กู้หว่านเยว่หัวเราะ กลับเกิดความคาดหวังต่อคำพูดของชิงเหลียนภายในใจ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”ชิงเหลียนตอบตามสัตย์จริง “พวกบ่าวเป็นคนที่ท่านอ๋องชุบเลี้ยงไว้โดยเฉพาะ เพื่อปกป้องว่าที่พระชายา หากนางมีอะไรกับท่านอ๋องจริง บ่าวไม่มีวันไม่รู้เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่เองก็เชื่อซูจิ่งสิงกลับหึงหวงอย่างอดไม่ได้นางพูดอย่างนึกสนุก “รอเจ้านายของเจ้าฟื้นขึ้นมา ถามตัวเขาดูก็รู้แล้ว”“ฮูหยินถามก็พอ หากนายท่านมีอะไรกับนางจริง เช่นนั้นบ่าวก็ขอติดตามฮูหยิน!” ชิงเหลียนเอนเอียงไปทางกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่เปลี่ยนเข็มเงิน ขับพิษให้ซูจิ่งสิงต่อไม่รู้ผ่านไปนานมากเพียงใด พิษที่ถูกกำลังภายในยับยั้งไว้ในร่างกายของซูจิ่งสิง กำเริบออกมาแล้วนี่เป็นสัญญาณดี มีเพียงเป็นเช่นนี้ นางถึงจะสามารถประเมินได้อย่างแม่นยำว่าซูจิ่งสิงโดนพิษอะไร จากนั้นค่อยถอนพิษให้เขา“ร้อนเหลือเกิน”ปรากฏว่ากู้หว่านเยว่พบอย่างคาดไม่ถึง สีหน้าเขากลายเป็นแดงก่ำเพียงแตะโดน ใบหน้านางเองก็แดงแล้วยากระตุ้นกำหนัด?เหตุใดซูจิ่งสิงถูกยาเช่นนี้ได้เล่า กู้หว่านเยว่รีบหายาถอนพิษในมิติ ขณะกำลังหยิบยาถอนพิษออกมาจู่ๆ ข้อมือก็ถูกจับไว้อย่างกะทัน
ซวนลู่หันมองทางปรมาจารย์แพทย์กู้หว่านเยว่เองก็มองทางปรมาจารย์แพทย์“ผู้อาวุโส ท่านรู้จักแม่ทัพซวนด้วยหรือ?”“แม่ทัพซวนแม่ทัพห้วนอะไร เจ้าเด็กตัวเหม็น นางไม่ใช่คนของเจ้าหรือ?”ปรมาจารย์แพทย์เผยสีหน้าประหลาดใจ “ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้จักเจ้าเด็กตัวเหม็นนี่เอง ข้ายังคิดว่าเป็นเจ้าเด็กตัวเหม็นให้เจ้ามาหาข้า ดังนั้นข้าถึงรีบร้อนเดินทางมา หากรู้แต่แรกว่าเจ้ามาเชิญข้าด้วยตนเอง ข้าก็ไม่มีวันมา”สีหน้าซวนลู่กระด้างไป ปรมาจารย์แพทย์พูดอย่างไม่ไว้หน้ายิ่งขึ้น“วิชาแพทย์ของเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้ดีกว่าข้ามากนัก คนที่นางเคยดูอาการมาก่อนยังจะให้ข้าดูอะไรอีก สร้างปัญหาให้ข้าโดยแท้”สีหน้าซวนลู่เขียวแล้ว ดังนั้นนางสามารถเชิญปรมาจารย์แพทย์มาได้ มิใช่เพราะชื่อของนาง แต่เพราะกู้หว่านเยว่? !กู้หว่านเยว่มองปรมาจารย์แพทย์ยิ้มๆ“ในเมื่อมาแล้วเที่ยวหนึ่ง คืนนี้ก็อย่ากลับไปเลย อยู่ต่อที่จวนข้าเถอะ ห้องก่อนหน้านี้ที่ท่านเคยอยู่บ่าวรับใช้ยังเก็บกวาดอยู่ตลอด”“ได้ๆ!”ปรมาจารย์แพทย์พยักหน้ามีความสุข สามารถมากินมาดื่มได้ เขาย่อมไม่ปฏิเสธเดาออกว่าพวกเขาคนหนุ่มสาวมีเรื่องอะไร ปรมาจารย์แพทย์รู้กาลเทศะรีบหนีไปแ
