โรงพยาบาล KL โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงหนึ่งปีครึ่งเท่านั้น ด้วยเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ทำให้ที่นี่นับเป็นศูนย์รักษามะเร็งที่ดีที่สุดในประเทศไทย
คำโฆษณาที่น่าตื่นตาตื่นใจนี่แหละที่พาฉันและแม่มาจนถึงที่นี่ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่มันเป็นความคิดที่ดีหรือแย่ แต่รู้ว่าพอแม่มาที่นี่แล้ว จากอาการของคนที่รอความตายนอนพะงาบๆ ในโรงพยาบาลที่ใช้สิทธิ์รักษาฟรี ก็กลับมามีชีวิตชีวาสามารถยิ้มแย้มได้อีกครั้ง
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโชคจะเข้าข้างเราตลอดไป
“ดาดูนี่สิลูก นางเอกเรื่องนี้เป็นมะเร็งเหมือนแม่เลยเห็นไหม เขายังสาวยังสวยอยู่เลยนะ แต่ดันโดนสามีนอกใจแล้วไม่มาจ่ายค่ารักษาพยาบาล น่าสงสารน่าดูเลย”
ฉันกลับมาที่โรงพยาบาลหลังจากที่เลิกงานแล้ว ดูเหมือนว่าแม่ยังคงไม่รู้เรื่องที่ฉันได้รับข้อความนั้น บนใบหน้าซีดเซียวของแม่ยังคงมีรอยยิ้มพลอยทำให้คนรอบข้างยิ้มตามไปด้วย มันน่าเศร้าตรงที่โรคร้ายมันทำให้แม่ทรมานจนบางครั้งฉันก็เห็นแม่แอบร้องไห้อยู่คนเดียวบ่อยๆ แต่ต่อหน้าฉันแม่กลับทำเป็นร่าเริงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก็เพราะแม่เป็นอย่างนี้ไงเลยทำให้โลกใบนี้ใจร้ายกับแม่เสมอ แม่ที่แสนดีของฉันดีตั้งขนาดนี้ แต่กลับไม่เคยได้รับความสุขจริงๆ ในชีวิตเลยสักครั้ง
“แม่ไม่ยอมห่มผ้าแล้วก็เปิดแอร์เย็นอีกแล้วนะคะ หมอบอกว่ายังไง ให้ดูแลตัวเองดีๆ ใช่ไหม”
ฉันบ่นพลางเดินเข้าไปห่มผ้าให้แม่ ทว่าสายตาดันเหลือบไปเห็นที่นอนของแม่ซึ่งเปียกโชกซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ขาของแม่ที่พ้นจากกางเกงของโรงพยาบาลออกมาก็บวมเป่งจนน่ากลัว แต่แม่กลับไม่รู้ตัวแล้วยังชี้ไม้ชี้มือไปยังทีวีตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
“แม่ไม่หนาวเลยสักนิดนะลูก เนี่ย สงสัยว่าคุณหมอเขารักษาเก่งแน่เลย ช่วงหลังมานี้แม่ไม่ค่อยปวดท้อง กินข้าวอร่อยด้วยนะ”
หากแม่เป็นอย่างนี้ ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งตัวเองฉี่แตกบนที่นอน เราจะยังมีโอกาสได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกไหม แม่จะมีโอกาสหายอีกไหม... หัวใจของฉันมันแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีตั้งแต่ที่รู้ว่าแม่เป็นมะเร็ง และนั่นมันคงยังไม่มากพอใช่ไหม สัญญาณทุกอย่างกำลังบอกฉันว่าเรากำลังต้องจากกัน ไม่ช้าก็เร็ว...
สิ่งสุดท้ายที่ฉันทำได้ คือการยื้อชีวิตของแม่ให้อยู่กับฉันนานขึ้นเท่านั้น
“แม่...” ฉันเรียกแม่อย่างแผ่วเบา ทำให้แม่ละสายตาจากทีวีชั่วคราวแล้วหันมามองหน้าฉันด้วยรอยยิ้ม
“ว่าไงลูก”
“หนูอาจจะพูดบ่อยไปหน่อยช่วงนี้ แต่หนูรักแม่นะคะ”
น้ำตาของฉันมันได้ไหลลงมาอีกครั้ง ฉันรู้ว่าแม่ไม่ชอบให้ฉันร้องไห้หรอก ท่านบอกว่ารอยยิ้มของฉันนั้นสวยที่สุด ฉันเลยเชื่อแม่และยิ้มเสมอมา แต่ตอนนี้ฉันฝืนยิ้มไม่ไหวแล้ว ได้แต่กอดแม่เอาไว้แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาทั้งอย่างนั้น
“ไม่ต้องร้องนะลูก”
ฝ่ามือของแม่ลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างกายของแม่ยิ่งทำให้ฉันเศร้ามากขึ้น ถ้าหากว่าพรุ่งนี้ฉันไม่มีแม่แล้วล่ะ ถ้าเราต้องจากกันจริงๆ ฉันจะทำยังไงดี...
หลายวันต่อมา
ฉันมัวแต่ดูแลแม่จนลืมไปเลยว่าวันนี้มีเรียน รู้ตัวอีกทีก็ได้รับสายจากเพื่อนรักโทรมาโวยวายเสียยกใหญ่
[จะมาถึงกี่โมงอะดา ถ้าวันนี้แกสายอีกพวกเราจะตัดแกออกจากกลุ่มแล้วนะ]
“รีบอยู่ๆ บอกทรายว่าสิบห้านาทีถึง”
ฉันคุยโทรศัพท์ไปก็มัดเชือกรองเท้าไป หลังจากที่อาบน้ำเช็ดตัวเอาแม่กินข้าวกินยาเรียบร้อยแล้วก็ต้องรีบไปเรียนต่อ ที่จริงฉันเองก็อยากจะดรอปไปเลยเพราะเรื่องของแม่ แต่ญาติของป้าข้างห้องอาสาจะเข้ามาดูให้ช่วงที่ฉันไปเรียน เลยทำให้ฉันยังไม่ต้องทำอย่างนั้น
อีกอย่าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันเองก็ต้องเรียนให้จบ เพราะนั่นหมายถึงการงานที่มั่นคงในอนาคต และฉันจะต้องมีเงินเดือนเยอะๆ เพื่อจะมาดูแลแม่ให้ได้
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะสู้!
