ก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะคว้าแขนของซูเจิน นางก็เตะเข้าที่ขาของเขา ตำแหน่งเดิมที่เขาถูกเตะในครั้งนั้นพอดี“โอ๊ยยย เจ้า” เยี่ยนเฟยหยางล้มไปกองกับพื้นหิมะ กุมขาอย่างเจ็บปวด“ข้าก็นึกว่าเจ้าจะเก่งขึ้นแล้วเสียอีก ที่ไหนได้ ก็ยังเป็นเช่นเดิม” ซูเจินยื่นหน้าไปพูดกับเยี่ยนเฟยหยางอย่างเยาะเย้ย“เจ้า เจ้าบังอาจนัก กล้าพูดกับเปิ่นหวางเช่นนี้รึ” เขาร้องออกมาเสียงดัง จนผู้อื่นที่พูดคุยกันอยู่ภายในห้องโถงต้องรีบวิ่งมาดูทันที“แล้วอย่างไร ท่านจะเขียนสารไปฟ้องเสด็จพ่อของท่านหรือไม่เล่า” ซูเจินผายมือเช่นที่เขาทำตอนอยู่ในห้องโถง“เกิดเรื่องอันใดขึ้น อาเทียนเจ้ายังไม่ไปช่วยประคององค์ชายห้าอีกเล่า” แม่ทัพจ้าวหันไปตำหนิบุตรชาย“เจินเออร์ เจ้าทำอันใดลงไป” ซูเต๋ออดที่จะตำหนิบุตรสาวไม่ได้ซูเจินก้มหน้าลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบิดา ด้วยดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำอย่างน่าสงสาร“ข้าเพียงแค่ป้องกันตัวเจ้าค่ะ องค์ชายห้าจะเข้ามาทำร้ายข้า” นางแสร้งทำท่าทีหวาดกลัวเยี่ยนเฟยหยางมีเพียงซูเต๋อและใต้เท้าหานที่ส่ายหัวออกมา ทั้งสองรู้ดีว่านางมิได้หวาดกลัวองค์ชายห้าสักนิด เยี่ยนเฟยหยางกับจ้าวลู่เทียนอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าน
เยี่ยนเฟยหยางเห็นเหยี่ยวแดงตัวงามบินออกมาจากเรือนของซูเจินเข้าพอดี เขามองตามไปอย่างสนใจ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เรือนของนาง เพื่อดูว่าเหยี่ยวเพียงแค่บินผ่านหรือเป็นของนางกันแน่“โอ๊ยยย” เยี่ยนเฟยหยางกุมแก้มไว้แน่น เขากำลังจะเข้าไปในเรือนของซูเจินก็รู้สึกเจ็บปวดที่แก้มขึ้นมาทันทีซูเจินที่ได้ยินเสียงร้อง ทั้งยังรู้มาจากเสี่ยวมี่ด้วยว่ามีเยี่ยนเฟยหยางจะลอบเข้ามา นางจึงได้เดินออกมาดู ก็เห็นเยี่ยนเฟยหยางกุมแก้ม ใบหน้าแดงก่ำมองมาทางนางอย่างโกรธแค้น“เพ้ย เปิ่นหวางเข้าใกล้เจ้าครั้งใด เป็นต้องพบเคราะห์ร้ายไปเสียทุกครั้ง” แก้มของเขาเริ่มจะปูดบวมอย่างเห็นได้ชัด“แล้วผู้ใดให้พระองค์เข้ามากันเล่า” ซูเจินเกือบจะหลุดหัวเราะออกมานางเดินเข้ามาดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บมากเพียงใด และกลัวว่าเขาจะแพ้พิษผึ้งจนถึงแก่ชีวิตได้“เจ้าจะทำอันใด” เยี่ยนเฟยหยางถอยหนีไปสองก้าว“หม่อมฉันเพียงจะดูให้ว่าพระองค์เป็นเช่นใดบ้าง หากไม่ต้องการเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวเพคะ” ซูเจินส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ที่นางต้องพบเจอเด็กดื้อรั้นเช่นเยี่ยนเฟยหยาง“ยังไปมิได้ เจ้าทำให้เปิ่นหวางบาดเจ็บ รีบมาดูให้เปิ่นหวางประเดี๋ยวนี้” เยี่ยนเฟยหยางเอ่ย