ยามอยู่ที่ชายแดน แม่ทัพผู้เฒ่าซวนดูแลเขาไม่น้อย เขาจดจำอยู่ภายในใจซวนลู่เผยสีหน้าดีใจ “มิสู้ท่านอ๋องไปพร้อมกับข้าเถอะ หากท่านพ่อได้พบท่าน จะต้องดีใจมากแน่”ซูจิ่งสิงไม่มีท่าทีตอบสนองเขาวางแผนไปที่ชายแดนจริง เพียงแต่นั่นคือติดตามกู้หว่านเยว่ไป ไม่มีวันแย้มพรายเรื่องนี้ให้ซวนลู่ฟังซวนลู่เห็นสถานการณ์แล้ว พูดออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ข้าได้ยินว่าท่านเกิดเรื่อง ก็ร้อนใจดุจไฟเผา ตลอดทางมานี้ลำบากคุณหนูกู้แล้ว แต่ ภายภาคหน้ามีข้าอยู่ ไม่มีใครขวัญกล้าทำร้ายท่าน”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว ต่อให้เขารู้สึกช้าเยี่ยงไร ก็ฟังออกว่าประโยคนี้ของอีกฝ่ายผิดปกติกู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม กินเมล็ดแตงเงียบๆตรงข้ามกันไม่กังวลซูจิ่งสิง อย่างไรเสียก็เป็นชายที่นางเลือกด้วยตนเอง นางเชื่อว่าสายตาตนไม่แย่ถึงเพียงนั้นดังคาด ซูจิ่งสิงมิได้ทำให้นางผิดหวัง เปล่งเสียงเครียด“หว่านเยว่เป็นพระชายาของข้า ตลอดทางพวกเราสองสามีภรรยาดูแลประคับประคองกัน สายสัมพันธ์ลึกซึ้งรบกวนเจ้าภายภาคหน้าตอนเรียกนาง อย่าได้เรียกนางว่าคุณหนูกู้อีก เรียกนางว่าพระชายา”ซวนลู่อึ้งงันอยู่กับที่ คล้ายคิดไม่ถึงเลยว่าซูจิ่งสิงถึงขั้นหักหน้าน
สองสามีภรรยากลับมาคุยธุระสำคัญซูจิ่งสิงพยักหน้า “ถูกต้อง ข้าไล่ตามเขาไปจริงๆ ข้าพบร่องรอยของเขาที่นอกเมือง”ที่แท้ ยามซูจิ่งสิงอยู่ที่ตลาดประมูลพบว่าลี่จีเป็นคนของหอร้อยบุปผา ก็เริ่มสงสัยว่าเหยลวี่เจิงเองก็อยู่ภายในเจดีย์หนิงกู่ ดังนั้นจึงส่งคนคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดดังคาด หลังสุ่ยเซียนถูกจับ เหยลวี่เจิงก็เผยพิรุธออกมา“อาจเพราะเขาพบว่าสุ่ยเซียนตายในเงื้อมมือของพวกเรา ดังนั้นเขาจึงพาคนออกจากเมืองอวี้ สรุปคือถูกข้าพบเข้าให้แล้ว”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้ว “เขาเปลี่ยนไปจากที่เคยต่อสู้กันเมื่อหลายปีก่อนไม่น้อย บนตัวคล้ายมีความชั่วร้ายเพิ่มขึ้นไม่เพียงวิชายุทธ์แตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นหลังถูกข้าทำให้บาดเจ็บแล้ว ถึงขั้นสาดผงยาพิษใส่ข้า”เขาใช้พิษไม่เป็น แม้ว่าสามารถหลบได้ในทันที แต่ยังสูดผงยาพิษเข้าไปไม่น้อย“หลังพบว่าผงยาพิษคือยากระตุ้นกำหนัด ข้าก็ระงับฤทธิ์ยาลงไปในทันที จากนั้นหาถ้ำแห่งหนึ่งพบ ก็สะลึมสะลือไม่ได้สติ”กู้หว่านเยว่ยิ้มเย็น “เหยลวี่เจิงสามารถรังสรรค์เจ้าสิ่งนี้ออกจากหอร้อยบุปผาได้ มองออกว่าไม่ใช่คนดีอะไร บัดนี้ความชั่วร้ายก็แค่ปลดปล่อยอุปนิสัยตามธรรมชา
แต่แค้นนี้ นับว่าคลี่คลายแล้วกู้หว่านเยว่กลับแปลกใจมาก “เหตุใดเหยลวี่เจิงต้องไล่ตามท่านไม่เลิกราด้วยเล่า?”ต่อให้พ่ายแพ้ให้ซูจิ่งสิงในสงคราม แต่แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติของการทำสงคราม ไม่ถึงขั้นต้องไล่ตามมาฆ่าถึงเจดีย์หนิงกู่หรอกกระมังเว้นเสียแต่ว่ายังมีเรื่องค้างคาอะไรกัน“เหยลวี่เจิงอายุมากกว่าข้าห้าปี”ซูจิ่งสิงยิ้มเยาะหยัน “เขาเข้าสนามรบตอนอายุสิบเก้าปี ทำสงครามกับต้าฉี ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนจนกระทั่งข้าไปที่ชายแดน”กู้หว่านเยว่เข้าใจแล้วเหยลวี่เจิงคิดว่าตนเองเป็นแม่ทัพมีพรสวรรค์ ปรากฏว่ากลับถูกซูจิ่งสิงปราบและบังคับให้ลงนามในสัญญายอมรับความพ่ายแพ้ นี่ยังจะอดทนไหวได้อย่างไร?