“เอแคลร์ แกบอกทรายว่าให้ส่งไฟล์รูปเล่มมาทีนะ เดี๋ยวฉันปริ้นจากร้านหน้าโรงพยาบาลไปเลย”
[อยู่โรงบาลเลยเหรอดา มันไกลไปปะ เราต้องพรีเซนต์อาจารย์คาบนี้นะเว้ยไม่ใช่ชาติหน้า]
เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากสายของแคล์นั่นคือ น้ำหอม หนึ่งในแก๊งเพื่อนจอมเหวี่ยงของฉันเอง ในน้ำเสียงของเธอเจือความไม่พอใจเอาไว้ซึ่งฉันก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี เพราะเรื่องแม่ทำให้ฉันขาดเรียน ลา ไปสายอยู่บ่อยๆ เลยทำให้มีผลกระทบต่องานกลุ่มไปด้วย
ฉันไม่ได้ขอให้เพื่อนเข้าใจหรอก แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่นา
“ฉันจะบอกพี่วินรีบบึ่งไปเลยนะแก แค่นี้นะ”
ฉันรีบวางสายจากเอแคลร์และออกมาจากห้องพักของแม่ในทันที ตอนนี้ในหัวของฉันมันวุ่นวายไปหมด เพราะเมื่อเช้าเจ๊หวานโทรมาว่าต้องถึงร้านก่อนสี่โมงครึ่งไปเตรียมแต่งหน้าแต่งตัวในขณะที่ฉันมีเรียนถึงสี่โมงเย็น ทำให้ฉันต้องทำทุกอย่างให้เร็วขึ้นเพื่อให้งานที่ต้องส่งเสร็จในวันนี้ให้ได้
ตอนนี้นาฬิกาที่ข้อมือฉันบอกเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ฉันมีเวลาครึ่งชั่วโมงในการไปให้ทันคลาส ซึ่งจากโรงพยาบาลหากนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปคงสักยี่สิบนาที ยังไงก็ทันแน่ๆ
แต่ฉันก็ลืมไปว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่เคยโชคดีในเรื่องอะไรเลย ในจังหวะที่มัวแต่ดูนาฬิกาอยู่นั้นเอง ทำให้ไม่ทันมองว่ามีคนอยู่ข้างหน้า เขาเองก็กำลังคุยโทรศัพท์ ทำให้เราทั้งคู่ประสานงากันเข้าอย่างจัง
โครม!!!
เสียงข้าวของกระจัดกระจายดังลั่นโรงพยาบาล ทั้งกระเป๋าผ้าที่ใส่หนังสือสองสามเล่มของฉันก็ปลิวไปคนละทิศคนละทาง มือถือที่กำลังจะเก็บลงกระเป๋าก่อนหน้านี้สไลด์ไปติดผนังหน้าห้องพักของใครคนหนึ่ง ส่วนตอนนี้ฉันทั้งเจ็บทั้งอาย เพราะเมื่อกี้ล้มผิดท่าไปหน่อยเลยทำให้ก้นกบกระแทกเข้ากับพื้นเต็มๆ
“อะ...โอ๊ย...”
“เป็นอะไรไหม?”
เหมือนว่าคนที่ฉันชนเข้าจะไม่เป็นอะไรมาก เขาที่ตั้งสติได้ก่อนรีบเข้ามาดูฉันด้วยความรวดเร็ว
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ แต่...โอ๊ย!”
พอพยายามจะลุกขึ้นเท่านั้นแหละ ฮือ เจ็บอะ มันเจ็บร้าวจนแทบจะลุกไม่ไหว สุดท้ายก็ได้แต่ล้มลงไปนั่งที่เดิม
“ไปหาหมอดีกว่านะครับ กระดูกอาจจะเคลื่อน”
“ไม่ได้ค่ะ วันนี้หนูมีเรียน พอดีว่าเพื่อน...”
คำพูดของฉันหยุดลงแค่นั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณีแล้วพบว่าเป็นใคร ใบหน้าหล่อเหลาที่แสนคุ้นเคยใต้แว่นหนานั้นทำให้ฉันถึงกับอ้าปากค้างให้กับโลกที่ทั้งกลมและแคบใบนี้
เขาคือนาวินทร์ ผู้ชายที่ฉันทุบในห้องนั้นและถูกเขาขโมยจูบแรกไปอีกด้วย
และดูเหมือนไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นที่ตกใจ เพราะเขาเองก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือฉัน
“เจอกันอีกแล้วนะ บังเอิญจัง”
อืม บังเอิญจังเลยเนอะที่เขาดันเป็นหมอแล้วมาอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนฉันก็แม่ป่วยหนักต้องมาอยู่โรงพยาบาลนี่ร่วมสามเดือนแล้ว บังเอิ๊ญ~ บังเอิญจนฉันอยากจะสำลักน้ำลายตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ความรู้สึกแปลกใจก็ไม่เท่าความโมโหที่ยังคุกรุ่นอยู่ในความรู้สึก เรื่องวันนั้นมันทำให้ฉันทั้งเจ็บทั้งอายจนนึกถึงทีไรก็อยากเอาหน้ามุดดินหนี แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นการยิ้มน้อยๆ แล้วบอกว่า บังเอิญจัง อย่างนั้นเหรอ?
เมื่อเห็นว่าเป็นเขาฉันจึงสะบัดตัวน้อยๆ อย่างถือดี ก่อนจะพยายามลุกขึ้นโดยไม่ขอความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า ทว่ามันก็ทำให้ฉันต้องกรีดร้องออกมา
“โอ๊ย!!” เจ็บมากเลยแม่ เจ็บเหมือนกระดูกจะหลุดออกมาเลย ฉันถึงกับน้ำตาเล็ดเพราะความเจ็บจากก้นกบมันจี้ดขึ้นสมอง สุดท้ายแล้วก็ต้องล้มตัวลงนั่งที่เดิมด้วยความเจ็บใจ
“เดินไม่ไหวหรอก ไปให้หมอเอกซเรย์ดูก่อนดีกว่าเผื่อมีตรงไหนหัก”
เขาว่าพลางจะเข้ามาอุ้มฉันให้ลุกขึ้น แต่ถูกมือฉันหยุดเอาไว้ก่อน
“แต่หนูมีเรียน”
“แต่ถ้ากระดูกหัก ติดเชื้อในกระแสเลือดอาจจะตายได้เลยนะ”
แต่ถ้าฉันไปไม่ทันแล้วทำให้ทั้งกลุ่มไม่ได้ส่งงาน ฉันก็อาจจะตายได้เหมือนกัน เหมือนว่าทางเลือกของฉันจะมีแค่สองทาง ไม่ตายก็ตาย ซ้ำตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงสี่สิบห้านาที เหลือเวลาแค่สิบห้านาทีที่จะไปให้ถึงมหา’ลัย งานนี้มีแต่มีดจ่อคออยู่ทั้งนั้นเลย
“รีบขนาดนั้น?”
เขาถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่มันควรเป็นฉันหรือเปล่าที่ต้องทำหน้าอย่างนั้น
“รีบค่ะ เพื่อนรองานที่หนู เมื่อกี้ก็เพิ่งโดนด่ามา”
ชายตรงหน้าฉันระบายยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะทำในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิด
“งั้นฉันไปส่ง”
“อะไรนะคะ...ว้าย!”
