ณ จวนผู้บัญชาการกองกำลังทหารม้า ข่าวเตรียมจัดพิธีแต่งงานเร็ว ๆ นี้ของฉินอ๋องและจงเฝิ่นลู่ย่อมไม่พ้นการรับรู้ของสุ่ยเฉินเฟิงความรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อนึกถึงกลิ่นลมหายใจที่ปะปนกลิ่นเหล้าของเมิ่งหยางเมื่อผลักนางลงไปบนเตียงยังจำได้เด่นชัด ความหยาบช้าของอดีตคู่หมายเมื่อใช้ฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าอย่างรุนแรง ความเจ็บแสบหนังศีรษะเมื่อถูกกระชากผม ความเลวร้ายในครั้งนั้นที่นางพยายามกดข่มเอาไว้กลับเด่นชัดขึ้นมาในสมองอีกครั้งนางคงถูกย่ำยีจนยับเยินไปแล้วหากฉินอ๋องไปช่วยเหลือไว้ไม่ทัน นางมั่นใจว่าจงเฝิ่นลู่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือให้เมิ่งหยางลักพาตัวนางไปยังเขาเกาชาน แม้ว่าในเวลานี้ยังหาหลักฐานที่จะเอาผิดไม่ได้ แต่จวนเสนาบดีกรมคลังก็ถูกจับตาไว้แล้วบัดนี้จงเฝิ่นลู่กำลังจะได้แต่งเข้าเป็นพระชายาของฉินอ๋อง สุ่ยเฉินเฟิงจะรู้สึกเหมือนหัวใจของนางถูกกรีดด้วยมีดนับพันเล่มเสียงอ้อแอ้ของทารกดังขึ้นเรื่อย ๆ ถิงถิงอุ้มเพียวเพียวเข้ามา ใบหน้าของทารกน้อยบัดนี้อ้วนกลม แก้มยุ้ย น่ารักน่าเอ็นดู เมื่อเห็นสุ่ยเฉินเฟิง เพียวเพียวก็กวัดแกว่งแขนไปมา มือน้อย ๆ ยื่นมาหาสุ่ยเฉินเฟิง นางจึงรับเพียวเพียวมาอุ้มไว้อ้อมแขน ถิงถ
ชายแดนทางเหนือของแคว้นต้าเจียมีพื้นที่ติดกับแคว้นต้าเลี่ยง เมืองชายแดนที่อยู่เหนือสุดของแคว้นต้าเจียคือเมืองเฮย มีการติดต่อซื้อขายสินค้ากันตลอดมา แคว้นต้าเลี่ยงมีพื้นดินส่วนใหญ่เป็นดินปนทราย ยากที่จะทำการเพาะปลูกให้ได้ผลดี และพื้นที่บางส่วนเป็นทะเลทราย แห้งแล้งกันดาร สินค้าที่ซื้อจากเมืองเฮยส่วนใหญ่จึงเป็นพืชผลทางการเกษตร สินค้าที่นำมาขายคือสิ่งของที่แคว้นต้าเลี่ยงได้มาจากแคว้นอื่นที่แพ้สงครามแคว้นต้าเลี่ยงมีกองทัพที่แข็งแกร่ง ผู้นำทัพคือแม่ทัพเอี้ยน เป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีความชำนาญการศึก เก่งกาจในการสู้รบ อุปนิสัยโหดร้าย มีเสียงเล่าลือว่าความสุขของเขาคือการดูเชลยศึกถูกทารุณด้วยวิธีการต่าง ๆ แม่ทัพเอี้ยนสามารถนั่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาใช้ไฟลนเท้าของเชลยศึกให้เปิดเผยความลับ เขาจะหัวเราะเสียงดังสนุกสนานเช่นเดียวกับคนทั่วไปที่ชมมหรสพในช่วงเวลานี้มีคนจากแคว้นต้าเลี่ยงเข้ามาในเมืองเฮยจำนวนมาก โรงเตี๊ยมเต็มหมดทุกแห่ง ส่วนหนึ่งมาเช่าเรือนเสมือนจะตั้งถิ่นฐานกันเลยทีเดียว ทั้งหมดล้วนเป็นชายฉกรรจ์ เมืองเฮยคึกคักกว่าปกติเจ้าเมืองเฮยเป็นชายวัยกลางคน ให้ความสำคัญกับเศรษ
