สาวใช้ทั้งสองหยุดชะงัก กัดริมฝีปากไม่กล้าเอ่ยปากพูด ขี้ขลาดไปทันที ผู้หญิงที่กำลังร้องไห้ไปพูดไป เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเฟิ่งเชียนอวี่ ก็ยิ้มอย่างดีใจทันที ลากแม่นางที่อยู่ด้านข้างให้ลุกขึ้น“ขอบพระคุณคุณชาย ท่านเป็นคนดีมากจริง ๆ”“คุณชาย ข้าชื่อเหลิ่งหนิง ท่านนี้คือพี่สาวของข้า ชื่อว่าเหลิ่งหาน ต่อจากนี้พวกข้าสองพี่น้องก็คือคนของคุณชายแล้ว”“ช้าก่อน คือว่า ข้าออกเงินสิบตำลึงแล้ว แต่พวกเจ้าสองคนก็ช่างมันเถอะ ที่จวนของข้าไม่ขาดแคลนสาวใช้” เฟิ่งเชียนอวี่รีบปฏิเสธเหลิ่งหนิงกล่าวพร้อมกะพริบตาปริบ ๆ “คุณชาย ท่านรับเลี้ยงพวกเราเอาไว้ไม่ขาดทุน พวกเราทำเป็นทุกอย่าง แล้วก็ยังต่อสู้เป็นด้วย”เฟิ่งเชียนอวี่ตกตะลึง ประหลาดใจ “พวกเจ้าต่อสู้เป็นด้วย?”“ถูกต้อง ข้ากับพี่สาวของข้าเก่งกาจมาก วิชาตัวเบาอาวุธลับ ศิลปะการต่อสู้สิบแปดชนิด ทุกอย่างเป็นเรื่องเล็กน้อย” เหลิ่งหนิงกล่าวอย่างยิ้มแย้มเฟิ่งเชียนอวี่ดวงตาเปล่งประกาย “เก่งกาจขนาดนี้”นางครุ่นคิด จ้องมองกำแพงสูงที่อยู่ตรงหน้าของตรอกนี้ ชี้ไปที่มัน “เจ้าลองแสดงให้ดูหน่อย ว่าสามารถใช้วิชาตัวเบา พาข้าข้ามจากตรงนี้ไปได้หรือไม่?”นัยน์ตา
หลิวซูเม้มปาก ค่อยๆ ขยับเข้ามาคำนับทั้งสอง นางกล่าวอย่างระมัดระวัง “ใต้เท้าเหลิ่งหาน ใต้เท้าเหลิ่งหนิง เหตุใดพวกท่าน พวกท่าน…”เหลิ่งหานกล่าวอย่างเรียบเฉย “ก็แค่ทำงานตามคำสั่ง ระวังปากของเจ้า อย่าเผลอหลุดปากล่ะ”“เจ้าค่ะ” หลิวซูไม่กล้ามีความคิดเห็นใดๆเหลิ่งหนิงกับเหลิ่งหานสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็พาหลิวซูไปจวนอ๋องอย่างใจเย็นพวกนางสองคนเป็นคนของตงฟางจิ่ง ในบรรดาองครักษ์ลับที่เป็นกองกำลังของตงฟางจิ่ง ส่วนใหญ่เป็นองครักษ์ลับชาย องครักษ์ลับหญิงมีน้อยมาก พวกนางสองคนก็คือสองในนั้นครั้งนี้ ท่านอ๋องส่งพวกนางมาติดตามพระชายา ต่อไปค่อยปกป้องความปลอดภัยของพระชายาอย่างใกล้ชิด แต่ต้องเก็บตัวตนของพวกนางไว้เป็นความลับส่วนจะได้รับความเชื่อใจจากพระชายาอย่างไร ทำให้พระชายารับพวกนางไว้ ก็ขึ้นอยู่กับพวกนางแล้วด้วยเหตุนี้จึงมีละครขายตัวทำศพบิดาในวันนี้เฟิ่งเชียนอวี่รอเหลิ่งหานสองพี่น้องอยู่ที่เรือนชิงหลาน เมื่อมาถึงก็แนะนำสถานะของตัวเองให้พวกนางรู้จัก“หลิวซูกับอิ้งเสวี่ยเป็นสาวใช้ข้างกายของข้า พวกเจ้าสองคนก็เป็นองครักษ์หญิงข้างกายของข้าก็แล้วกัน ต่อไปข้าไปที่ไหน ก็ตามข้าไปด้วย”“เจ้าค่ะ พระ
