“ในเมื่อเจ้าชอบพอคุณหนูสามเฟิ่งคนนั้น เราก็ไม่พูดอะไรมากแล้ว แต่ว่าทางที่ดีควรจะดูแลพระชายาของเจ้าให้ดี เป็นหญิงเป็นนาง ทั้งยังเป็นพระชายาผู้สง่าผ่าเผย แต่กลับปลอมตัวเป็นชายไปเที่ยวหอนางโลม? มีอย่างที่ไหนกัน ทำตัวเหลวไหลจริง ๆ”ฮ่องเต้เทียนหยวนพูดไป ก็อดไม่ได้ที่จะทำสีหน้าเคร่งขรึมตงฟางจิ่งพยักหน้า “เชียนเชียนเพียงแค่นิสัยรักสนุกไปหน่อยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเองก็ตามใจจนเกินไป เสด็จพ่อทรงวางพระทัย ว่าจะไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เทียนหยวนโบกมือ “เอาละ สุขภาพของเจ้าไม่แข็งแรง รีบกลับจวนไปพักผ่อนเถอะ”“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันทูลลา”ตงฟางจิ่งออกจากห้องทรงพระอักษร เส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปยังประตูเสินอู่ ก็เจอเข้ากับอ๋องสามและอ๋องห้าพอดีอ๋องสามตงฟางเย่า สวมชุดสีแดงเข้ม ห้อยหยกรูปนกกระเรียนบินอยู่บริเวณเอว มือถือพัดพับ ที่พัดมีก้อนหินสีฟ้าอมเขียวที่มูลค่าไม่ธรรมดาห้อยอยู่ เดินไปแกว่งไป ท่าทางสง่างามอ๋องห้าตงฟางฉี่ สวมชุดปักลายหม่างสีดำ ห้อยตราประทับอยู่บริเวณเอว มือถือลูกประคำไม้กฤษณาเส้นหนึ่งอยู่ เดินอย่างผ่าเผย หน้าตาหล่อเหลาไม่ธรรมดาเมื่อทั้งสองคนเห็นต
เรื่องที่แพร่ออกมาตอนหลังว่า เจ้าหกกับลูกของอนุภรรยาคนนั้นรักกันมาตั้งนานแล้ว เรื่องแต่งงานแทนจึงเป็นเรื่องที่ตกลงกันเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาไม่เชื่อเลยสักนิดถึงแม้จะไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ก็เพื่อไว้หน้าเจ้าหกก็เท่านั้น จึงจงใจเผยแพร่ออกไปก็เท่านั้น“ปกติน้องหกมักจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน ยากที่จะได้เจอสักครั้ง วันนี้ได้เจอกัน พวกเราพี่น้องกินข้าวด้วยกันสักมื้อดีหรือไม่?” ตงฟางฉี่เสนอความคิดเห็นตงฟางจิ่งเหลือบมองทั้งสองคนแวบหนึ่ง กล่าวเสียงเรียบ “ความหวังดีของพี่สามกับพี่ห้าข้ารับเอาไว้ด้วยใจแล้ว แต่ว่าสุขภาพของข้าไม่แข็งแรง ไม่เป็นไรดีกว่า”เมื่อทั้งสองคนได้ยินก็ไม่สนใจ ตงฟางจิ่งสุขภาพไม่ดีตั้งแต่เด็ก ร่างกายอ่อนแอ คลุกอยู่ภายในจวนมาหลายปี ปรากฏตัวน้อยมาก นิสัยก็เย็นชาเหมือนน้ำแข็งมาโดยตลอดตงฟางเย่านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ยิ้ม “น้องหก ได้ยินมาว่าที่จวนของเจ้ามีนักพรตเฟิง ฝีมือการรักษาน่ามหัศจรรย์ แม้แต่ตาที่บอดของหานจวิ้นก็สามารถหายกลับเป็นปกติได้?”“เรื่องนี้จริงหรือไม่?”เมื่อตงฟางฉี่ได้ยิน หัวใจหวั่นไหวทันที แล้วก็มองตงฟางจิ่งตงฟางจิ่งหยักห