ไฟลามมาถึงฝ่าเท้า กลิ่นเนื้อไหม้โชยออกมา เจ้าเมืองเฮยทุรนทุรายอยู่บนเก้าอี้ เมื่อร้อนเท้าซ้ายเขาก็ยกเท้าซ้ายขึ้นซึ่งเป็นปฏิกริยาของร่างกายโดยโนมัติ แต่เท้าขวาที่แตะเก้าอี้อยู่ก็ร้อนเช่นกัน จึงเป็นภาพที่เจ้าเมืองเฮยสลับเท้าอย่างเร็วคล้ายคนกำลังวิ่งแม่ทัพเอี้ยนยืนกอดอกมองดูภาพนั้น ทหารต้าเลี่ยงก็มองดูภาพนั้น ในแววตาของทุกคนมีความเฉยเมย ราวกับเป็นภาพที่เห็นเป็นประจำ ไม่รู้สึกสยดสยองแต่อย่างใดเจ้าเมืองเฮยกัดริมฝีปากแน่น เขารู้ดีว่าการลงนามในสัญญาสวามิภักดิ์จะทำให้เมืองเฮยถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นต้าเลี่ยง ราษฎรจะต้องทุกข์ทนถูกกดขี่ข่มเหงจากชาวต้าเลี่ยงที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความโหดเหี้ยมเดิมเมืองเฮยเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีอิสระ เป็นรัฐกันชนระหว่างแคว้นต้าเจียและแคว้นต้าเลี่ยง มีระบบเศรษฐกิจที่ดี บรรพบุรุษของเจ้าเมืองเฮยย้อนไปสองรุ่นมองเห็นว่าความอิสระนั้นมีความเสี่ยงภัยจะถูกรุกรานจากแคว้นต่าง ๆ จึงตัดสินใจเข้าสวามิภักดิ์เป็นเมืองหนึ่งของแคว้นต้าเจียดังนั้น ฮ่องเต้แคว้นต้าเจียจึงมิได้ส่งขุนนางจากเมืองหลวงมาปกครองเมืองเฮย แต่ให้ทายาทของเจ้าเมืองเฮยในเวลานั้นปกครองกันเองต่อมาถึงสองรุ่
เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างก็ถวายความคิดเห็น บ้างก็ว่าควรยกทัพไปปราบปรามโดยเร็ว บ้างก็เห็นว่าการเจรจาสงบศึกจะทำให้ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ประหยัดทั้งกำลังพลและงบประมาณ แต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผลรองรับฮ่องเต้ตรึกตรองแล้ว ตรัสว่า “เจิ้นเห็นด้วยว่าควรเจรจาสงบศึก แต่ตอนนี้ต้าเลี่ยงยึดเมืองเฮยไปแล้ว ต้องเจรจาให้ต้าเลี่ยงถอนทัพออกไป พรุ่งนี้ให้คณะทูตออกเดินทางไปเจรจา จัดกำลังคุ้มครองไปด้วย”วันรุ่งขึ้นคณะทูตต้าเจียออกเดินทางไปยังเมืองเฮย สองสัปดาห์ต่อมาศีรษะของคณะทูตถูกส่งกลับมาครบทุกคน กำลังที่คุ้มครองไปรอดชีวิตเพียงผู้เดียว คือคนที่นำศีรษะกลับมานั่นเอง ความระส่ำระสายเกิดขึ้นทันที มีอารยชนที่ไหนประหารทูตท้องพระโรงวันนี้พูดคุยกันอื้ออึง เมื่อฮ่องเต้เสด็จมาประทับบนบัลลังก์ เสียงจึงเงียบลงได้ “ทุกท่านคงทราบกันแล้วว่าแคว้นต้าเลี่ยงไม่พร้อมจะเจรจา จำเป็นต้องส่งกองทัพไปปราบปราม มีผู้ใดจะอาสานำทัพหรือไม่”ฉินอ๋องก้าวออกมาทันที “ฝ่าบาท กระหม่อมขออาสานำทัพในครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ”เสนาบดีกรมคลังหน้าซีดลง หากฉินอ๋องไปทำศึกอยู่ชายแดน เห็นทีจงเฝินลู่คงต้องรอเข้าพิธีแต่งอีกนาน แต่เขาก็ไม่กล้าขัดแย้งฮ่องเต้ทอดพ
กองทัพของแคว้นต้าเลี่ยงอันแข็งแกร่งโจมตีเมืองเฮย ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของแคว้นต้าเจียแตกพ่ายอย่างรวดเร็ว แม่ทัพเอี้ยนผู้ชำนาญการศึกของแคว้นต้าเลี่ยงยกทัพเดินทางมุ่งสู่เมืองหลวงของแคว้นต้าเจีย บัดนี้กองทัพของแคว้นต้าเลี่ยงเดินทัพถึงเมืองเหอ หากผ่านเมืองเหอได้ก็จะถึงเมืองฮั่วซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของเมืองหลวงเจ้าเมืองเหอแม้จะสูงวัยแต่การป้องกันเมืองมิเคยบกพร่อง กองทัพแคว้นต้าเลี่ยงไม่สามารถผ่านเข้าประตูเมืองได้อย่างง่ายดาย จึงตั้งทัพอยู่นอกกำแพงเมืองเหอเมืองเหอมีกองทัพประจำเมืองที่มีฝีมือในการสู้รบ แม้ว่าจะไม่สามารถชนะศึกกองทัพแคว้นต้าเลี่ยงได้ แต่ก็ยังคงต้านทานไว้ได้ในระหว่างรอความช่วยเหลือจากเมืองหลวง สำหรับเมืองเฮยนั้นเดิมเป็นเมืองที่มีอิสระ ภายหลังจึงสวามิภักดิ์เป็นเมืองหนึ่งของแคว้นต้าเจีย แต่เมืองเหอเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นต้าเจียมาตลอด เจ้าเมืองเหอจึงเป็นขุนนางที่ทางราชสำนักส่งมาปกครองหลายวันผ่านไปกองกำลังป้องกันเมืองเหอก็อ่อนล้าลงเรื่อย ๆ แต่ก็พยายามยืนหยัดรอกำลังเสริม ดังนั้นเมื่อกองทัพหลวงเดินทางมาถึง เจ้าเมืองผู้ชราก็ดีใจแทบน้ำตาไหล เขาต้อนรับแม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนอย่างยินดี แ
ในช่วงปลายเหมันตฤดู เริ่มต้นยามเหม่า ท้องฟ้าก็ยังไม่สว่าง ทหารเมืองเหอกลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่รักษาการณ์ประจำประตูเมือง เมื่อได้รับหนังสือคำสั่งจากแม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนให้เปิดประตูเมืองรับทัพของแคว้นต้าเลี่ยงกลับยืนนิ่งกันทุกคน ทหารหนุ่มน้อยคนหนึ่งย้อนถามผู้ที่มาถ่ายทอดคำสั่งว่า“เหตุใดมิใช่คำสั่งของท่านเจ้าเมือง”ผู้ที่มาถ่ายทอดคำสั่งเป็นทหารที่มาพร้อมกับกองทัพหลวงตอบว่า “ข้ารับคำสั่งมาจากหัวหน้ากองให้รีบนำหนังสือคำสั่งนี้มาแจ้งแก่ท่านเท่านั้น ไม่ทราบเรื่องอื่นใด”ทหารหนุ่มน้อยนิ่งอึ้งแล้วจึงบอกว่า “ท่านรอสักครู่เถิด ข้าขอถามท่านเจ้าเมืองให้แน่ใจเสียก่อนว่าจะให้กองทัพต้าเลี่ยงเข้ามาในเมืองจริง ๆ”ทหารจากกองทัพหลวงจึงบอกว่า “จะไปสอบถามก็เร่งดำเนินการเถิด หากท่านเปิดประตูเมืองช้าข้าอาจจะโดนลงทัณฑ์”ในใจของทหารจากกองทัพหลวงก็กังขาหนังสือคำสั่งนี้เช่นกัน แต่เขามีหน้าที่เพียงนำหนังสือมาส่งเท่านั้น อย่างไรพวกเขาก็เป็นทหารแคว้นต้าเจียด้วยกัน รออีกซักหน่อยก็คงไม่เป็นไรทหารหนุ่มน้อยเกรงว่าหากตนเองละทิ้งประตูเมืองอาจไม่มีคนทัดทานคนจากกองทัพหลวง จึงให้เพื่อนร่วมงานสองนายรีบไปสอบถามเจ้าเมืองเหอ ยังไ
แม่ทัพใหญ่จวงเจี้ยนเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ตอนนี้ต้องขอเชิญท่านเจ้าเมืองไปพักผ่อนในสถานที่ที่จัดไว้ให้อย่างสงบเถิด หากท่านไม่วุ่นวาย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ท่านก็ยังจะได้อยู่ดี ๆ” แม่ทัพใหญ่ยกมือขึ้นโบก ทันใดนั้นทหารจากกองทัพหลวงสองนายก็ตรงเข้าจับกุมเจ้าเมืองเหอไปควบคุมไว้ในที่คุมขัง ที่นั่นเจ้าเมืองผู้ชราพบว่าขุนนางท้องถิ่นชั้นผู้ใหญ่หลายคนก็ถูกควบคุมตัวไว้แล้วเช่นกัน“พวกเราถูกจับกุมมาก่อนท่านเจ้าเมืองเล็กน้อยขอรับ เหตุใดเขาจึงไม่จับกุมท่านเจ้าเมืองเป็นคนแรก”ขุนนางคนหนึ่งตั้งคำถาม เจ้าเมืองผู้ชราทรุดตัวลงนั่งมุมหนึ่งของห้องขังแล้วตอบว่า“เมื่อคืนข้าไปเยี่ยมหลานสาวที่คลอดลูก แล้วพักค้างที่บ้านพี่สาวหนึ่งคืน กำลังเดินทางกลับแต่ยังไม่ถึงจวน ไม่แน่ว่าจวนของข้าอาจถูกค้นกระจุยกระจายไปแล้วก็ได้”เขาเหลียวมองหาผู้บัญชาการกองกำลังทหารม้าสุ่ยฝานหรง เมื่อมองไม่เห็นในที่คุมขังก็โล่งใจขึ้นส่วนหนึ่ง คงยังไม่สิ้นชีพไปง่าย ๆ เหมือนบิดาหรอกนะ ความหวังของเมืองเหอฝากไว้กับผู้บัญชาการสุ่ยฝานหรงแล้ว“ท่านเจ้าเมืองมองหาผู้บัญชาการสุ่ยใช่หรือไม่” ขุนนางท้องถิ่นคนหนึ่งเอ่ยถาม แล้วถ้อยคำต่อไปกลับเป็นเหมือนสายฟ้าที
