เป็นเพียงขยะที่ไม่ได้เกิดจากตระกูลของเขา หมอที่พูดอย่างเลือดเย็นว่าแม่อาจจะตายถ้าฉันไม่มีเงิน และผู้คนที่ดูถูกฉันในชั้นเรียนก่อนหน้านี้...ทำไม ต้องเป็นฉันด้วย ทำไม...ฉันออกมานั่งที่บันไดหน้าตึกพลางมองออกไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง มันไม่ได้อยากร้องไห้ออกมา แต่ก็มีความหน่วงอยู่ในอกที่บอกไม่ถูก และมันทรมานกว่าการร้องไห้ออกมาหลายเท่า“เธอลืมกระเป๋า”เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง
คอนโด KLฉันเงยหน้ามองคอนโดของเจ๊น้ำหวานที่เด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า ชิดภูที่มาส่งฉันเองก็มองมันพลางพึมพำออกมา“พวกคัลเลนอีกละ ไปที่ไหนก็เจอเนอะ”“อะไรเหรอ?”สีหน้าของเขาเหมือนขยะแขยงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าชอบกล แต่ฉันกลับรู้สึกคุ้นกับสิ่งที่เขาพูดออกมามากกว่า“คัลเลนน่ะ นามสกุลของเจ้าของโรงพยาบาลที่แม่เธอรักษาอยู่ไง ที่นี่ก็อยู่ในเครือเดียวกันนั่นแหละ โรงแรมที่ดังๆ อยู่ตอนนี้ก็ใช่ มหา’ลัยที่เราเรียนอยู่หุ้นส่วนใหญ่ก็เป็นของตระกูลนี้ทั้งนั้น”ถ้าจำไม่ผิด เป็นนามสกุลของคุณคามินทร์เจ้าของคลับที่ฉันทำงานอยู่ และของคุณนาวินทร์ด้วยสินะ ไม่อยากจะเชื่อว่าฉันมีปัญหากับคนที่อำนาจล้นฟ้าขนาดนี้ แค่คิดยังไม่กล้าฝันเลย“ยังไงก็ขอบใจนะที่มาส่ง”“ด้วยความยินดี”ชิดภูได้ขับรถจากไปแล้ว ส่วนฉันก็เดินขึ้นมาบนห้องของเจ๊แล้วตรงไปยังห้องที่คุ้นเคยในทันที ทว่าฉันยังไม่ทันได้กดกริ่งที่หน้าห้อง จู่ๆ ประตูก็ได้ถูกเปิดออกจากคนข้างใน“อุ๊ย แขกของเจ๊เหรอครับ ตามสบายนะ”คนที่เปิดออกมานั้นเป็นผู้ชายกล้ามใหญ่ยิ้มหวานคนหนึ่ง เขาโค้งน้อยๆ ให้ฉันก่อนจะเดินออกจากห้องไปท่ามกลางความงุนงงของฉัน“มาแล้วเหรอ เข้ามาๆ เจ๊กำลังเสร็จงา
[Navin’s part]ย้อนกลับไปเมื่อสิบสามชั่วโมงก่อนหน้านี้“อย่าหาว่าหมอใจร้ายเลยนะ แต่ยิ่งรักษาก็มีแต่ยิ่งแย่ ถึงที่นี่จะมีเทคโนโลยีการรักษามะเร็งที่ดีที่สุด แต่ก็ทำได้แค่ยื้ออาการรอวันตาย ถ้าอยากให้แม่รอดจริงๆ หนูต้องใช้เงินเยอะมาก ไม่รู้ว่างานอะไรที่จะได้เงินเยอะอย่างนั้นในเวลาอันสั้น”“มึงพูดอย่างนี้ได้ไงวะไอ้เหี้ยหมอ!!”เสียงเอะอะโวยวายที่หน้าห้องผ่าตัดทำให้ผมหยุดมองด้วยความสนใจ แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือดานิกาเธออีกแล้วสินะ แต่ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งไปส่งเธอที่มหา’ลัยมาเหรอ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ ซ้ำยังมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเสียงดังตรงนั้นอีก“อะไรวะนั่น คนทะเลาะกันเหรอ”คามินทร์ที่ตามมาทีหลังเองก็หยุดดูเช่นกัน มันระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคนตรงนั้นคือใคร“เด็กนี่อีกแล้วเหรอ บังเอิญไปมั้งอะไรจะเจอกันบ่อยขนาดนี้”“อืม ก็บังเอิญแหละ”บังเอิญที่ผมดันรู้ว่าแม่เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย บังเอิญที่ผมจงใจเอาโบรชัวร์ของโรงพยาบาลไปหย่อนไว้ที่หน้าห้องเช่าของเธอ บังเอิญที่ผมไปบอกน้ำหวานว่าให้ชักชวนดานิกาไปทำงานที่คลับของคามินทร์และจับตาดูเธอเอาไว้ให้หน่อย
[Danica’s part]เจ๊น้ำหวานไม่เห็นเคยบอกเลยว่ามีอย่างนี้ด้วย ตอนนี้ร่างกายฉันถูกเขารบกวนจนปั่นป่วนท้องน้อยไปหมด ที่ตรงนั้นถูกเขาใช้ปลายนิ้วเขี่ยจนเกิดเป็นความรู้สึกประหลาด คล้ายว่าจะมีไฟฟ้าแล่นผ่านร่างจนฉันสั่นสะท้านไปหมดแล้ว...“สั่นเป็นลูกแมวเลยนะ อย่างนี้จะทำฉันพอใจยังไง หืม?”เขายังคงใช้คำพูดอย่างนั้นเพื่อกระตุ้นให้ฉันทำสิ่งที่บ้ายิ่งกว่านี้ ในขณะที่ร่างกายของฉันสะท้านไหวไปกับการกระทำของเขา แต่ก็ต้องจำอย่างหนึ่งที่เจ๊น้ำหวานสอนให้ขึ้นใจ‘แขกเขามาหาความสนุก ความสุขที่ได้จากหญิงสาวเวอร์จิ้นคือความไร้เดียงสาแต่ก็ต้องมีลีลาที่ดี เรื่องนี้ห้ามลืมอย่างเด็ดขาด’ลีลาดีแต่ไร้เดียงสาอย่างนั้นเหรอ? คนไร้เดียงสามันจะไปมีลีลาดีได้ยังไง ซ้ำตอนนี้ร่างกายของฉันถูกเขารบกวนไม่ยอมหยุด แม้แต่จะคิดยังคิดอะไรไม่ออกแต่เมื่อแหงนหน้ามองรูปร่างของเขาที่ตอนนี้เสื้อผ้าท่อนบนได้ถูกถอดออกไปแล้ว กล้ามอกแน่นที่มีรอยสักรูปมังกรสลักอยู่บริเวณหน้าอกข้างซ้าย ความคิดที่อยากจะสัมผัสก็แวบเข้ามาในหัว“ลูกแมวมัน...อ๊ะ...เลียเก่งนะคะ อยากลองไหม”ฉันกลั้นใจพูดออกไปเสียงแผ่ว ทว่าพอเห็นท่าทีของคนตรงหน้า จากความกลัวก่อนหน้านี
แม่ออกมาจากห้องผ่าตัดได้หลายวันแล้ว ช่วงนี้เพราะฉันไม่ต้องไปเรียนฉันเลยมีเวลาอยู่กับแม่ได้อย่างเต็มที่ เอแคลร์ที่รู้เรื่องก็โทรมาร้องไห้กับฉัน เธอบอกว่าตัวเองไม่อยากทำร้ายฉันเลย แต่พวกยัยทรายบังคับ ซึ่งฉันก็เข้าใจดีเลยไม่ได้ว่าอะไรส่วนแม่ ฉันทิ้งให้ท่านนอนพักผ่อนและออกมาหาอะไรดื่มแก้ง่วงกับชิดภู บังเอิญว่าเขามาหาพี่ชายที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลนี้พอดี เลยแวะมาเยี่ยม“นายมีพี่ชายเป็นหมอด้วยเหรอ ดีจังนะ”ฉันจิบกาแฟไปคุยไประหว่างที่เดินกลับขึ้นตึก ในมือก็ถือถุงเค้กพะรุงพะรังไปหมด เพราะเงินที่ได้มาวันนั้นมันยังเหลืออยู่นิดหน่อย ฉันเลยสามารถเจียดเงินร้อยสองร้อยไปเปย์ตัวเองได้โดยไม่รู้สึกผิดเมื่อก่อนอย่าว่าแต่เค้กเลย ข้าวราดแกงจานละห้าสิบบาทยังต้องเป็นรางวัลที่ฉันให้ตัวเองนานๆ ครั้ง ส่วนใหญ่จะได้กินข้าวฟรีที่ป้าแม่บ้านของโรงพยาบาลเอามาให้ตอนเช้า ส่วนมื้อเย็นก็มีสวัสดิการพนักงานที่คลับทำให้ไม่ต้องเสียเงินค่าข้าว แต่ก็นั่นแหละ หลายครั้งฉันเองก็อยากกินอะไรที่คนอื่นได้กินเหมือนกัน“อืม ลูกพี่ลูกน้องน่ะ ก็ไม่ใช่พี่ที่สนิทอะไรมากหรอก แต่ย่าติดต่อพี่ไม่ได้ อยากให้กลับไปคุยเรื่องงานหมั้น เลยวานฉันมา”