ไม่รู้ว่าเขาจะไปโยนทิ้งที่ไหนหรือไม่ นางคงต้องบอกให้เสี่ยวอี่ไปแจ้งพวกมด แมลงในจวนคอยจับตาดูเสียแล้ว หากเขาโยนทิ้งนางจะได้ไปเก็บกลับมาแต่ผิดคาดเยี่ยนเฟยหยางมิได้โยนทิ้ง เขาเก็บรักษาไว้อย่างดี เมื่อเขากลับมาถึงเรือนพัก จึงได้รู้ว่าผ้าเช็ดหน้าของนางช่างแตกต่างจากผ้าที่เขาเคยพบเห็นแม้มันจะห่อหุ้มหิมะไว้ แต่ก็มีเพียงความเย็นเท่านั้นที่ถูกส่งออกมา หาได้มีน้ำออกมาจนเปียกมือไม่ อีกทั้งตอนนี้ใบหน้าของเขาก็ยุบลงจนกลับมาเป็นเช่นเดิม แม้แต่รอยที่ถูกผึ้งต่อยก็ไม่หลงเหลือให้เห็นอีกแล้วเยี่ยนเฟยหยางได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ เขายังไม่คิดที่จะเอ่ยถามนาง คงได้แต่จับตาดูนางไปก่อน เพราะนางคงต้องอยู่ที่โจวเป่ยอีกหลายเดือนทางด้านใต้เท้าหานกับซูเต๋อ ที่ได้แม่ทัพจ้าวช่วยนำทหารในค่ายมาใช้แรงงานมากมายก็สร้างกำแพงไฟขึ้นมาในเรือนหลังหนึ่งภายในจวน โดยใช้เวลาเพียงห้าวันเท่านั้นเมื่อตรวจดูความแข็งแรงตามคำเตือนของซูเจินแล้ว ก็สั่งให้ทหารจุดไฟในช่องเตาขึ้นทันที พอควันไฟที่ออกมาไหลไปตามท่อไม้ไผ่ที่ทำขึ้นส่งไปยังห้องต่างๆ ภายในเรือน ก็พบว่าภายในเรือนและห้องนอนอุ่นขึ้น โดยไม่ต้องจุดเตาไฟในห้องเลย“อุ่นขึ้นจริงด้ว
ใต้เท้าหานนำเรื่องที่พูดคุยกับซูเจินหารือกับท่านแม่ทัพ เขาก็เห็นเช่นเดียวกันกับใต้เท้าหานและซูเจิน“เช่นนั้น ข้าจะไปจัดการเรื่องทหารให้ขอรับ” แม่ทัพจ้าวเตรียมตัวจะไปที่ค่ายทหาร แต่ถูกใต้เท้าหานเอ่ยรั้งไว้เสียก่อน“ประเดี๋ยวก่อนยังมีอีกเรื่อง เจินเออร์นางอยากให้ท่านสร้างโรงเรือนให้นาง” “โรงเรือน คือสิ่งใด” แม่ทัพจ้าวเอ่ยถามอย่างสงสัยใต้เท้าหานจำต้องอธิบายรายละเอียดตามที่ซูเจินนางบอก “นางต้องการให้สร้างโครงไม้ที่ค่อนข้างแข็งแรงให้นาง เพื่อที่จะใช้ปลูกผลไม้” “ท่านว่าอย่างไรนะ ปลูกผลไม้” แม่ทัพจ้าวยังไม่เข้าใจ ว่าการปลูกผลไม้จะช่วยจัดการเรื่องความอดยากของชาวบ้านได้อย่างไร“หัวเมืองทางเหนือมีหิมะตกถึงแปดเดือน เจินเออร์นางจึงคิดจะปลูกผลไม้ที่ยังไม่มีในแคว้นต้าเยี่ยน เพื่อให้ชาวบ้านทำการค้ากับเมืองอื่นเพื่อแลกข้าวสาร ผัก อาหารแห้ง” เมื่อได้ยินสิ่งที่ใต้เท้าหานพูด ดวงตาของแม่ทัพจ้าวก็สว่างวาบออกมาทันที ทุกวันนี้อาหารทั้งหมดในกองทัพต้องรอเสบียงหลวงส่งมา หากกองทัพสามารถปลูกผลไม้ออกมาได้ ทหารคงได้ต้องอดมื้อกินมื้ออีกแล้ว“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ จะรีบจัดการเรื่องนี้ให้ทันที” แม่ทัพจ้าวเดินทางไปค่
นางลืมเรื่องที่ให้เสี่ยวอิงออกไปตรวจสอบหาบ่อน้ำพุร้อนไปเสียสนิท เมื่อเสร็จเรื่องทั้งหมด นางจึงได้มีเวลาออกไปสำรวจเรื่องนี้เสียที“พวกเจ้าจะไปที่ใด” เยี่ยนเฟยหยางที่กำลังจะไปค่ายทหารเอ่ยถามออกมาเมื่อเห็นใต้เท้าหาน ซูเต๋อและซูเจินเตรียมตัวจะออกจากจวน โดยมีแม่ทัพจ้าวและทหารบางส่วนที่ติดตามไปด้วยซูเจินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ นางคิดว่าเมื่อคืนเยี่ยนเฟยหยางกับจ้าวลู่เทียนจะพักในค่ายทหารเสียอีก“กระหม่อมจะออกไปสำรวจป่านอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ” เป็นใต้เท้าหานที่เอ่ยตอบแทนทุกคน“เช่นนั้นเปิ่นหวางจะไปด้วยก็แล้วกัน”ซูเจินเหลือกตาขึ้นมองด้านบนทันที