เหยี่ยวตัวใหญ่โผบินขึ้นจากป่าไม้ไม่ห่างจากกำแพงเมืองเหอมากนัก ร่างสูงใหญ่ของผู้บัญชาการกองกำลังทหารม้ายืนเท้าเอวหน้าตาบอกบุญไม่รับ ฝูซิงและทหารหน่วยพยัคฆ์เหินอีกสามนายก็มองไปทางกำแพงเมืองเหออย่างโกรธเคือง สุ่ยฝานหรงเอ่ยเสียงเบาว่า“ดูถูกข้าเกินไปแล้ว”ฝูซิงเสริมขึ้นว่า “คงคาดไม่ถึงว่าท่านผู้บัญชาการจะไม่นอนบนเตียง”“สถานการณ์แปลก ๆ ข้าไม่กล้าวางใจ”“นักโทษประหารผู้นี้เสียชีวิตมาหลายวันแล้ว ยาที่รักษาสภาพศพไว้คุณภาพดีมากนะขอรับ ไม่ส่งกลิ่น เลือดไม่แห้ง แม้ว่าเนื้อหนังจะแข็งไปหน่อย”“ข้าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาเมื่อมีโอกาสเหมาะ ถือว่าช่วยเหลือข้าไว้”“ข้าน้อยไม่เข้าใจเลย หากแม่ทัพใหญ่จะเจรจาสงบศึกก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าผู้บัญชาการนี่ขอรับ”“ข้าก็ไม่เข้าใจ” สุ่ยฝานหรงถอนหายใจยาว ก่อนกล่าวต่อไปว่า “มือสังหารเหล่านั้นเป็นทหารต้าเลี่ยง หากพลาดพลั้งถูกข้าจับได้ ก็ยังอ้างได้ว่าเป็นทหารของศัตรู”ทหารหน่วยพยัคฆ์เหินนายหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อตอนที่พวกข้าน้อยเดินทางมาสมทบกับท่านผู้บัญชาการ ข้าน้อยสังเกตว่ามีความเคลื่อนไหวผิดปกติบริเวณที่คุมขังนักโทษขอรับ”สุ่ยฝานหรงพยักหน้ารับทราบ “เจ้าเมืองเหอและขุนนา
สิบปีผ่านไป ณ ตำหนักคุนหนิง ฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง นั่งดื่มชาในสวนดอกไม้ อากาศอบอุ่น มีลมพัดผ่านเบา ๆ นึกถึงชะตาชีวิตที่แปลกประหลาด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีชีวิตสงบสุขเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป แต่เมื่อถึงวัยมีคู่ครองก็มีเรื่องเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น ชีวิตเหมือนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง กว่าจะฝ่าฟันมาถึงวันนี้ก็ได้รับประคับประคองจากพระสวามีผู้สง่างามและครอบครัวเดิม สุ่ยเฉินเฟิงสัญญากับตนเองว่าจะทะนุถนอมความรักของพวกเขาไว้อย่างดีฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง และฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิง มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมห้าองค์ องค์ชายหย่งเฉิงคล้ายเสด็จพ่อมากที่สุดทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และความรู้ความสามารถ องค์ชายหย่งเฉิงชื่นชอบการฝึกซ้อมอาวุธทุกประเภท อีกทั้งยังชำนาญหมากล้อมและการฝึกเชาว์ปัญญาต่าง ๆ เรียกว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋นองค์หญิงเฟิงซินหน้าตาคล้ายเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ ทำให้นางเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือยิ่งนัก บางครั้งฮ่องเต้ยังจำใจต้องอนุญาตให้องค์หญิงเฟิงซินไปพักค้างที่ตำหนักนอกวังบ้างเพราะทนการรบเร้าของผู้เป็นมารดาไม่ไหว แรก ๆ ก็ไปพักค้างครั้งละหนึ่งคืน พอนานเข้าเสด็จย่าไทเฮา