[Navin’s part]ทรายแก้ว กฤตินันทสกุล ลูกสาวคนเดียวของ ภูดิน อธิบดีมหาวิทยาลัยเอกบูรพา ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ว่ามีความเหมาะสม แต่คนเดียวที่ไม่ได้ลงชื่อในครั้งนี้คือ ผมทั้งที่หุ้นส่วนใหญ่ที่สุดของที่นี่คือผมเอง แต่กลับไม่เคยได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการประชุมเลยสักครั้งเดียว เมื่อก่อนผมไม่ได้สนใจเพราะแค่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น แต่ส่วนใหญ่ย่าจะเข้ามาดูแลมากกว่า แต่เรื่องที่มีคนถูกไล่ออกเพราะมีปัญหากับลูกสาวอธิบดี เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผมต้องเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง“ขออนุญาตครับท่านผอ.”จาเรด คนของคามินทร์ที่ผมยืมตัวมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ผมสั่งให้เขาไปติดต่อที่มหา’ลัยเพื่อจัดการประชุมขึ้นมาให้ แต่ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้“ว่าไง”“เรื่องที่คุณดานิกาถูกไล่ออก ทางอธิบดีแจ้งว่ายังไม่ได้เซ็นอนุมัติครับ แต่ได้ชื่ออาจารย์ที่ยื่นเรื่องมาแล้ว”ทำงานได้รวดเร็วสมเป็นคนของคามินทร์ นอกจากจะได้เรื่องแล้วยังได้ประวัติของอาจารย์คนที่ว่ามาด้วย“อาจารย์สมศรี สอนด้านการออกแบบเสื้อผ้าและตัดเย็บ เป็นคนที่ดุและชอบพูดจาไม่สุภาพกับนักศึกษา โดยเฉพาะเด็กที่ไม่ได้มีทุนทรัพย์มากมาย เน
[Navin’s part]‘แม่อยากให้ลูกของแม่มีความสุขที่สุด อย่าโกรธพ่อกับย่า แค่นั้น...วินทร์ทำให้แม่ได้ไหมลูก?’มันเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่ทิ้งเอาไว้ก่อนที่จะจากผมไป แม่เป็นผู้หญิงที่หวังดีกับคนอื่นเสมอ แม้แต่คนที่ทำให้แม่ต้องเจ็บปวดหัวใจ แม่ก็ยังไม่โกรธพวกเขาเลยสักนิดเดียวผมยังคงคิดถึงวันเวลาที่เราต่างก็ร้องไห้ไปกับช่วงเวลาเลวร้ายในวาระสุดท้ายของชีวิตแม่ ผมลืมเรื่องนั้นไม่ได้ และไม่กล้าที่จะให้อภัยคนที่ทำร้ายพวกเราจนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเจอหญิงสาวอีกคน หญิงสาวที่ทำให้ผมรู้ว่า นี่คือความรักแสนใจดีที่ผมต้องรักษามันเอาไว้ให้ดีที่สุดถึงแม่ที่อยู่บนสวรรค์แม่ครับ...ผมนาวินทร์ ลูกชายของแม่ ตอนนี้แม่สบายดีไหมครับ ที่ตรงนั้นคงจะเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ความคิดถึง และเสียงร้องไห้ของผมที่ส่งไปให้แม่ แต่วันนี้ลูกชายคนเล็กของแม่คนนี้ไม่ร้องไห้แล้วนะครับ ผมเป็นคนที่เข้มแข็งมากพอที่จะดูแลผู้หญิงที่ผมรัก และสามารถให้อภัยย่าได้แล้ววันนี้ผมพาดานิกามาหาย่าครับแม่ ผมเคยพาเธอไปไหว้หลุมศพแม่สองสามครั้ง แม่จำเธอได้ไหมครับ ดานิกาเป็นคนที่มีรอยยิ้มสดใส เธอเป็นแรงใจให้ผมได้ทุกครั้งที่ได้มอง ในวันนั้นที่แม่จากผมไป เธอ
