————สองวันต่อมา ณ เมืองหลวงฟอเรสเตอร์ , ห้องรับรองในปราสาท ภายในห้องรับรองสำหรับแขกชั้นสูงของปราสาท ซึ่งมีลักษณะไม่แตกต่างจากที่เคยเห็นเท่าไหร่นัก เตียงสีขาวขนาดใหญ่แบบมีหลังคา มีพื้นที่พอจะนอนได้ประมาณ 3 คน มีเฟอร์นิเจอร์จำพวกโซฟาหนังสัตว์และเครื่องเรือนมีราคาอยู่มากมาย แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่าคนที่อยู่ภายในห้องนี้ มีอา เมอร์ลิน ชาลอต ซาช่า ริต้า เรเชล ลิลิธ คาเรน รวมถึงซิลเวีย... เหล่าสาวๆต่างก็อยู่ภายในห้องนี้ด้วยสภาพเหนื่อยอ่อน พวกเธอทำสีหน้าเฝ้ารออะไรบางอย่างในขณะที่แยกย้ายกันนั่งตามจุดต่างๆของห้อง โดยเฉพาะมีอากับเมอร์ลินที่นั่งเก้าอี้อยู่ชิดกับเตียงสีขาวที่ว่าไปข้างต้นเพื่อเฝ้าดูคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนนั้น... กรนั่นเองหลังจากเหตุการณ์ที่แสนวุ่นวายนั่นก็ผ่านมาได้สองวันแล้ว...กรยังคงหลับสนิท แต่ไม่ได้มีบาดแผลภายนอกใดๆแต่ปัญหาก็คือภายในนี่แหล่ะ...เมื่อตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น จนถึงตอนนี้ก็คิดอะไรไม่ออกเลยซักนิดทั้งไอ้ออร่าสีดำสนิทที่มีความคิดเป็นของตัวเองนั่นทั้งดาบผ่าดารานั่นด้วย...แถมยัง... กรในร่างที่มีออร่าอุดมคติสีรุ้งนั่นก็อีกฉันสับสน
———— 1 วันก่อน ณ อาณาจักรอาลัน , ชายแดนประเทศตะวันออก ณ หมู่บ้านชายแดนตะวันออก อันประกอบไปด้วยทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา ไร่นาอันเต็มไปด้วยพืชผล ท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยปศุสัตว์ และบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยผู้คน... ทว่าตอนนี้ภาพความสงบสุขเหล่านั้นกำลังถูกแทนที่ด้วยไร่สวนที่พังทลาย ซากศพของสัตว์ป่าที่คล้ายวัวเลี้ยง บ้านเรือนที่ถูกเผาไหม้ดำเป็นตอตะโก ผู้คนที่หนีไม่ทันเองก็กลายเป็นร่างไร้วิญญาณข้างถนน โดยมีต้นเหตุคือ เหล่ามอนสเตอร์หลากประเภท สวมชุดเกราะหนักและเบา พวกมันยิ้มเยาะเย้ยให้กับสภาพของหมู่บ้านที่พวกมันเป็นคนก่อ ในขณะนั้น กลุ่มหลักของพวกมันอันประกอบไปด้วยออร์คสวมชุดเกราะหนักและสมุนก็อบลินสวมชุดเกราะเบาอีก 5 ตัว ได้เข้ารุมล้อมมนุษย์สองคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ นั่นคือแม่ลูกที่กำลังนั่งสั่นกับพื้น ชิดติดกำแพงปิดตายโดยที่ถูกมอนสเตอร์ทั้ง 6 ตัวที่ว่าปิดทางออกเพียงหนึ่งเดียวไว้ หญิงสาวผู้เป็นแม่กอดร่างของลูกสาวแน่นด้วยความกลัวทั้งน้ำตา เพราะรู้แก่ใจดีว่ายังไงก็คงไม่รอด ออร์คที่เห็นดังนั้นแสยะยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างน่ารังเกียจ ก่อนที่จะเงื้อข
