ชีวิตฉันต้องสั้นไปอีกสิบปีแน่ๆ ตอนนี้ฉันมาอยู่ที่หน้าตึกคณะของตัวเองอย่างปลอดภัยและทันเวลาพอดีเป๊ะ แต่ว่าหน้าของฉันกลับชาไปหมด ทั้งคอก็เจ็บเพราะกรี๊ดมาตลอดทาง
“ฮ่าๆๆๆ สนุกดีเนอะ”
ในขณะที่เขาหัวเราะชอบใจ แต่ฉันไม่รู้สึกสนุกด้วยแม้แต่นิดเดียว เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ รถของเขาก็ไม่ใช่ แถมยังเพิ่งจะขับครั้งแรก แต่กลับพาฉันซิ่งมุดข้างรถคันนั้นคันนี้อย่างกับการแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบาก หัวใจอีดานิกาจะวายตาย ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดมาจนถึงตรงนี้ได้
“คะ...คุณรีบเอารถไปคืนเดี๋ยวนี้เลยนะคะ เดี๋ยวเจ้าของเขามาหาแล้วจะไม่เจอ”
ฉันบอกเขาเสียงสั่น ตอนนี้ความเจ็บจากการล้มก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว ซึ่งทั้งหมดมันก็เป็นเพราะเขานั่นแหละ
“เอาไปคืนที่ไหน นี่รถฉันเอง”
ทว่าเขากลับเอ่ยออกมาอย่างนั้นหน้าตาเฉย
“อ้าว ก็เมื่อกี้คุณบอกว่า...”
โอเค เห็นรอยยิ้มของเขาฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงสามารถขับรถซิกแซกได้ขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเขาเป็นเจ้าของรถคันนี้นี่เอง ผู้ชายเจ้าเล่ห์ เขานึกสนุกอะไรถึงมารังแกคนอย่างฉัน งานการไม่มีทำหรือยังไงกัน
ตั้งแต่ในห้องวันนั้นเขาเองก็แกล้งฉันจนหนำใจแล้วมันยังไม่พอสินะ หรือว่าเพราะเห็นว่าฉันร้อนเงินรังแกง่าย เลยทำให้เขาอยากจะแกล้งฉันขึ้นมา
“ไม่ขอบคุณสักคำ?”
ยังมีหน้ามาทวงคำขอบคุณอีก แม่ไม่ด่าเปิงก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันตอบกระแทกเสียงออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะยังเคืองเขาอยู่หลายเรื่อง
“ไม่ต้องเกรงใจ แล้วเย็นนี้ให้มารับไหม?”
“คะ?”
“ก็เธอเจ็บอยู่ เดินไม่ค่อยจะไหวเลยนี่”
“ไม่เป็นไรค่ะ รถเมล์ก็กลับได้เหมือนกัน”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น จู่ๆ สายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเขา มันเป็นเวลาแปดโมงห้านาที!
ซวยแล้ว!!
ฉันรีบร้อนวิ่งขึ้นตึกไปอย่างลืมเจ็บ ตอนนี้เลยเวลามาห้านาทีแล้ว ยัยเพื่อนทั้งสามต้องกำลังวางแผนหักคอฉันอยู่แน่ๆ
“เดี๋ยวสิ แล้วสรุปให้มารับกี่โมง!”
“ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณมาก”
ฉันวิ่งขึ้นมาที่ตึกเรียนด้วยความเร็วแสง พบว่าไอ้อาการเจ็บที่ชนกับคุณหมอก่อนหน้านี้ได้หายเป็นปลิดทิ้ง คิดว่าคงเป็นเพราะความกลัวตายที่มีมากกว่าความเจ็บ เลยทำให้มันหายไปได้อย่างง่ายดาย
แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาสนใจหรอกว่าตัวเองจะเจ็บหรือไม่ เพราะคนอื่นกำลังรอฉันอยู่
ฉันเปิดประตูห้องเรียนเข้าไปด้วยความรีบร้อน ทันใดนั้นเหล่านักศึกษาคนอื่นๆ ที่กำลังตั้งใจเรียนอยู่ก็ได้หันมามองฉันอย่างพร้อมเพรียง ทุกอย่างเงียบสงบ มีเพียงสายตาที่จ้องมองฉันเหมือนเป็นอาชญากรยังไงยังงั้น
ในขณะที่ฉันยืนหอบอยู่หน้าห้องในสภาพผมเผ้ารุงรัง ก็พบว่ากลุ่มที่กำลังนำเสนออยู่หน้าห้องคือเพื่อนฉันทั้งสามคน เอแคลร์ ทรายแก้วและน้ำหอม ทว่ากลับมีอีกคนที่ฉันจำได้ว่าน่าจะชื่อมายต์มิ้นมายืนด้วย
“ดานิกา เธอมาสายไม่มีสิทธิ์เข้าเรียนในคลาสนี้นะ”
อาจารย์ตะโกนมาเสียงดุ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น อาจารย์ท่านนี้ไม่ชอบหน้าฉันเป็นทุนเดิม เพราะความเข้าสายและชอบโดดวิชาแกเป็นนิสัย และอีกอย่างคือทุนทรัพย์ของฉันมักถูกบอกว่าไม่เหมาะกับการเรียนออกแบบแฟชั่น ดูไม่เจียมตัว แต่มันก็คือความฝันของฉันและแม่ ฉันจะไม่มีวันล้มเลิกอย่างเด็ดขาด
“อาจารย์คะ เมื่อเช้าเกิดอุบัติเหตุจริงๆ หนูต้องดูแลแม่ที่โรงพยาบาลแล้วดันมีปัญหานิดหน่อยค่ะ” ฉันแก้ตัวพร้อมก้มหัวน้อยๆ ให้อาจารย์
“เรื่องแม่เธออาจารย์ไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้าทุกคนในห้องนี้เป็นเหมือนเธอ มีแม่นอนป่วยที่โรงพยาบาลจนมาสายทุกวันมันจะเกิดอะไรขึ้น”
เพราะไม่ใช่แม่ของอาจารย์ไงคะ อาจารย์ถึงพูดได้ ใช่ว่าฉันจะอยากให้แม่ไปนอนอยู่โรงพยาบาลเสียเมื่อไหร่ ถ้าเลือกได้ฉันก็อยากให้แม่มีชีวิตที่ปกติ ยิ้มแย้มมีความสุขไม่ต้องทนเจ็บปวดกับโรคร้าย คนที่มีชีวิตปกติอย่างพวกเขาจะไปเข้าใจอะไร
“อะๆ แค่พูดนิดหน่อยไม่ต้องมาทำหน้าเศร้า เห็นแล้วทุเรศลูกตา จะเข้าก็เข้ามา จะได้เรียนต่อกันเสียที”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์”
ฉันเดินเข้าห้องมานั่งยังที่ประจำท้ายห้องซึ่งมีกระเป๋าของเพื่อนสาวทั้งสามคนวางอยู่ก่อนแล้ว แต่ตอนนี้ฉันต้องเตรียมตัวเพื่อออกไปพรีเซนต์ร่วมกับคนอื่นๆ เลยทำได้แค่วางกระเป๋าของตัวเองแล้ววิ่งไปยืนหน้าห้องข้างคนอื่นอย่างรู้งาน
“ต่อไปนะคะ ตรงนี้เป็นส่วนของเนื้อผ้าที่เราได้ออกแบบเอาไว้ค่ะ...”