เรือนชิงหลาน เฟิ่งเชียนอวี่ให้สาวใช้ยกเก้าอี้สนมเอก[1]ออกมาข้างนอก ตนเองนอนอยู่ด้านบน กำลังอาบแดดอย่างเกียจคร้าน ปากบ่นพึมพำ“เบื่อ น่าเบื่อเหลือเกิน...”หลิวซูกับอิ้งเสวี่ยสบตากันแวบหนึ่ง เดินมาข้างหน้า“พระชายา บ่าวร้องเพลงให้ท่านฟังดีหรือไม่”“ใช่เจ้าค่ะ พระชายา บ่าวยังเล่าเรื่องตลกเป็นนะเจ้าคะ ท่านฟังแก้เบื่อได้”เฟิ่งเชียนอวี่มุ่ยปาก เล่าเรื่องตลก? จะยังมีอะไรน่าขำไปกว่ามุกตลกสมัยใหม่ที่หลากหลายพวกนั้นอีกเหรอไง? ช่างเถอะนางครุ่นคิด “หรือว่า พวกเราออกไปเที่ยวเล่นที่นอกจวนกันเถอะ ถนนทิศตะวันออกกับถนนทิศใต้ทางด้านนั้น มีสถานที่อีกมากมายที่ยังไม่ได้เลยนะ”สาวใช้ทั้งสองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย“พระชายา ท่านดูสิเจ้าคะว่าวันนี้แดดแรงมากแค่ไหน ถ้าออกไปละก็ ถ้าหากไม่ระวังตากแดดจนดำ ถ้าแบบนั้นก็จะไม่สวยเอานะเจ้าคะ”“ถูกต้องเจ้าค่ะพระชายา หรือไม่พวกเราค่อยไปเดินเที่ยวกันวันหลังนะเจ้าคะ รอให้อากาศเย็นสบาย”เฟิ่งเชียนอวี่อดไม่ได้ที่จะมองบน “ตอนนี้เพิ่งจะเดือนห้า รอให้อากาศเย็นสบาย อย่างน้อยก็ต้องเดือนสิบนู่นพวกเจ้าไม่อยากออกไปกับข้าก็พูดมาตรง ๆ ก็จบแล้ว”สาวใช้ทั้งสองคนเม้มปาก กล่าว
สาวใช้ทั้งสองหยุดชะงัก กัดริมฝีปากไม่กล้าเอ่ยปากพูด ขี้ขลาดไปทันที ผู้หญิงที่กำลังร้องไห้ไปพูดไป เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเฟิ่งเชียนอวี่ ก็ยิ้มอย่างดีใจทันที ลากแม่นางที่อยู่ด้านข้างให้ลุกขึ้น“ขอบพระคุณคุณชาย ท่านเป็นคนดีมากจริง ๆ”“คุณชาย ข้าชื่อเหลิ่งหนิง ท่านนี้คือพี่สาวของข้า ชื่อว่าเหลิ่งหาน ต่อจากนี้พวกข้าสองพี่น้องก็คือคนของคุณชายแล้ว”“ช้าก่อน คือว่า ข้าออกเงินสิบตำลึงแล้ว แต่พวกเจ้าสองคนก็ช่างมันเถอะ ที่จวนของข้าไม่ขาดแคลนสาวใช้” เฟิ่งเชียนอวี่รีบปฏิเสธเหลิ่งหนิงกล่าวพร้อมกะพริบตาปริบ ๆ “คุณชาย ท่านรับเลี้ยงพวกเราเอาไว้ไม่ขาดทุน พวกเราทำเป็นทุกอย่าง แล้วก็ยังต่อสู้เป็นด้วย”เฟิ่งเชียนอวี่ตกตะลึง ประหลาดใจ “พวกเจ้าต่อสู้เป็นด้วย?”“ถูกต้อง ข้ากับพี่สาวของข้าเก่งกาจมาก วิชาตัวเบาอาวุธลับ ศิลปะการต่อสู้สิบแปดชนิด ทุกอย่างเป็นเรื่องเล็กน้อย” เหลิ่งหนิงกล่าวอย่างยิ้มแย้มเฟิ่งเชียนอวี่ดวงตาเปล่งประกาย “เก่งกาจขนาดนี้”นางครุ่นคิด จ้องมองกำแพงสูงที่อยู่ตรงหน้าของตรอกนี้ ชี้ไปที่มัน “เจ้าลองแสดงให้ดูหน่อย ว่าสามารถใช้วิชาตัวเบา พาข้าข้ามจากตรงนี้ไปได้หรือไม่?”นัยน์ตา