ดังนั้นไม่ว่าเขาทำเพื่อระบายโทสะ หรือเพื่อทำให้ซูจิ่งสิงไม่เป็นภัยต่อทูเจวี๋ยอีก นี่จึงมีเหตุผลเพียงพอให้เอาชีวิตของซูจิ่งสิงสำหรับอาการบาดเจ็บสาหัสของเขา ทั้งสองตัดสินว่าเหยลวี่เจิงไม่มีวันโผล่หน้าออกมาภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ความจริงก็เป็นเช่นนี้ บัดนี้เหยลวี่เจิงกำลังหนีเอาชีวิตรอดเขานอนบนรถม้า รูปร่างสูงใหญ่ กำยำล่ำสันสะท้อนความงามของชายต่างเผ่าออกมา มิน่าเล่าสตรีมากมายภายในหอร้อยบุปผาถึงหลงใหลและ
กู้หว่านเยว่แสยะยิ้ม ซวนลู่เองก็อยู่ด้วย“หว่านเยว่ มีอะไรหรือ?”ซ่งเสวี่ยสังเกตเห็นว่านางไม่สบอารมณ์ มองตามสายตานางไปทางซวนลู่สัญชาตญาณของผู้หญิงบอกนาง คนผู้นี้เป็นปรปักษ์กับกู้หว่านเยว่หางตาซวนลู่ลำพองใจถึงสองส่วน ยืนข้างซูจิ่นเอ๋อร์อย่างสนิทสนม จงใจแสดงท่าทางสนิทสนมมากกับพวกเขา“จิ่นเอ๋อร์ นี่ก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าหรือ?”นางตั้งใจถามออกไปเช่นนี้ ซูจิ่นเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องเมื่อวาน พยักหน้าท่าทางซื่อๆ“ใช่แล้ว นี่ก็คือพี่สะใภ้ใหญ่ที่ข้าบอกท่าน”พูดไปก็วิ่งเข้ามาหยุดข้างกายของกู้หว่านเยว่“พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราวางแผนไปสนุกครึกครื้นด้วยกันที่สำนักศึกษาถงซัน ให้พวกเราไปกับท่านดีหรือไม่?”“ได้เลย แต่เจ้าต้องรับปากข้า จะวุ่นวายไม่ได้”กู้หว่านเยว่จิ้มหน้าผากเด็กโง่คนนี้ ซูจิ่นเอ๋อร์รีบรับปาก“พี่สะใภ้ใหญ่วางใจได้ ข้าจะเชื่อฟัง”ซูจื่อชิงได้เห็นสีหน้าซูจิ่งสิง ก็รีบพูด“ข้าเองก็จะเชื่อฟัง”อาจเพราะได้กลับมาพบหน้าหลังไม่ได้พบกันมานาน เพิ่งขึ้นรถม้า ซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงก็อยู่ข้างกายซวนลู่อยู่ตลอดทว่าบัดนี้เพียงได้พบกู้หว่านเยว่ สองคนก็วิ่งเข้าไปหยุดข้างกายกู้หว่านเยว่ เชื
ซูจิ่นเอ๋อร์ตอบโต้อย่างอดไม่ได้ “สินค้าตะวันตกอะไรไม่ใช่เสียหน่อย? กระจกเจ็ดสีนี้เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าคิดค้นออกมา บัดนี้นำไปใช้บนหลังคาของหอสมุดสำนักศึกษา”เมี่ยชิงหว่านเองก็พูดอย่างมีความสุข “ได้ยินมาว่าหน้าต่างล้วนทำจากกระจก หอสมุดทั้งสว่างทั้งกว้างขวาง”“ใช่แล้วๆ ใครคิดเล่าว่าสินค้าตะวันตกราคาสูงในอดีต บัดนี้ถึงขั้นสามารถนำมาใช้งานตามใจได้ ทำเป็นหน้าต่างของสำนักศึกษา พี่สะใภ้ใหญ่ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน ต้าฉีของพวกเราเองก็มีกระจกและกระจกเจ็ดสีของตนแล้ว!”