ปัจจุบันกลายเป็นเฟิ่งเชียนอวี่ที่มาจากต่างโลก ย่อมแสดงความงามออกมาเต็มที่ต่างก็บอกว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ร่างกายร่างนี้ของเฟิ่งเชียนอวี่มีพื้นฐานความงามที่ดีมาก วันนี้แต่งตัวอย่างจริงจัง สะดุดตามากจริงๆตงฟางจิ่งมองนาง ดวงตาที่ลึกล้ำยิ่งสลัวลงเรื่อยๆ มีความตะลึงสายหนึ่งแลบผ่านแววตา แม้แต่เขาก็ไม่รู้ตัวหลิวซูประคองเฟิ่งเชียนอวี่ไว้ นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “พระชายาสวยจริงๆ งานเลี้ยงพระราชวังของคืนนี้ พระชายาของเราต้องเฉิดฉายที่สุดแน่นอน”พลันเฟิ่งเชียนอวี่เลิกคิ้ว ย่ามใจเล็กน้อย “มันแน่อยู่แล้ว”นางสังเกตตั้งแต่มาถึงยุคโบราณแล้ว หน้าตาของร่างกายร่างนี้ เหมือนกับหน้าตาในยุคปัจจุบันของนางไม่มีผิดเพี้ยนแต่เมื่อก่อนตั้งแต่นางเข้าห้องทดลอง ในเวลาสิบกว่าปีนี้ ทรงผมและการแต่งกายซ้ำกันทุกวัน ผมหางม้า แว่นตา เสื้อกาวน์ แทบลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งนางเคยเป็นหญิงงามแต่ความงามนั้น ล้วนต้องแลกมากับสิ่งอื่นเฟิ่งเชียนอวี่บิดคออย่างอึดอัด บนศีรษะแบกกวานที่มีน้ำหนักหลายชั่ง ช่วงเวลาสั้นๆ ยังพอทน ถ้าหากสวมเป็นเวลานานตลอด กระดูกต้นคอเสื่อมแน่นอนนางเดินไปหาตงฟางจิ่ง ทันใดนั้น ชั่วขณะไม่ระ
เฟิ่งหลิงหลงสวมกระโปรงผ้าแพรบุปผาร้อยวารี คาดสายรัดเอว แลดูเอวบางร่างน้อย เสื้อชั้นนอกเป็นผ้าโปร่งลายเมฆ ผิวพรรณขาวเนียน ริมฝีปากแดง โฉมงามดั่งภาพวาด สง่างามยิ่งนักบุตรสาวภรรยาเอกจวนอัครมหาเสนาบดี ผู้มีความรู้ความสามารถ ยิ่งได้ฉายาว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวง หน้าตาย่อมไม่ธรรมดาความงามของเฟิ่งเชียนอวี่นั้นเปล่งประกายสี่ทิศ พร่างพรายสะดุดตา ส่วนความงามของเฟิ่งหลิงหลงนั้นเอียงไปทางเย่อหยิ่งถือตัว ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแต่เวลานี้เฟิ่งหลิงหลงเดินเข้ามาอย่างไว เนื่องจากโกรธเคือง ระหว่างคิ้วถึงขั้นมีกลิ่นอายของความเกลียดชังแฝง ทำลายภาพลักษณ์อันบริสุทธิ์และสูงส่งโดยตรงเฟิ่งหลิงหลงมองดูการแต่งตัวที่สูงศักดิ์ของเฟิ่งเชียนอวี่ รูปลักษณ์นั่นไม่ได้ด้อยไปกว่านางเลยสักนิด และถึงขั้นเหนือกว่าหลายส่วน ยิ่งโมโหจนใบหน้าบิดเบี้ยวแล้วนางกัดฟัน หัวเราะอย่างเย็นชาทีหนึ่ง “เฟิ่งเชียนอวี่ ดูไม่ออกจริงๆ ก็เพราะเจ้าใช้ภาพลักษณ์นางจิ้งจอกนี่ล่อลวงท่านอ๋องจิ่ง ครั้งก่อนท่านอ๋องจิ่งถึงได้ช่วยเจ้าพ้นภัยต่อหน้าฮองเฮากระมัง เก่งจริงๆ”เฟิ่งหลิงหลงนึกถึงเรื่องนี้ก็เกลียดจนกัดฟันนางคาดการณ์สถานการณ์ต่า