สิ้นสุดคำว่า ไปส่ง ของเขา วงแขนก็สอดเข้ามาใต้ข้อพับของฉัน ในขณะที่มืออีกข้างจับแผ่นหลังของฉันเอาไว้แล้วอุ้มขึ้นมาในท่าเจ้าสาว เล่นเอาคนไข้คนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงดังแล้วออกมาดูต่างก็ยิ้มกรุ้มกริ่มไปตามๆ กัน
ส่วนฉันนี่ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ที่ไหนแล้ว ทั้งเขินเรื่องที่ผู้ชายอุ้มจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งกำลังตกใจเรื่องที่จู่ๆ เขาก็อุ้มฉันขึ้นมาจนตัวลอย จนต้องรีบเกาะคอเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองตกไปคอหักตายซะก่อน
“ปะ...ปล่อยเถอะค่ะ คนมองหมดแล้ว”
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไปเองได้”
“เดินยังไม่ได้จะไปเองได้ไง”
“แต่ว่า...”
“เงียบ”
เขาสั่งออกมาเสียงดุ ฉันเลยไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำกับเขาอีก ปล่อยให้คนตัวสูงอุ้มฉันเดินฝ่าผู้คนที่ออกมามองด้วยความสนอกสนใจ จนกระทั่งออกไปถึงลานจอดรถในที่สุด
“ปล่อยหนูลงได้แล้วค่ะ”
เขาทำตามอย่างไม่อิดออด แต่พอฉันลงน้ำหนักเท้าเท่านั้นแหละรู้เลย ความเจ็บปวดมันร้าวขึ้นมาตามเรียวขา จนขึ้นมาถึงแกนสมองในที่สุด
“ฮือ เจ็บ”
“แล้วอย่างนี้จะไปเรียนได้ไง บอกเพื่อนว่าไปไม่ไหวเถอะ”
“ไม่ได้ค่ะ ต่อให้ขาขาด เอวขาด คอขาด หนูก็ต้องไปถึงมหา’ลัยภายในสิบนาทีให้ได้”
“เรียนที่ไหนล่ะเรา”
“เอกบูรพาค่ะ”
“งั้นก็เป็นไปไม่ได้ ช่วงนี้รถติดมาก อย่างต่ำก็ครึ่งชั่วโมง”
“ง่า แต่หนูต้องตายแน่ถ้าไปไม่ทัน”
ในหัวของฉันมีแต่ภาพการตายเป็นฉากๆ ทรายเป็นลูกอธิบดีมหาวิทยาลัย ทั้งฐานะดีทั้งหน้าตาดี เป็นคนที่ใครๆ ต่างก็ชอบและฟังเธอ ครั้งหนึ่งมีเพื่อนในกลุ่มที่พูดจาขัดกับทราย เธอเลยใช้อำนาจของตัวเองให้เพื่อนทั้งรุ่นบอยคอตเพื่อนคนนั้นจนอยู่ไม่ได้
ฉันเองไม่ได้เต็มใจเป็นเพื่อนกับเธอนักหรอก แต่จากสถานการณ์ของฉันในตอนนี้ มีปัญหากับทรายจะต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ๆ
“งั้นเอางี้”
เขาเดินหายไปยังอีกฝั่งของลานจอดรถ ทิ้งฉันไว้กับความกระวนกระวายเพียงคนเดียว ตอนนี้เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ เขาคิดจะทำอะไรก็รีบๆ เข้าเถอะ ฉันยังไม่อยากกลายเป็นกิ่งไม้ให้ยัยทรายหักจนกลายเป็นสองท่อนตอนนี้หรอกนะ
แล้วเสียงสตาร์ทรถก็ได้ดังขึ้น ก่อนที่มันจะเริ่มเข้ามาใกล้และหยุดอยู่ตรงหน้าฉันในที่สุด
“ขึ้นมา”
คุณนาวินทร์พูดพร้อมกับคลายเนคไทออกหลวมๆ ท่าทางของเขาที่คร่อมรถบิกไบค์อยู่ตอนนี้ดูเท่ไม่หยอก ผิดจากภาพของตาแก่โรคจิตก่อนหน้านี้ลิบลับ ยิ่งตอนดึงเนคไทนะ หัวใจฉันเต้นเป็นระส่ำเลยล่ะ
“เร็วสิ จะไปไหมมหาลัย”
“เอ่อ ค่ะๆ”
ฉันพาตัวเองเดินไปที่รถอย่างทุลักทุเล ในตอนที่พยายามขึ้นซ้อนหลังเขาก็ลำบากมากจากอาการเจ็บที่บั้นท้าย แต่ดีที่มีเขาพยุงทำให้ขึ้นได้ในที่สุด
“นี่หมวกกันน็อก” เขาว่าพร้อมยื่นหมวกมาให้
“ขอบคุณค่ะ”
หลังจากที่ฉันสวมหมวกเรียบร้อยแล้วเขาก็ตั้งท่าจะออกตัวเต็มที่ ทว่าด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่เคยได้จับรถมอเตอร์ไซค์มาก่อนของเขา ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความสงสัย
“คุณ...ขี่เป็นใช่ไหมคะ?”
มือที่กำลังกดนั่นบิดนี่ได้หยุดลง ก่อนที่เขาจะหันมากระตุกยิ้มน้อยๆ ให้ฉัน
“หึ ไม่”
“ดะ เดี๋ยว แล้วนี่ขี่ไม่เป็นแต่มีรถมอเตอร์ไซค์เนี่ยนะ”
“ไม่ใช่ของฉันหรอก ของใครก็ไม่รู้”
“อะไรนะ!!”
ไม่ได้แล้ว ฉันจะเอาชีวิตมาฝากไว้กับเขาไม่ได้เป็นอันขาด เรื่องขี่ไม่เป็นก็เรื่องหนึ่ง แต่ข้อหาขโมยรถฉันไม่อยากมีเอี่ยวด้วย
“อย่าดิ้น รถจะออกแล้ว” เขาเอ่ยเสียงดุ
“ไม่ค่ะ คุณไม่ต้องไปส่งหนูแล้ว หนูไปเองได้”
“ไม่ต้อง จะออกรถแล้ว เกาะแน่นๆ ล่ะ”
“ไม่เอาค่ะ กรี๊ด!!!”