ทรายเป็นคนที่มีความมั่นอกมั่นใจ เสียงดังฟังชัด ทำให้เธอได้รับหน้าที่ในการนำเสนอโดยมีพวกเราคอยสนับสนุนอยู่ไม่ห่าง
จนเวลาผ่านไปร่วมสิบนาที ในที่สุดการนำเสนอก็ได้สิ้นสุดลง ฉันกำลังยืนรอให้เพื่อนเรียกชื่อเพื่อที่จะได้ทำความเคารพอาจารย์ ทว่าพอเรียกชื่อเพื่อนคนสุดท้ายก่อนถึงชื่อฉัน ทุกคนกลับโค้งลงพร้อมกัน
ไม่มีชื่อฉันในรายงานฉบับนี้...และทุกคนก็ไม่ได้สนใจเลยว่าฉันจะหน้าเหวอมากแค่ไหน พวกเธอแค่ทำเหมือนกับว่าฉันไม่มีตัวตน แล้วเดินเข้าไปหลังห้องโดยทิ้งฉันให้เดินตามหน้าเจื่อนๆ
“ทำไมไม่มีชื่อฉันล่ะทราย”
หลังจากที่พวกเรากลับมานั่งที่แล้วฉันก็ถามเพื่อนออกไป ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าพวกเธอจงใจเมินฉัน แม้แต่เอแคลร์ที่สนิทกับฉันที่สุด ก็เอางานขึ้นมาทำโดยไม่สนใจฉันเลยสักนิด
“ก็แกไม่ได้ทำงาน แล้วจะมีชื่อได้ไง”
“ไม่ได้ทำงานอะไร ฉันก็ช่วยแกทำตั้งเยอะนะ”
“เหรอ? ขอโทษนะแต่บังเอิญมิ้นทำเยอะกว่า”
คงเป็นเพื่อนใหม่ที่เข้ากลุ่มมาสินะ ตอนนี้ฉันหน้าชาไปหมด ทั้งเรื่องที่ถูกตัดชื่อออกจากงานโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้งเรื่องที่ถูกเอาคนอื่นมาแทน ก็ถ้าพวกเธอไม่อยากให้ฉันร่วมกลุ่มแต่แรก จะเร่งให้ฉันมานี่จนต้องเจ็บตัวทำไมกัน
“อันที่จริงที่อาจารย์พูดก็ถูกนะดา”
น้ำหอมที่นั่งถัดจากทรายได้พูดขึ้น
“ถ้าแกยังมีปัญหาชีวิตแบบนี้ บางทีแกก็น่าจะทำอะไรที่ไม่ต้องเดือดร้อนถึงคนอื่น ไปปรึกษาอาจารย์เรื่องดรอปเรียนดีกว่าไหม รอแม่แกเอ่อ...ออกจากโรงพยาบาลแล้วค่อยว่ากันใหม่”
ประโยคสุดท้ายน้ำหอมพูดเสียงอ้อมแอ้ม ทั้งเธอและฉันต่างก็รู้ว่าแม่ไม่มีทางหายดี มีแค่ฉันที่ยังหลอกตัวเองไปวันๆ พอเพื่อนพูดแบบนี้ในใจฉันมันก็เกิดหน่วงแปลกๆ ทุกวันนี้ฉันรู้ว่าเพื่อนไม่สบายใจที่ต้องรอฉันในหลายๆ เรื่อง ทั้งเวลานัดไปดื่มก็ไปไม่ได้เพราะต้องทำงาน ทั้งเรื่องแชร์เงินกันก็มักจะติดที่ฉันเสมอ ไหนจะเรื่องที่ฉันมาสายเพราะต้องดูแลแม่เป็นประจำ
“ขอบใจนะหอม ไว้ฉันจะลองคิดดู”
ฉันเลือกที่จะตอบกลับไปแบบไม่รุนแรง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วในใจมันโคตรพัง ฉันอยากหนีออกไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด หากไม่ติดว่าตัวเองกำลังจะขาดเรียนเกินจนจะไม่มีสิทธิ์เข้าสอบ
แต่แล้วก็มีคนมาทำให้ฉันต้องฉุนขาด
“แกไม่ต้องไปรักษาน้ำใจอะไรหรอกหอม ก็บอกไปตามตรงว่าให้มันไปดรอปเรียนให้มันจบๆ แล้วรอแม่ตายก่อนค่อยมาเรียนใหม่ สภาพอย่างนั้นรักษายังไงก็ไม่หายหรอก”
ปึง!!
เพราะคำพูดของทรายทำให้ฉันทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป มือได้ตบโต๊ะอย่างแรงจนเสียงดังลั่นไปถึงคนที่กำลังพรีเซนต์อยู่ที่หน้าห้อง
“อะไร เกิดอะไรขึ้น” อาจารย์ถามออกมาเสียงดัง
ในขณะที่ทุกคนมองมาที่เราเป็นตาเดียว ทรายที่เพิ่งพูดจาใจร้ายไปกลับไม่มีแม้แต่สีหน้าสำนึกผิด เธอกอดอกมองฉันพลางยกยิ้มมุมปากเหมือนที่ชอบทำ ไม่ได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย
“แกจะโวยวายทำไมดา ฉันก็พูดเรื่องจริงทั้งนั้น แม่แกเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ยังไงก็ไม่มีวันรักษาหายหรอก มีแต่รอวันตายเท่านั้นแหละ”
“แม่แกไม่ได้กำลังจะตายแกก็พูดได้สิ ทำไมแกถึงไม่เคยคิดเลยนะว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่แกทำอยู่ทราย”
เสียงของฉันดังขึ้นเรื่อยๆ จนคนทั้งห้องหันมามองเราทั้งสองคน ฉันคิดว่ามันคงทำให้คนร้ายกาจอย่างทรายรู้สึกแย่บ้าง แต่เปล่าเลย เธอยังคงยิ้มหน้าระรื่นในขณะที่กอดอกพูดกับฉันด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
“ก็แม่ฉันไม่ได้กำลังจะตายไง แต่ฉันก็ไม่เคยทำให้เพื่อนหรืออาจารย์เดือดร้อน แกรู้ไหมว่าตอนนี้แกค้างค่าเทอมมากี่เทอมแล้ว ว่ากันตามตรง มีเพื่อนอย่างแกแม่งโคตรน่าอายเลยว่ะ”
ต้องถูกเลี้ยงมายังไงถึงได้พูดคำพูดพวกนี้ออกมาได้ เธอเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย พ่อแม่ใจดีและมีชื่อเสียง ทุกอย่างเพียบพร้อมจนหล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนดีๆ คนหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมจิตใจมันถึงได้สวนทางกับหน้าตาได้ขนาดนี้ ฉันยืนฟังเธออยู่ตรงนี้ด้วยความรู้สึกที่ร้อนรุ่ม มันเหมือนมีไฟมาสุมอยู่ในอกจนฉันไม่สามารถนั่งมองนิ่งๆ ได้อีกต่อไป
“ทราย พอได้แล้วมั้ง” เอแคลร์ที่เงียบอยู่นานดึงชายเสื้อทรายยิกๆ สายตาของเธอเหลือบมองฉันด้วยความรู้สึกผิด
ฉันรู้ว่าเธอเองก็ลำบากใจ ไม่เป็นไรหรอกฉันเข้าใจ
“หรือแกอยากมีเพื่อนอย่างนี้ล่ะเอแคลร์ อยากมีก็ไปด้วยกันนะ ฉันไม่ว่าหรอก” ทรายหันไปกดดันเอแคลร์
“คือว่าฉัน...”