สามคนเอ่ยถึงกู้หว่านเยว่ สุ้มเสียงเปี่ยมความภาคภูมิใจและเลื่อมใส ซวนลู่กัดฟันอย่างอึดอัดใจซวนลู่พูดเสียงขมปร่าออกมา “อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก นางสร้างสำนักศึกษาเป็นครั้งแรก ถึงตอนนั้นเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา จะเดือดร้อนถึงจวนอ๋องให้คนเห็นเป็นตัวตลกเอาได้”“พี่หญิงซวนลู่ ท่านไม่รู้จักพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่เป็นผู้หญิงมหัศจรรย์มาก”ตรงข้ามกันไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูที่ซวนลู่มีต่อกู้หว่านเยว่ คิดเพียงว่านางไม่เข้าใจ“พี่สะใภ้ใหญ่ทำเพื่อเด็กในเจดีย์หนิงกู่ สร้างสำนักศึกษาถงซันขึ้นมา ราษฎร์ซาบซึ้งใจมาก ไม่มีวันเห็นจวนอ๋องเป็นตัวตลก พี
สายตาลุ่มลึกนั้น ทำให้กู้หว่านเยว่หน้าแดงเรื่อซวนลู่มองสองคนใกล้ชิดกัน เพลิงโทสะแทบพ่นออกจากดวงตา พูดสอดปากอย่างไม่ถูกเวลา“แม้ว่าหอสมุดนี้ดีมากแต่ตำราเพียงสองสามเล่มก็พอหรือ? เทียบกับสำนักศึกษาไป๋ลู่ยังห่างชั้นกันมากนัก”“สำนักศึกษาไป๋ลู่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหลายร้อยปีแล้ว ส่วนสำนักศึกษาถงซันเพิ่งสร้างขึ้น ก็ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะมีมากกว่าสำนักศึกษาไป๋ลู่หรือไม่” สีหน้าซูจิ่งสิงเย็นชาอยู่บ้างสีหน้าซวนลู่กระด้างไป “จิ่งสิง เหตุใดต้องดุข้าถึงเพียงนี้ ข้าเพียงปากไวพูดตามที่ใจคิดเท่านั้น”กู้หว่านเยว่ปรายตามองซวนลู่สายตาเย็นชา “ใครพูดว่าหอสมุดจะมีเพียงตำราเหล่านี้กัน เหล่านี้เป็นเพียงหนังสือที่ข้านำมาจากจวนเท่านั้น หนังสือทั้งหมดอยู่ในคลังเก็บของทางด้านหลังนั่น”บังเอิญตอนนี้อวิ๋นมู่เดินออกมาพอดี “หว่านเยว่ท่านมาพอดี ข้ากำลังจะให้คนไปเชิญท่านมาดูอยู่เชียวว่าตำราเหล่านี้ภายในหอสมุดพอหรือไม่?”“ไป พวกเราเข้าไปดู”กู้หว่านเยว่ตั้งใจทำให้ซวนลู่หุบปาก พาทุกคนเข้าไปดูภายในห้องปรากฏว่าเพียงผ่านเข้าคลังเก็บของ ก็มองเห็นหนังสือถูกเรียงแน่นเอียดอยู่ที่ผนังหอตำรา“สวรรค์ ตำรามากถึงเพี
อีกอย่างพวกเขาหนีออกมาโดยไม่ได้นำเงินติดตัวมาด้วยสักแดงเดียวในขณะที่ทั้งสามคนกำลังโต้แย้งกันอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีเงาดำสองร่างกระโดดลงมาจากหลังคาเจี่ยฮูหยินและเจี่ยอวิ๋นเคยเจอกับโจรในเมืองเหยามาแล้ว จึงยังคงหวาดกลัว คิดว่าเป็นโจรกลุ่มนั้น จึงพากันตื่นตกใจในขณะที่กำลังจะตะโกนเสียงดังนั้น หลิ่วเพียวเพียวที่อยู่ถัดไปก็เห็นโฉมหน้าของกู้หว่านเยว่เสียงก่อน“ช้าก่อน อย่าเพิ่งส่งเสียงดัง นั้นคือลูกพี่ลูกน้องของข้าเอง!”นางรีบขวางสองคนนั้นไว้ จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าของกู้หว่านเยว่“หว่านเยว่? ไม่เจอกันนานเลย”กู้หว่านเยว่คว้ามือของหลิ่วเพียวเพียวมาจับชีพจรให้นาง อื้อ ดีขึ้นมากแล้ว จังหวะการเต้นของชีพจรคงที่ ดูท่าทางเจี่ยอวิ๋นจะดูแลพี่หญิงคนนี้เป็นอย่างดี“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้ายังคิดว่าข้าตาฝาดอยู่เลย”ครั้นได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ หลิ่วเพียวเพียวก็เชื่อสนิทใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือน้องหญิงของนาง!