ห้าเดือนต่อมาจิ่วเม่ยก็คลอดบุตรชายอวบอ้วนออกมาให้ซูเต๋อได้เชยชม ซูเจินนางยังเฝ้าน้องชายของนางอยู่ไม่ห่างข่าวของหวงจือที่อยู่ในเมืองหลวงก็ถูกส่งกลับมาที่หมู่บ้าน เขาสอบซิ่วไฉผ่านในวัยเพียงสิบเจ็ดหนาว และปีหน้าจะสอบจวี่เหรินอีกด้วยคนตระกูลหวงจึงคิดจะเดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อไปดูความเป็นอยู่ของเขา“เจินเออร์ เจ้าอยากไปกับยายหรือไม่” ป้าหวงเอ่ยถามซูเจิน“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะอยู่ดูน้องชาย” นางไม่รู้ว่าจะไปทำอันใดที่เมืองหลวง อยากจะรอให้น้องชายโตเสียก่อนค่อยคิดจะเดินทางไปเที่ยวเมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ป้าหวงจึงไม่คิดจะบังคับนางต่อ นางกลับเรือนของตนเพื่อไปจัดการเก็บข้าวของ ทั้งยังบอกจะซื้อของมาฝากซูเจินอีกด้วยลุงหวงมิได้ทำหน้าที่ผู้นำหมู่บ้านแล้ว เป็นหวงไฉที่ทำหน้าที่แทนเขา หวงไฉจึงไม่ได้ออกเดินทางไปด้วย เพราะเป็นห่วงทางหมู่บ้านที่ปีนี้ดูจะแล้งกว่าปีที่แล้วมากนักซูเจินเอ่ยถามเรื่องตาน้ำกับสหายทั้งสามของนาง ถึงแม้ในหมู่บ้านตงหยานจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่หมู่บ้านหูต้าที่อยู่ติดกันได้รับผลกระทบไม่น้อยผู้นำหมู่บ้านหูต้าต้องเดินทางมาคุยกับหวงไฉ เพื่อขอให้ชาวบ้านเดินทางมาตักน้ำที่ยังมีอีกมากในหมู่
ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ซูเต๋อและหวงไฉก็พาชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปที่หมู่บ้านหูต้า เมื่อมาถึงที่ทางเข้าหมู่บ้านก็พบว่าท่านเจ้าเมืองมารอพวกเขาอยู่แล้ว“อาเต๋อเจ้ามาแล้ว” ท่านเจ้าเมืองเดินเข้ามารับซูเต๋อที่รถม้าอย่างยินดี“คารวะท่านเจ้าเมืองขอรับ” ซูเต๋อยังคงนอบน้อมเช่นเดิม“เพ้ย ไปไป เข้าไปในหมู่บ้านกันเถิด ข้าอยากจะเห็นแล้วว่าเจ้าหาตาน้ำเช่นไร” ซูเต๋อเดินตามท่านเจ้าเมืองเข้าไปในหมู่บ้าน เขาไม่ได้รีบไปที่ตาน้ำตามที่ซูเจินนางบอก เสี่ยวอี่ยังติดตามเขามาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้นหัวหน้าหมู่บ้านลองทำตามวิธีของซูเต๋อก่อนที่เขาจะมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีไอน้ำขึ้นมาจากดินเช่นที่ดินของซูเต๋อเลยสักนิด“ข้าสำรวจแล้วหนึ่งรอบ แต่ไม่พบไอน้ำอย่างที่เจ้าว่า” เขาเอ่ยออกมาอย่างกังวลหากที่หมู่บ้านหูต้าไม่มีตาน้ำ ก็คงต้องรบกวนหมู่บ้านตงหยานต่อไป“เรื่องนี้ท่านอย่าเพิ่งกังวล ตอนที่ท่านสำรวจฟ้าคงยังมืดอยู่จึงไม่อาจเห็นได้ชัด” ซูเต๋อก็ไม่รู้เช่นกันว่าสิ่งที่เขาพูดจะถูกต้องหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากให้หัวหน้าหมู่บ้านกังวลใจพอฟ้าใกล้สาง ซูเต๋อก็เดินนำไปตามเส้นทางที่สอบถามซูเจินมาก่อนหน้านี้แล้วทันที เส