ราษฎรต้อนรับการประสูติขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงอย่างเอิกเกริก ร้านค้าในตลาดและบ้านเรือนราษฎรปักธงถวายพระพร เหลาเฉียนจัดทำอาหารพิเศษแจกจ่ายให้ลูกค้าโดยไม่คิดเงิน ร้านขายผลไม้ก็นำส้มมงคลมาแจกจ่ายให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเมื่อครั้งเทียนตี้หย่งยังดำรงตำแหน่งฉินอ๋อง ราษฎรก็รักใคร่ชื่นชม แม้ในจวนอ๋องจะไม่มีพระชายา พระชายารอง หรืออนุ ก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ ต่อมาขึ้นครองราชย์ ราษฎรก็ปลื้มปิติ แต่ก็กังวลเพราะฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ลั่นวาจาไว้ว่าจะมีฮองเฮาสุ่ยเฉินเฟิงเพียงพระองค์เดียวแม้ในขณะที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา พระนางจะตั้งครรภ์แล้วก็ตาม หากเป็นพระราชธิดาพวกเขาก็ยังไม่วางใจ ดังนั้นเมื่อองค์ชายน้อยหย่งเฉิงประสูติ จึงเป็นทั้งความยินดีและความโล่งใจของราษฎรทั้งหลาย อย่างน้อยก็สบายใจได้ว่า แคว้นต้าเจียมีผู้สืบทอดบัลลังก์มังกรแล้วในแต่ละวันขององค์ชายน้อยหย่งเฉิงมีเสด็จย่าทั้งสองและท่านยายผลัดกันมาดูแล คือเสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้ เสด็จย่าไทเฮากู้ชุนฉือ และท่านยายเจียงจือไฉ แต่เสด็จย่าไทเฮาสือจินอวี้จะได้เปรียบมากกว่าเพราะประทับในวังเช่นเดียวกัน จึงมาดูแลเกือบทุกวัน เว้นแต่วันที่เสด็จย่าไทเฮ
พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาเป็นไปอย่างเรียบง่ายตามความประสงค์ของสุ่ยเฉินเฟิง ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาได้รับการปรับปรุงใหม่ มีห้องสำหรับทารกติดกับห้องบรรทมของฮองเฮา สำหรับฮ่องเต้เทียนคงอิงฉงนั้นแม้จะมีตำหนักเฉียนชิง แต่พระองค์ก็จะมาบรรทมที่ตำหนักคุนหนิงเป็นประจำ เว้นแต่ช่วงที่ทรงงานดึกจึงจะพักผ่อนที่ตำหนักเฉียนชิงเพื่อให้ฮองเฮาพักผ่อนเต็มที่ ไม่ต้องตื่นกลางดึกสุ่ยฝานหรงซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีนั้น บางวันจะพาเหมยกุ้ยเข้าวังมาส่งที่ตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้า และมารับกลับหลังจากประชุมขุนนางเสร็จ ชีวิตของสุ่ยเฉินเฟิงจึงไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนถิงถิงซึ่งบัดนี้เป็นนางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาก็ช่างมีเรื่องซุบซิบมาเล่าให้ฟัง แม้กระทั่งองค์หญิงนาราที่เสวยผลไป่เซียงกั่วเพื่อให้เกิดผื่นจะได้ยืดเวลาการอยู่ในวังหลวงเพื่อมีเวลาขอถวายตัวเป็นสนมก็มาเล่าให้ฟัง เรียกได้ว่าทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ถิงถิงไม่ค่อยจะพลาดข่าว ถิงถิงมีความเห็นว่ารู้มากหน่อยดีกว่ารู้น้อยไปเมื่อสุ่ยฝานหรงเข้ารับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแล้ว ฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ก็ต้องวางกำลังคนที่ไว้ใจให้ควบคุมหน่วยกำลัง