นางทนมองเด็กหนุ่มที่แสร้งทำเป็นผู้ใหญ่ที่โตแล้ว ยืนเอามือไพล่หลังเอ่ยออกมาราวกับว่าหากเขาไม่ไปคนอื่นก็ไม่อาจทำงานได้เมื่อทุกคนไม่มีใครเอ่ยปฏิเสธ ขบวนเดินทางทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทาง เสี่ยวสือบังคับรถม้าอยู่ด้านหน้า ตามเสี่ยวอิงที่บินช้าๆ ไปตามทิศทางที่เขาพบเจอบ่อน้ำพุร้อนหนทางไม่ได้ไกลมากนัก แต่ค่อนข้างที่จะเดินลำบาก เพราะหิมะที่หนาจนซูเจินนางแทบจะยกขาเดินไม่ได้“ขึ้นมา” เยี่ยนเฟยหยางลดตัวลง เพื่อให้ซูเจินนางขึ้นหลัง เขาต้องการที่จะแบกนางเดิน“เหอะ ตัวท่านย
ใต้เท้าหานกับซูเต๋อคิดตรงกันที่จะรอดูผลผลิตที่ปลูกเสียก่อนว่าเป็นเช่นไร จึงคิดจะเดินทางกลับเมืองหลวงเพราะในหัวเมืองอื่นก็มีเจ้าหน้าที่เดินทางมาจัดการเรื่องสร้างกำแพงไฟแล้ว และแม่ทัพจ้าวยังแบ่งทหารไปจัดการช่วยเหลือหัวเมืองอื่นอีกด้วยเจ้าเมืองและขุนนางหัวเมืองอื่นที่ใช้อำนาจของตนในทางที่ผิดก็ถูกลงโทษไปไม่น้อย เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้ผู้อื่นกระทำตามพอผลไม้ใกล้จะเก็บเกี่ยวได้ เยี่ยนเฟยหยางก็เริ่มจะเกาะติดซูเจินเพราะรู้ว่านางจะเดินทางกลับเมืองหลวงแล้วตอนนี้เขารู้แล้วว่าความรู้สึกที่ราวกับมีม้าวิ่งอยู่ภายในอกคืออาการเช่นใด เขานำเรื่องนี้ไปพูดกับขันทีข้างกายเพราะคิดว่าตนเองป่วยใกล้ตาย“โถ่องค์ชายของกระหม่อม พระองค์ตกหลุมรักสตรีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวีกงกงเอ่ยออกมาอย่างหยอกล้อ“เพ้ย จะเป็นไปได้อย่างไร” เยี่ยนเฟยหยางเม้มปากแน่นอย่างใช้ความคิด ว่าเขารู้สึกกับซูเจินเช่นนั้นจริงหรือด้วยยังไม่เชื่อในสิ่งที่สวีกงกงพูด จึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษาจ้าวลู่เทียนด้วยอีกคน“หรือพระองค์จะป่วย” จ้าวลู่เทียนที่อยู่ในวัยเดียวกันกับเยี่ยนเฟยหยางก็ขมวดคิ้วคิด“เพ้ย ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว” เยี่ยนเฟยหยางจำต้องเดินหน
อากาศที่เมืองหลวงกำลังดี ชาวบ้านเริ่มเดินทางเข้ามาเที่ยว พร้อมทั้งหาที่ค้าขาย เพราะใกล้จะถึงเทศกาลชุนเจี๋ย (ตรุษจีน) และเทศกาลหยวนเซียว (งานโคมไฟ)เมื่อมาถึงเมืองหลวง ใต้เท้าหานและซูเต๋อก็เร่งเดินทางเข้าวังหลวง เพื่อรายงานเรื่องที่ได้พบเจอมาตลอดทั้งหกเดือนที่ออกไปจัดการเรื่องทางหัวเมืองเหนือซูเจินนางเดินทางกลับมาที่จวนก่อน แต่ก็ไม่ลืมที่จะฝากผลไม้ไปให้ฮ่องเต้และหวังกงกงได้ลองชิม สุดท้ายปู่หวังของนางก็ได้กินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะถูกฮ่องเต้แย่งไปกินเสียหมด“เหอะ หวังกงกง เจ้าหวงเจิ้นเช่นนั้นรึ หลานสาวของเจ้ามีอีกมาก จะหวงเจิ้นเพื่ออันใด” ฮ่องเต้อดที่จะมองค้อนหวังกงกงไม่ได้“โถ่ ฝ่าบาท กระหม่อมจะกล้ารึพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงยิ้มอย่างเอาใจอย่างไรวันหยุดที่จะถึงนี้เขาก็ได้ออกไปเที่ยวหาหลานสาวที่ไม่ได้พบหลายเดือน ค่อยไปกินอีกครั้งที่จวนของนางก็ยังได้ซูเต๋อเมื่อเสร็จเรื่องในวังหลวงก็เร่งเดินทางกลับมาที่จวนทันที เพื่อบอกกล่าวเรื่องที่ราชสำนักหยุดให้ขุนนางเพื่อเดินทางกลับไปไหว้บรรพชน เขาจึงคิดจะกลับหมู่บ้านไปเคารพหลุมศพมารดาเช่นกัน“ข้ากำลังจะถามท่านพี่เรื่องนี้พอดี” จิ่วเม่ยเอ่ยออกมาอย่าง