เอแคลร์ปล่อยมือจากชายเสื้อของทรายทันที ฉันเข้าใจ ไม่มีใครที่นี่อยากมีปัญหากับเธอหรอก แต่ตอนนี้ฉันต้องกลัวอะไรอีก ฉันกำลังจะเสียทุกอย่าง กำลังจะกลายเป็นเด็กกำพร้าและมีหนี้ท่วมหัว แค่เรื่องนั้นมันก็หนักหนาจนฉันไม่กลัวอย่างอื่นอีกต่อไปแล้ว
ฉันตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อของทรายให้ลุกขึ้นเผชิญหน้าทันที ทุกคนที่เห็นดังนั้นก็รีบยกมือถือขึ้นมาถ่ายด้วยความสนใจ
“จะทำอะไรของแก คิดจะทำเก่งกับฉันเหรอ?”
“อย่าคิดว่าพ่อเธอเป็นอธิบดีแล้วฉันจะกลัวนะ เธอใช้อำนาจข่มขู่ทุกคนฉันไม่ว่า ใช้เงินซื้อเพื่อนฉันก็ไม่ว่าเลย แต่อย่ามายุ่งกับฉัน อย่ามาพูดถึงแม่ฉันอย่างนั้น”
“เอาสิ ถ้าโกรธก็ตบฉันเลย ที่ฉันพูดมันผิดตรงไหน แม่แกกำลังจะตาย แกมันก็แค่นังกระจอกที่หาเงินมาจ่ายค่าเทอมไม่ได้ด้วยซ้ำ...”
เพียะ!
ฝ่ามือของฉันฟาดเข้าที่แก้มของทรายเต็มๆ ตอนนี้ทุกคนต่างนั่งไม่ติดอีกต่อไป บ้างก็รีบอัพช็อตเด็ดเมื่อครู่ลงโซเชี่ยล เพราะฉันกำลังทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ
“อีดา มึงกล้าตบกูเหรอ!!” ทรายเอามือกุมหน้าหันมามองฉันด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว เมื่อก่อนฉันอาจจะกลัวนะ แต่ตอนนี้ไม่
“เออ กล้าทำมากกว่าตบด้วย”
“ไปตายซะเถอะมึง”
เพียะ!!
ฉันไม่รอให้ตัวเองถูกตบหรอก พอทรายทำท่าจะเข้ามาฉันก็สวนฝ่ามือไปอย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้เธอตั้งตัวได้เร็วกว่าเดิมมาก ทำให้มือของเธอนั้นพุ่งเข้ามาจับผมของฉันแล้วกระชากอย่างแรง
“ไปตายซะเถอะอีดา อีกระจอก อีคนจนเหม็นบูด”
“คิดว่ากูจะยอมมึงเหรอ กรี๊ด!!!”
ในขณะที่ทรายพยายามเข้ามาทำร้ายทำให้ทั้งฉันและเธอล้มลงไปทั้งคู่ เรากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ที่พื้นโดยที่ฉันระวังอย่างมากไม่ให้ตัวเองโดนตบ เราต่างก็สลับกันทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดด้วยการดันตัวอีกคนไปกระแทกโต๊ะบ้าง หยุมหัว จับหัวกระแทกพื้นบ้าง ทำให้ตอนนี้ไม่มีใครสภาพดีไปกว่าใคร
แต่สำหรับฉัน มันไม่พอหรอก ปากมอมแบบนี้มันต้องถูกตบจนเลือดกบปากเท่านั้น
“หยุดนะทั้งสองคน ครูบอกให้หยุด!!”
“ไปตายซะอีดา ไปตายตามแม่มึงไปเลย”
“งั้นก็ไปตายด้วยกันนี่แหละอีเวร”
แม้แต่เสียงร้องห้ามของครูยังไม่เป็นผล ฉันได้ยินเพียงเสียงเชียร์ของเพื่อนร่วมห้องที่ดังกระหึ่ม ราวกับจะบอกว่าให้พวกเราตบกันให้แรงกว่านี้อีก
“ฉันบอกให้หยุด”
เพียะ!
“หยุด!!”
เพียะ!!
“หยุด!!!”
ซ่า...
ทุกอย่างเงียบลงเมื่อน้ำเย็นๆ ราดหัวของเราทั้งคู่ ทั้งฉันและทรายต่างก็แยกออกจากกันด้วยความตกใจ ก่อนจะพบว่าสภาพของเราตอนนี้ยับเยินไม่ต่างกัน
ฉันเจ็บท้ายทอย แขน บ่า ไหล่ หัวเข่าก็ช้ำ ส่วนทรายนั้นส่วนอื่นไม่เป็นอะไรมากนัก แต่ก็หน้าเยินพอๆ กัน
ส่วนเจ้าของน้ำเย็นนั้น กำลังยืนล้วงกระเป๋ามองเราทั้งคู่ด้วยสายตาเรียบเฉย
“รำคาญ กัดกันเหมือนหมาอยู่ได้”
“ไอ้ภู มึงกล้าเอาน้ำราดหัวกูเหรอ!” ทรายโวยวายขึ้นมาเสียงดัง ครูที่เห็นว่าเหตุการณ์สงบเลยเข้ามากลางวง
“พอทั้งคู่เลย พวกเธอทำเรื่องแล้วรู้ตัวบ้างไหม”
“หนูเหรอคะทำ อีดามันตบหนูก่อน ทุกคนก็เห็น”
“ยังมีหน้ามาโทษคนอื่น แกจะโดนตบไหมถ้าไม่พูดถึงแม่คนอื่นในทางที่ไม่ดี”
“ก็แม่มึงจะตาย กูพูดอะไรผิดตรงไหน”
“งั้นถ้าแม่มึงตายบ้างล่ะอีทราย”
“ดานิกา ฉันบอกให้เธอหยุด!”
เสียงดุๆ ของอาจารย์ทำให้ฉันได้สติ สายตาหันไปมองหน้าอาจารย์สาวด้วยความรู้สึกที่ไม่เข้าใจ ทั้งที่ฉันเป็นฝ่ายถูกหาเรื่องก่อน แต่พอเราทะเลาะกัน ทำไมเป็นฉันที่ถูกดุเพียงคนเดียวเสมอเลย...
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเรื่องแม่เธอมันทำให้คนอื่นเดือดร้อน อันที่จริงมหา’ลัยมีกฎไม่ให้นักศึกษาค้างค่าเทอม ในเมื่อเธอทำตัวไม่เหมาะสมทั้งที่ทางมหา’ลัยอนุโลมเรื่องนั้นให้ ก็ไปทำเรื่องลาออกซะ”
“อะไรนะคะ...”