เคยไหม ความรู้สึกที่รักเขา คิดถึงเขา เจอกันทุกวัน...แต่กลับไปรักกันไม่ได้แล้วฉันยังคงมาอยู่ที่หน้าห้องพักของแม่ จ้องมองประตูบานนั้นที่ฉันเคยเปิดเข้าไปเจอแม่อย่างทุกครั้ง ความทรงจำทั้งสุขและทุกข์ที่เราเคยผ่านด้วยกันมา ทำให้ฉันต้องหยุดมองทุกครั้งที่เดินผ่านมันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่ฉันก็ยังชอบที่จะมายืนจ้องหน้าห้องพักเดิมของแม่อยู่อย่างนี้และเหมือนว่าเขาจะรู้...พี่วินทร์สั่งปิดชั้นนี้ไม่ให้มีใครขึ้นมา และย้ายผู้ป่วยทั้งวอร์ดไปไว้ตึกใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ เพื่อไม่ให้ใครขึ้นมารบกวนฉันที่มักจะเหม่อถึงแม่...ฉันรู้ว่าเขารักและหวังดีกับฉันเสมอ แต่ว่านะ...เรากลับไปรักกันเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ทุกครั้งที่เราเดินสวนทางกัน เป็นฉันที่พยายามมองหน้าให้เขาจ้องตอบกลับมาแม้สักนิด แต่สุดท้ายเขาก็ยังทำเหมือนกับว่าฉันไม่มีตัวตนเขาไม่ได้บอก...แต่ฉันรู้ว่าเขากำลังพยายามทำให้ฉันไม่รู้สึกอึดอัดแต่ทั้งที่ฉันเป็นคนบอกเลิกเขาเองแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นฉันที่ยังโหยหา ยังคิดถึง แต่ก็ไม่สามารถที่จะเดินไปบอกเขาได้ตรงๆ“เอสเปรสโซ่ไม่หวานหนึ่งแก้วครับ”ฉันมักจะได้ยินอย่างนี้ในทุกเช้าเสมอ คุณหมอหนุ่มที่มักจะ
[Danica’s part]‘แม่คะ ทำไมแม่ถึงตั้งชื่อหนูว่าดานิกาเหรอคะ?’‘ดานิกา แปลว่าดวงดาวในรุ่งอรุณลูก หนูเป็นเด็กที่มีรอยยิ้มสดใส เหมือนกับดวงดาวที่เปล่งประกายในยามรุ่งเช้าไงลูก’‘งั้นหนูจะยิ้มทุกวันเลย ให้สมกับชื่อดานิกา ดีไหมคะ?’จบแล้วเหรอ...จบลงง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ...ทุกอย่างที่ฉันพยายามมา ความหวังที่ว่าสุดท้ายแล้วแม่จะหายดีและกลับไปอยู่กับฉันอย่างมีความสุขอีกครั้ง เราจะไปเที่ยวด้วยกัน มองฉันเป็นดีไซเนอร์มากฝีมืออย่างที่แม่ใฝ่ฝัน ทั้งการทำงานอย่างหนัก ต่อสู้กับคำพูดและสายตาของคนทั้งมหา’ลัย พาตัวเองขึ้นประมูลซิง ทุกอย่างมันจบลงแล้วใช่ไหมฉันเดินกลับเข้ามาในห้องที่ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างวิ่งกันจ้าละหวั่นเพื่อช่วยชีวิตของแม่ ทว่าสุดท้ายแล้วความตายก็ยังชนะความพยายามพวกนั้น พยาบาลคนสุดท้ายได้ออกไปจากห้องนี้แล้ว เหลือเพียงฉันและร่างที่แน่นิ่งของแม่ที่นอนอยู่บนเตียง“แม่คะ...”แม่มักจะยิ้มให้ฉัน บอกฉันว่าไม่เป็นไร ไม่ว่าฉันจะกลับมาดึกแค่ไหนแม่จะตื่นขึ้นมา ลูบใบหน้าที่เปื้อนเหงื่อแล้วบอกให้ฉันไปอาบน้ำ แต่วันนี้ภายในห้องนี้...เหลือเพียงความเย็นยะเยือก เงียบเหงา บรรยากาศอึมทึมจนฉันอยากจะร้องไห้ออกม