หลังจากนั้น ตลอดเวลาที่ตระกูลซูพักอยู่ในหมู่บ้านก็ไม่มีผู้ใดเข้ามารบกวนอีกเลยซูเต๋อกับซูเจินเดินขึ้นเขาไปที่ถ้ำ เพื่อตรวจดูแร่เหล็กที่อยู่ด้านในก่อนที่จะเดินทางกลับเมืองหลวง“ท่านพ่อ ท่านคิดจะทำสิ่งใดกับแร่เหล็กพวกนี้เจ้าคะ”“ตอนนี้พ่อยังไม่มีความคิดที่จะทำอันใด พวกเราก็เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไปก่อนก็แล้วกัน” ซูเต๋อลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่นางเกือบจะสิบหนาวแล้ว เติบโตขึ้นไม่น้อย เรื่องที่นางทำล้วนแต่สร้างประโยชน์ให้กับแคว้น เขาผู้ที่เป็นบิดายังมิอาจเทียบนางได้ แต่นางกลับยกความดีทั้งหมดให้กับเขาซูเจินนางใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงอย่างจำเจ เพราะหลายปีที่ผ่านมายังไม่มีเรื่องใดที่ต้องให้นางเป็นผู้ลงมือ ทั้งภัยแล้งหรือภัยหนาวที่เกิดขึ้นต่างก็มีทางออกที่นางได้เตรียมไว้เมื่อหลายปีที่แล้วปีนี้ซูเจินนางอายุได้สิบสี่หนาว ความงามของนางก็ยิ่งเผยออกมาจนมีขุนนางหลายคนเริ่มทาบทามกับซูเต๋อมาบ้างแล้วเมื่อสองปีที่แล้วหวงหลันได้แต่งให้กับฉู่จิ้งที่สอบผ่านจวี่เหรินเมื่อสองปีที่แล้ว ซูเต๋อก็ทำตามคำพูดเขาซื้อจวนให้ทั้งสองเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานนางฉู่ก็ได้ย้ายไปอยู่ดูแลบุตรชายกับสะใภ้ที่กำลังจะมี
เยี่ยนเฟยหยางประคองซูเจินไปที่เกี้ยวแปดคนหามหลังใหญ่ ชุดเจ้าสาวที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อต้องแสงแดดกับเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวนับล้านดวงอยู่ที่ชุดของนาง ยิ่งทำให้คุณหนูต้องไปอ้อนวอนบิดามารดาให้ไปถามจวนตระกูลซูว่าไปตัดชุดที่ใดมา แต่ก็มิได้รับคำตอบซูเจินถูกเยี่ยนเฟยหยางประคองเข้าตำหนักของเขา ทั้งคู่ข้ามกระถางไฟก่อนที่จะไปหยุดที่แท่นกราบไหว้ฟ้าดินด้านหน้ามีเสด็จพ่อ เสด็จแม่และไทเฮาของเยี่ยนเฟยหยางนั่งอยู่ เสียงสวีกงกงขันทีของเยี่ยนเฟยหยางร้องบอกให้พวกเขากราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บิดามารดา ก่อนจะคำนับกันเองซูเจินที่กำลังลุกขึ้น เพราะคิดว่าเสร็จสิ้นพิธีแล้ว แต่กลับถูกเยี่ยนเฟยหยางดึงรั้งมือของนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม“ข้าเยี่ยนเฟยหยาง ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และเสด็จย่า ว่าทั้งชีวิตจะมีเพียงซูเจินเป็นภรรยาแต่เพียงผู้เดียว หากผิดคำสาบานขอให้ฟ้าดินลงโทษ” ซูเจินจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้วขุนนางที่ได้เข้าร่วมพิธีงานมงคลต่างตกตะลึง เพราะยังไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดที่กล้าเอ่ยสาบานเช่นนี้ออกมาสิ้นเสียงของเยี่ยนเฟยหยางท้องฟ้าที่กระจ่างใส ก็คำรามขึ้นเป็นการตอบรับคำของเขา ยิ