“ฉันยังพูดไม่ชัดพอเหรอ เธอถูกไล่ออก”
ฉัน...ถูกไล่ออกฉันยังพูดไม่ชัดพอเหรอ เธอถูกไล่ออกคำพูดของอาจารย์ยังคงดังอยู่ในหูแม้ว่าฉันจะออกมาจากตรงนั้นแล้วก็ตาม ในวินาทีที่ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น ฉันได้แต่เดินออกมาจากห้องเรียนด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก สายตาของเพื่อนทั้งชั้นมองฉันนิ่งๆ ไม่ได้เห็นใจหรือสมน้ำหน้า ทว่าคู่กรณีอย่างทรายแก้วกับน้ำหอมกลับหัวเราะสะใจแต่ในขณะที่ฉันถูกไล่ออก คนที่เริ่มก่อนอย่างทรายกลับถูกเรียกเข้าไปนั่งเรียนที่เดิมเสียอย่างนั้นโลกใบนี้มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับคนจนเสมอแหละ ฉันไม่เคยอยากจะคิดอย่างนั้นเลย มันไม่ต่างอะไรจากการเอาความจนมาเป็นเกราะป้องกันความล้มเหลวของตัวเอง แต่พอคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ทั้งยายที่ทำเหมือนฉันกับแม่เป็นเพียงขยะที่ไม่ได้เกิดจากตระกูลของเขา หมอที่พูดอย่างเลือดเย็นว่าแม่อาจจะตายถ้าฉันไม่มีเงิน และผู้คนที่ดูถูกฉันในชั้นเรียนก่อนหน้านี้...ทำไม ต้องเป็นฉันด้วย ทำไม...ฉันออกมานั่งที่บันไดหน้าตึกพลางมองออกไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง มันไม่ได้อยากร้องไห้ออกมา แต่ก็มีความหน่วงอยู่ในอกที่บอกไม่ถูก และมันทรมานกว่าการร้องไห้ออกมาหลายเท่า“เธอลืมกระเป๋า”เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง
คอนโด KLฉันเงยหน้ามองคอนโดของเจ๊น้ำหวานที่เด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า ชิดภูที่มาส่งฉันเองก็มองมันพลางพึมพำออกมา“พวกคัลเลนอีกละ ไปที่ไหนก็เจอเนอะ”“อะไรเหรอ?”สีหน้าของเขาเหมือนขยะแขยงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าชอบกล แต่ฉันกลับรู้สึกคุ้นกับสิ่งที่เขาพูดออกมามากกว่า“คัลเลนน่ะ นามสกุลของเจ้าของโรงพยาบาลที่แม่เธอรักษาอยู่ไง ที่นี่ก็อยู่ในเครือเดียวกันนั่นแหละ โรงแรมที่ดังๆ อยู่ตอนนี้ก็ใช่ มหา’ลัยที่เราเรียนอยู่หุ้นส่วนใหญ่ก็เป็นของตระกูลนี้ทั้งนั้น”ถ้าจำไม่ผิด เป็นนามสกุลของคุณคามินทร์เจ้าของคลับที่ฉันทำงานอยู่ และของคุณนาวินทร์ด้วยสินะ ไม่อยากจะเชื่อว่าฉันมีปัญหากับคนที่อำนาจล้นฟ้าขนาดนี้ แค่คิดยังไม่กล้าฝันเลย“ยังไงก็ขอบใจนะที่มาส่ง”“ด้วยความยินดี”ชิดภูได้ขับรถจากไปแล้ว ส่วนฉันก็เดินขึ้นมาบนห้องของเจ๊แล้วตรงไปยังห้องที่คุ้นเคยในทันที ทว่าฉันยังไม่ทันได้กดกริ่งที่หน้าห้อง จู่ๆ ประตูก็ได้ถูกเปิดออกจากคนข้างใน“อุ๊ย แขกของเจ๊เหรอครับ ตามสบายนะ”คนที่เปิดออกมานั้นเป็นผู้ชายกล้ามใหญ่ยิ้มหวานคนหนึ่ง เขาโค้งน้อยๆ ให้ฉันก่อนจะเดินออกจากห้องไปท่ามกลางความงุนงงของฉัน“มาแล้วเหรอ เข้ามาๆ เจ๊กำลังเสร็จงา
[Navin’s part]ย้อนกลับไปเมื่อสิบสามชั่วโมงก่อนหน้านี้“อย่าหาว่าหมอใจร้ายเลยนะ แต่ยิ่งรักษาก็มีแต่ยิ่งแย่ ถึงที่นี่จะมีเทคโนโลยีการรักษามะเร็งที่ดีที่สุด แต่ก็ทำได้แค่ยื้ออาการรอวันตาย ถ้าอยากให้แม่รอดจริงๆ หนูต้องใช้เงินเยอะมาก ไม่รู้ว่างานอะไรที่จะได้เงินเยอะอย่างนั้นในเวลาอันสั้น”“มึงพูดอย่างนี้ได้ไงวะไอ้เหี้ยหมอ!!”เสียงเอะอะโวยวายที่หน้าห้องผ่าตัดทำให้ผมหยุดมองด้วยความสนใจ แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือดานิกาเธออีกแล้วสินะ แต่ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งไปส่งเธอที่มหา’ลัยมาเหรอ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ ซ้ำยังมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเสียงดังตรงนั้นอีก“อะไรวะนั่น คนทะเลาะกันเหรอ”คามินทร์ที่ตามมาทีหลังเองก็หยุดดูเช่นกัน มันระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคนตรงนั้นคือใคร“เด็กนี่อีกแล้วเหรอ บังเอิญไปมั้งอะไรจะเจอกันบ่อยขนาดนี้”“อืม ก็บังเอิญแหละ”บังเอิญที่ผมดันรู้ว่าแม่เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย บังเอิญที่ผมจงใจเอาโบรชัวร์ของโรงพยาบาลไปหย่อนไว้ที่หน้าห้องเช่าของเธอ บังเอิญที่ผมไปบอกน้ำหวานว่าให้ชักชวนดานิกาไปทำงานที่คลับของคามินทร์และจับตาดูเธอเอาไว้ให้หน่อย