ครั้นนึกย้อนกลับไปตอนที่อยู่บนเตียงในช่วงแรก หลิ่วเพียวเพียวและคนในตระกูลหลิ่วต่เคยให้สิ่งของกับกู้หว่านเยว่แต่นางมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?อีกทั้งยังกระโดดลงมาจากหลังคาด
“อวิ๋นเอ๋อร์”เจี่ยฮูหยินเป็นคนขี้ขลาด ยามอยู่ต่อหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่มีอำนาจกลับพูดไม่ออกครั้นเห็นบุตรชายและลูกสะใภ้ ก็ราวกับเห็นเทพบุตรขี่ม้าขาวมาช่วย“พวกท่านสองคนทำอะไรกันขอรับ?”เจี่ยอวิ๋นเดินรุดขึ้นหน้า จากนั้นก็ลากคนรับใช้ของเจี่ยฮูหยินออกไป ก่อนจะจ้องมองคนตระกูลหลี่ด้วยสายตาโกรธเคือง “อวิ๋นเอ๋อร์ รังนกชิ้นนี้เป็นรังนกที่พี่หญิงของเจ้าให้ข้า ข้าเห็นว่าสุขภาพร่างกายของท่านพ่อในช่วงสองสามวันนี้ไม่ค่อยดีนัก จึงนำรังนกไปให้ในครัวตุ๋ยยาให้เขาดื่ม ปรากฏว่าท่านแม่เข้าใจผิดคิดว่าข้าขโมยรังนกชิ้นนี้มาจากนาง”เจี่ยฮูหยินพยายามรักษาศักดิ์ศรีของตัวเองทันทีที่เจี่ยอวิ๋นและหลิ่วเพียวเพียวได้ยินเช่นนี้ ก็นึกสงสัยว่ายังมีสิ่งใดที่พวกเขายังไม่รู้อีกหรือ?คนในตระกูลหลี่มองพวกเขาราวกับญาติยาจกที่มาพึ่งพาพวกเขา จึงมักจะพูดจาถากถางให้พวกเขาได้ยินอยู่บ่อย ๆ บัดนี้พวกเขาชักจะเหิมเกินเกินไป กล่าวหาว่าท่านแม่ของเขาเป็นหัวขโมย!เจี่ยฮูหยินรักหลิ่วเพียวเพียวมาก ออกโรงช่วยพูดแทนแม่สามีทันที“ป้าหลี่ รังนกของท่านหายไปใช่หรือไม่?”ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ชำเลืองมองหลิ่วเพียวเพียวแวบหนึ่ง ก่อนจ
กู้หว่านเยว่หยิบเศษตำลึงเงินออกมาจากอกเสื้อและวางลงบนมือของเสี่ยวเอ้อร์“เก็บไว้กินเหล้านะ ลำบากเจ้าแล้วล่ะ กลับไปก่อนเถอะ ต่อไปข้าไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าแล้ว”“ขอบคุณฮูหยินขอรับ”เสี่ยวเอ้อร์เป็นเด็กที่ฉลาดมาก เขารับตำลึงเงินและรีบจากไปทันทีจนกระทั่งแผ่นหลังของเสี่ยวเอ้อร์หายลับไปจากถนน กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็ลอยตัวเข้าไปในจวนหลี่“ระบบ ช่วยข้าล็อกตำแหน่งที่อยู่ของพี่หญิงหน่อยสิ”กู้หว่านเยว่เคยเจอกับหลิ่วเพียวเพียวแล้ว ดังนั้นระบบจึงสามารถหาตำแหน่งของนางภายในขอบเขตขนาดเล็กได้“นายหญิง คุณหนูหลิ่วอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้”ภายในจวนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวนหลี่ในเวลานี้ เจียอวิ๋นกำลังประคองหลิ่วเพียวเพียวนั่งลง“ไม่รู้ว่าท่านตา ท่านยาย ท่านพ่อ ท่านแม่และน้องชายของข้าจะเป็นอย่างไรบ้าง จากข่าวของเมืองฉูโจว ได้ยินมาว่าอุตสาหกรรมทั้งหมดของตระกูลพวกเขาล้มละลาย ตระกูลหลิ่วเองก็หายตัวไปอย่างไร้วี่แวว”หลิ่วเพียวเพียวเช็ดน้ำตา สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลเจี่ยอวิ๋นเห็นภรรยาเป็นกังวลเช่นนี้ ก็ทอดถอนใจเขาไร้อำนาจ ทำได้เพียงแค่ให้คำแนะนำเท่านั้น “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลเกินไป วางใจเถอะ