เป็นเช่นที่เยี่ยนเฟยหยางว่า เพราะซูเจินอยากให้หวังกงกงได้เดินทางไปทั่วแคว้นเพื่อท่องเที่ยวกับนาง ทั้งชีวิตเขาแทบจะอยู่เพียงในรั้ววัง หากฮ่องเต้ไม่เสด็จที่ใดเขาก็ไม่ได้ไปเช่นกันหวังกงกงได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ต่างจากฮ่องเต้ที่เบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไหนว่าจะอยู่กับเขาอีกสองปี แต่ดูเหมือนว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะทิ้งเขาไปเสียแล้วเป็นอย่างที่ฮ่องเต้คิด หนึ่งเดือนต่อมาซูเจินนางก็ขอเข้าวัง ครั้งนี้นางแลกตัวหวังกงกงกับน้ำวิเศษของนาง“เหอะ เจ้าผิดคำพูด หวังกงกงขอเวลาเจิ้นอีกสองปี แต่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีเจ้าก็จะมาขโมยตัวเขาไปแล้วรึ”“เช่นนั้น พระองค์ต้องการอันใดเพคะ” นางขมวดคิ้วคิด เพราะนางคิดมาแล้วว่าจะพาหวังกงกงออกเดินทางไปด้วยกัน“เจิ้นต้องการจะเป็นผู้ฝึกตน” ซูเจินและหวังกงกงหันไปมองที่ฮ่องเต้อย่างตกใจ“พระองค์รู้หรือไม่ หากเป็นผู้ฝึกตนต้องละทิ้งบัลลังก์ พระองค์จะยินยอมหรือเพคะ” หากมีฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว จะไม่สร้างเรื่องปั่นป่วนขึ้นมาอย่างนั้นรึ“เจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ดี และคิดหาทางออกไว้แล้ว” “เสด็จพ่อ พระองค์ตัดสินพระทัยแล้วรึพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนเฟยหยางที่เพิ่งเรียกสติกลับมาได้เอ่ยถามออกม
“เรื่องนี้...” นางคิดว่าอย่างไร การแต่งงานในวัยเพียงสิบห้าหนาวก็ดูเหมือนจะเร็วไป“เจ้ากลัวอันใด”“ข้าคิดว่ามันเร็วเกินไป ที่จะแต่งงานในวัยสิบห้าหนาว”“เจินเจิน สตรีแคว้นต้าเยี่ยนวัยเท่านี้นับว่าไม่เร็วแล้ว” เขาเริ่มจะไม่สบอารมณ์แล้ว ที่นางไม่ยอมตอบรับเสียที“เอาเถิดอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกหลายเดือน” นางบอกปัดไป ก่อนจะไล่เขาให้ไปที่ห้องพัก“ไม่ ข้าจะเข้าไปในมิติของเจ้า” เยี่ยนเฟยหยางคิดจะเข้าไปฝึกในมิติต่อ“เจ้าค่ะ” ซูเจินพาเข้าไปด้านใน สุดท้ายนางก็ต้องอยู่ฝึกด้วยกันกับเขา“นายหญิง ดอกไม้ที่ข้าปลูกไว้ รู้ว่าท่านทั้งสองกำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียนจึงยอมสละสองดอกมาให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูเจินมองดอกหลันฮวาที่นางเคยสัมผัสตอนที่มาที่นี่“ข้าจับมันได้ใช่หรือไม่” นางไม่รู้ว่าหากจับแล้วจะได้กลับไปที่โลกเดิมหรือไม่ นางก็ตอบไม่ได้ว่าอยากกลับไปหรือเปล่าแต่ก่อนที่หลันฮวาจะเอ่ยตอบ เยี่ยนเฟยหยางที่เห็นท่าทางของซูเจินดูไม่สบายใจ ที่นางต้องจับดอกไม้ที่หลันฮวานำมา ก็อดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้“เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าจับมัน”นางถอนหายใจออกมา ในเมื่อเขาอยากรู้นางก็ไม่คิดจะปิดบัง ก่อนจะเล่าเรื่องราวความเป็นมาของนาง จนได้ม