ชีวิตฉันต้องสั้นไปอีกสิบปีแน่ๆ ตอนนี้ฉันมาอยู่ที่หน้าตึกคณะของตัวเองอย่างปลอดภัยและทันเวลาพอดีเป๊ะ แต่ว่าหน้าของฉันกลับชาไปหมด ทั้งคอก็เจ็บเพราะกรี๊ดมาตลอดทาง“ฮ่าๆๆๆ สนุกดีเนอะ”ในขณะที่เขาหัวเราะชอบใจ แต่ฉันไม่รู้สึกสนุกด้วยแม้แต่นิดเดียว เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ รถของเขาก็ไม่ใช่ แถมยังเพิ่งจะขับครั้งแรก แต่กลับพาฉันซิ่งมุดข้างรถคันนั้นคันนี้อย่างกับการแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบาก หัวใจอีดานิกาจะวายตาย ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดมาจนถึงตรงนี้ได้“คะ...คุณรีบเอารถไปคืนเดี๋ยวนี้เลยนะคะ เดี๋ยวเจ้าของเขามาหาแล้วจะไม่เจอ”ฉันบอกเขาเสียงสั่น ตอนนี้ความเจ็บจากการล้มก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว ซึ่งทั้งหมดมันก็เป็นเพราะเขานั่นแหละ“เอาไปคืนที่ไหน นี่รถฉันเอง”ทว่าเขากลับเอ่ยออกมาอย่างนั้นหน้าตาเฉย“อ้าว ก็เมื่อกี้คุณบอกว่า...”โอเค เห็นรอยยิ้มของเขาฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงสามารถขับรถซิกแซกได้ขนาดนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเขาเป็นเจ้าของรถคันนี้นี่เอง ผู้ชายเจ้าเล่ห์ เขานึกสนุกอะไรถึงมารังแกคนอย่างฉัน งานการไม่มีทำหรือยังไงกันตั้งแต่ในห้องวันนั้นเขาเองก็แกล้งฉันจนหนำใจแล้วมันยังไม่พอสินะ หรือว่า
ฉัน...ถูกไล่ออกฉันยังพูดไม่ชัดพอเหรอ เธอถูกไล่ออกคำพูดของอาจารย์ยังคงดังอยู่ในหูแม้ว่าฉันจะออกมาจากตรงนั้นแล้วก็ตาม ในวินาทีที่ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น ฉันได้แต่เดินออกมาจากห้องเรียนด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก สายตาของเพื่อนทั้งชั้นมองฉันนิ่งๆ ไม่ได้เห็นใจหรือสมน้ำหน้า ทว่าคู่กรณีอย่างทรายแก้วกับน้ำหอมกลับหัวเราะสะใจแต่ในขณะที่ฉันถูกไล่ออก คนที่เริ่มก่อนอย่างทรายกลับถูกเรียกเข้าไปนั่งเรียนที่เดิมเสียอย่างนั้นโลกใบนี้มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับคนจนเสมอแหละ ฉันไม่เคยอยากจะคิดอย่างนั้นเลย มันไม่ต่างอะไรจากการเอาความจนมาเป็นเกราะป้องกันความล้มเหลวของตัวเอง แต่พอคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ทั้งยายที่ทำเหมือนฉันกับแม่เป็นเพียงขยะที่ไม่ได้เกิดจากตระกูลของเขา หมอที่พูดอย่างเลือดเย็นว่าแม่อาจจะตายถ้าฉันไม่มีเงิน และผู้คนที่ดูถูกฉันในชั้นเรียนก่อนหน้านี้...ทำไม ต้องเป็นฉันด้วย ทำไม...ฉันออกมานั่งที่บันไดหน้าตึกพลางมองออกไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง มันไม่ได้อยากร้องไห้ออกมา แต่ก็มีความหน่วงอยู่ในอกที่บอกไม่ถูก และมันทรมานกว่าการร้องไห้ออกมาหลายเท่า“เธอลืมกระเป๋า”เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง
คอนโด KLฉันเงยหน้ามองคอนโดของเจ๊น้ำหวานที่เด่นตระหง่านอยู่ตรงหน้า ชิดภูที่มาส่งฉันเองก็มองมันพลางพึมพำออกมา“พวกคัลเลนอีกละ ไปที่ไหนก็เจอเนอะ”“อะไรเหรอ?”สีหน้าของเขาเหมือนขยะแขยงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าชอบกล แต่ฉันกลับรู้สึกคุ้นกับสิ่งที่เขาพูดออกมามากกว่า“คัลเลนน่ะ นามสกุลของเจ้าของโรงพยาบาลที่แม่เธอรักษาอยู่ไง ที่นี่ก็อยู่ในเครือเดียวกันนั่นแหละ โรงแรมที่ดังๆ อยู่ตอนนี้ก็ใช่ มหา’ลัยที่เราเรียนอยู่หุ้นส่วนใหญ่ก็เป็นของตระกูลนี้ทั้งนั้น”ถ้าจำไม่ผิด เป็นนามสกุลของคุณคามินทร์เจ้าของคลับที่ฉันทำงานอยู่ และของคุณนาวินทร์ด้วยสินะ ไม่อยากจะเชื่อว่าฉันมีปัญหากับคนที่อำนาจล้นฟ้าขนาดนี้ แค่คิดยังไม่กล้าฝันเลย“ยังไงก็ขอบใจนะที่มาส่ง”“ด้วยความยินดี”ชิดภูได้ขับรถจากไปแล้ว ส่วนฉันก็เดินขึ้นมาบนห้องของเจ๊แล้วตรงไปยังห้องที่คุ้นเคยในทันที ทว่าฉันยังไม่ทันได้กดกริ่งที่หน้าห้อง จู่ๆ ประตูก็ได้ถูกเปิดออกจากคนข้างใน“อุ๊ย แขกของเจ๊เหรอครับ ตามสบายนะ”คนที่เปิดออกมานั้นเป็นผู้ชายกล้ามใหญ่ยิ้มหวานคนหนึ่ง เขาโค้งน้อยๆ ให้ฉันก่อนจะเดินออกจากห้องไปท่ามกลางความงุนงงของฉัน“มาแล้วเหรอ เข้ามาๆ เจ๊กำลังเสร็จงา