———— เช้าวันต่อมา ณ อาณาจักรอาลัน , เมืองหลวง ภายในวังหลวง... ณ ห้องบัญชาการรบขนาดใหญ่ มากพอจะบรรจุคนได้มากกว่า 100 คน ทั้งห้องถูกประดับด้วยเชิงเทียน เฟอร์นิเจอร์หรูหรา ภาพวาดต่างๆ แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับบรรยากาศตึงเครียดที่ถูกแผ่ออกมาจากคนที่อยู่ในห้อง อนึ่ง ในห้องมีโต๊ะไม้ขนาดยาวตั้งเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีพื้นที่เป็นด้านกว้างสำหรับเก้าอี้ 5 ตัว และด้านยาวสำหรับเก้าอี้ 10 ตัวอยู่ โดยที่ในสุดมีคนนั่งอยู่สองคนบนเก้าอี้ที่ดูหรูหรากว่าคนอื่น ตรงกลาง คือ ราชาแห่งอาณาจักรอาลัน คนเดียวกับที่นั่งบนบัลลังก์ครั้งเมื่อต้อนรับการมาจากต่างโลกครั้งแรกของพวกกร... ราชาเซารัส และอีกคนนึงก็คือเจ้าหญิงคริสติน คนเดียวกับที่ชอบเข้าไปอ่านหนังสือกับชาญในห้องสมุดนั่นเอง ด้านข้างสองฝั่งเต็มไปด้วยทหารระดับผู้บัญชาการ 2 ใน 3 จากทั้งหมดและข้าราชการระดับสูง โดยที่ใกล้มือขวาของราชาเซารัสที่สุด แน่นอนว่าคือหัวหน้าอัศวินอย่างฮันซี่ สายตาทุกคนจับจ้องไปยังคนสองคนที่ยืนอย่างหงอยๆอยู่ตรงหน้าประตู หรือก็คือตรงข้ามกับราชาเซารัส... ชาญและฟ้าในชุดพร้อมรบ〝 ว่าไงนะ!!! ไอ้หมอนั่
———— ก่อนหน้านี้ 10 นาที ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย ในเวลาที่กรเพิ่งพักฟื้นหลังจากการต่อสู้กับจิ๋นหลี่ และได้รับการแจ้งข่าวจากภูติน้อย ที่เป็นข้ารับใช้คอยเฝ้าระวัง〝 รินกับอลิซ ถูกโจมตี? 〞 กรได้ยินแบบนั้นแล้วก็ถึงกับตาค้างช็อคไปเลยทีเดียว ใจหายจนหล่นไปถึงตาตุ่มก็ไม่ปาน ใช้เวลาไปถึง 1 วินาทีซึ่งถือว่านานมากสำหรับกรในการเรียกสติตัวเองกลับคืน ก่อนที่จะลุกพรวดขึ้นพุ่งไปยังประตู แต่ว่า...〝 หยุดก่อนค่ะคุณกร!!! 〞〝 สภาพแบบนั้นไม่ไหวหรอกน้องกร! 〞เรเชลกับลิลิธพูดขึ้น ก่อนที่จะพุ่งตัวไปตะครุบกรไว้กับพื้น ทำให้ซิลเวีย ยูมิน่าและฟลอร่าทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว〝 ปล่อยนะ! ฉันต้องไปเดี๋ยวนี้ ไม่มีเวลาแล้ว! 〞〝 ดูสภาพตัวเองก่อนเถอะค่ะ! 〞〝 นายท่านล้าจะแย่อยู่แล้ว! 〞 ตามด้วยชาลอตกับซาช่าที่เข้ามากดแขนของกรไว้คนละข้างโดยไม่สนคำทัดทานของกร ตามด้วยคาเรนที่กระโดดเข้ามาทับร่างไว้พร้อมๆกับริต้า แน่นอนว่าถ้ากรเอาจริงก็คงสลัดหลุดได้สบายๆ แต่ทำแบบนั้นในสถานการณ์แบบนี้คงมีแต่จะแย่ลงซะเปล่าๆ เพราะมันไม่ต่างจากการมองข้ามความหวังดีของเหล่าแฟนสาวเลยซักนิด สำหรับกร