[Navin’s part]“คนไข้นอนทับสายน้ำเกลือค่ะ แล้วก็สายออกซิเจนหลุด เลยขาดอากาศหายใจไปช่วงหนึ่ง ตอนนี้พยายามปั๊มหัวใจแล้ว แต่อาการไม่ดีเลยค่ะท่านผอ.”พยาบาลที่ผมว่าจ้างมาดูแลแม่ของดาเอ่ยเสียงสั่นทำอะไรไม่ถูก ผมแน่ใจว่าเธอเป็นคนที่รอบคอบและทำงานดีมากคนหนึ่ง ไม่มีทางหรอกที่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้จะเกิดขึ้นได้แล้วผมก็คิดถึงคนที่โทรมาบอกดาเอแคลร์...“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วมีใครเข้าออกห้องนี้บ้าง”“ก็...มีเพื่อนคุณดาค่ะ ที่ชื่อชิดภู มาตอนเย็นแล้วไม่เจอ ก็เลยฝากขนมกับน้ำไว้ให้”“แค่นั้นเหรอ มีใครอีก”ชิดภูไม่ทำหรอก ต่อให้มันจะปากหมาใจกล้าเกินคน แต่ก็จริงใจกับดาอยู่พอสมควร“เอ่อ...” พยาบาลทำท่านึก แต่นานจนผมร้อนใจทนไม่ไหวตวาดออกไปเสียงดัง“เร็วสิ ถามว่าใครอีก!”“มะ...มีผู้หญิงอีกคนค่ะ เข้ามาก่อนหน้านี้สักครึ่งชั่วโมงได้ ตอนนั้นดิฉันอยากเข้าห้องน้ำ เลยฝากคนไข้ไว้ค่ะ”ผมเปิดมือถือ เข้าไลน์ของย่าที่มักจะชอบส่งรูปต่างๆ มาให้ และในนั้นก็มีรูปของเอแคลร์ด้วย“คนนี้หรือเปล่า”“ชะ...ใช่ค่ะท่านผอ. คนนี้เลย ดิฉันจะมีความผิดอะไรหรือเปล่าคะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะที่ดูแลคนไข้ไม่ดีทำให้เกิดเรื่องแบ
“เจ๊!!!”“ยัยดา กรี๊ด!!!”ฉันกับเจ๊น้ำหวานเจอกันก็ไม่ต่างอะไรกับชะนีสองตัวที่วนเจอในกิ่งเดียวกัน เจ๊นี่ดีดสุดอะไรสุด ทิ้งเครื่องสำอางทิ้งทุกอย่างมากอดฉันอย่างไว เรากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งมีคนหวงดึงฉันออก“พอแล้ว จะกอดให้ละลายตัวติดกันไปเลยหรือไง”พี่วินทร์หน้างอคอหักตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว ก็มาเที่ยวผับทั้งทีฉันก็ต้องแต่งตัวให้มันเข้ากับสถานที่ เลยใส่เป็นกางเกงยีนขาสั้นกับเสื้อครอปแขนกุด เขาเองมองฉันหัวจรดท้าตั้งแต่ออกมาจากห้องแต่งตัว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร“แหมคุณหมอคะ อย่ามาทำเป็นหวงไปหน่อยเลย ทีเมื่อก่อนมาฝากไว้กับเจ๊ เจ๊ก็ดูแลให้อย่างดีเลยนะคะ”“เอามาฝากอะไรเหรอคะ?”เหมือนว่าฉันจะเจอเรื่องที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว พอเจ๊น้ำหวานพูดแบบนั้นฉันก็หันไปมองพี่วินทร์ด้วยความสงสัย“ก็แหม เมื่อก่อนคนที่บอกเจ๊ว่าให้ติดต่อน้องดาไปคือคุณหมอเนี่ยแหละ เขารักเขาหวงมาตั้งแต่แกจะรู้ว่าเขามีตัวตนด้วยซ้ำนะ คลั่งรักนะเนี่ย”“จริงเหรอคะ?”เรื่องที่ได้ยินยิ่งทำให้ฉันมองหน้าเขาหนักยิ่งกว่าเดิม มีเรื่องอะไรอีกบ้างนะของเขาที่ฉันยังไม่รู้ สำหรับผู้ชายคนนี้ในสายตาฉันเขาคือคุณหมอที่แสนจะเพอร์เฟค ไม่มีว