ไทเฮาสือจินอวี้ลุกขึ้นจากที่ประทับ ตรงไปยังองค์หญิงนาราที่นั่งคุกเข่า ใช้สองพระหัตถ์แตะไหล่ประคองให้องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วตรัสว่า “องค์หญิงนารามีหน้าตาสวยงามและเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม่ควรจะมาเป็นสนม ความหวังดีนี้ไม่อาจรับไว้ได้ ขอให้แคว้นต้าเจียและเผ่าตู้ผูกพันเป็นมิตรที่ดีต่อกันเถิด”ภายนอกมีเสียงดังขึ้นว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”เมื่อร่างสูงสง่าของฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในโถงกลางของวังหลัง พระองค์ทำความเคารพไทเฮาก่อน แล้วจึงหันไปตรัสแก่ผู้อื่นที่ทำความเคารพว่า “ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงน้อยมองด้วยสายตาหลงใหลเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อยแล้วตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เจิ้นขอบใจในน้ำใจของถู่ซือและองค์หญิง แต่ไม่อาจรับไว้ได้ ต้าเจียและเผ่าตู้ไม่จำเป็นต้องผูกพันกันด้วยการอภิเษกหรือการเป็นสนม แต่ยังเป็นพันธมิตรกันต่อไปได้”องค์หญิงน้อยทำได้เพียงกล่าวเสียงเบาว่า “เพคะ” รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธแม้แต่การเป็นสนม เทียนตี้หย่งหันไปทางทูตเผ่าตู้แล้วตรัสว่า “เผ่าตู้มีสินค้าหายากหลายอย่างที่ต้าเจียไม่มี เจิ้นจะให้ทูตการค้าต้าเจียหารือเรื่องการพัฒนาการค้าขายระหว่างกันดีห
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เทียนตี้หย่ง ขึ้นครองราชย์สถาปนาเป็นฮ่องเต้เทียนคงอิงฉง ราษฎรทั่วแคว้นต้าเจียเฉลิมฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกเขาล้วนมีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าครั้งใดที่เคยหวัง ต่างแคว้นล้วนส่งทูตมาแสดงความยินดี ไม่มีแคว้นใดหาญกล้าทดสอบความแข็งแกร่งของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เผ่าตู้เป็นชนเผ่าที่เคยถูกแคว้นต้าเลี่ยงรุกรานและสร้างความอัปยศให้แก่องค์หญิงหลายองค์จนปลิดชีพตนเอง เมื่อแคว้นต้าเจียปราบปรามแคว้นต้าเลี่ยงทำให้เผ่าตู้ได้รับอิสระอีกครั้ง เมื่อมาแสดงความยินดีในครั้งนี้ มีองค์หญิงน้อยเผ่าตู้ร่วมเดินทางมาด้วย องค์หญิงนาราเป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ปลอดภัยจากการรุกราน เนื่องจากช่วงเวลานั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเผ่าตู้ ในท้องพระโรง พระเจ้าเทียนคงอิงฉง เทียนตี้หย่ง ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ขาวใส ดวงตาดำขลับยาวรีปลายชี้ฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ช่างสง่างามเหลือเกิน องค์หญิงน้อยมองดูด้วยความตะลึง หลงรักบุรุษผู้สง่างามนี้ทันทีเทียนตี้หย่งแย้มพระโอษฐ์ขอบคุณแคว้นต่าง ๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดี และเชิญทูตทุกแคว้นทุกชนเผ่าเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น เนื่องจากยังไม่มีการแต่งตั