หลังจากที่กรจัดการแม่ทัพของอีกฝ่ายได้ นั่นเป็นตอนที่สงครามระหว่างอาณาจักรอาลันและกองทัพราชาปีศาจจบลง แมมม่อนที่เป็นขุนพลคนนำทัพหลักเสียชีวิต ส่วนลูซิเฟอร์หนีไปได้ เหล่าผู้กล้าและปีศาจที่มีชีวิตรอดตกเป็นเฉลยสงครามด้วยเวทย์พันธะ ทำให้เป็นทาสดังที่กรคาดไว้ โดยให้เหล่าผู้กล้าที่มีเวทย์และพลังโกงใกล้เคียงกันเป็นคนจัดการ(เพราะถูกกล่าวอ้างไว้ว่าถ้าไม่ยอม กรจะเป็นคนจัดการ) ส่วนทางฝั่งอาณาจักรอาลันที่เป็นฝ่ายตั้งรับนั้นสูญเสียทั้งกำลังพลและประชาชนไปเป็นจำนวนกว่าครึ่ง บ้านเมืองและหมู่บ้านแถบชายแดนมาจนถึงเมืองหลวงทั้งหมดยกเว้นทิศตะวันออก เพราะฉะนั้น จะเรียกว่าเป็นชัยชนะของฝ่ายอาณาจักรอาลันก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก แถมที่รอดมาได้ยังเป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากคนนอกอย่างพวกกรอีกด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่หลังจากสงครามจบลงเพียงชั่วโมงเดียว ราชาเซารัสแห่งอาณาจักรบาซิเลียสก็เรียกพบกรในทันที...❖❖❖❖❖〝 ก่อนอื่นข้าขอต้อนรับกลับท่านอุษณกร วัชรวิรุฬห์... และขอกล่าวขอบคุณในนามของราชาแห่งอาณาจักรอาลันแทนทุกคนในที่นี้ ข้าขอขอบคุณท่านจากใจจริง 〞ราชาเซารัสว่าแบบนั้นแล้วก็ก
หลังจากที่รินกับอลิซลุกหายไป กรก็ช็อคอยู่ราวๆนาทีครึ่ง〝 เมอร์ลิน ขอทางหน่อย 〞พริบตาที่เรียกสติกลับมาได้กรก็ลุกขึ้นยืนขอทางเมอร์ลินในทันที แต่ทางเมอร์ลินกลับยืดขาซ้ายมาขวางไว้ก่อน〝 พวกเธอกำลังช็อคอยู่นะ ไม่ต่างจากนายเลย... ไปแล้วคิดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นรึไง? 〞 เมอร์ลินพูดแบบนั้นพร้อมกับจ้องตากรด้วยสายตาจริงจัง นั่นทำให้กรไหล่กระตุกเลยทีเดียวรู้อยู่แล้ว... เรื่องนั้นอยู่แล้วน่า!แต่นั่น... ยิ่งปล่อยให้นานไปมันจะยิ่งแย่ไม่ใช่รึไง?ต้องรีบปรับความเข้าใจกันให้เร็วที่สุดนอกจากทางนี้ ฉันก็คิดวิธีแก้อื่นไม่ออกแล้วนะ!〝 ไม่หรอก... ฉันเห็นด้วยกับกรนะ 〞มีอาพูดแบบนั้นขึ้นมา ก่อนที่จะจับข้อมือขวาของกรไว้แน่น〝 ก็จริงที่มันไม่ง่าย... แต่ฉันว่าวิธีที่ดีที่สุดคือกรต้องจริงใจกับพวกเธอ บอกความรู้สึกของตัวเองออกไป แค่นั้นก็พอแล้วหล่ะ! 〞 มีอาว่าแบบนั้นกรก็เบิกตาโพลงขึ้นเล็กน้อย ราวกับมีเทพธิดาชี้ทาง อีกทางนึง... เมอร์ลินเองที่เห็นด้วย เพียงแต่อยากให้กรใจเย็นลงกว่านี้ก็จ้องตากรตรงๆอีกครั้ง〝 บางทีคงทะเลาะกันแน่ แต่มันก็ยังดีกว่าคุยกันไม่รู้เรื่องหรือไม่ได้คุย...