[Danica’s part]ช่วยด้วยค่ะ ตอนนี้พบคนแก่ไม่อยากไปทำงานหนึ่งอัตรา ตั้งแต่กลับมาจากสวนสนุกเมื่อวานเขาก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง เล่นมือถือบ้าง คอมฯบ้าง จนฉันทนความอึดอัดไม่ไหวต้องออกมาทำกับข้าวข้างนอกแต่ยังออกมาไม่ทันถึงสามนาที แครอทยังปอกไม่หมดด้วยซ้ำ ก็มีอ้อมกอดอุ่นเข้ามากอดจากทางด้านหลัง พร้อมทั้งคางแหลมๆ ของเขาวางลงที่หัวของฉัน“ทำอะไรครับเนี่ย”“ทำกับข้าวง้อคนค่ะ”ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเขาที่กำลังมองลงมาเช่นกัน แต่ไม่คิดว่าจะถูกคนตัวสูงขโมยจูบไปหนึ่งที“อื้อ...แกล้งหนูอะ”ถึงเราจะอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ชินกับการชอบสกินชิพของเขาแบบนี้สักที หน้ามันยังคงร้อนผะผ่าวทุกครั้งที่ถูกเขาจูบ เขาหอม เขา...พอแล้วๆ ไม่คิดแล้วดีกว่า“ง้อเรื่องอะไรครับ พี่ไม่ได้งอนหนูซะหน่อย”แล้วก็เรื่องที่เขาเรียกฉันว่า หนู ตั้งแต่กลับมาจากสวนสนุกก็ไม่ได้ยินชื่อฉันจากปากเขาอีกเลย ไม่รู้ว่าซ้อมไว้เผื่อเรียกกิ๊กแบบไม่ให้ฉันจับได้หรือเปล่า“ไม่ได้งอนนะคะ แต่หน้างอเลย เป็นอะไรคะ หรืองอนเรื่องที่หนูไม่เปิดตัวกับเพื่อนเมื่อวันก่อน?”“รู้ทันอีก”ฉันรู้หรอกน่าว่าเขากำลังนอยด์เรื่องอะไร เลยเลือกจะทำอาหารง้อหลัง
[Eclair’s part]“กรี๊ด!!!! อีดา อีเวร อีเปรต มึงกล้าดียังไง กรี๊ด!!!!”“ไม่เอานะคะคุณหนู เจ็บเปล่าๆ พอเถอะค่ะ”“กูไม่สน ไปหาอะไรมาให้กูปา ไป๊!!!”ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลย ไม่มีเลยสักอย่าง ทำไมคนอย่างอีดาถึงได้ทุกอย่างที่ฉันอยากได้ มันก็เป็นแค่กะหรี่จนๆ ที่ไม่มีใครเอา ทำไมๆๆๆๆ“กรี๊ด!!!!”ถึงจะกรี๊ดจนแสบคอแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด ตอนนี้ฉันอยากจะพุ่งไปกระชากหน้ากากตอแหลของนังนั่นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แฟนอย่างนั้นเหรอ มันคิดว่ามันมีสิทธิ์อะไรฉันเอาความโกรธทั้งหมดระบายไปกับข้าวของที่มันเคยให้มา มีแต่ของขยะ ของทำมืออะไรกัน ไม่มีค่าเลยสักนิด ดูแต่ละอย่างที่ฉันให้มันสิ เครื่องประดับราคาแพง น้ำหอมแบรนด์หรู แล้วมันล่ะให้อะไรฉันบ้างนอกจากเกาะฉันไปวันๆ“เกิดอะไรขึ้นน้องแคลร์ ทำไมทำลายข้าวของอย่างนี้ลูก”คนที่เปิดประตูเข้ามาก็คือแม่ แต่ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะทำตัวเป็นลูกสาวที่แสนดีอะไรหรอก ตอนนี้ฉันอยากจะร้องไห้ พี่หมอเป็นของฉัน แต่ทำไมถึงกลายเป็นนังดาที่ได้เขาไป“น้องแคลร์...”“ไหนแม่บอกว่าหนูจะได้แต่งงานกับพี่วินทร์ไงคะ แล้วทำไมปล่อยให้นังผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นมาเกาะแกะพี