เฟิ่งหลิงหลงถูกนางตำหนิจนชั่วขณะไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร ความโกรธอัดอั้นอยู่ในอก รู้สึกทรมานมากนางโมโหจนตัวสั่น โกรธจนแทบสูญเสียสติสัมปชัญญะ“เฟิ่งเชียนอวี่…”คำพูดเพิ่งออกมาจากปาก เฟิ่งเชียนอวี่ก็เดินออกมาหนึ่งก้าว เหวี่ยงฝ่ามือใส่ใบหน้านางอีกหนึ่งที“เจ้าควรเรียกข้าว่าพระชายาอ๋องหก กล้าเรียกชื่อของข้าตรงๆ สมควรโดนตบ”“เจ้า…” เฟิ่งหลิงหลงเกลียดจนดวงตาแดงก่ำ ถูกเหลิ่งหนิงคุมตัวไว้ อยากต่อต้านก็ทำไม่ได้เฟิ่งเชียนอวี่ตบจนเจ็บฝ่ามือ แต่ในใจกลับรู้สึกหนำใจนักครั้งก่อนตอนอยู่ตำหนักเฟิ่งเสียงของฮองเฮา นางเกือบถูกผู้หญิงคนนี้ฆ่าตาย แค้นนี้นางจำฝังใจมาโดยตลอดในยุคโบราณ ราชอำนาจอยู่บนจุดสูงสุด เข้มงวดระบบยศถาบรรดาศักดิ์มากตอนนั้นนางก็คิดไว้แล้ว ทางที่ดีเฟิ่งหลิงหลงอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้านาง ไม่เช่นนั้น เฉพาะสถานะของตน ก็สามารถสั่งสอนนางจนหลาบจำแล้วเป็นไปตามที่คาด ผู้หญิงคนนี้ส่งตัวเองมาให้ถึงที่แล้วอีกทั้งในความทรงจำของเจ้าของร่าง เฟิ่งหลิงหลงเคยรังแกเฟิ่งเชียนอวี่ที่นิสัยอ่อนแอไว้ไม่น้อย ความแค้นของนาง การตายของเจ้าของร่าง พอดีเลย ครั้งนี้ขอเก็บดอกเบี้ยก่อนก็แล้วกันเฟิ่งเชียนอวี
เฟิ่งเชียนอวี่เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจที่ผู้หญิงคนนี้สามารถอดกลั้นความโกรธคำนับนางจริงๆ นับว่าตนดูถูกนางเกินไปแล้วเหอะ มันก็จริง เมืองหลวงมีสตรีสูงศักดิ์มากมาย คนที่มีความสามารถและหน้าตาดีก็มีไม่น้อย มีเพียงเฟิ่งหลิงหลงที่รู้จักกันไปทั่ว คิดว่านอกจากความสูงศักดิ์ของจวนเฟิ่ง ตัวนางก็พอจะมีความสามารถเช่นกันหากนางแข็งกระด้างไม่ยอมประนีประนอม กลับยิ่งโง่เขลาแล้วหลังจากเฟิ่งหลิงหลงจากไป เฟิ่งเชียนอวี่เหลือบมองขันทีน้อยนำทางข้างๆ ที่ดูอย่างเงียบๆ ตั้งแต่เริ่มจนจบ ทำราวกับหูตาบอดแหม่ คนในวังนี่มันน่าสนใจจริงๆงานเลี้ยงพระราชวังจัดขึ้นในอุทยานหลวง โถงทางเดินคดเคี้ยวเป็นตัวอักษรเหมิน[1] บนพื้นปูด้วยอิฐหยกสีฟ้า และมีโคมชาววัง[2]แขวนอยู่ใต้ชายคาแก้วหลากสีสองฝั่งของโถงทางเดิน จัดที่นั่งตามลำดับขั้นของขุนนาง บนแท่นที่อยู่ด้านหน้าสุดมีเก้าอี้วางเรียงหน้าและหลังสองตัว ย่อมเป็นตำแหน่งของฮ่องเต้กับฮองเฮาที่นั่งข้างล่างถัดจากตรงนั้น ฝั่งซ้ายเป็นตำแหน่งของเหล่าสนม ฝั่งขวาเป็นตำแหน่งของเหล่าองค์ชายขุนนางใหญ่หลายคนได้นั่งลงแล้ว พวกเขาผลัดกันดื่ม บรรยากาศรื่นเริง เหล่านางกำนัลยกอาหารเ