วันต่อมาเป็นเช่นที่ซูเต๋อว่าจริงๆ เมื่อท่านเจ้าเมืองส่งเจ้าหน้าที่มาที่เรือนของซูเต๋อ เพื่อตามเขาไปดูแหล่งน้ำในหมู่บ้านอื่น เสี่ยวอี่ยังทำหน้าที่ตามเดิมติดตามซูเต๋อไปด้วยเพียงห้าวันที่ซูเต๋อออกไปจัดการเรื่องน้ำให้หมู่บ้านอื่น ทางเมืองหลวงก็ส่งม้าเร็วกลับมาที่หมู่บ้านพร้อมทั้งขุนนางกรมโยธาที่มีใต้เท้าหานเดินทางมาด้วยตนเอง“อาเต๋อ เจ้าช่างทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก” ใต้เท้าหานพบหน้าซูเต๋อก็เอ่ยออกมาทันทีเพียงไม่ถึงปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซูเต๋อก็สร้างเรื่องประหลาดใจเพิ่มให้เขาอีกแล้ว แม้แต่ขุนนางที่ระดมหัวคิดทั่วทั้งเมืองหลวงไม่อาจจะคิดแก้ไขได้ แต่ซูเต๋อที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาถึงจะมีตำแหน่งขุนนางขั้นแปดอยู่กลับคิดออกมาได้“คารวะใต้เท้าหานขอรับ ข้าน้อยเพียงลองผิดลองถูกแล้วพบตาน้ำในที่ดินของตนเอง จึงได้ลองนำไปช่วยเหลือชาวบ้านขอรับ”“เพ้ย เจ้านี่น่า เลิกถ่อมตัวเช่นนี้ได้แล้ว ข้าอ่านรายงานของเจ้าเมืองเหอหนานแล้ว แต่เมื่อลองออกสำรวจผืนดินก็ไม่อาจพบน้ำเช่นที่เจ้าพบ เจ้าทำได้อย่างไร” “พรุ่งนี้ข้าน้อยต้องไปที่หมู่บ้านหูจง ท่านไปด้วยดีหรือไม่ ตอนนั้นท่านจะได้รู้ว่าข้าจัดการเช่นไร” “ได้ ได้ ข้าย
ราชโองการแต่งตั้งซูเต๋อเดินทางมาที่เมืองเหอหนานหลังจากที่ใต้เท้าหานเดินทางกลับไปเมืองหลวงได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้นยังดีที่ซูเต๋อไม่ต้องเข้าไปอยู่ที่เมืองหลวงในยามนี้ กงกงที่มาแจ้งราชโองการ บอกให้เขาจัดการปัญหาที่หัวเมืองใกล้เคียงเหอหนานให้เรียบร้อยเสียก่อน ค่อยเดินทางเข้าเมืองหลวงไปรับตำแหน่งใต้เท้าหานยังส่งเจ้าหน้าที่กรมโยธามาช่วยเหลืองานของซูเต๋ออีกด้วย แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ที่สอบหน้าพระพักตร์จนได้เป็นขุนนาง แต่พวกเขาจำต้องเกรงใจซูเต๋ออยู่สองส่วนเพราะเขาได้ตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ดแล้ว และอีกอย่างตอนนี้เขาก็ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อยู่ไม่น้อยแต่ซูเต๋อก็มิได้แสดงท่าทีอวดอำนาจกับเจ้าหน้าที่สักคน