[Navin’s part]ย้อนกลับไปเมื่อสิบสามชั่วโมงก่อนหน้านี้“อย่าหาว่าหมอใจร้ายเลยนะ แต่ยิ่งรักษาก็มีแต่ยิ่งแย่ ถึงที่นี่จะมีเทคโนโลยีการรักษามะเร็งที่ดีที่สุด แต่ก็ทำได้แค่ยื้ออาการรอวันตาย ถ้าอยากให้แม่รอดจริงๆ หนูต้องใช้เงินเยอะมาก ไม่รู้ว่างานอะไรที่จะได้เงินเยอะอย่างนั้นในเวลาอันสั้น”“มึงพูดอย่างนี้ได้ไงวะไอ้เหี้ยหมอ!!”เสียงเอะอะโวยวายที่หน้าห้องผ่าตัดทำให้ผมหยุดมองด้วยความสนใจ แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือดานิกาเธออีกแล้วสินะ แต่ไม่ใช่ว่าผมเพิ่งไปส่งเธอที่มหา’ลัยมาเหรอ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ ซ้ำยังมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเสียงดังตรงนั้นอีก“อะไรวะนั่น คนทะเลาะกันเหรอ”คามินทร์ที่ตามมาทีหลังเองก็หยุดดูเช่นกัน มันระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคนตรงนั้นคือใคร“เด็กนี่อีกแล้วเหรอ บังเอิญไปมั้งอะไรจะเจอกันบ่อยขนาดนี้”“อืม ก็บังเอิญแหละ”บังเอิญที่ผมดันรู้ว่าแม่เธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย บังเอิญที่ผมจงใจเอาโบรชัวร์ของโรงพยาบาลไปหย่อนไว้ที่หน้าห้องเช่าของเธอ บังเอิญที่ผมไปบอกน้ำหวานว่าให้ชักชวนดานิกาไปทำงานที่คลับของคามินทร์และจับตาดูเธอเอาไว้ให้หน่อย
[Danica’s part]เจ๊น้ำหวานไม่เห็นเคยบอกเลยว่ามีอย่างนี้ด้วย ตอนนี้ร่างกายฉันถูกเขารบกวนจนปั่นป่วนท้องน้อยไปหมด ที่ตรงนั้นถูกเขาใช้ปลายนิ้วเขี่ยจนเกิดเป็นความรู้สึกประหลาด คล้ายว่าจะมีไฟฟ้าแล่นผ่านร่างจนฉันสั่นสะท้านไปหมดแล้ว...“สั่นเป็นลูกแมวเลยนะ อย่างนี้จะทำฉันพอใจยังไง หืม?”เขายังคงใช้คำพูดอย่างนั้นเพื่อกระตุ้นให้ฉันทำสิ่งที่บ้ายิ่งกว่านี้ ในขณะที่ร่างกายของฉันสะท้านไหวไปกับการกระทำของเขา แต่ก็ต้องจำอย่างหนึ่งที่เจ๊น้ำหวานสอนให้ขึ้นใจ‘แขกเขามาหาความสนุก ความสุขที่ได้จากหญิงสาวเวอร์จิ้นคือความไร้เดียงสาแต่ก็ต้องมีลีลาที่ดี เรื่องนี้ห้ามลืมอย่างเด็ดขาด’ลีลาดีแต่ไร้เดียงสาอย่างนั้นเหรอ? คนไร้เดียงสามันจะไปมีลีลาดีได้ยังไง ซ้ำตอนนี้ร่างกายของฉันถูกเขารบกวนไม่ยอมหยุด แม้แต่จะคิดยังคิดอะไรไม่ออกแต่เมื่อแหงนหน้ามองรูปร่างของเขาที่ตอนนี้เสื้อผ้าท่อนบนได้ถูกถอดออกไปแล้ว กล้ามอกแน่นที่มีรอยสักรูปมังกรสลักอยู่บริเวณหน้าอกข้างซ้าย ความคิดที่อยากจะสัมผัสก็แวบเข้ามาในหัว“ลูกแมวมัน...อ๊ะ...เลียเก่งนะคะ อยากลองไหม”ฉันกลั้นใจพูดออกไปเสียงแผ่ว ทว่าพอเห็นท่าทีของคนตรงหน้า จากความกลัวก่อนหน้านี
แม่ออกมาจากห้องผ่าตัดได้หลายวันแล้ว ช่วงนี้เพราะฉันไม่ต้องไปเรียนฉันเลยมีเวลาอยู่กับแม่ได้อย่างเต็มที่ เอแคลร์ที่รู้เรื่องก็โทรมาร้องไห้กับฉัน เธอบอกว่าตัวเองไม่อยากทำร้ายฉันเลย แต่พวกยัยทรายบังคับ ซึ่งฉันก็เข้าใจดีเลยไม่ได้ว่าอะไรส่วนแม่ ฉันทิ้งให้ท่านนอนพักผ่อนและออกมาหาอะไรดื่มแก้ง่วงกับชิดภู บังเอิญว่าเขามาหาพี่ชายที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลนี้พอดี เลยแวะมาเยี่ยม“นายมีพี่ชายเป็นหมอด้วยเหรอ ดีจังนะ”ฉันจิบกาแฟไปคุยไประหว่างที่เดินกลับขึ้นตึก ในมือก็ถือถุงเค้กพะรุงพะรังไปหมด เพราะเงินที่ได้มาวันนั้นมันยังเหลืออยู่นิดหน่อย ฉันเลยสามารถเจียดเงินร้อยสองร้อยไปเปย์ตัวเองได้โดยไม่รู้สึกผิดเมื่อก่อนอย่าว่าแต่เค้กเลย ข้าวราดแกงจานละห้าสิบบาทยังต้องเป็นรางวัลที่ฉันให้ตัวเองนานๆ ครั้ง ส่วนใหญ่จะได้กินข้าวฟรีที่ป้าแม่บ้านของโรงพยาบาลเอามาให้ตอนเช้า ส่วนมื้อเย็นก็มีสวัสดิการพนักงานที่คลับทำให้ไม่ต้องเสียเงินค่าข้าว แต่ก็นั่นแหละ หลายครั้งฉันเองก็อยากกินอะไรที่คนอื่นได้กินเหมือนกัน“อืม ลูกพี่ลูกน้องน่ะ ก็ไม่ใช่พี่ที่สนิทอะไรมากหรอก แต่ย่าติดต่อพี่ไม่ได้ อยากให้กลับไปคุยเรื่องงานหมั้น เลยวานฉันมา”
[Navin’s part]ทรายแก้ว กฤตินันทสกุล ลูกสาวคนเดียวของ ภูดิน อธิบดีมหาวิทยาลัยเอกบูรพา ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ว่ามีความเหมาะสม แต่คนเดียวที่ไม่ได้ลงชื่อในครั้งนี้คือ ผมทั้งที่หุ้นส่วนใหญ่ที่สุดของที่นี่คือผมเอง แต่กลับไม่เคยได้มีโอกาสมีส่วนร่วมในการประชุมเลยสักครั้งเดียว เมื่อก่อนผมไม่ได้สนใจเพราะแค่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น แต่ส่วนใหญ่ย่าจะเข้ามาดูแลมากกว่า แต่เรื่องที่มีคนถูกไล่ออกเพราะมีปัญหากับลูกสาวอธิบดี เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผมต้องเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง“ขออนุญาตครับท่านผอ.”จาเรด คนของคามินทร์ที่ผมยืมตัวมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ผมสั่งให้เขาไปติดต่อที่มหา’ลัยเพื่อจัดการประชุมขึ้นมาให้ แต่ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้“ว่าไง”“เรื่องที่คุณดานิกาถูกไล่ออก ทางอธิบดีแจ้งว่ายังไม่ได้เซ็นอนุมัติครับ แต่ได้ชื่ออาจารย์ที่ยื่นเรื่องมาแล้ว”ทำงานได้รวดเร็วสมเป็นคนของคามินทร์ นอกจากจะได้เรื่องแล้วยังได้ประวัติของอาจารย์คนที่ว่ามาด้วย“อาจารย์สมศรี สอนด้านการออกแบบเสื้อผ้าและตัดเย็บ เป็นคนที่ดุและชอบพูดจาไม่สุภาพกับนักศึกษา โดยเฉพาะเด็กที่ไม่ได้มีทุนทรัพย์มากมาย เน