[Danica’s part]เจ๊น้ำหวานไม่เห็นเคยบอกเลยว่ามีอย่างนี้ด้วย ตอนนี้ร่างกายฉันถูกเขารบกวนจนปั่นป่วนท้องน้อยไปหมด ที่ตรงนั้นถูกเขาใช้ปลายนิ้วเขี่ยจนเกิดเป็นความรู้สึกประหลาด คล้ายว่าจะมีไฟฟ้าแล่นผ่านร่างจนฉันสั่นสะท้านไปหมดแล้ว...“สั่นเป็นลูกแมวเลยนะ อย่างนี้จะทำฉันพอใจยังไง หืม?”เขายังคงใช้คำพูดอย่างนั้นเพื่อกระตุ้นให้ฉันทำสิ่งที่บ้ายิ่งกว่านี้ ในขณะที่ร่างกายของฉันสะท้านไหวไปกับการกระทำของเขา แต่ก็ต้องจำอย่างหนึ่งที่เจ๊น้ำหวานสอนให้ขึ้นใจ‘แขกเขามาหาความสนุก ความสุขที่ได้จากหญิงสาวเวอร์จิ้นคือความไร้เดียงสาแต่ก็ต้องมีลีลาที่ดี เรื่องนี้ห้ามลืมอย่างเด็ดขาด’ลีลาดีแต่ไร้เดียงสาอย่างนั้นเหรอ? คนไร้เดียงสามันจะไปมีลีลาดีได้ยังไง ซ้ำตอนนี้ร่างกายของฉันถูกเขารบกวนไม่ยอมหยุด แม้แต่จะคิดยังคิดอะไรไม่ออกแต่เมื่อแหงนหน้ามองรูปร่างของเขาที่ตอนนี้เสื้อผ้าท่อนบนได้ถูกถอดออกไปแล้ว กล้ามอกแน่นที่มีรอยสักรูปมังกรสลักอยู่บริเวณหน้าอกข้างซ้าย ความคิดที่อยากจะสัมผัสก็แวบเข้ามาในหัว“ลูกแมวมัน...อ๊ะ...เลียเก่งนะคะ อยากลองไหม”ฉันกลั้นใจพูดออกไปเสียงแผ่ว ทว่าพอเห็นท่าทีของคนตรงหน้า จากความกลัวก่อนหน้านี
แม่ออกมาจากห้องผ่าตัดได้หลายวันแล้ว ช่วงนี้เพราะฉันไม่ต้องไปเรียนฉันเลยมีเวลาอยู่กับแม่ได้อย่างเต็มที่ เอแคลร์ที่รู้เรื่องก็โทรมาร้องไห้กับฉัน เธอบอกว่าตัวเองไม่อยากทำร้ายฉันเลย แต่พวกยัยทรายบังคับ ซึ่งฉันก็เข้าใจดีเลยไม่ได้ว่าอะไรส่วนแม่ ฉันทิ้งให้ท่านนอนพักผ่อนและออกมาหาอะไรดื่มแก้ง่วงกับชิดภู บังเอิญว่าเขามาหาพี่ชายที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลนี้พอดี เลยแวะมาเยี่ยม“นายมีพี่ชายเป็นหมอด้วยเหรอ ดีจังนะ”ฉันจิบกาแฟไปคุยไประหว่างที่เดินกลับขึ้นตึก ในมือก็ถือถุงเค้กพะรุงพะรังไปหมด เพราะเงินที่ได้มาวันนั้นมันยังเหลืออยู่นิดหน่อย ฉันเลยสามารถเจียดเงินร้อยสองร้อยไปเปย์ตัวเองได้โดยไม่รู้สึกผิดเมื่อก่อนอย่าว่าแต่เค้กเลย ข้าวราดแกงจานละห้าสิบบาทยังต้องเป็นรางวัลที่ฉันให้ตัวเองนานๆ ครั้ง ส่วนใหญ่จะได้กินข้าวฟรีที่ป้าแม่บ้านของโรงพยาบาลเอามาให้ตอนเช้า ส่วนมื้อเย็นก็มีสวัสดิการพนักงานที่คลับทำให้ไม่ต้องเสียเงินค่าข้าว แต่ก็นั่นแหละ หลายครั้งฉันเองก็อยากกินอะไรที่คนอื่นได้กินเหมือนกัน“อืม ลูกพี่ลูกน้องน่ะ ก็ไม่ใช่พี่ที่สนิทอะไรมากหรอก แต่ย่าติดต่อพี่ไม่ได้ อยากให้กลับไปคุยเรื่องงานหมั้น เลยวานฉันมา”
[Navin’s part]ทรายแก้ว กฤตินันทสกุล ลูกสาวคนเดียวของ ภูดิน อธิบดีมหาวิทยาลัยเอกบูรพา ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ว่ามีความเหมาะสม แต่คนเดียวที่ไม่ได้ลงชื่อในครั้งนี้คือ ผมทั้งที่หุ้นส่วนใหญ่ที่สุดของที่นี่คือผมเอง แต่กลับไม่เคยได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการประชุมเลยสักครั้งเดียว เมื่อก่อนผมไม่ได้สนใจเพราะแค่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น แต่ส่วนใหญ่ย่าจะเข้ามาดูแลมากกว่า แต่เรื่องที่มีคนถูกไล่ออกเพราะมีปัญหากับลูกสาวอธิบดี เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผมต้องเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง“ขออนุญาตครับท่านผอ.”จาเรด คนของคามินทร์ที่ผมยืมตัวมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ผมสั่งให้เขาไปติดต่อที่มหา’ลัยเพื่อจัดการประชุมขึ้นมาให้ แต่ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้“ว่าไง”“เรื่องที่คุณดานิกาถูกไล่ออก ทางอธิบดีแจ้งว่ายังไม่ได้เซ็นอนุมัติครับ แต่ได้ชื่ออาจารย์ที่ยื่นเรื่องมาแล้ว”ทำงานได้รวดเร็วสมเป็นคนของคามินทร์ นอกจากจะได้เรื่องแล้วยังได้ประวัติของอาจารย์คนที่ว่ามาด้วย“อาจารย์สมศรี สอนด้านการออกแบบเสื้อผ้าและตัดเย็บ เป็นคนที่ดุและชอบพูดจาไม่สุภาพกับนักศึกษา โดยเฉพาะเด็กที่ไม่ได้มีทุนทรัพย์มากมาย เน
[Danica’s part]อา...ปวดหัวชะมัดเลย แล้วก็ยังปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เนื้อตัวมันร้อนผะผ่าวจนต้องขยับด้วยความไม่สบายตัว ทว่าพอลืมตาขึ้นมา ความรู้สึกเจ็บจี้ดที่แขนท่อนล่างก็แผ่เข้ามาจนต้องขมวดคิ้วมุ่น สายตาที่ปรับเข้ากับแสงภายในห้องทำให้ฉันเห็นว่าตอนนี้แขนตัวเองกำลังมีสายน้ำเกลือปักอยู่เดี๋ยวนะ สายน้ำเกลืออะไร แล้วห้องนี้มัน...“ตื่นแล้วเหรอ อยู่นิ่งๆ จนกว่าน้ำเกลือจะหมดนะถึงจะออกไปได้”ห้องทำงานคุณนาวินทร์? ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ล่ะ ในสภาพที่มีเสาน้ำเกลือขนาบข้าง แล้วยังนอนบนโซฟาพร้อมกับมีเสื้อสูทตัวนอกของเขาห่มตัวอยู่ด้วย“หนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”“ก็ไม่สบาย เลยพามาให้ยา”นั่นเหมือนจะตอบไม่ตรงคำถามนะ เขาเอาแต่นั่งทำงานโดยไม่สนใจฉันเลยสักนิด ฉันเลยเอาเสื้อของเขาออกแล้วไปพาดไว้ที่พนักพิง ก่อนจะหย่อนเท้าลงที่พื้นเพื่อจะเดินกลับไปห้องพักของแม่แต่ยังไม่ทันได้ลุกก็ถูกเขาห้ามก่อน“ไม่ต้องไป”“หนูต้องไปหาแม่ค่ะ”“ตัวเองไม่สบาย จะเอาไข้ไปติดแม่เพิ่มหรือไง”ที่เขาพูดมันก็มีเหตุผล ฉันเลยจำต้องนั่งลงที่เดิมอย่างไม่เต็มใจนัก“งั้นหนูต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหนคะ”“ก็จนกว่าจะหาย”“แต่หนูยังปวดเนื้อปวดตัว