ในตอนแรกที่คิดว่านับเดือนกว่าจะถึง แต่เอาเข้าจริง นางเดินทางเพียงยี่สิบวันเท่านั้น จากหนานไห่จนถึงเขตชายแดนเหนือ ด้วยการนำทางของเสี่ยวมี่ ที่หาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดให้นางนางแวะที่เมืองหน้าด่านของชายแดนเหนือ เพื่อนำเสบียงอาหารออกมาแจกจ่ายให้กับค่ายผู้อพยพเพราะจำนวนคนที่นางมองเห็นคร่าวๆ ก็นับเกือบแสนคนเห็นจะได้ เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าสงครามกำลังเกิดขึ้นจริงรึซูเต๋อเข้าไปพบเจ้าเมือง ที่รู้จักกับเขาดี เพื่อแจ้งเรื่องที่ทางการให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดคิดหาที่มาของเสบียงอีกแล้วเพราะจำนวนคนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน เสบียงที่มีเพียงพอให้พวกเขากินวันหนึ่งมื้อเท่านั้น ยิ่งได้เสบียงมาเพิ่มก็สามารถต่อชีวิตชาวบ้านไปได้อีกวันครั้งนี้ซูเจินนำเสบียงออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังต้องนำออกมาเกือบทุกวัน ถึงจะเพียงพอให้ทุกคนได้กินอิ่มท้องนางอยู่ที่เมืองด่านหน้าของชายแดนเหนือได้สามวัน จึงออกเดินทางไปหัวเมืองอื่นต่อ สามหัวเมืองหลักที่อยู่ด่านหน้าล้วนแต่มีคนอพยพนับแสนคน ซูเจินจึงต้องอยู่จัดการเรื่องเสบียงหลายวันเกือบหนึ่งเดือนที่นางต้องจัดการเรื่องเสบียง โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางชายแดนเหนือที่
หวังกงกงรีบเดินเข้าไปจับตัวนางกำนัลไว้ แล้วค้นตัวจนได้ยาหุ่นเชิดมาทันที เขานำมาส่งให้เยี่ยนเฟยหยางเพื่อตรวจสอบ แล้วออกไปจัดการนางกำนัลที่ตำหนักของไทเฮาแต่เยี่ยนเฟยหยางกลับเดินเข้าไปหาทั้งสองคนแล้วนำยากรอกเข้าไปในปากแทน“เมื่อพวกท่านกล้าทำร้ายเสด็จพ่อและเสด็จย่าก็จงมีชีวิตอยู่เช่นพวกเขาเถิด” ดวงตาแข็งกร้าวของเยี่ยนเฟยหยาง ทำให้ทั้งสองอดที่จะหวาดกลัวออกมาไม่ได้ทั้งคู่ไม่คิดว่าเยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงรวดเร็วเพียงนี้ คิดว่าเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้จะแล้วเสร็จก่อนที่เยี่ยนเฟยหยางจะเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงแต่คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต เพราะเยี่ยนเฟยหยางเดินทางกลับมาถึงเร็วทำให้สิ่งที่พวกเขาคิดไว้ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจเมื่อจัดการทั้งสองคนเรียบร้อย เยี่ยนเฟยหยางรีบเดินทางไปที่ตำหนักของฮองเฮาและพี่ใหญ่ของตนทันทีพอไปถึงจึงพบว่าทั้งสองอาการไม่ต่างจากเสด็จย่าของตนนัก เมื่อช่วยทั้งสองให้พ้นอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปพูดคุยกับเสด็จพ่อ เรื่องภูเขาแร่ที่เว่ยอ๋องส่งคนไปทันที“เรื่องนี่เห็นทีเสนาบดีตู้ก็คงรวมมือด้วย หากเจ้ากลับมาไม่ทัน ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น” ฮ่องเต้ให้หวังกงกงนำยาที่ใช้