ต่างทำงานร่วมกับพวกเขาอย่างเต็มที่ ทั้งยังให้ความสนิทสนมเช่นสหายกับทุกคน เรื่องนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ที่มาทำงานต่างชื่นชมเขาอยู่ไม่น้อยผู้ใดจะคิดว่าชีวิตที่กำลังไปได้ดีของซูเต๋อจะมีเรื่องน่าปวดหัวไม่น้อย เพราะต้าหลางกับนางไห่ซื่อมาพบพวกเขาที่เรือน“มีเรื่องอันใดขอรับ” “อาเต๋อ เจ้ายังเป็นบุตรชายของข้าอยู่หรือไม่ ได้ดีถึงเพียงนี้แต่ไม่คิดจะช่วยเหลือบิดาหรือน้องชาย” ซูเต๋อมิได้แสดงท่าทีเช่นใด
ซูเจินนางได้ติดตามบิดามาด้วย เพราะนางคิดว่านางคงมีประโยชน์ไม่น้อย เมื่อขบวนเดินทางมาถึง สองพ่อลูกได้แต่มองแม่น้ำที่เกือบจะแห้งขอดและผืนดินที่แตกระแหงจนไม่อาจเพาะปลูกสิ่งใดได้“เป็นถึงขั้นนี้เลยหรือ” ซูเจินตกตะลึงกับภาพตรงหน้าไม่น้อย“เจ้าอยู่แต่ในหมู่บ้านจึงไม่รู้ว่าภัยแล้งปีนี้สาหัสยิ่งนัก” ซูเต๋อเหม่อมองไปที่ด้านนอกรถม้าเช่นเดียวกับบุตรสาวเขาคิดไม่ถึงว่าเมืองเหอโจวที่อยู่ติดกับเมืองเหอหนานจะย่ำแย่กว่ามากนัก หากไม่พาบุตรสาวมาด้วยเขาก็ไม่รู้ว่าวิธีการที่เคยทำจะได้ผลหรือไม่คืนนั้นระหว่างที่เข้าพักในสถานที่ที่ท่านเจ้าเมืองเหอโจวจัดให้ ซูเจินนางก็รับฟังเรื่องราวที่สหายทั้งสามของนางออกไปสืบถามมาจากพวกสัตว์ตัวอื่น“นายหญิงท่านต้องรีบลงมือแล้วเจ้าค่ะ สัตว์ในป่าก็แทบจะหาแหล่งน้ำไม่ได้แล้ว” เสี่ยวเตี๋ยเอ่ยอย่างร้อนรน“ใช่นายหญิง สัตว์ใต้ดินล้มตายกันมากมายแล้วขอรับ” เสี่ยวอี่พูดด้วยเสียงสั่นเทา“แล้วข้าจะทำอันใดได้บ้าง”“ท่านถามหลันฮวาดีหรือไม่” เสี่ยวมี่ออกความเห็นออกมาทั้งสี่จึงเข้าไปในมิติ เพื่อนำเรื่องราวไปปรึกษาหลันฮวา“นายหญิงท่านต้องไปที่ภูเขาหลานซาน เพื่อไปดูแหล่งต้นน้ำเจ้าค่ะ” “อย
ขากลับยังเป็นเหลาหู่ที่พาสองพ่อลูกนั่งบนหลังของมัน พาออกไปส่งถึงที่พัก โดยมีหลันฮวาที่พาหลบสายตาของชาวบ้านที่ออกมานอกเรือนเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเหลาหู่เข้าไปอยู่ในมิติกับหลันฮวา ซูเจินนางก็ถูกบิดาพาเข้าไปนอนที่ห้องของนาง รุ่งเช้าเมื่อทั้งสองตื่นขึ้นก็เห็นชาวบ้านและชาวเมืองของเหอโจวออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างหนาหู“อาเต๋อเห็นทีพวกเราคงมาเสียเที่ยวแล้ว” หวงไฉที่ติดตามมาด้วยพูดขึ้นเมื่อสองพ่อลูกออกมาจากห้องพัก“เกิดอันใดขึ้น” ซูเต๋อแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน“ไม่รู้ว่าเทพองค์ใดช่วยเมืองเหอโจวไว้ เมื่อคืนปรากฏแสงสีขาวสว่างไปทั่วทั้งเมือง เมื่อเช้าข้าไปดูแม่น้ำที่ชาวบ้านพูดถึงกัน ช่างน่าประหลาดนัก เพียงคืนเดียวแม่น้ำที่แห้งขอกลับมีน้ำเต็มแม่น้ำ” หวงไฉแสดงท่าทางไปด้วยขนาดที่เขากำลังเล่าออกมาสองพ่อลูกต้องแสดงละครตบตาได้อย่างแนบเนียน ทั้งยกมือขึ้นปิดปาก ทั้งเบิกตากว้างอย่างตกใจ จนสหายของซูเจินทั้งสามทนมองไม่ไหวต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น“เช่นนั้นหรือ ไปเจินเออร์ ไปดูให้เห็นกลับตา” ซูเต๋อรีบจูงมือบุตรสาวฝ่าฝูงคนที่เดินสัญจรไปมาจนเต็มท้องถนน เพื่
ซูเจินมองบิดา เพื่อขอความเห็น เมื่อเห็นว่าเขาพยักหน้าให้นางจึงเอ่ยเรียกออกมา“เจ้าค่ะ ท่านปู่หาน”“ดีดี เด็กดี ปู่ไม่ได้เตรียมอันใดมาให้เจ้า เช่นนั้นรับสิ่งนี้ไว้ เป็นของขวัญพบหน้าก็แล้วกัน” ใต้เท้าหานดึงหยกพกที่อยู่ที่เอวของเขาออกมามอบให้ซูเจิน“ท่านใต้เท้า มากไปขอรับ” ซูเต๋อรีบเอ่ยแย้งทันที“ไม่มาก ไม่มาก ข้ารับนางเป็นหลานสาวแล้วจะเรียกว่ามากได้อย่างไร อาเต๋อต่อไปเจ้าก็เรียกข้าท่านอาก็แล้วกัน อย่าได้เรียกใต้เท้าอีกเลย” ใต้เท้าหานโบกมือให้ซูเต๋ออย่างใจกว้างเมื่อเห็นว่าเลี่ยงไม่ได้ และการที่เขาเรียกใต้เท้าหานว่าท่านอาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ซูเต๋อจริงได้เอ่ยเรียกเขาอย่างนอบน้อม“ขอรับ ท่านอาหาน”เมื่อมาถึงที่พักของใต้เท้าหาน เขาก็พาสองพ่อลูกเข้าไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวทันที“อาเต๋อ ข้าไม่ขอปิดบังเจ้าที่ฮ่องเต้ส่งข้ามาที่เมืองเหอโจวในครั้งนี้เพื่อตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น เจ้ารู้สิ่งใดมาก็บอกกล่าวข้าเสียเถิด” ใต้เท้าหานเอ่ยเข้าเรื่องทันที“เอ่อ เรื่องนี้” ซูเต๋อไม่รู้จะบอกกล่าวเช่นไร จึงหันไปหาบุตรสาวที่นั่งกินของว่างอย่างสบายใจอยู่ด้านข้าง“หลันฮวา เจ้าคิดว่าท่านปู่หานเป็นคนเช่นไร ข้
ซูเต๋อส่ายหัวก่อนจะดูบุตรสาวของเขา เขารู้ว่าคงเป็นพลังของหลันฮวาที่ปกปิดตัวตนของซูเจินนางไว้“เจินเออร์ อย่าเล่นเช่นนี้” “ไม่เล่นแล้วเจ้าค่ะ ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านปู่ตกใจ” ยิ่งเป็นซูเจินปรากฏกายออกมาจากความว่างเปล่าใต้เท้าหานก็ล้มหงายหลังทันที ยังดีที่ซูเต๋ออยู่ใกล้และรับเขาไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มกระแทกพื้นไปเสียก่อน“เจ้าทำได้อย่างไร ไม่ ไม่ ข้ารู้แล้ว