คอนโดที่เขาส่งโลเคชั่นมาให้กำลังทำให้ฉันถึงกับอ้าปากค้าง พอเปิดประตูเข้ามาด้วยคีย์การ์ดที่เขาฝากไว้หน้าเคาน์เตอร์ สภาพห้องนี่แทบจะทำให้ฉันไม่กล้าขยับตัวออกจากตรงนี้เลย กลัวว่าจะเผลอทำอะไรแตกหรือหล่นเข้า ไม่อย่างนั้นฉันคงจะหาเงินมาชดใช้ไม่ไหวตั้งแต่ห้องที่ดูกว้างจนไม่รู้ว่าจะเดินดูรอบในวันนี้หรือเปล่า ตัวห้องนั้นตกแต่งด้วยโทนสีเทาขาว ผนังทุกด้านต่างก็มีการตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์และไม่ล้าสมัย บนผนังมีโคมไฟระย้าที่ทำเลียนแบบกิ่งไม้ให้ความรู้สึกสบายใจเมื่อได้มองทว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันไม่สบายใจ คือไม่รู้ว่าตอนนี้คุณกระต่ายอยู่ที่ไหน เขาจะยังอยู่ในนี้หรือเปล่า แล้วตั้งใจนัดฉันมาทำอะไรกลางวันแสกๆ แบบนี้กันแน่“มีผ้าปิดตาวางอยู่ในกล่องเหนือชั้นรองเท้า เอาผูกตาแล้วเดินเข้ามา”จู่ๆ ก็มีเสียงพูดดังมาจากข้างในห้องทำให้ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือก ไม่คิดว่าเขาจะส่งเสียงมาโดยไม่ยอมแม้แต่จะโผล่หน้ามาให้เห็น ฉันเดินไปยังชั้นวางรองเท้าตามที่เขาว่า ก่อนจะพบกับถุงกระดาษของแบรนด์หรูสีส้มที่ใส่ของที่เขาว่าเอาไว้ในนั้นนี่มัน...ผ้าเช็ดหน้านี่นา ของแพงซะด้วย แค่จะให้ผู้หญิงปิดหน้าเข้ามาหาตัวเองก็ต้องใช้ของแบรนด์เ
[Navin’s part]‘แม่อยากให้ลูกของแม่มีความสุขที่สุด อย่าโกรธพ่อกับย่า แค่นั้น...วินทร์ทำให้แม่ได้ไหมลูก?’มันเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่ทิ้งเอาไว้ก่อนที่จะจากผมไป แม่เป็นผู้หญิงที่หวังดีกับคนอื่นเสมอ แม้แต่คนที่ทำให้แม่ต้องเจ็บปวดหัวใจ แม่ก็ยังไม่โกรธพวกเขาเลยสักนิดเดียวผมยังคงคิดถึงวันเวลาที่เราต่างก็ร้องไห้ไปกับช่วงเวลาเลวร้ายในวาระสุดท้ายของชีวิตแม่ ผมลืมเรื่องนั้นไม่ได้ และไม่กล้าที่จะให้อภัยคนที่ทำร้ายพวกเราจนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเจอหญิงสาวอีกคน หญิงสาวที่ทำให้ผมรู้ว่า นี่คือความรักแสนใจดีที่ผมต้องรักษามันเอาไว้ให้ดีที่สุดถึงแม่ที่อยู่บนสวรรค์แม่ครับ...ผมนาวินทร์ ลูกชายของแม่ ตอนนี้แม่สบายดีไหมครับ ที่ตรงนั้นคงจะเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ความคิดถึง และเสียงร้องไห้ของผมที่ส่งไปให้แม่ แต่วันนี้ลูกชายคนเล็กของแม่คนนี้ไม่ร้องไห้แล้วนะครับ ผมเป็นคนที่เข้มแข็งมากพอที่จะดูแลผู้หญิงที่ผมรัก และสามารถให้อภัยย่าได้แล้ววันนี้ผมพาดานิกามาหาย่าครับแม่ ผมเคยพาเธอไปไหว้หลุมศพแม่สองสามครั้ง แม่จำเธอได้ไหมครับ ดานิกาเป็นคนที่มีรอยยิ้มสดใส เธอเป็นแรงใจให้ผมได้ทุกครั้งที่ได้มอง ในวันนั้นที่แม่จากผมไป เธอ
เคยไหม ความรู้สึกที่รักเขา คิดถึงเขา เจอกันทุกวัน...แต่กลับไปรักกันไม่ได้แล้วฉันยังคงมาอยู่ที่หน้าห้องพักของแม่ จ้องมองประตูบานนั้นที่ฉันเคยเปิดเข้าไปเจอแม่อย่างทุกครั้ง ความทรงจำทั้งสุขและทุกข์ที่เราเคยผ่านด้วยกันมา ทำให้ฉันต้องหยุดมองทุกครั้งที่เดินผ่านมันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่ฉันก็ยังชอบที่จะมายืนจ้องหน้าห้องพักเดิมของแม่อยู่อย่างนี้และเหมือนว่าเขาจะรู้...พี่วินทร์สั่งปิดชั้นนี้ไม่ให้มีใครขึ้นมา และย้ายผู้ป่วยทั้งวอร์ดไปไว้ตึกใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ เพื่อไม่ให้ใครขึ้นมารบกวนฉันที่มักจะเหม่อถึงแม่...ฉันรู้ว่าเขารักและหวังดีกับฉันเสมอ แต่ว่านะ...เรากลับไปรักกันเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ทุกครั้งที่เราเดินสวนทางกัน เป็นฉันที่พยายามมองหน้าให้เขาจ้องตอบกลับมาแม้สักนิด แต่สุดท้ายเขาก็ยังทำเหมือนกับว่าฉันไม่มีตัวตนเขาไม่ได้บอก...แต่ฉันรู้ว่าเขากำลังพยายามทำให้ฉันไม่รู้สึกอึดอัดแต่ทั้งที่ฉันเป็นคนบอกเลิกเขาเองแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นฉันที่ยังโหยหา ยังคิดถึง แต่ก็ไม่สามารถที่จะเดินไปบอกเขาได้ตรงๆ“เอสเปรสโซ่ไม่หวานหนึ่งแก้วครับ”ฉันมักจะได้ยินอย่างนี้ในทุกเช้าเสมอ คุณหมอหนุ่มที่มักจะ