[Danica’s part]อา...ปวดหัวชะมัดเลย แล้วก็ยังปวดเนื้อปวดตัวไปหมด เนื้อตัวมันร้อนผะผ่าวจนต้องขยับด้วยความไม่สบายตัว ทว่าพอลืมตาขึ้นมา ความรู้สึกเจ็บจี้ดที่แขนท่อนล่างก็แผ่เข้ามาจนต้องขมวดคิ้วมุ่น สายตาที่ปรับเข้ากับแสงภายในห้องทำให้ฉันเห็นว่าตอนนี้แขนตัวเองกำลังมีสายน้ำเกลือปักอยู่เดี๋ยวนะ สายน้ำเกลืออะไร แล้วห้องนี้มัน...“ตื่นแล้วเหรอ อยู่นิ่งๆ จนกว่าน้ำเกลือจะหมดนะถึงจะออกไปได้”ห้องทำงานคุณนาวินทร์? ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ล่ะ ในสภาพที่มีเสาน้ำเกลือขนาบข้าง แล้วยังนอนบนโซฟาพร้อมกับมีเสื้อสูทตัวนอกของเขาห่มตัวอยู่ด้วย“หนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”“ก็ไม่สบาย เลยพามาให้ยา”นั่นเหมือนจะตอบไม่ตรงคำถามนะ เขาเอาแต่นั่งทำงานโดยไม่สนใจฉันเลยสักนิด ฉันเลยเอาเสื้อของเขาออกแล้วไปพาดไว้ที่พนักพิง ก่อนจะหย่อนเท้าลงที่พื้นเพื่อจะเดินกลับไปห้องพักของแม่แต่ยังไม่ทันได้ลุกก็ถูกเขาห้ามก่อน“ไม่ต้องไป”“หนูต้องไปหาแม่ค่ะ”“ตัวเองไม่สบาย จะเอาไข้ไปติดแม่เพิ่มหรือไง”ที่เขาพูดมันก็มีเหตุผล ฉันเลยจำต้องนั่งลงที่เดิมอย่างไม่เต็มใจนัก“งั้นหนูต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหนคะ”“ก็จนกว่าจะหาย”“แต่หนูยังปวดเนื้อปวดตัว
[Navin’s part]‘แม่อยากให้ลูกของแม่มีความสุขที่สุด อย่าโกรธพ่อกับย่า แค่นั้น...วินทร์ทำให้แม่ได้ไหมลูก?’มันเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่ทิ้งเอาไว้ก่อนที่จะจากผมไป แม่เป็นผู้หญิงที่หวังดีกับคนอื่นเสมอ แม้แต่คนที่ทำให้แม่ต้องเจ็บปวดหัวใจ แม่ก็ยังไม่โกรธพวกเขาเลยสักนิดเดียวผมยังคงคิดถึงวันเวลาที่เราต่างก็ร้องไห้ไปกับช่วงเวลาเลวร้ายในวาระสุดท้ายของชีวิตแม่ ผมลืมเรื่องนั้นไม่ได้ และไม่กล้าที่จะให้อภัยคนที่ทำร้ายพวกเราจนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเจอหญิงสาวอีกคน หญิงสาวที่ทำให้ผมรู้ว่า นี่คือความรักแสนใจดีที่ผมต้องรักษามันเอาไว้ให้ดีที่สุดถึงแม่ที่อยู่บนสวรรค์แม่ครับ...ผมนาวินทร์ ลูกชายของแม่ ตอนนี้แม่สบายดีไหมครับ ที่ตรงนั้นคงจะเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ความคิดถึง และเสียงร้องไห้ของผมที่ส่งไปให้แม่ แต่วันนี้ลูกชายคนเล็กของแม่คนนี้ไม่ร้องไห้แล้วนะครับ ผมเป็นคนที่เข้มแข็งมากพอที่จะดูแลผู้หญิงที่ผมรัก และสามารถให้อภัยย่าได้แล้ววันนี้ผมพาดานิกามาหาย่าครับแม่ ผมเคยพาเธอไปไหว้หลุมศพแม่สองสามครั้ง แม่จำเธอได้ไหมครับ ดานิกาเป็นคนที่มีรอยยิ้มสดใส เธอเป็นแรงใจให้ผมได้ทุกครั้งที่ได้มอง ในวันนั้นที่แม่จากผมไป เธอ
เคยไหม ความรู้สึกที่รักเขา คิดถึงเขา เจอกันทุกวัน...แต่กลับไปรักกันไม่ได้แล้วฉันยังคงมาอยู่ที่หน้าห้องพักของแม่ จ้องมองประตูบานนั้นที่ฉันเคยเปิดเข้าไปเจอแม่อย่างทุกครั้ง ความทรงจำทั้งสุขและทุกข์ที่เราเคยผ่านด้วยกันมา ทำให้ฉันต้องหยุดมองทุกครั้งที่เดินผ่านมันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่ฉันก็ยังชอบที่จะมายืนจ้องหน้าห้องพักเดิมของแม่อยู่อย่างนี้และเหมือนว่าเขาจะรู้...พี่วินทร์สั่งปิดชั้นนี้ไม่ให้มีใครขึ้นมา และย้ายผู้ป่วยทั้งวอร์ดไปไว้ตึกใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ เพื่อไม่ให้ใครขึ้นมารบกวนฉันที่มักจะเหม่อถึงแม่...ฉันรู้ว่าเขารักและหวังดีกับฉันเสมอ แต่ว่านะ...เรากลับไปรักกันเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ทุกครั้งที่เราเดินสวนทางกัน เป็นฉันที่พยายามมองหน้าให้เขาจ้องตอบกลับมาแม้สักนิด แต่สุดท้ายเขาก็ยังทำเหมือนกับว่าฉันไม่มีตัวตนเขาไม่ได้บอก...แต่ฉันรู้ว่าเขากำลังพยายามทำให้ฉันไม่รู้สึกอึดอัดแต่ทั้งที่ฉันเป็นคนบอกเลิกเขาเองแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นฉันที่ยังโหยหา ยังคิดถึง แต่ก็ไม่สามารถที่จะเดินไปบอกเขาได้ตรงๆ“เอสเปรสโซ่ไม่หวานหนึ่งแก้วครับ”ฉันมักจะได้ยินอย่างนี้ในทุกเช้าเสมอ คุณหมอหนุ่มที่มักจะ