ทิวทัศน์จากกำแพงเมืองช่างงดงามยิ่งนัก หากศัตรูคิดจะลอบโจมตี ทหารที่เฝ้าประจำการอยู่บนกำแพงจะเห็นเป็นคนแรกกองทัพที่อยู่ด้านล่างไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของทหารเหล่านี้ไปได้“มิน่าล่ะหนานหยางอ๋องถึงได้เป็นกังวลยิ่งนัก”กู้หว่านเยว่หันไปมองซูจิ่งสิง “เราไปตามหาพี่หญิงของข้าก่อนหรือจะไปตามหาหลิวชวี่ก่อนดีเจ้าคะ?”นางรู้ว่าเหตุผลหลักที่ซูจิ่งสิงมายังเมืองจางโจวก็เพื่อตามหาสหายเก่า คาดว่าคงอยากเจอกับอีกฝ่ายสักครั้ง แล้วดูว่าแม่ทัพหลิวผู้นี้จะมีท่าทีอย่างไรหากสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามได้ ก็คงจะดียิ่งนักสามารถแก้ไขปัญหาโดยปราศจากการนองเลือดได้ ราษฎรในเมืองจางโจก็จะได้รับความลำบากจากสงครามน้อยลง“ไปตามหาพี่หญิงของเจ้าก่อนเถิด”ซูจิ่งสิงกล่าวเพียงประโยคเดียวเขาไม่ได้รีบออกตามหาหลิวชวี่ขนาดนั้น ไปตามหาหลิ่วเพียวเพียวก่อน กู้หว่านเยว่จะได้วางใจ“ก็ดี เช่นนั้นก็ออกตามหาพี่หญิงของข้าก่อน”“ไปกันเถอะ เราเข้าเมืองก่อนแล้วค่อยว่ากัน”ซูจิ่งสิงกระซิบข้างหูของกู้หว่านเยว่เบา ๆ เพียงพริบตาเดียวก็พบว่าทั้งสองคนได้เข้ามาอยู่ในเมืองเรียบร้อยแล้ว เวลานี้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนถนนมีจำนวนน้
กู้หวย่านเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิ่วเพียวเพียวกำลังตั้งครรภ์ คนในตระกูลเจี่ยจะต้องไม่ปล่อยนางไปง่าย ๆ จะต้องพานางไปด้วยอย่างแน่นอนอีกอย่างในตอนที่นางสอบถามพวกโจร นางไม่เคยได้ยินเรื่องที่หัวหน้าตระกูลถูกฆ่าตายอยู่ในจวนเจี่ยจากปากของพวกเขาเลย“ท่านพี่ ข้าอยากสำรวจเมืองจางโจวในเวลากลางคืน”หลังจากที่ลงหลักปักฐานแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปปรึกษากับซูจิ่งสิงในเมื่อมีเบาะแสของหลิ่วเพียวเพียวแล้ว นางจึงตัดสินใจว่าจะไปดูด้วยของตัวเอง ถึงอย่างไรพี่หญิงก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่อันตรายมากหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา คงไม่ใช่เรื่องตลก นางจะต้องมั่นใจที่อยู่ของอีกฝ่าย ถึงจะกล้าวางใจหากได้กลับไป ก็ไม่ถึงกับพูดไม่ออกต่อหน้าท่านลุงและท่านป้า“ข้าจะไปกับเจ้า” ซูจิ่งสิงเข้าใจความหมายของกู้หว่านเยว่ แต่เขาไม่วางใจให้กู้หว่านเยว่ไปเพียงลำพัง ไม่ว่าอย่างไรเขาจะตามนางไปด้วย“เจ้ายังต้องอยู่ในค่าย หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะได้รับมือได้ทันท่วงที”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางกลัวว่าท่านแม่ทัพจางโจวจะจู่โจมในเวลากลางคืนโดยไม่ทันตั้งตัว หากซูจิ่งสิงไม่อยู่ที่นี่ สถานการณ์อาจจะเลวร้ายกว่านี้ก