[Danica’s part]‘แม่คะ ทำไมแม่ถึงตั้งชื่อหนูว่าดานิกาเหรอคะ?’‘ดานิกา แปลว่าดวงดาวในรุ่งอรุณลูก หนูเป็นเด็กที่มีรอยยิ้มสดใส เหมือนกับดวงดาวที่เปล่งประกายในยามรุ่งเช้าไงลูก’‘งั้นหนูจะยิ้มทุกวันเลย ให้สมกับชื่อดานิกา ดีไหมคะ?’จบแล้วเหรอ...จบลงง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ...ทุกอย่างที่ฉันพยายามมา ความหวังที่ว่าสุดท้ายแล้วแม่จะหายดีและกลับไปอยู่กับฉันอย่างมีความสุขอีกครั้ง เราจะไปเที่ยวด้วยกัน มองฉันเป็นดีไซเนอร์มากฝีมืออย่างที่แม่ใฝ่ฝัน ทั้งการทำงานอย่างหนัก ต่อสู้กับคำพูดและสายตาของคนทั้งมหา’ลัย พาตัวเองขึ้นประมูลซิง ทุกอย่างมันจบลงแล้วใช่ไหมฉันเดินกลับเข้ามาในห้องที่ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างวิ่งกันจ้าละหวั่นเพื่อช่วยชีวิตของแม่ ทว่าสุดท้ายแล้วความตายก็ยังชนะความพยายามพวกนั้น พยาบาลคนสุดท้ายได้ออกไปจากห้องนี้แล้ว เหลือเพียงฉันและร่างที่แน่นิ่งของแม่ที่นอนอยู่บนเตียง“แม่คะ...”แม่มักจะยิ้มให้ฉัน บอกฉันว่าไม่เป็นไร ไม่ว่าฉันจะกลับมาดึกแค่ไหนแม่จะตื่นขึ้นมา ลูบใบหน้าที่เปื้อนเหงื่อแล้วบอกให้ฉันไปอาบน้ำ แต่วันนี้ภายในห้องนี้...เหลือเพียงความเย็นยะเยือก เงียบเหงา บรรยากาศอึมทึมจนฉันอยากจะร้องไห้ออกม
[Navin’s part]“คนไข้นอนทับสายน้ำเกลือค่ะ แล้วก็สายออกซิเจนหลุด เลยขาดอากาศหายใจไปช่วงหนึ่ง ตอนนี้พยายามปั๊มหัวใจแล้ว แต่อาการไม่ดีเลยค่ะท่านผอ.”พยาบาลที่ผมว่าจ้างมาดูแลแม่ของดาเอ่ยเสียงสั่นทำอะไรไม่ถูก ผมแน่ใจว่าเธอเป็นคนที่รอบคอบและทำงานดีมากคนหนึ่ง ไม่มีทางหรอกที่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้จะเกิดขึ้นได้แล้วผมก็คิดถึงคนที่โทรมาบอกดาเอแคลร์...“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วมีใครเข้าออกห้องนี้บ้าง”“ก็...มีเพื่อนคุณดาค่ะ ที่ชื่อชิดภู มาตอนเย็นแล้วไม่เจอ ก็เลยฝากขนมกับน้ำไว้ให้”“แค่นั้นเหรอ มีใครอีก”ชิดภูไม่ทำหรอก ต่อให้มันจะปากหมาใจกล้าเกินคน แต่ก็จริงใจกับดาอยู่พอสมควร“เอ่อ...” พยาบาลทำท่านึก แต่นานจนผมร้อนใจทนไม่ไหวตวาดออกไปเสียงดัง“เร็วสิ ถามว่าใครอีก!”“มะ...มีผู้หญิงอีกคนค่ะ เข้ามาก่อนหน้านี้สักครึ่งชั่วโมงได้ ตอนนั้นดิฉันอยากเข้าห้องน้ำ เลยฝากคนไข้ไว้ค่ะ”ผมเปิดมือถือ เข้าไลน์ของย่าที่มักจะชอบส่งรูปต่างๆ มาให้ และในนั้นก็มีรูปของเอแคลร์ด้วย“คนนี้หรือเปล่า”“ชะ...ใช่ค่ะท่านผอ. คนนี้เลย ดิฉันจะมีความผิดอะไรหรือเปล่าคะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะที่ดูแลคนไข้ไม่ดีทำให้เกิดเรื่องแบ
“เจ๊!!!”“ยัยดา กรี๊ด!!!”ฉันกับเจ๊น้ำหวานเจอกันก็ไม่ต่างอะไรกับชะนีสองตัวที่วนเจอในกิ่งเดียวกัน เจ๊นี่ดีดสุดอะไรสุด ทิ้งเครื่องสำอางทิ้งทุกอย่างมากอดฉันอย่างไว เรากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งมีคนหวงดึงฉันออก“พอแล้ว จะกอดให้ละลายตัวติดกันไปเลยหรือไง”พี่วินทร์หน้างอคอหักตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว ก็มาเที่ยวผับทั้งทีฉันก็ต้องแต่งตัวให้มันเข้ากับสถานที่ เลยใส่เป็นกางเกงยีนขาสั้นกับเสื้อครอปแขนกุด เขาเองมองฉันหัวจรดท้าตั้งแต่ออกมาจากห้องแต่งตัว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร“แหมคุณหมอคะ อย่ามาทำเป็นหวงไปหน่อยเลย ทีเมื่อก่อนมาฝากไว้กับเจ๊ เจ๊ก็ดูแลให้อย่างดีเลยนะคะ”“เอามาฝากอะไรเหรอคะ?”เหมือนว่าฉันจะเจอเรื่องที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว พอเจ๊น้ำหวานพูดแบบนั้นฉันก็หันไปมองพี่วินทร์ด้วยความสงสัย“ก็แหม เมื่อก่อนคนที่บอกเจ๊ว่าให้ติดต่อน้องดาไปคือคุณหมอเนี่ยแหละ เขารักเขาหวงมาตั้งแต่แกจะรู้ว่าเขามีตัวตนด้วยซ้ำนะ คลั่งรักนะเนี่ย”“จริงเหรอคะ?”เรื่องที่ได้ยินยิ่งทำให้ฉันมองหน้าเขาหนักยิ่งกว่าเดิม มีเรื่องอะไรอีกบ้างนะของเขาที่ฉันยังไม่รู้ สำหรับผู้ชายคนนี้ในสายตาฉันเขาคือคุณหมอที่แสนจะเพอร์เฟค ไม่มีว
[Danica’s part]ช่วยด้วยค่ะ ตอนนี้พบคนแก่ไม่อยากไปทำงานหนึ่งอัตรา ตั้งแต่กลับมาจากสวนสนุกเมื่อวานเขาก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง เล่นมือถือบ้าง คอมฯบ้าง จนฉันทนความอึดอัดไม่ไหวต้องออกมาทำกับข้าวข้างนอกแต่ยังออกมาไม่ทันถึงสามนาที แครอทยังปอกไม่หมดด้วยซ้ำ ก็มีอ้อมกอดอุ่นเข้ามากอดจากทางด้านหลัง พร้อมทั้งคางแหลมๆ ของเขาวางลงที่หัวของฉัน“ทำอะไรครับเนี่ย”“ทำกับข้าวง้อคนค่ะ”ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเขาที่กำลังมองลงมาเช่นกัน แต่ไม่คิดว่าจะถูกคนตัวสูงขโมยจูบไปหนึ่งที“อื้อ...แกล้งหนูอะ”ถึงเราจะอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ชินกับการชอบสกินชิพของเขาแบบนี้สักที หน้ามันยังคงร้อนผะผ่าวทุกครั้งที่ถูกเขาจูบ เขาหอม เขา...พอแล้วๆ ไม่คิดแล้วดีกว่า“ง้อเรื่องอะไรครับ พี่ไม่ได้งอนหนูซะหน่อย”แล้วก็เรื่องที่เขาเรียกฉันว่า หนู ตั้งแต่กลับมาจากสวนสนุกก็ไม่ได้ยินชื่อฉันจากปากเขาอีกเลย ไม่รู้ว่าซ้อมไว้เผื่อเรียกกิ๊กแบบไม่ให้ฉันจับได้หรือเปล่า“ไม่ได้งอนนะคะ แต่หน้างอเลย เป็นอะไรคะ หรืองอนเรื่องที่หนูไม่เปิดตัวกับเพื่อนเมื่อวันก่อน?”“รู้ทันอีก”ฉันรู้หรอกน่าว่าเขากำลังนอยด์เรื่องอะไร เลยเลือกจะทำอาหารง้อหลัง