เยี่ยนเฟยหยางแทบไม่อยากจะเชื่อ เพราะพระองค์ยังดูแข็งแรง แทบไม่เคยเปรยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนสักครั้ง ส่วนเรื่องให้ผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทเขามิได้สนใจ“ย่าให้องครักษ์เงาไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทัน ที่จะรู้เรื่องราวดี ย่าก็ล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ ว่าแต่เจ้าเอาอะไรให้ยาดื่ม” นางอดที่จะสงสัยไม่ได้“หลานได้น้ำวิเศษมาจากเจินเจิน และในตอนนี้หลานก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ขอท่านย่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จนกว่าหลานจะหาตัวคนร้ายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ย่า เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปดูเสด็จพ่อของเจ้าเถิด พี่ชายเจ้าย่าก็มิได้เห็นมาสักพักแล้ว” ไทเฮาตบที่หลังมือของหลานชายเบาๆ“เสด็จย่า พระองค์ทรงแสร้งป่วยต่อไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานเห็นนางกำนัลของท่านดูมิน่าไว้ใจนัก”“เรื่องนี้ย่าก็พอจะรู้ว่าบ้าง แต่ยังมิอาจทำอันใดได้ ด้วยกลัวว่าคนร้ายจะรู้ตัวเสียก่อน”“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าพักผ่อนก่อนเถิด” เยี่ยนเฟยหยางประคองไทเฮาให้นอนลงเช่นเดิมเขาคลายลมปราณที่ปิดกั้นเสียงเอาไว้ แล้วเดินออกจากห้องบรรทมไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หวังกงกงที่ยืนรออยู่หน้าตำหนักก็เดินเข้ามาหาทันที“องค์ชายห้า กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรพู
แต่เยี่ยนเฟยหยางก็อาลัยอาวรณ์นางอยู่ไม่น้อย เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ต้องแยกจาก กลายเป็นว่าแทนที่เขาจะทุ่มเทเอาเวลาไปฝึก กลับไล่จ้าวลู่เทียนออกไปด้านนอกมิติ แล้วอยู่ด้านในมิติกับซูเจินแทน“ท่านไล่พี่เทียนไปแล้ว หากท่านพ่อมิเห็นท่านอยู่ด้านนอกจะคิดเช่นไรเจ้าคะ” นางเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ“ไม่เห็นจะเป็นอันใด ดีเสียอีกที่เปิ่นหวางจะได้แต่งเจ้าเข้าตำหนักเสียเลย ทั้งยังพาเจ้าไปที่ชายแดนเหนือพร้อมกันได้อีกด้วย” เขากุมมือของนางไว้แน่น พร้อมทั้งจ้องมองนางอย่างหลงใหล“เพ้ย ภายในหัวของท่านมีแต่เรื่องใดกันแน่ข้าอยากจะรู้นัก”“อยากรู้จริงหรือไม่” เสียงกระซิบของเยี่ยนเฟยหยางที่ดังข้างหูของนาง ทำให้ขนหัวของซูเจินลุกขึ้นทันทีนางรีบชักเท้าถอยหลัง แต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเยี่ยนเฟยหยางรั้งคอของนางไว้ พร้อมทั้งก้มลงมาประกบริมฝีปากของเขากับของนางทันที“อย่าดื้อ เปิ่นหวางจะออกเดินทางแล้ว” เยี่ยนเฟยหยางขบที่ริมฝีปากของซูเจินเบาๆ เพื่อให้นางเปิดช่องทางให้เรียวลิ้นของเขาแทรกเข้าไปได้ซูเจินนางก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพราะอย่างไรอีกไม่กี่วันเขาก็จะออกเดินทางแล้วฝ่ามือของเยี่ยนเฟยหยางลูบคลำไปตามแผ่นหลังของซูเจิน “อื้ออ” นา