“เราเล่นอะไรก่อนดีคะ หนูไม่เคยเล่นนะแต่ว่าอันนี้คนต่อแถวเยอะมากเลย”ฉันชี้ไปยังเครื่องเล่นไวกิ้งที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของสวนสนุก มันกำลังเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาและมีเสียงกรี๊ดดังมาเป็นระยะ ฟังแล้วน่ากลัวจนฉันไม่อยากจะขึ้นเล่นมันแล้ว“ไม่เอาแล้วดีกว่าค่ะ เราไปเล่นอะไรที่ไม่ตื่นเต้นเถอะ”“มาสวนสนุกแต่ไม่เล่นอะไรที่มันตื่นเต้น จะเรียกว่ามาสวนสนุกได้ไง”“ไม่เอาค่ะ หนูไม่เล่น กรี๊ดดดดดด”ฉันถูกเขาลากเข้าเครื่องเล่นนั้นเครื่องเล่นนี้ตามใจจนกรี๊ดเจ็บคอไปหมด รู้งี้ฉันขอเขาแลกเงินเองตั้งแต่ทีแรกดีกว่า เพราะเขามีบัตรอยู่ในมือเยอะเกินไปจนเล่นไม่หมด มันเลยเป็นเวรกรรมตกมาถึงฉัน“แฮ่กๆ พอแล้วนะคะ หนูไม่เล่นแล้ว หัวใจจะวาย”ฉันวิ่งลงมาจากเครื่องเล่นแล้วหายใจหอบด้วยความเหนื่อย นอกจากจะเหนื่อยจากการเล่นเครื่องเล่นแล้วฉันยังเหนื่อยจากการกรี๊ดด้วย แค่การเล่นเครื่องเล่นไม่กี่ชิ้นมันทำให้ฉันเปลืองพลังงานอย่างหนักหน่วง ตอนนี้รู้สึกเหมือนจะน้ำตาลตก หน้ามืด จะเป็นลมส่วนคนที่พาฉันขึ้นไปเล่นนั้นแค่เดินล้วงกระเป๋าเข้ามาพลางหัวเราะกับท่าทางของฉัน“ฮ่าๆๆ แค่นี้ก็ร่วงแล้วเหรอ?”“พี่อย่ามาหัวเราะนะ หนูจะอ้วก...แหวะ”อาห
[Danica’s part]“เล่าได้ไหมว่าทำไมพี่วินทร์ถึงเลิกเป็นหมอ”ในเมื่อชิดภูบังคับให้ฉันต้องกลับมาเรียน ฉันเองก็จะใช้เขานี่แหละเป็นฐานข้อมูลใหญ่ ช่วงนี้ฉันคิดมากเรื่องที่เขาพูดมาวันนั้น เพราะฉะนั้นเขาต้องรับผิดชอบ“จะอยากรู้ไปทำไม ไหนบอกคบกัน ก็ไปถามเฮียเองดิ”“จะเล่าไหม ไม่เล่าฉันกลับ”ฉันทำท่าจะเดินออกไปจากตรงนี้จริงๆ จนเข้าต้องลุกขึ้นมาดึงฉันกลับที่เดิม“อะๆๆๆ เล่าก็เล่า แต่อย่าไปหาถามเฮียนะ เรื่องนี้ความลับของตระกูล เหยียบเอาไว้เลย”“ถ้านายเล่าให้ฉันฟังก็ไม่เป็นความลับแล้วสิ”“งั้นไม่ฟัง?”“ฟัง!!!”เพราะความรั้นของฉันและความคันปากของเขา ทำให้ชิดภูเริ่มเล่าเรื่องของพี่ชายตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ฉันฟังเขานานมากๆ จับใจความได้ว่าเมื่อก่อนแม่ของทั้งสามแฝดแต่งงานเข้ามาโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากย่า เนื่องจากพ่อของพวกเขามีคู่หมั้นที่ทางบ้านหาให้อยู่แล้ว แต่ด้วยความรักทั้งคู่เลยตัดสินใจแต่งงานและหนีไปด้วยกัน ทำให้ย่าโกรธมากๆหลังจากนั้นไม่กี่ปี ทั้งสองคนก็กลับมาบ้านพร้อมลูกแฝดสาม ทำให้ย่าเริ่มคลายความโกรธลงบ้างเพราะทั้งรักทั้งหลงหลาน แต่ความโกรธเกลียดนั้นก็ไม่ได้หายไป“เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้