[Eclair’s part]“กรี๊ด!!!! อีดา อีเวร อีเปรต มึงกล้าดียังไง กรี๊ด!!!!”“ไม่เอานะคะคุณหนู เจ็บเปล่าๆ พอเถอะค่ะ”“กูไม่สน ไปหาอะไรมาให้กูปา ไป๊!!!”ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลย ไม่มีเลยสักอย่าง ทำไมคนอย่างอีดาถึงได้ทุกอย่างที่ฉันอยากได้ มันก็เป็นแค่กะหรี่จนๆ ที่ไม่มีใครเอา ทำไมๆๆๆๆ“กรี๊ด!!!!”ถึงจะกรี๊ดจนแสบคอแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด ตอนนี้ฉันอยากจะพุ่งไปกระชากหน้ากากตอแหลของนังนั่นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แฟนอย่างนั้นเหรอ มันคิดว่ามันมีสิทธิ์อะไรฉันเอาความโกรธทั้งหมดระบายไปกับข้าวของที่มันเคยให้มา มีแต่ของขยะ ของทำมืออะไรกัน ไม่มีค่าเลยสักนิด ดูแต่ละอย่างที่ฉันให้มันสิ เครื่องประดับราคาแพง น้ำหอมแบรนด์หรู แล้วมันล่ะให้อะไรฉันบ้างนอกจากเกาะฉันไปวันๆ“เกิดอะไรขึ้นน้องแคลร์ ทำไมทำลายข้าวของอย่างนี้ลูก”คนที่เปิดประตูเข้ามาก็คือแม่ แต่ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะทำตัวเป็นลูกสาวที่แสนดีอะไรหรอก ตอนนี้ฉันอยากจะร้องไห้ พี่หมอเป็นของฉัน แต่ทำไมถึงกลายเป็นนังดาที่ได้เขาไป“น้องแคลร์...”“ไหนแม่บอกว่าหนูจะได้แต่งงานกับพี่วินทร์ไงคะ แล้วทำไมปล่อยให้นังผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นมาเกาะแกะพี
“เราเล่นอะไรก่อนดีคะ หนูไม่เคยเล่นนะแต่ว่าอันนี้คนต่อแถวเยอะมากเลย”ฉันชี้ไปยังเครื่องเล่นไวกิ้งที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของสวนสนุก มันกำลังเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาและมีเสียงกรี๊ดดังมาเป็นระยะ ฟังแล้วน่ากลัวจนฉันไม่อยากจะขึ้นเล่นมันแล้ว“ไม่เอาแล้วดีกว่าค่ะ เราไปเล่นอะไรที่ไม่ตื่นเต้นเถอะ”“มาสวนสนุกแต่ไม่เล่นอะไรที่มันตื่นเต้น จะเรียกว่ามาสวนสนุกได้ไง”“ไม่เอาค่ะ หนูไม่เล่น กรี๊ดดดดดด”ฉันถูกเขาลากเข้าเครื่องเล่นนั้นเครื่องเล่นนี้ตามใจจนกรี๊ดเจ็บคอไปหมด รู้งี้ฉันขอเขาแลกเงินเองตั้งแต่ทีแรกดีกว่า เพราะเขามีบัตรอยู่ในมือเยอะเกินไปจนเล่นไม่หมด มันเลยเป็นเวรกรรมตกมาถึงฉัน“แฮ่กๆ พอแล้วนะคะ หนูไม่เล่นแล้ว หัวใจจะวาย”ฉันวิ่งลงมาจากเครื่องเล่นแล้วหายใจหอบด้วยความเหนื่อย นอกจากจะเหนื่อยจากการเล่นเครื่องเล่นแล้วฉันยังเหนื่อยจากการกรี๊ดด้วย แค่การเล่นเครื่องเล่นไม่กี่ชิ้นมันทำให้ฉันเปลืองพลังงานอย่างหนักหน่วง ตอนนี้รู้สึกเหมือนจะน้ำตาลตก หน้ามืด จะเป็นลมส่วนคนที่พาฉันขึ้นไปเล่นนั้นแค่เดินล้วงกระเป๋าเข้ามาพลางหัวเราะกับท่าทางของฉัน“ฮ่าๆๆ แค่นี้ก็ร่วงแล้วเหรอ?”“พี่อย่ามาหัวเราะนะ หนูจะอ้วก...แหวะ”อาห
[Danica’s part]“เล่าได้ไหมว่าทำไมพี่วินทร์ถึงเลิกเป็นหมอ”ในเมื่อชิดภูบังคับให้ฉันต้องกลับมาเรียน ฉันเองก็จะใช้เขานี่แหละเป็นฐานข้อมูลใหญ่ ช่วงนี้ฉันคิดมากเรื่องที่เขาพูดมาวันนั้น เพราะฉะนั้นเขาต้องรับผิดชอบ“จะอยากรู้ไปทำไม ไหนบอกคบกัน ก็ไปถามเฮียเองดิ”“จะเล่าไหม ไม่เล่าฉันกลับ”ฉันทำท่าจะเดินออกไปจากตรงนี้จริงๆ จนเข้าต้องลุกขึ้นมาดึงฉันกลับที่เดิม“อะๆๆๆ เล่าก็เล่า แต่อย่าไปหาถามเฮียนะ เรื่องนี้ความลับของตระกูล เหยียบเอาไว้เลย”“ถ้านายเล่าให้ฉันฟังก็ไม่เป็นความลับแล้วสิ”“งั้นไม่ฟัง?”“ฟัง!!!”เพราะความรั้นของฉันและความคันปากของเขา ทำให้ชิดภูเริ่มเล่าเรื่องของพี่ชายตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ฉันฟังเขานานมากๆ จับใจความได้ว่าเมื่อก่อนแม่ของทั้งสามแฝดแต่งงานเข้ามาโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากย่า เนื่องจากพ่อของพวกเขามีคู่หมั้นที่ทางบ้านหาให้อยู่แล้ว แต่ด้วยความรักทั้งคู่เลยตัดสินใจแต่งงานและหนีไปด้วยกัน ทำให้ย่าโกรธมากๆหลังจากนั้นไม่กี่ปี ทั้งสองคนก็กลับมาบ้านพร้อมลูกแฝดสาม ทำให้ย่าเริ่มคลายความโกรธลงบ้างเพราะทั้งรักทั้งหลงหลาน แต่ความโกรธเกลียดนั้นก็ไม่ได้หายไป“เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้