หลิวซูเม้มปาก ค่อยๆ ขยับเข้ามาคำนับทั้งสอง นางกล่าวอย่างระมัดระวัง “ใต้เท้าเหลิ่งหาน ใต้เท้าเหลิ่งหนิง เหตุใดพวกท่าน พวกท่าน…”เหลิ่งหานกล่าวอย่างเรียบเฉย “ก็แค่ทำงานตามคำสั่ง ระวังปากของเจ้า อย่าเผลอหลุดปากล่ะ”“เจ้าค่ะ” หลิวซูไม่กล้ามีความคิดเห็นใดๆเหลิ่งหนิงกับเหลิ่งหานสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็พาหลิวซูไปจวนอ๋องอย่างใจเย็นพวกนางสองคนเป็นคนของตงฟางจิ่ง ในบรรดาองครักษ์ลับที่เป็นกองกำลังของตงฟางจิ่ง ส่วนใหญ่เป็นองครักษ์ลับชาย องครักษ์ลับหญิงมีน้อยมาก พวกนางสองคนก็คือสองในนั้นครั้งนี้ ท่านอ๋องส่งพวกนางมาติดตามพระชายา ต่อไปค่อยปกป้องความปลอดภัยของพระชายาอย่างใกล้ชิด แต่ต้องเก็บตัวตนของพวกนางไว้เป็นความลับส่วนจะได้รับความเชื่อใจจากพระชายาอย่างไร ทำให้พระชายารับพวกนางไว้ ก็ขึ้นอยู่กับพวกนางแล้วด้วยเหตุนี้จึงมีละครขายตัวทำศพบิดาในวันนี้เฟิ่งเชียนอวี่รอเหลิ่งหานสองพี่น้องอยู่ที่เรือนชิงหลาน เมื่อมาถึงก็แนะนำสถานะของตัวเองให้พวกนางรู้จัก“หลิวซูกับอิ้งเสวี่ยเป็นสาวใช้ข้างกายของข้า พวกเจ้าสองคนก็เป็นองครักษ์หญิงข้างกายของข้าก็แล้วกัน ต่อไปข้าไปที่ไหน ก็ตามข้าไปด้วย”“เจ้าค่ะ พระ
ปัจจุบันกลายเป็นเฟิ่งเชียนอวี่ที่มาจากต่างโลก ย่อมแสดงความงามออกมาเต็มที่ต่างก็บอกว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ร่างกายร่างนี้ของเฟิ่งเชียนอวี่มีพื้นฐานความงามที่ดีมาก วันนี้แต่งตัวอย่างจริงจัง สะดุดตามากจริงๆตงฟางจิ่งมองนาง ดวงตาที่ลึกล้ำยิ่งสลัวลงเรื่อยๆ มีความตะลึงสายหนึ่งแลบผ่านแววตา แม้แต่เขาก็ไม่รู้ตัวหลิวซูประคองเฟิ่งเชียนอวี่ไว้ นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “พระชายาสวยจริงๆ งานเลี้ยงพระราชวังของคืนนี้ พระชายาของเราต้องเฉิดฉายที่สุดแน่นอน”พลันเฟิ่งเชียนอวี่เลิกคิ้ว ย่ามใจเล็กน้อย “มันแน่อยู่แล้ว”นางสังเกตตั้งแต่มาถึงยุคโบราณแล้ว หน้าตาของร่างกายร่างนี้ เหมือนกับหน้าตาในยุคปัจจุบันของนางไม่มีผิดเพี้ยนแต่เมื่อก่อนตั้งแต่นางเข้าห้องทดลอง ในเวลาสิบกว่าปีนี้ ทรงผมและการแต่งกายซ้ำกันทุกวัน ผมหางม้า แว่นตา เสื้อกาวน์ แทบลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งนางเคยเป็นหญิงงามแต่ความงามนั้น ล้วนต้องแลกมากับสิ่งอื่นเฟิ่งเชียนอวี่บิดคออย่างอึดอัด บนศีรษะแบกกวานที่มีน้ำหนักหลายชั่ง ช่วงเวลาสั้นๆ ยังพอทน ถ้าหากสวมเป็นเวลานานตลอด กระดูกต้นคอเสื่อมแน่นอนนางเดินไปหาตงฟางจิ่ง ทันใดนั้น ชั่วขณะไม่ระ