หลังจากที่ฉัน รินกับอลิซ ทะเลาะกัน เราก็ปรับความเข้าใจกันได้และสุดท้ายก็คบกับทั้งสองคน แถมยังแต่งงงานกันด้วยอีกต่างหากน่าดีใจจริงๆ... ความรู้สึกที่ฉันมีให้กับพวกเธอมานานกว่า 10 ปีมันไม่สูญเปล่าจากแต่เดิมที่ฉันอยากให้พวกเธอมีความสุขมากกว่านี้ โดยที่ไม่มายุ่งกับคนอย่างฉันเพราะมีจะทุกข์ใจทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณมีอากับเมอร์ลินที่บอกให้เราซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองนี่คือนิสัยเสียของเราเลยหล่ะนะที่แก้ยังไงก็ไม่หาย ก็แหม... พอมาคิดดูสำหรับเราการคิดถึงความรู้สึกตัวเองก่อนคนที่รักนี่มันก็ไม่ใช่เราหล่ะนะ ว่าไปนั่นแต่ก็เพราะซื่อตรงกับตัวเอง ผลลัพธ์เลยจบลงตามที่หวัง และแน่นอน ตามที่รินและอลิซหวังด้วยรินกับอลิซที่โล่งใจก็สลึมสลือ ก็นะ จะว่าไปนี่มันก็หลังสงครามใหญ่ผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำบวกกับปัญหาของเรา พวกเธอจะเหนื่อยก็ไม่แปลกเลย...เพราะงั้นพวกเธอเลยของีบกันซักหน่อย ก็กะจะออกไปข้างนอกแหล่ะนะ แต่ทั้งคู่ดันบอกว่าอยากจะนอนด้วยเหมือนตอนเด็กๆซะงั้นอืม... ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธเหมือนเคย ทั้งสองคนเปลี่ยนชุดเสร็จ(เปลี่ยนในห้องน้ำนะ ตูไม่ได้แอบดูด้วย)พวกเธอก็นอนขนาบข้างฉันที่เอาหลังพิงหัวเต
หลังจากที่นั่งดื่ม(น้ำผลไม้)ทั้งคืน ผลสรุปก็เลยกลายเป็นว่าทั้งฉันทั้งทุกคนไม่ได้นอนกันเลยพอรู้สึกตัวอีกทีก็ 7 โมงเช้าแล้ว อารมณ์เหมือนเล่นเกมเพลิน ประมาณนั้นแหล่ะแล้วถึงจะไม่รู้ว่าทำได้ยังไงก็เถอะ แต่สรุปสาวๆเขาก็เคลียร์กันเรียบร้อยแล้วมติที่ทุกคนเป็นภรรยาของฉัน จึงเป็นเอกฉันท์โดยที่ไม่มีใครไม่พึงพอใจใครบางคนเป็นพิเศษก็นะ จบแบบนี้ค่อยโล่งอกหน่อยเรื่องจริงจังผ่านไปแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องของสิ่งที่ตามมาหลังจากสงครามเมื่อวานวันนี้เป็นวันเคารพศพของเหล่าทหารและเหล่าญาติของคนที่จากไปเพราะสงคราม ซึ่งจะจัดขึ้นพร้อมกันทั้งอาณาจักรเพราะงั้น ถึงจะสลึมสลืออยู่ แต่พวกรินก็ต้องไปที่งานศพของพวกทหารและเหล่าผู้กล้าซึ่งจัดขึ้นในบริเวณวังหลวง แต่ถึงจะพูดแบบนั้น แต่พอไปถึงงานก็ตาตื่นกันหมดแล้วหล่ะนะ ความอดทนสูงกันสุดๆเลยแล้วก็เห็นว่ามีสุสานไว้ฝังเหล่าทหารกล้าอย่างสมเกียรติ เฉพาะไว้อยู่ด้วยหล่ะดำเนินการกันเร็วน่าดูนะ ทั้งที่เรื่องเพิ่งจบไปไม่นานแท้ๆแต่ถึงจะพูดงั้นก็เถอะ เห็นว่าศพที่เอามาฝังยังไม่ครบหรอก ก็แค่ว่าอยากจัดพิธีศพเร็วๆ เพื่อที่จะรีบทวงคืนความเชื่อมั่นกลับมานั่นแหล่ะประมาณว่าสงครามจบแล