[Danica’s part]‘แม่คะ ทำไมแม่ถึงตั้งชื่อหนูว่าดานิกาเหรอคะ?’‘ดานิกา แปลว่าดวงดาวในรุ่งอรุณลูก หนูเป็นเด็กที่มีรอยยิ้มสดใส เหมือนกับดวงดาวที่เปล่งประกายในยามรุ่งเช้าไงลูก’‘งั้นหนูจะยิ้มทุกวันเลย ให้สมกับชื่อดานิกา ดีไหมคะ?’จบแล้วเหรอ...จบลงง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ...ทุกอย่างที่ฉันพยายามมา ความหวังที่ว่าสุดท้ายแล้วแม่จะหายดีและกลับไปอยู่กับฉันอย่างมีความสุขอีกครั้ง เราจะไปเที่ยวด้วยกัน มองฉันเป็นดีไซเนอร์มากฝีมืออย่างที่แม่ใฝ่ฝัน ทั้งการทำงานอย่างหนัก ต่อสู้กับคำพูดและสายตาของคนทั้งมหา’ลัย พาตัวเองขึ้นประมูลซิง ทุกอย่างมันจบลงแล้วใช่ไหมฉันเดินกลับเข้ามาในห้องที่ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างวิ่งกันจ้าละหวั่นเพื่อช่วยชีวิตของแม่ ทว่าสุดท้ายแล้วความตายก็ยังชนะความพยายามพวกนั้น พยาบาลคนสุดท้ายได้ออกไปจากห้องนี้แล้ว เหลือเพียงฉันและร่างที่แน่นิ่งของแม่ที่นอนอยู่บนเตียง“แม่คะ...”แม่มักจะยิ้มให้ฉัน บอกฉันว่าไม่เป็นไร ไม่ว่าฉันจะกลับมาดึกแค่ไหนแม่จะตื่นขึ้นมา ลูบใบหน้าที่เปื้อนเหงื่อแล้วบอกให้ฉันไปอาบน้ำ แต่วันนี้ภายในห้องนี้...เหลือเพียงความเย็นยะเยือก เงียบเหงา บรรยากาศอึมทึมจนฉันอยากจะร้องไห้ออกม
[Navin’s part]“คนไข้นอนทับสายน้ำเกลือค่ะ แล้วก็สายออกซิเจนหลุด เลยขาดอากาศหายใจไปช่วงหนึ่ง ตอนนี้พยายามปั๊มหัวใจแล้ว แต่อาการไม่ดีเลยค่ะท่านผอ.”พยาบาลที่ผมว่าจ้างมาดูแลแม่ของดาเอ่ยเสียงสั่นทำอะไรไม่ถูก ผมแน่ใจว่าเธอเป็นคนที่รอบคอบและทำงานดีมากคนหนึ่ง ไม่มีทางหรอกที่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้จะเกิดขึ้นได้แล้วผมก็คิดถึงคนที่โทรมาบอกดาเอแคลร์...“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วมีใครเข้าออกห้องนี้บ้าง”“ก็...มีเพื่อนคุณดาค่ะ ที่ชื่อชิดภู มาตอนเย็นแล้วไม่เจอ ก็เลยฝากขนมกับน้ำไว้ให้”“แค่นั้นเหรอ มีใครอีก”ชิดภูไม่ทำหรอก ต่อให้มันจะปากหมาใจกล้าเกินคน แต่ก็จริงใจกับดาอยู่พอสมควร“เอ่อ...” พยาบาลทำท่านึก แต่นานจนผมร้อนใจทนไม่ไหวตวาดออกไปเสียงดัง“เร็วสิ ถามว่าใครอีก!”“มะ...มีผู้หญิงอีกคนค่ะ เข้ามาก่อนหน้านี้สักครึ่งชั่วโมงได้ ตอนนั้นดิฉันอยากเข้าห้องน้ำ เลยฝากคนไข้ไว้ค่ะ”ผมเปิดมือถือ เข้าไลน์ของย่าที่มักจะชอบส่งรูปต่างๆ มาให้ และในนั้นก็มีรูปของเอแคลร์ด้วย“คนนี้หรือเปล่า”“ชะ...ใช่ค่ะท่านผอ. คนนี้เลย ดิฉันจะมีความผิดอะไรหรือเปล่าคะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะที่ดูแลคนไข้ไม่ดีทำให้เกิดเรื่องแบ
“เจ๊!!!”“ยัยดา กรี๊ด!!!”ฉันกับเจ๊น้ำหวานเจอกันก็ไม่ต่างอะไรกับชะนีสองตัวที่วนเจอในกิ่งเดียวกัน เจ๊นี่ดีดสุดอะไรสุด ทิ้งเครื่องสำอางทิ้งทุกอย่างมากอดฉันอย่างไว เรากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งมีคนหวงดึงฉันออก“พอแล้ว จะกอดให้ละลายตัวติดกันไปเลยหรือไง”พี่วินทร์หน้างอคอหักตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว ก็มาเที่ยวผับทั้งทีฉันก็ต้องแต่งตัวให้มันเข้ากับสถานที่ เลยใส่เป็นกางเกงยีนขาสั้นกับเสื้อครอปแขนกุด เขาเองมองฉันหัวจรดท้าตั้งแต่ออกมาจากห้องแต่งตัว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร“แหมคุณหมอคะ อย่ามาทำเป็นหวงไปหน่อยเลย ทีเมื่อก่อนมาฝากไว้กับเจ๊ เจ๊ก็ดูแลให้อย่างดีเลยนะคะ”“เอามาฝากอะไรเหรอคะ?”เหมือนว่าฉันจะเจอเรื่องที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว พอเจ๊น้ำหวานพูดแบบนั้นฉันก็หันไปมองพี่วินทร์ด้วยความสงสัย“ก็แหม เมื่อก่อนคนที่บอกเจ๊ว่าให้ติดต่อน้องดาไปคือคุณหมอเนี่ยแหละ เขารักเขาหวงมาตั้งแต่แกจะรู้ว่าเขามีตัวตนด้วยซ้ำนะ คลั่งรักนะเนี่ย”“จริงเหรอคะ?”เรื่องที่ได้ยินยิ่งทำให้ฉันมองหน้าเขาหนักยิ่งกว่าเดิม มีเรื่องอะไรอีกบ้างนะของเขาที่ฉันยังไม่รู้ สำหรับผู้ชายคนนี้ในสายตาฉันเขาคือคุณหมอที่แสนจะเพอร์เฟค ไม่มีว
[Danica’s part]ช่วยด้วยค่ะ ตอนนี้พบคนแก่ไม่อยากไปทำงานหนึ่งอัตรา ตั้งแต่กลับมาจากสวนสนุกเมื่อวานเขาก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง เล่นมือถือบ้าง คอมฯบ้าง จนฉันทนความอึดอัดไม่ไหวต้องออกมาทำกับข้าวข้างนอกแต่ยังออกมาไม่ทันถึงสามนาที แครอทยังปอกไม่หมดด้วยซ้ำ ก็มีอ้อมกอดอุ่นเข้ามากอดจากทางด้านหลัง พร้อมทั้งคางแหลมๆ ของเขาวางลงที่หัวของฉัน“ทำอะไรครับเนี่ย”“ทำกับข้าวง้อคนค่ะ”ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเขาที่กำลังมองลงมาเช่นกัน แต่ไม่คิดว่าจะถูกคนตัวสูงขโมยจูบไปหนึ่งที“อื้อ...แกล้งหนูอะ”ถึงเราจะอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ชินกับการชอบสกินชิพของเขาแบบนี้สักที หน้ามันยังคงร้อนผะผ่าวทุกครั้งที่ถูกเขาจูบ เขาหอม เขา...พอแล้วๆ ไม่คิดแล้วดีกว่า“ง้อเรื่องอะไรครับ พี่ไม่ได้งอนหนูซะหน่อย”แล้วก็เรื่องที่เขาเรียกฉันว่า หนู ตั้งแต่กลับมาจากสวนสนุกก็ไม่ได้ยินชื่อฉันจากปากเขาอีกเลย ไม่รู้ว่าซ้อมไว้เผื่อเรียกกิ๊กแบบไม่ให้ฉันจับได้หรือเปล่า“ไม่ได้งอนนะคะ แต่หน้างอเลย เป็นอะไรคะ หรืองอนเรื่องที่หนูไม่เปิดตัวกับเพื่อนเมื่อวันก่อน?”“รู้ทันอีก”ฉันรู้หรอกน่าว่าเขากำลังนอยด์เรื่องอะไร เลยเลือกจะทำอาหารง้อหลัง