“ไม่ได้” เฉิงฮูหยินกอดร่างอวบอ้วนของเฉิงซินไว้ในอ้อมกอด “นี่คือบุตรชายเพียงคนเดียวของเรานะ ท่านส่งเขาออกบวชเช่นนี้ ท่านจะฆ่าข้าด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”นางเช็ดน้ำตาด้วยความเสียใจ“หากหวนเอ๋อร์ยังมีชีวิติอยาละก็ ต่อให้ท่านเฆี่ยนเขาจนตาย ข้าก็จะไม่ขวางท่าน แต่นี่หวนเอ๋อร์ก็ตายไปแล้ว ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ท่านจะไม่เห็นแก่หน้าของข้าบ้างอย่างนั้นหรือ?”ครั้นเฉิงทั่วนึกถึงบุตรชายคนโตที่มีความเชี่ยวชาญด้านบทกวีและมีทักษะการต่อสู้ก็อดเศร้าใจขึ้นมาไม่ได้ ที่แท้เหนือกว่าเฉิงซินขึ้นไปก็ยังมีพี่ชายอีกหนึ่งคนที่มีความเฉลียวฉลาดยิ่งกว่านี่เองเพียงเพราะเป็นบุตรชายคนโต เฉิงฮูหยินจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา เข้มงวดด้านกฎระเบียบปรากฏว่ากลับเข้มงวดมากเกินไป จนทำให้บุตรชายผู้นี้ต้องตายในที่สุด“หลังจากนั้นเป็นต้นมา ท่านแม่ของข้าก็มักจะหวาดกลัวอยู่เสมอ”เฉิงเหลียนชำเลืองมองกู้หว่านเยว่แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ“กลัวว่าข้าจะเจริญรอยตามพี่ใหญ่ จึงไม่กล้าอบรมสั่งสอนพี่รอง ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องฆ่าคนและวางเพลิง นางก็มักจะตามใจเขาอยู่เสมอ”กู้หว่านเยว่ประหลาดใจมาก ยังใช้เหตุผลนี้กันอยู่อีกหร
“เพียงแต่เราต้องตกลงกันให้ชัดเจนก่อน ท่านตามข้าได้ แต่ท่านห้ามเข้าเมืองหลวงพร้อมกับข้า เมื่อเข้าเขตเมืองหลวง ข้าจะให้ท่านไปพักในโรงเตี๊ยมที่ปลอดภัย ถึงยามนั้นข้าจะเข้าไปเพียงลำพัง หากข้ากลับออกมาอย่างปลอดภัย ข้าค่อยพาท่านกลับเจดีย์หนิงกู่ เพื่อกราบขอโทษท่านอ๋องและพระชายา แต่หากข้าไม่กลับออกมา คนของข้าจะคุ้มกันท่านกลับบ้านอย่างปลอดภัย”มู่หรงฉางเล่อหลุดหัวเราะออกมา“เหอะ ๆ พูดไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย หมายความว่าอย่างไรไม่กลับออกมา? ไม่ว่าอย่างไรท่านต้องกลับออกมาเจ้าค่ะ”อวิ๋นมู่มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง ครั้งนี้เจ้าจะไม่ให้นางบิดพลิ้วง่าย ๆ อีก“ได้โปรดท่านหญิงจงรับปากข้า มิเช่นนั้นข้าจะเลี้ยวหัวกลับเดี๋ยวนี้ พาท่านกลับไปส่งเมืองซุ่ยโจว”มู่หรงฉางเล่อถอนหายใจ“ก็ได้ ๆ ข้ารับปากท่าน”ตอนนี้นางยอมรับปากส่งเดชไปก่อน แต่เมื่อถึงที่หมายแล้วจะทำอย่างไรนั้นก็ค่อยว่ากันกู้หว่านเยว่เดาออกว่าเรื่องของแม่นางตั่วไม่มีทางจบในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ในเช้าวันต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้น หลังจากที่เฉิงฮูหยินตื่นนอน ก็ส่งตัวแม่นางตั่วออกไปและโน้มน้าวไม่ให้เฉิงซินบอกเขาเดิมทีเ