“ ทุกคนคะ... ความรัก คืออะไรเหรอคะ? ”“ “ “ เอ๋!? ” ” ” สิ่งที่เฮเลน่าถามออกมากลางห้องรับรองเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวผู้ไร้อารมณ์คนนี้ตื่นตระหนก แม้จะมีคนมากถึง 18 คนจ้องเธออยู่ ในมือที่ถือทั้งดินสอและสมุดบันทึกเล่มเล็กเองก็ไม่มีแต่การสั่นไหว อนึ่ง... เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ฟลอร่ากับยูมิน่าลากตัวกรออกไปประมาณ 2 ชม. เห็นจะได้“ เห... ทำไมจู่ ๆ ถึงสนใจเรื่องนั้นกันล่ะ ” คนที่แสดงความสนใจเป็นคนแรกอย่างออกนอกหน้าคือเมอร์ลินเจ้าเดิม เธอที่อ่านหนังสือมาตลอดถึงกับปิดหนังสือในมือแล้วหันมาถามเฮเลน่าอย่างจริงจัง“ ฉันแค่ทำตามคำสั่งของมาสเตอร์เท่านั้นค่ะ ” เฮเลน่าตอบกลับในทันทีอย่างที่ทุกคนคาด แน่นอนว่าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนกับที่เป็นมาตลอด “จงตามหาความหมายในการใช้ชีวิตของตัวเอง” คำพูดของกรที่เป็นคำสั่งเพียงหนึ่งเดียวซึ่งมอบให้กับเฮเลน่า ในวันที่เฮเลน่าถูกปลดปล่อยจากพันธะทั้งปวงและเป็นอิสระ ทุกคนเองก็อยู่ที่นั่นจึงเข้าใจแม้ไม่ต้องเอ่ยปาก“ แล้ว? ” เมอร์ลินถามย้ำคล้ายกับกำลังสอบปากคำ แต่ในอี
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นมาตลอดสองวัน(เรื่องที่เจนนี่ ไมน์และรีเบคก้าสุดท้ายก็ตอบตกลงคบกับกรในที่สุด) จนทำให้สถานการณ์ความปั่นป่วนของสาว ๆ รอบตัวกรลดน้อยลงไปครึ่งนึง ...ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ“ “ “ ยินดีด้วย!!! ” ” ” เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังก้องไปทั่วทั้งบาร์ของโรงแรมอิกดราซิล มาจากเสียงของเหล่านักผจญภัยรวมถึงเพื่อนพ้องของกร ...ส่งไปยังเด็กสาว 3 คนที่กำลังยืนเด่นเป็นสง่ากลางร้าน ประกอบด้วยเจนนี่(ในร่างของเบลนด้า อัลบา) ไมน์และรีเบคก้า ที่กำลังน่าแดงก่ำเพราะความอาย“ พอเถอะน่า มันน่าอายนะ ”“ แหม ๆ เรื่องน่ายินดีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอายซักหน่อยนะฮ้า! ” คาลอสเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งเสียง วี๊ดวิ้ว! คล้ายกับจะกลั่นแกล้งสาว ๆ ที่กำลังบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย กรเห็นแบบนั้นก็เริ่มจะทนไม่ไหวจนต้องก้าวเข้ามาขัดจังหวะ“ เอาล่ะ ๆ แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว... งานเลี้ยงจบแล้ว แยกย้าย ๆ ” กรพูดตัดบทพร้อมกับเดินเข้าไปกลางวงทั้งสามคนก่อนจะดันหลังทั้งสามให้ออกมาจากจุดรวมสายตา กระนั้นก็ไม่วายถูกทุกคนล้อในเชิงประมาณว่า “หึงด้วยเว้ย” ไ
“ แม้นโกรธาราวสิขานล แต่สิ่งที่ผู้อื่นยลต้องเป็นเหมันต์ ”นั่นคือคติประจำตระกูลของฉัน... มีความหมายว่า ต่อให้รู้สึกอย่างไรก็จงแสดงออกมาเสมือนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่าให้ใครรู้ว่าโกรธ... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังเศร้า... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังดีใจ...นั่นแหล่ะคือความหมายของมัน และยังเป็น... คุณสมบัติสำคัญขององครักษ์ที่ควรมีสำหรับฉันที่เกิดมาก็ได้รับหน้าที่นั้นเป็นเหมือนชนักติดตัว ถึงจะคิดว่าลำบากก็เถอะแต่ตอนนี้ก็ชินไปแล้วและสิ่งที่ทำให้ฉันสามารถทำมันได้ ก็เพราะรอยยิ้มของคนที่ฉันต้องปกป้อง... รอยยิ้มของไมน์เด็กคนนี้เหมือนกับทุ่งดอกไม้หลากสี ร่าเริงสดใส เริงระบำไปตามเสียงบรรเลงเพลงตามแต่สายลมจะพัดพา เป็นเด็กที่ชอบเรื่องสนุกสนาน ฉันถึงอยู่ด้วยไม่มีเบื่อ ถึงจะไม่แสดงออกก็เถอะเพราะยังไงการเก็บความรู้สึกสุขไว้ในใจไม่ให้แสดงออกมา มันง่ายกว่าการกักเก็บความทุกข์ไว้ในอกคนระดับเลยแต่ถึงคิดแบบนั้น เดิมทีตัวฉันก็ไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหนก็พร้อมรับมือได้หมด และต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องไมน์ก็ไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยเพราะงั้นความรู้สึกทุกข์ใจจึงไม่ค่อยมี หรือไม่ก
ตั้งแต่ตอนเด็ก ตัวฉันที่เป็นเจ้าหญิงก็ได้แต่อยู่ในปราสาทตามคำบอกกล่าวของคุณพ่อแต่มันก็ไม่ได้แย่นักหรอก เพราะอย่างน้อยฉันก็มีเพื่อนเล่นอยู่ คน ๆ นั้นก็คือรีเบคก้าที่เป็นเพื่อนอายุเท่ากันของฉัน คอยดูแลและเล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ที่จำได้แล้วและสิ่งที่ใช้ฆ่าเวลาอีกอย่างคือ หนังสือนิทานในห้องสมุดสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างฉัน นิทานทั้งหมดเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่เคยพบเคยเห็น โดยเฉพาะฉันที่ไม่เคยออกไปนอกตัวปราสาท เพราะแม้แต่การเดินทางฉันยังต้องปิดบังใบหน้าเอาไว้เลย แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กถึงไม่รู้สึกว่าแปลกอะไรน่าตลกดี ที่สิ่งที่สอนให้ฉันรู้จักโลกภายนอกคือหนังสือเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายมาตลอดความลึกลับอันน่าพิศวง มอนสเตอร์น่ากลัว ความงดงามของธรรมชาติ วิถีชีวิตของผู้คน เรื่องราวทั้งหมดที่ร้อยเรียงทำให้ฉันจินตนาการภาพฝันของโลกภายนอกไว้อย่างสวยงาม และหวังว่าซักวันจะได้ออกไปและในวันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักอาชีพที่เรียกว่า ‘นักผจญภัย’อาชีพที่สามารถไปได้ทุกที่ที่อยากไป ทำได้ทุกสิ่งที่ต้องการ แสวงหาทุกสิ่งด้วยตัวเองกับพวกพ้องที่ไว้ใจได้แต่ถ้าจะว่ากันตามตรง เนื้อหาของมันก็ไม่ต่างจากนิทานทั่วไปที่มีพระเอ
ตั้งแต่ที่จำความได้ ตัวฉันก็ตระหนักได้แต่คุณค่าของตัวเอง ว่าเป็นแค่เครื่องมือฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนที่คลอดฉันออกมาเป็นใครสิ่งเดียวที่จำได้ มีแต่ใบหน้าโกรธเกรี้ยวที่ใช้ฝึกหัดเฆี่ยนตี แปรเปลี่ยนเด็กสาวบริสุทธิ์ให้เป็นมือสังหารถูกกระทำเหมือนเป็นของเล่น... นอกจากจะช่วงชิงความบริสุทธิ์ในฐานะผู้หญิงของฉันไป ทั้งยังมอบคำสั่งมากมายที่ทำให้มือของฉันต้องเปื้อนเลือดตัวฉันในตอนนั้นไม่ได้ตระหนักว่ามันเป็นเรื่องแปลกแม้แต่น้อย ก็เครื่องมือมันคิดเองไม่ได้นี่นาก่อนที่จะได้เจอกับไมน์และรีเบคก้า...