พอรุ่งเช้ามาเยือน เมื่อไม่เห็นทั้งสามคนออกมาจากห้องพัก ใต้เท้าหานและซูเต๋อก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคงจะยังอยู่ในมิติ จึงได้ออกไปจัดการเรื่องสร้างเขื่อนแทนซูเจินนางออกมาจากมิติ เมื่อด้านนอกผ่านไปได้หนึ่งวันแล้ว นางรีบให้สวีกงกงจัดหาจวนหลังใหญ่ให้ทันที เพราะต้องนำเสบียงอาหารออกมาให้ชาวบ้านได้ประทังชีวิตสวีกงกงก็จัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อย ทั้งยังจัดหาคน เพื่อจัดการเรื่องนำเสบียงออกไปแจกจ่าย โดยมีเขาคอยควบคุมเรื่องนี้ด้วยตนเองอยู่ทุกขั้นตอนเจ้าเมืองจั่วที่ไม่เห็นหน้าเยี่ยนเฟยหยางเลยสักวัน จะเอ่ยถามก็ไม่กล้า จึงได้แต่ลอบถอนหายใจคิดว่าเขาเดินทางกลับไปแล้ว จึงคิดที่พาให้คนไปรับตัวบุตรสาวกลับมาอยู่ที่จวนเช่นเดิมซูเจินนางออกไปตรวจสอบความเสียหายรอบๆ เมืองกับสหายทั้งสามของนางที่กลับมามีรูปลักษณ์เช่นเดิมเมื่ออยู่ด้านนอก และในอ้อมแขนของนางยังมีเหล่าหู่ที่ดูเหมือนลูกแมวน้อยด้วยอีกตัวรอบเมืองที่โดนน้ำท่วมมีความเสียหายมากนัก นางจึงคิดที่จะให้ชาวบ้านปลูกพืชที่สามารถเติบโตในน้ำได้ดี นางจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวใต้เท้าหานให้ช่วยจัดการหากให้นางบอกกล่าวขุนนางกรมเกษตรที่อยู่ในเมืองหนานไห่พวกเขาคงมิ
หลันฮวาที่เห็นเสี่ยวอี่เปลี่ยนไปก็กำลังจะเอ่ยถาม แต่กลับถูกเขาร้องห้ามไว้เสียก่อน“ไปดูนายหญิงก่อนเร็วเข้า”“นายหญิงเป็นอันใด”“นางลงไปแช่น้ำในถ้ำของเหล่าหู่ ตอนนี้กำลังร้องอย่างเจ็บปวด” หลันฮวาไม่ทันได้แจ้งคนอื่นนางรีบบินตามเสี่ยวมี่ไปที่ถ้ำของเหล่าหู่ทันทีใต้เท้าหานกับซูเต๋อก็รีบตามไปอย่างร้อนใจ เยี่ยนเฟยหยางที่กำลังช่วยจ้าวลู่เทียนฝึกเดินลมปราณก็พบความผิดปกติ จึงได้พากันติดตามไปด้วยเมื่อเข้าใกล้ถ้ำของเหล่าหู่ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เกือบจะทำให้ทั้งสี่เสียสติ ซูเต๋อที่ใกล้ชิดบุตรสาวมากที่สุด เขายังไม่เคยเห็นนางร้องเช่นนี้มาก่อนเยี่ยนเฟยหยางมิอาจทนได้ เขาอยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดเรื่องอันใดกับนางกันแน่ แต่เมื่อถึงปากถ้ำทั้งสี่ก็ถูกเหล่าหู่และเสี่ยวอี่ขวางเอาไว้“ตอนนี้นายหญิงอยู่ในน้ำ พวกท่านมิอาจเข้าไปได้ขอรับ” เสี่ยวอี่เอ่ยขึ้นมา เขาจะปล่อยให้บุรุษทั้งสี่เห็นสภาพที่เปลือยเปล่าของนายหญิงได้อย่างไร“เหตุใดนางถึงได้ดูเจ็บปวดเช่นนี้” เยี่ยนเฟยหยางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ”พวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่รอให้หลันฮวาออกมาหรือไม่ก็รอให้ซูเจินนางออก