เสียงนี้เป็นเสียงของผู้หญิงอย่างชัดเจน อวิ๋นมู่รู้สึกถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงรีบเปิดม่านและชะโงกหน้าออกไปดู“ท่าน...”คนของอวิ๋นมู่โง่เขลาไปชั่วขณะในตอนที่เขาโผล่หน้าออกมานั้น ก็เจอกับใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มหวานของคนผู้นั้นพอดีเจ้าของรอยยิ้มผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นมู่หรงฉางเล่อนั้นเอง“ท่านหญิง ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”อวิ๋นมู่รีบมองไปรอบ ๆ หน้าผากเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดพราย คิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่กระทั่งเห็นว่าบนทางหลวงที่ค่อนข้างคับแคบแห่งนี้มีเพียงรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เพียงคันเดียวแต่มู่หรงฉางเล่อนั่งอยู่บนที่นั่งที่ประกอบด้วยไม้บริเวณด้านหน้าของรถม้า มือข้างหนึ่งจับเชือกบังเหียน แต่งกายเป็นคนขับรถม้าแล้วอวิ๋นมู่จะรู้ได้อย่างไร ว่าสตรีผู้นี้แต่งกายเป็นคนบังคับม้า และแอบขึ้นมาบนรถม้าของเขา ออกเดินทางไปเมืองซุ่ยโจวกับเขามาไกลถึงเพียงนี้!“คุณชายอวิ๋น ทำไมพอเจอข้าแล้วถึงนิ่งงันไปเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ?”มู่หรงฉางเล่อเอียงคอคลี่ยิ้มนัยน์ตาของนางฉายแววเฉลียวฉลาดที่ชวนหลงใหลออกมา จากนั้นก็โยนเชือกบังเหียนไปให้กับคนบังคับม้าที่อยู่ข้างกาย จากนั้นก็
นางออกคำสั่งเป็นปกติ ซูจิ่งสิงที่อยู่ข้างกายทำได้แต่เพียงฟังอย่างเงียบ ๆ ไม่คิดจะออกความคิดเห็นแต่อย่างใดเฉิงเหลียนรู้ว่านางเชื่อถือได้ “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”ตอนจากไป นางย่างก้าวราวกับเหาะออกไปเลยทีเดียว“พระชายาช่างใจดียิ่งนัก” ชิงเหลียนอดทอดถอนใจไม่ได้แน่นอนว่าครั้นแม่นางเฉิงเหลียนได้รับความไม่ยุติธรรมจากตระกูลเฉิง นางจึงอยากพาอีกฝ่ายไปด้วย“นางสมควรได้รับ”กู้หว่านเยว่เห็นฝีมือและประสบการณ์ด้านการนำทัพของเฉิงเหลียนแล้ว นับว่าเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งเพียงแต่น่าเสียดายที่นางเป็นสตรี จึงได้รับข้อจำกัดทุกด้านแต่หากนางได้อยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องกังวลมากนักนางให้โอกาสเฉิงเหลียนได้แสดงความสามารถของตัวเองอย่างอิสระ“ท่านพี่ เรากลับกันเถอะ”หลังจากเสียเวลามาตลอดครึ่งเช้า ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปกินมื้อเที่ยงแล้วกู้หว่านเยว่จูงมือของซูจิ่งสิงกลับมาถึงจวน กระทั่งเห็นสาวใช้วิ่งออกมาอย่างกระวนกระวายใจ“ท่านอ๋อง พระชายา แย่แล้ว ท่านหญิงฉางเล่อหายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”นี่คือสาวใช้ของมู่หรงฉางเล่อ ชื่อว่ากู๋อวี่กู๋อวี่ถือจดหมายฉบับหนึ่ง ด้วยท่าทางเหมือนจะร้องไห้“ข้าน้อยไป