หลังจากพระเจ้าเต๋อหมิงได้รับบาดเจ็บ คณะหมอหลวงก็พยายามทุกวิธีในการรักษา เพราะฤทธิ์ยาระงับความเจ็บปวดที่หมอหลวงปรุงขึ้น แม้พระพักตร์จะขาวซีดแต่ก็ไม่แสดงถึงความเจ็บปวด เวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ลมหายใจที่แผ่วเบานั้นก็หยุดนิ่ง หัวหน้าหมอหลวงตรวจชีพจรอีกครั้งก่อนจะหันมาทูลต่อไทเฮาสือจินอวี้ว่า“พระองค์กลับคืนสู่สวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาสือจินอวี้ตัวอ่อน เป็นลมล้มพับ ฉินอ๋อง เทียนตี้หย่ง ที่ยืนอยู่ใกล้กันรับตัวเสด็จป้าสะใภ้ไว้ทันก่อนพระวรกายกระทบพื้น หมอหลวงแบ่งคนมาปฐมพยาบาลไทเฮา ความเศร้าโศกเสียใจล้นห้องบรรทมออกไปครอบคลุมวังหลวงและกระจายออกไปทั่วแคว้น พระเจ้าเต๋อหมิงเป็นผู้ปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตา จึงเป็นที่รักใคร่ของราษฎร ในช่วงเวลาอันเศร้าหมอง ฉินอ๋องเป็นกำลังหลักในการสั่งการเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยหลังจากพิธีการต่าง ๆ ผ่านพ้นไป ไทเฮาสือจินอวี้ก็เรียกฉินอ๋องเข้าเฝ้า สุ่ยเฉินเฟิงดูแลเครื่องแต่งกายให้พระสวามี ฉินอ๋องใช้นิ้วดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น“เฟิงเอ๋อร์ เจ้ากังวลอะไรหรือ”สุ่ยเฉินเฟิงถอนหายใจ “ไม่แน่ว่าการเรียกตัวเข้าเฝ้าในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ว่างอยู่เพ
พระเจ้าเต๋อหมิงบาดเจ็บสาหัส นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุพระองค์ก็ยังไม่ลืมพระเนตรขึ้นมา มีเพียงชีพจรและลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เกิดความโกลาหลในการบริหารงานเล็กน้อย ไทเฮาสือจินอวี้ต้องออกนั่งเป็นประธานการประชุมขุนนางในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระนางไม่ประทับบนบัลลังก์มังกร แต่กลับให้คนนำเก้าอี้หงส์จากตำหนักของพระนางมาใช้ประทับเป็นการชั่วคราวแม้ว่าปกติไม่ว่าไทเฮาหรือฮองเฮาพระองค์ใดก็ตาม ไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของวังหลวงได้ ผู้เป็นมารดาของแผ่นดินมีหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลวังหลังให้เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่สถานการณ์ของแคว้นต้าเจียในคราวนี้แตกต่างออกไป พระเจ้าเต๋อหมิงไม่ได้อภิเษกสมรสเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ให้กับไท่ซ่างหวงซึ่งก็คือเสด็จพ่อของพระองค์นั่นเอง อีกทั้งพระเจ้าเต๋อหมิงก็ไม่มีสนมจึงยังไม่มีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาแม้แต่พระองค์เดียว แคว้นต้าเจียจึงยังไม่มีรัชทายาทเดิมทีเหล่าขุนนางตั้งใจว่าหลังจากพ้นการไว้ทุกข์ให้ไท่ซ่างหวงแล้ว พวกเขาจะกดดันให้พระเจ้าเต๋อหมิงอภิเษกสมรสและแต่งตั้งฮองเฮา รวมทั้งให้เริ่มการคัดเลือกสนมเข้ามาปรนนิบัติตามธรรมเนียมท