การได้ใช้ชีวิตแฝงตัวกับพวกเธอในฐานะผู้สังเกตการณ์จากภายในทำให้เราเริ่มซึมซับความคิดและความรู้สึกของพวกเธอเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆรอยยิ้มจอมปลอมเริ่มที่จะแปรเปลี่ยนเป็นของจริง สีหน้าที่ปั้นยิ้มกลายเป็นฉีกออกกว้างอย่างจริงใจ คนที่ทำให้ฉันตระหนักว่าตัวเองไม่ใช่เครื่องมือก็คือเพื่อนรักของฉันทั้งสองคนแต่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ฉันคิดว่า... มันสายไปแล้วถึงจะรู้ไปแล้วว่าทางที่ตัวเองเดินมาจนถึงตอนนี้เป็นทางที่ผิด แต่ในเมื่อมันเดินมาแล้วก็มีแต่ต้องทำใจ แต่เพราะทำใจไม่ได้ถึงได้ทรมานจนอยากหนีไปให้พ้น ๆฟางเส้นสุดท้าย
หลังจากที่คอร์ดิเรียเปิดเผยอดีตที่แสนทุกข์ทรมานของเธอให้พวกเราฟัง ทุกคนก็เข้าหาคอร์ดิเรียแบบเป็นกันเองมากขึ้นเยอะเลยทั้งนี้ก็คงเพราะว่าก่อนหน้านี้ทุกคนคงติดใจบุคลิกแปลก ๆ และทัศนคติของคอร์ดิเรียที่มีต่อฉันไม่ค่อยดีนั่นแหล่ะ แต่พอได้รู้สาเหตุก็เหมือนเคลียร์ปัญหาทางใจกันไปแล้วในตัวก็นะ ถ้าถามว่าสนิทกันมากขึ้นถึงขนาดไหนล่ะ... ตอนนี้คอร์ดิเรียเข้ามาเล่นไพ่ด้วยกันกับทุกคนแล้วล่ะหืม? เป็นพัฒนาการที่ช้าเกินไปงั้นเหรอ? ไม่ใช่แบบนั้นหรอก... ในมุมมองของฉัน นี่แหล่ะก้าวสำคัญของคอร์ดิเรีย แถมมีรอยยิ้มแบบที่ไม่เคยเห็นจากคอร์ดิเรียมาก่อนเป็นผลสะท้อน ดูยังไงคอร์ดิเรียก็ดีขึ้นแล้วแน่ ๆ (โล่งอกไปที)นั่นคือในส่วนของปัญหาส่วนตัวของพวกเรา... แต่หลังจากที่ผ่อนคลายกันทั้งกลุ่มก็ต้องมานั่งเลคเชอร์กัน เพราะวันพรุ่งนี้พวกเรา ‘ภาคีโต๊ะจัตุรัส’ ตั้งใจจะเปิดเผยข้อมูลที่มีในมือทั้งหมดร่วมกันในตอนแรกทุกคนก็กังวลอยู่หรอก เพราะนอกจากพี่มารีแล้วทุกคนระวังท่าทีของคนอื่นพอสมควร ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติแหล่ะนะแต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ต้องการจะบอกความจริงให้ทุกคนรู้อยู่ดี อย่างที่เคยย้ำไปหลายรอบ ปัญหาที่มีผลกระทบกับทุกคนแบบ
ณ โถงทางเดินอันเงียบสงัดสร้างบรรยากาศขัดตา ด้วยความที่มีชายหญิง 21 คนกระจุกอยู่ในบริเวณเดียวกัน และสาเหตุของสถานการณ์ดังกล่าว คือหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวลายลูกไม้ให้บรรยากาศคล้ายกับชุดของเจ้าหญิงในงานเต้นรำ เธอผู้ซึ่งมีเรือนผมสีฟ้าคราม จดจ้องนัยน์ตาสีแดงมายังชายหนุ่มที่เดินนำหน้าสุดถัดจากสาวรับใช้ในวัง ...คือคอร์ดิเรียที่กำลังกอดอกพิงกำแพง รอจังหวะที่กรและพรรคพวกจะเดินผ่าน ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ〝 มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ มาด้วยกันหน่อยได้ไหม 〞 คอร์ดิเรียพูดแบบนั้นในขณะที่ส่งสายตาประหนึ่งอ้อนวอน นั่นเป็นสิ่งที่เธอยังไม่เคยแสดงออกมาต่อหน้าพวกกรเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นจึงทำให้กรและสาว ๆ ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันอย่างจริงจังกลับไป ส่วนสาวใช้ที่ยืนคั่นกลางระหว่างทั้งสองคนก็ได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก ก่อนที่จะตั้งสติแล้วโค้งคำนับให้คอร์ดิเรียหนึ่งหนแล้วย่ำเท้าออกจากที่เกิดเหตุโดยพลัน ทำให้คนที่ยืนประจันหน้าอยู่กับคอร์ดิเรียมีเพียงพวกกรเท่านั้นถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรก็เถอะ แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าคำตอบก็คือ〝 ได้สิ... แน่นอนอยู่แล้ว 〞