เจ้าเป็นนายหญิงแห่งพฤกษาอย่างแท้จริง” กว่าที่สติเขาจะกลับมาได้เช่นเดิมก็ต้องดื่มชาไปเสียหลายแก้วพวกเขาคุยกันต่ออีกหลายประโยคก่อนที่สองพ่อลูกจะขอตัวกลับที่พัก เพื่อให้ใต้เท้าหานที่เดินทางมาอย่างเร่งรีบได้พักผ่อนใต้เท้าหานอยู่ที่เมืองเหอโจวต่ออีกเพียงแค่สองวัน เพื่อตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงภายในเมืองด้วยตาตนเอง ก่อนจะนำเรื่องกลับไปรายงานให้ฮ่องเต้รับทราบส่วนขุนนางที่แอบฟังเรื่องที่เขาพูดคุยกับซูเต๋อ สอบสวนแล้ว เขายังไม่ทันได้ยินเรื่องอันใดก็ถูกผึ้งต่อยเข้าเสียก่อน ใต้เท้าหานคุมตัวกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อให้ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เอง“อาเต๋อ หากได้เรื่องเช่นไร ข้าจะรีบส่งข่าวให้เจ้าทันที เจินเออร์ปู่หวังว่าพวกเราจะได้พบกันอีกในไม่ช้
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู
แต่เยี่ยนเฟยหยางก็อาลัยอาวรณ์นางอยู่ไม่น้อย เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องแยกจาก กลายเป็นว่าแทนที่เขาจะทุ่มเทเอาเวลาไปฝึก กลับไล่จ้าวลู่เทียนออกไปด้านนอกมิติ แล้วอยู่ด้านในมิติกับซูเจินแทน“ท่านไล่พี่เทียนไปแล้ว หากท่านพ่อมิเห็นท่านอยู่ด้านนอกจะคิดเช่นไรเจ้าคะ” นางเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ“ไม่เห็นจะเป็นอันใด ดีเสียอีกที่เปิ่นหวางจะได้แต่งเจ้าเข้าตำหนักเสียเลย ทั้งยังพาเจ้าไปที่ชายแดนเหนือพร้อมกันได้อีกด้วย” เขากุมมือของนางไว้แน่น พร้อมทั้งจ้องมองนางอย่างหลงใหล“เพ้ย ภายในหัวของท่านมีแต่เรื่องใดกันแน่ข้าอยากจะรู้นัก”“อยากรู้จริงหรือไม่” เสียงกระซิบของเยี่ยนเฟยหยางที่ดังข้างหูของนาง ทำให้ขนหัวของซูเจินลุกขึ้นทันทีนางรีบชักเท้าถอยหลัง แต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเยี่ยนเฟยหยางรั้งคอของนางไว้ พร้อมทั้งก้มลงมาประกบริมฝีปากของเขากับของนางทันที“อย่าดื้อ เปิ่นหวางจะออกเดินทางแล้ว” เยี่ยนเฟยหยางขบที่ริมฝีปากของซูเจินเบาๆ เพื่อให้นางเปิดช่องทางให้เรียวลิ้นของเขาแทรกเข้าไปได้ซูเจินนางก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะอย่างไรอีกไม่กี่วันเขาก็จะออกเดินทางแล้วฝ่ามือของเยี่ยนเฟยหยางลูบคลำไปตามแผ่นหลังของซูเจิน “อื้ออ” นา