ก่อนที่สุ่ยฝานหรงจะออกไป ฉินอ๋องสั่งการเพิ่มเติมว่า “ตอนที่จับกุมเมิ่งกุ้ยเฟย คนที่สุสานบรรพชนล้วนถูกลงโทษ นางกำนัลอู่ก็ติดตามกุ้ยเฟยไปที่สุสานด้วย ท่านตรวจสอบด้วยว่าผู้ใดช่วยเหลือให้นางหลบหนีจนรอดพ้นได้” “พ่ะย่ะค่ะ”สุ่ยฝานหรงออกไปแล้ว ฉินอ๋องกลับเข้าไปในห้องบรรทมของพระเจ้าเต๋อหมิง มีโต๊ะวางไว้มุมห้อง เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ จางชุนรินน้ำชาส่งให้ เขารับมาถือไว้นิ่ง ๆ มองตรงไปก็เห็นญาติผู้พี่นอนนิ่ง พระพักตร์ซีดเซียว นี่คือสิ่งที่เขากังวลอยู่เสมอว่าจะเกิดขึ้น และแล้วก็เกิดขึ้นจริง พี่สี่ของเขาพระทัยอ่อน ใช้สายพระเนตรที่เมตตามองผู้คนโดยรอบ ใช้พระคุณแต่เพียงอย่างเดียวในการปกครองเวลาผ่านไป แม่ทัพใหญ่สุ่ยฝานหรงกลับมาอีกครั้งเมื่อเข้ายามอิ๋น เขาสีหน้าไม่ดีนัก รายงานว่า“ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางกำนัลอู่ไม่ถูกจับกุมเพราะนางลากลับบ้านเดิมเพื่อจัดการงานศพของมารดา เมื่องานศพเสร็จแล้ว ระหว่างทางที่เดินทางกลับเมืองหลวง ก็ได้ข่าวว่าคนที่สุสานบรรพชนถูกจับกุม นางจึงซ่อนเร้นตัว เมื่อทหารที่ไปตรวจค้นสุสานบรรพชนและทำลายเห็ดเมากลับไปแล้ว นางก็ลักลอบเข้าไปในสุสานบรรพชน เพราะนางอยู่ที่นั่นกั
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ หลานจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้สภาพในคุกไม่เหมาะสำหรับผู้บาดเจ็บ” เขาหันถามหัวหน้าหมอหลวงว่า “จะเคลื่อนย้ายฝ่าบาทได้หรือไม่ หรือต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน”หัวหน้าหมอหลวงตอบว่า “สามารถเคลื่อนย้ายได้แล้วพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง คุกหลวงไม่เหมาะกับการรักษาผู้ป่วยจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุด พระเจ้าเต๋อหมิงก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังตำหนักเฉียนชิง ฉินอ๋องประคองไทเฮา สือจินอวี้ไปพร้อมกัน โดยให้สุ่ยฝานหรงซึ่งตามมาถึงแล้ว ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ไทเฮานั่งกุมพระหัตถ์พระราชโอรส พระพักตร์ของพระองค์และพระเจ้าเต๋อหมิงซีดขาวพอกัน"เสด็จป้าสะใภ้พักผ่อนก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ไทเฮาสือจินอวี้ส่ายพระพักตร์ “ป้าสะใภ้จะเฝ้าเต๋อเอ๋อร์ เมื่อเขาฟื้นจะได้เห็นหน้าแม่เป็นคนแรก”“ถ้าเช่นนั้นหลานจะให้คนจัดห้องด้านข้างเป็นที่บรรทมชั่วคราวดีไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จป้าสะใภ้ไปพักผ่อนก่อน มิฉะนั้นอาจจะประชวรไปอีกพระองค์ หากพี่สี่รู้สึกตัวแม้เพียงเล็กน้อยจะให้คนไปทูลให้ทรงทราบทันที”ไทเฮาพยักพระพักตร์ ฉินอ๋องจึงสั่งให้ขันทีประจำตำหนักเฉียนชิงเร่งจัดห้องบรรทมช