เฟิ่งหลิงหลงสวมกระโปรงผ้าแพรบุปผาร้อยวารี คาดสายรัดเอว แลดูเอวบางร่างน้อย เสื้อชั้นนอกเป็นผ้าโปร่งลายเมฆ ผิวพรรณขาวเนียน ริมฝีปากแดง โฉมงามดั่งภาพวาด สง่างามยิ่งนักบุตรสาวภรรยาเอกจวนอัครมหาเสนาบดี ผู้มีความรู้ความสามารถ ยิ่งได้ฉายาว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวง หน้าตาย่อมไม่ธรรมดาความงามของเฟิ่งเชียนอวี่นั้นเปล่งประกายสี่ทิศ พร่างพรายสะดุดตา ส่วนความงามของเฟิ่งหลิงหลงนั้นเอียงไปทางเย่อหยิ่งถือตัว ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแต่เวลานี้เฟิ่งหลิงหลงเดินเข้ามาอย่างไว เนื่องจากโกรธเคือง ระหว่างคิ้วถึงขั้นมีกลิ่นอายของความเกลียดชังแฝง ทำลายภาพลักษณ์อันบริสุทธิ์และสูงส่งโดยตรงเฟิ่งหลิงหลงมองดูการแต่งตัวที่สูงศักดิ์ของเฟิ่งเชียนอวี่ รูปลักษณ์นั่นไม่ได้ด้อยไปกว่านางเลยสักนิด และถึงขั้นเหนือกว่าหลายส่วน ยิ่งโมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยวแล้วนางกัดฟัน หัวเราะอย่างเย็นชาทีหนึ่ง “เฟิ่งเชียนอวี่ ดูไม่ออกจริงๆ ก็เพราะเจ้าใช้ภาพลักษณ์นางจิ้งจอกนี่ล่อลวงท่านอ๋องจิ่ง ครั้งก่อนท่านอ๋องจิ่งถึงได้ช่วยเจ้าพ้นภัยต่อหน้าฮองเฮากระมัง เก่งจริงๆ”เฟิ่งหลิงหลงนึกถึงเรื่องนี้ก็เกลียดจนกัดฟันนางคาดการณ์สถานการณ์ต่า
เฟิ่งหลิงหลงถูกนางตำหนิจนชั่วขณะไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร ความโกรธอัดอั้นอยู่ในอก รู้สึกทรมานมากนางโมโหจนตัวสั่น โกรธจนแทบสูญเสียสติสัมปชัญญะ“เฟิ่งเชียนอวี่…”คำพูดเพิ่งออกมาจากปาก เฟิ่งเชียนอวี่ก็เดินออกมาหนึ่งก้าว เหวี่ยงฝ่ามือใส่ใบหน้านางอีกหนึ่งที“เจ้าควรเรียกข้าว่าพระชายาอ๋องหก กล้าเรียกชื่อของข้าตรงๆ สมควรโดนตบ”“เจ้า…” เฟิ่งหลิงหลงเกลียดจนดวงตาแดงก่ำ ถูกเหลิ่งหนิงคุมตัวไว้ อยากต่อต้านก็ทำไม่ได้เฟิ่งเชียนอวี่ตบจนเจ็บฝ่ามือ แต่ในใจกลับรู้สึกหนำใจนักครั้งก่อนตอนอยู่ตำหนักเฟิ่งเสียงของฮองเฮา นางเกือบถูกผู้หญิงคนนี้ฆ่าตาย แค้นนี้นางจำฝังใจมาโดยตลอดในยุคโบราณ ราชอำนาจอยู่บนจุดสูงสุด เข้มงวดระบบยศถาบรรดาศักดิ์มากตอนนั้นนางก็คิดไว้แล้ว ทางที่ดีเฟิ่งหลิงหลงอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้านาง ไม่เช่นนั้น เฉพาะสถานะของตน ก็สามารถสั่งสอนนางจนหลาบจำแล้วเป็นไปตามที่คาด ผู้หญิงคนนี้ส่งตัวเองมาให้ถึงที่แล้วอีกทั้งในความทรงจำของเจ้าของร่าง เฟิ่งหลิงหลงเคยรังแกเฟิ่งเชียนอวี่ที่นิสัยอ่อนแอไว้ไม่น้อย ความแค้นของนาง การตายของเจ้าของร่าง พอดีเลย ครั้งนี้ขอเก็บดอกเบี้ยก่อนก็แล้วกันเฟิ่งเชียนอวี