[Eclair’s part]“กรี๊ด!!!! อีดา อีเวร อีเปรต มึงกล้าดียังไง กรี๊ด!!!!”“ไม่เอานะคะคุณหนู เจ็บเปล่าๆ พอเถอะค่ะ”“กูไม่สน ไปหาอะไรมาให้กูปา ไป๊!!!”ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลย ไม่มีเลยสักอย่าง ทำไมคนอย่างอีดาถึงได้ทุกอย่างที่ฉันอยากได้ มันก็เป็นแค่กะหรี่จนๆ ที่ไม่มีใครเอา ทำไมๆๆๆๆ“กรี๊ด!!!!”ถึงจะกรี๊ดจนแสบคอแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด ตอนนี้ฉันอยากจะพุ่งไปกระชากหน้ากากตอแหลของนังนั่นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แฟนอย่างนั้นเหรอ มันคิดว่ามันมีสิทธิ์อะไรฉันเอาความโกรธทั้งหมดระบายไปกับข้าวของที่มันเคยให้มา มีแต่ของขยะ ของทำมืออะไรกัน ไม่มีค่าเลยสักนิด ดูแต่ละอย่างที่ฉันให้มันสิ เครื่องประดับราคาแพง น้ำหอมแบรนด์หรู แล้วมันล่ะให้อะไรฉันบ้างนอกจากเกาะฉันไปวันๆ“เกิดอะไรขึ้นน้องแคลร์ ทำไมทำลายข้าวของอย่างนี้ลูก”คนที่เปิดประตูเข้ามาก็คือแม่ แต่ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะทำตัวเป็นลูกสาวที่แสนดีอะไรหรอก ตอนนี้ฉันอยากจะร้องไห้ พี่หมอเป็นของฉัน แต่ทำไมถึงกลายเป็นนังดาที่ได้เขาไป“น้องแคลร์...”“ไหนแม่บอกว่าหนูจะได้แต่งงานกับพี่วินทร์ไงคะ แล้วทำไมปล่อยให้นังผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นมาเกาะแกะพี
“เราเล่นอะไรก่อนดีคะ หนูไม่เคยเล่นนะแต่ว่าอันนี้คนต่อแถวเยอะมากเลย”ฉันชี้ไปยังเครื่องเล่นไวกิ้งที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของสวนสนุก มันกำลังเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาและมีเสียงกรี๊ดดังมาเป็นระยะ ฟังแล้วน่ากลัวจนฉันไม่อยากจะขึ้นเล่นมันแล้ว“ไม่เอาแล้วดีกว่าค่ะ เราไปเล่นอะไรที่ไม่ตื่นเต้นเถอะ”“มาสวนสนุกแต่ไม่เล่นอะไรที่มันตื่นเต้น จะเรียกว่ามาสวนสนุกได้ไง”“ไม่เอาค่ะ หนูไม่เล่น กรี๊ดดดดดด”ฉันถูกเขาลากเข้าเครื่องเล่นนั้นเครื่องเล่นนี้ตามใจจนกรี๊ดเจ็บคอไปหมด รู้งี้ฉันขอเขาแลกเงินเองตั้งแต่ทีแรกดีกว่า เพราะเขามีบัตรอยู่ในมือเยอะเกินไปจนเล่นไม่หมด มันเลยเป็นเวรกรรมตกมาถึงฉัน“แฮ่กๆ พอแล้วนะคะ หนูไม่เล่นแล้ว หัวใจจะวาย”ฉันวิ่งลงมาจากเครื่องเล่นแล้วหายใจหอบด้วยความเหนื่อย นอกจากจะเหนื่อยจากการเล่นเครื่องเล่นแล้วฉันยังเหนื่อยจากการกรี๊ดด้วย แค่การเล่นเครื่องเล่นไม่กี่ชิ้นมันทำให้ฉันเปลืองพลังงานอย่างหนักหน่วง ตอนนี้รู้สึกเหมือนจะน้ำตาลตก หน้ามืด จะเป็นลมส่วนคนที่พาฉันขึ้นไปเล่นนั้นแค่เดินล้วงกระเป๋าเข้ามาพลางหัวเราะกับท่าทางของฉัน“ฮ่าๆๆ แค่นี้ก็ร่วงแล้วเหรอ?”“พี่อย่ามาหัวเราะนะ หนูจะอ้วก...แหวะ”อาห
[Danica’s part]“เล่าได้ไหมว่าทำไมพี่วินทร์ถึงเลิกเป็นหมอ”ในเมื่อชิดภูบังคับให้ฉันต้องกลับมาเรียน ฉันเองก็จะใช้เขานี่แหละเป็นฐานข้อมูลใหญ่ ช่วงนี้ฉันคิดมากเรื่องที่เขาพูดมาวันนั้น เพราะฉะนั้นเขาต้องรับผิดชอบ“จะอยากรู้ไปทำไม ไหนบอกคบกัน ก็ไปถามเฮียเองดิ”“จะเล่าไหม ไม่เล่าฉันกลับ”ฉันทำท่าจะเดินออกไปจากตรงนี้จริงๆ จนเข้าต้องลุกขึ้นมาดึงฉันกลับที่เดิม“อะๆๆๆ เล่าก็เล่า แต่อย่าไปหาถามเฮียนะ เรื่องนี้ความลับของตระกูล เหยียบเอาไว้เลย”“ถ้านายเล่าให้ฉันฟังก็ไม่เป็นความลับแล้วสิ”“งั้นไม่ฟัง?”“ฟัง!!!”เพราะความรั้นของฉันและความคันปากของเขา ทำให้ชิดภูเริ่มเล่าเรื่องของพี่ชายตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ฉันฟังเขานานมากๆ จับใจความได้ว่าเมื่อก่อนแม่ของทั้งสามแฝดแต่งงานเข้ามาโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากย่า เนื่องจากพ่อของพวกเขามีคู่หมั้นที่ทางบ้านหาให้อยู่แล้ว แต่ด้วยความรักทั้งคู่เลยตัดสินใจแต่งงานและหนีไปด้วยกัน ทำให้ย่าโกรธมากๆหลังจากนั้นไม่กี่ปี ทั้งสองคนก็กลับมาบ้านพร้อมลูกแฝดสาม ทำให้ย่าเริ่มคลายความโกรธลงบ้างเพราะทั้งรักทั้งหลงหลาน แต่ความโกรธเกลียดนั้นก็ไม่ได้หายไป“เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้