พอรุ่งเช้ามาเยือน เมื่อไม่เห็นทั้งสามคนออกมาจากห้องพัก ใต้เท้าหานและซูเต๋อก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคงจะยังอยู่ในมิติ จึงได้ออกไปจัดการเรื่องสร้างเขื่อนแทนซูเจินนางออกมาจากมิติ เมื่อด้านนอกผ่านไปได้หนึ่งวันแล้ว นางรีบให้สวีกงกงจัดหาจวนหลังใหญ่ให้ทันที เพราะต้องนำเสบียงอาหารออกมาให้ชาวบ้านได้ประทังชีวิตสวีกงกงก็จัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อย ทั้งยังจัดหาคน เพื่อจัดการเรื่องนำเสบียงออกไปแจกจ่าย โดยมีเขาคอยควบคุมเรื่องนี้ด้วยตนเองอยู่ทุกขั้นตอนเจ้าเมืองจั่วที่ไม่เห็นหน้าเยี่ยนเฟยหยางเลยสักวัน จะเอ่ยถามก็ไม่กล้า จึงได้แต่ลอบถอนหายใจคิดว่าเขาเดินทางกลับไปแล้ว จึงคิดที่พาให้คนไปรับตัวบุตรสาวกลับมาอยู่ที่จวนเช่นเดิมซูเจินนางออกไปตรวจสอบความเสียหายรอบๆ เมืองกับสหายทั้งสามของนางที่กลับมามีรูปลักษณ์เช่นเดิมเมื่ออยู่ด้านนอก และในอ้อมแขนของนางยังมีเหล่าหู่ที่ดูเหมือนลูกแมวน้อยด้วยอีกตัวรอบเมืองที่โดนน้ำท่วมมีความเสียหายมากนัก นางจึงคิดที่จะให้ชาวบ้านปลูกพืชที่สามารถเติบโตในน้ำได้ดี นางจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวใต้เท้าหานให้ช่วยจัดการหากให้นางบอกกล่าวขุนนางกรมเกษตรที่อยู่ในเมืองหนานไห่พวกเขาคงมิ
หลันฮวาที่เห็นเสี่ยวอี่เปลี่ยนไปก็กำลังจะเอ่ยถาม แต่กลับถูกเขาร้องห้ามไว้เสียก่อน“ไปดูนายหญิงก่อนเร็วเข้า”“นายหญิงเป็นอันใด”“นางลงไปแช่น้ำในถ้ำของเหล่าหู่ ตอนนี้กำลังร้องอย่างเจ็บปวด” หลันฮวาไม่ทันได้แจ้งคนอื่นนางรีบบินตามเสี่ยวมี่ไปที่ถ้ำของเหล่าหู่ทันทีใต้เท้าหานกับซูเต๋อก็รีบตามไปอย่างร้อนใจ เยี่ยนเฟยหยางที่กำลังช่วยจ้าวลู่เทียนฝึกเดินลมปราณก็พบความผิดปกติ จึงได้พากันติดตามไปด้วยเมื่อเข้าใกล้ถ้ำของเหล่าหู่ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เกือบจะทำให้ทั้งสี่เสียสติ ซูเต๋อที่ใกล้ชิดบุตรสาวมากที่สุด เขายังไม่เคยเห็นนางร้องเช่นนี้มาก่อนเยี่ยนเฟยหยางมิอาจทนได้ เขาอยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดเรื่องอันใดกับนางกันแน่ แต่เมื่อถึงปากถ้ำทั้งสี่ก็ถูกเหล่าหู่และเสี่ยวอี่ขวางเอาไว้“ตอนนี้นายหญิงอยู่ในน้ำ พวกท่านมิอาจเข้าไปได้ขอรับ” เสี่ยวอี่เอ่ยขึ้นมา เขาจะปล่อยให้บุรุษทั้งสี่เห็นสภาพที่เปลือยเปล่าของนายหญิงได้อย่างไร“เหตุใดนางถึงได้ดูเจ็บปวดเช่นนี้” เยี่ยนเฟยหยางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ”พวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่รอให้หลันฮวาออกมาหรือไม่ก็รอให้ซูเจินนางออก