นางหลิ่วฮูหยินใหญ่ของจวนตระกูลเฟิ่งที่อยู่ข้างๆ จ้องเฟิ่งเชียนอวี่จนลูกตาแทบลุกเป็นไฟแล้ว นางแพศยาคนนี้ เหมือนกับนางจิ้งจอกแม่ของนาง ล้วนเป็นพวกต่ำช้าที่ล่อลวงคนจริงๆทางฝั่งคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ก็มองเฟิ่งเชียนอวี่อย่างตะลึงเช่นกัน“สวรรค์ นางก็คือลูกอนุภรรยาคนนั้นของจวนอัครมหาเสนาบดี?”“เมื่อสองปีก่อน ครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงในสวนดอกไม้ ข้าก็เคยเจอเฟิ่งเชียนอวี่คนนี้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้มาเจอกันอีกครั้ง เปลี่ยนไปมากจริงๆ”“เหอะ เมื่อก่อนเป็นลูกอนุภรรยาที่ไม่สะดุดตา ปัจจุบันบินขึ้นบนยอดกิ่งกลายเป็นพระชายาอ๋องหก ย่อมเปลี่ยนไปเยอะอยู่แล้ว”“กลายเป็นพระชายาอ๋องหกแล้วอย่างไร? เดิมทีตำแหน่งพระชายาอ๋องหกเป็นของคุณหนูใหญ่เฟิ่ง เฟิ่งเชียนอวี่คนนี้แย่งไปอย่างโจ่งแจ้ง หน้าไม่อายจริงๆ”“หน้าไม่อายแล้วอย่างไร ตอนนี้นางเป็นพระชายาอ๋องหกแล้ว อีกทั้งท่านอ๋องหกก็ชอบด้วย”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าท่านอ๋องหกชอบ ผู้หญิงที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้ ท่านอ๋องหกจะสนใจได้อย่างไร มันก็แค่ข่าวลือ”คุณหนูผู้สูงศักดิ์เหล่านี้มีทั้งคนที่อยากรู้อยากเห็น และก็มีทั้งริษยากับอิจฉาเฟิ่งเชียนอวี่เวลานี้เอง มีเสียงเย้าแ
ฮูหยินใหญ่นางหลิ่วขมวดคิ้ว สายตาที่เฉียบคมราวกับมีดมองไป กล่าวเสียงแหลม “เฟิ่งเชียนอวี่ เจ้าบังอาจ”เฟิ่งเชียนอวี่หัวเราะอย่างเย็นชาในใจ กำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น “ฝ่าบาทเสด็จ”นางรีบหุบปากทันที และหันไปมองโดยไม่รู้ตัว เห็นร่างเงาสีเหลืองสดสายหนึ่งค่อยๆ เดินมาอย่างที่คิด และข้างหลังยังมีคนเดินตามมาไม่น้อยคนอื่นก็เริ่มหวนคืนสติจากความตกใจ หมุนกายไปทางแท่นสูง คุกเข่ากล่าวพร้อมกัน“ถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”เฟิ่งเชียนอวี่ก็คุกเข่าลงตามฝูงชนเช่นกัน ในใจกลับบ่นกฎเกณฑ์ที่ล้าหลังของระบบศักดินาราชวงศ์ในฐานะที่เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ของยุคปัจจุบัน คนที่เกิดในสังคมประชาธิปไตย คนที่ได้รับการศึกษาระดับสูงยี่สิบกว่าปี เป็นดอกเตอร์สาขาวิชาที่ได้รับความเคารพและนับถือมาโดยตลอด ตอนนี้กลับต้องมารับกรรมเช่นนี้ เฮ้อทว่าแม้ในใจเฟิ่งเชียนอวี่ไม่เต็มใจอย่างไร ก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง คุกเข่าลงไปแต่โดยดี นอกเสียจากนางอยากตาย“ทุกท่านลุกขึ้น”“ขอบพระทัยฝ่าบาท”เฟิ่งเชียนอวี่ลุกขึ้นพร้อมกับฝูงชนอีกครั้ง ยังไม่ทันได้เงยหน้า เสียงของฮ่องเต้เทียนหยวนได้ดังขึ้นอี