ไข่ในหิน... ความหมายของมันคือ ของมีค่าที่ต้องทะนุถนอมแต่เคยสงสัยกันรึเปล่า ว่าถ้าเกิดไข่มันรู้ว่าตัวเองอยู่ในหินมันจะรู้สึกอึดอัด?ก็ไม่รู้หรอกนะว่าไข่จริง ๆ มันจะคิดยังไง แต่ถ้าเป็นความรู้สึกที่ถูกถนอมไว้ในหินล่ะก็ บอกเลยว่าตอนนี้ไม่มีใครเข้าใจไปมากกว่าฉันแล้วล่ะ เสียงในจิตใจของเด็กหนุ่มรำพึงขึ้นด้วยความสุขเพราะถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่น กระนั้นก็ไม่อาจเมินเฉยต่อสายตาที่ทิ่มแทงเข้ามาได้ สัมผัสในตอนนี้หากจะให้เปรียบก็คงคล้ายกับรสหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าทว่ากลับมีรสอมขมติดลิ้นเล็ก ๆ นั่นคือเด็กหนุ่มผู้กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ในปราสาทของอาณาจักรซีทนัลทา โดยห้องดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับเป็นห้องประชุมเล็ก ๆ ที่มีโซฟาขนาดใหญ่หลายตัวล้อมเป็นวงกลม พร้อมกับมีโต๊ะเล็กไว้สำหรับวางเครื่องดื่มตั้งอยู่ด้านหน้าของแต่ละตัว แต่แม้จะบอกว่ามีโซฟาและโต๊ะหลายตัว กระนั้นการจัดเรียงก็ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่หันหน้าเข้าหากันในลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า เป็นการแบ่งชัดเจนว่าจะมีฝ่ายสนทนาอยู่ถึง 4 ฝ่ายด้วยกัน และแน่นอนว่าประเด็นสำคัญก็คือภายในห้อ
เอาล่ะ หลังจากนี้จะเอายังไงดี หลังจากที่เผยเจตนาของตัวเองที่มีต่อเสือ กรก็เบนสติของตัวเองมาเฝ้าระวังบอสมอนสเตอร์อันมีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับหรือมากกว่าบอสมหาดันเจี้ยนที่เคยเจอมา ดวงตาสีแดงที่จดจ้องลงมา พร้อมด้วยรูปร่างสูงใหญ่คล้ายกับสัตว์อสูรทะเลหลายอย่างรวมกันเป็นที่สุดแห่งความน่าพรั่นพรึงของท้องทะเล และนามของราชาแห่งท้องทะเลตัวนี้ที่แสดงเมื่อกรใช้ออร่าสีเหลืองตรวจสอบคือ ‘อัลติเมท คราเคน’ (Ultimate Kraken) เป็นนามอันย้ำเตือนถึงความเด็ดขาดในความแข็งแกร่งจากในตำนานก๊าซซซซซซ!!!!!!! สัตว์ประหลาดร่างสูงใหญ่ราว 50 เมตรนามคราเคนคำรามก้องท้องฟ้าส่งแรงสะเทือนที่ทำเอาทั้งร่างสั่นสะท้าน เสียงนั้นดังกึกก้องไปถึงอีกฟากของโพ้นทะเล พร้อมกับเปรยตามองลงด้านล่างราวกับเย้ยหยันกรกับเสือที่ตั้งท่าตั้งรับด้วยแขนที่สั่นเล็กน้อย ทั้งเพราะแรงสะเทือนของเสียงคำรามและความหวาดกลัวพลังไม่เหลือพอจะใช้ท่าที่รุนแรงอย่าง Armageddon Spectrum ได้แถมจะให้เปิดใช้ Endless Spectrum Throne ก็ไม่รู้อีกว่ามันจะมีผลกระทบกับทุกคนไปด้วยรึเปล่าตอนนี้ที่ทำได้คงต้องใช้ออร่าที่เหลือยื