แม่นมฉินแสดงสีหน้าเจ็บปวดใจ ซ่งเสวี่ยรู้สึกขมขื่น นางก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปแล้วมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขเหมือนเมื่อก่อน และยังคิดว่าตัวเองเป็นคนไร้เหตุผลอีกช่วงเวลาที่อยู่กับโจวเซ่อ นางก็บอกไม่ถูกว่าตรงไหนที่ผิดปกติ แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจไปเสียทุกอย่างแต่ทุกครั้งที่นางมีความคิดเช่นนี้ พอหันไปมองใบหน้าที่ซื่อสัตย์และจริงใจ พร้อมกับปรากฏคำว่าข้าทำเพื่อเจ้าของโจวเซ่อ นางก็รู้สึกว่าตนคิดมากไปเองนางถึงขั้นเริ่มสงสัยว่า หรือเป็นเพราะหลังจากที่ตัวเองสูญเสียสามีไป นิสัยก็เลยเปลี่ยน กลายเป็นคนขี้ระแวงเสียแล้ว“แม่นม ข้ารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน”ซ่งเสวี่ยยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเองแม่นมฉินถอนหายใจ บางคำคนอื่นอาจไม่กล้าพูด แต่นางจำเป็นต้องพูด“ฮูหยินน้อยลองคิดดูเองนะเจ้าคะ โจวเซ่อคนนี้เหมาะสมกับท่านจริงหรือ บ่าวจะไม่พูดอะไรมาก ตอนที่คุณชายยังอยู่ ฮูหยินน้อยเคยรู้สึกแย่แบบนี้หรือไม่”ตอนที่สามีผู้ล่วงลับยังอยู่?แน่นอนว่าไม่มีสามีผู้ล่วงลับดีกับนางมากแม้กระทั่งวันที่นางขมวดคิ้วก็ยังน้อยมากซ่งเสวี่ยส่ายหัว แม่นมฉินเตือน “ถูกต้องแล้ว คนที่จริงใจกับท่านจริง ๆ จะไม่ทำให้ท่า
เมื่อเห็นกระดาษใยป่านมากมายขนาดนี้ กู้หว่านเยว่ถึงกับตกตะลึง ต่อมาก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ“ท่านดูสิว่ากระดาษใยป่านนี้ ดีกว่าที่ทางการแจกเสียอีก หลังจากที่ข้าได้สูตรการผลิตมา ข้าก็ได้ปรับปรุงร่วมกับคนงานอีกหลายคน จนในที่สุดก็ได้แบบนี้ ท่านลองดูผ่าน ๆ ตาก่อน ถ้ารู้สึกว่าใช้ได้ ข้าก็จะไม่แก้ไขแล้ว เริ่มผลิตจำนวนมากเลย”อวิ๋นมู่ยื่นกระดาษใยป่านให้กู้หว่านเยว่ กู้หว่านเยว่รับไปส่องกับแสงแดดดู แล้วลองใช้พู่กันเขียน จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น“ดีมาก เยี่ยมมาก ผลิตตามแบบนี้แหละ”“ได้”อวิ๋นมู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่ในที่สุดเขาก็สามารถคิดค้นวิธีการทำกระดาษออกมาได้ ไม่ทำให้กู้หว่านเยว่ผิดหวัง“ต่อไปก็เริ่มทดลองทำกระดาษซวน* ความยากจะสูงกว่ากระดาษใยป่านเล็กน้อย”แต่ว่า มีประสบการณ์จากการทำกระดาษใยป่านแล้ว กระดาษซวนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกู้หว่านเยว่เห็นขอบตาของเขาแดงก่ำ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน “เจ้าอย่ามัวแต่ฝืนไปเรื่อย ๆ แบบนี้ ต้องพักผ่อนบ้าง”แม้ว่านางจะอยากให้โรงงานกระดาษสร้างเสร็จโดยเร็ว แต่ก็ไม่สามารถกดขี่ข่มเหงลูกน้องได้ ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของอวิ๋นมู่ก็ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล
ในใจของกู้หว่านเยว่รู้สึกสะใจมาก อยากจะเห็นสภาพอันน่าเวทนาตอนนั้นจริง ๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นกับตาเหลือบไปเห็นรอยยิ้มของซูจิ่งสิง เรื่องนี้คงไม่ใช่ฝีมือของเขาหรอกนะ?ซูจื่อชิงบรรยายได้อย่างเห็นภาพ “กลิ่นนั้น ช่างเย้ายวนเสียจริง สามวันต่อมาไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาเลย”โจวเซ่อในตอนนี้ รู้สึกสิ้นหวังมากจริง ๆ เขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าแค่จะออกไปซื้อของกิน จะซวยได้ขนาดนี้ โดนรถขนถ่ายสิ่งปฏิกูลชนเข้าเสียได้แถมมูลสัตว์บนรถขนถ่ายสิ่งปฏิกูลนั่น ยังสาดลงมาไม่ถูกที่ถูกทาง เทลงบนหัวเขาจนหมด ราดตั้งแต่หัวจรดเท้าระหว่างเดินทางกลับบ้านสกุลโจว ก็ต้องเผชิญกับสายตาแปลก ๆ และเสียงหัวเราะเยาะจากผู้คนบนถนน โจวเซ่ออยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดพอกลับถึงบ้านสกุลโจว ก็เจอกับท่านพ่อท่านแม่โจว เห็นสีหน้าตกใจจนต้องหลบเลี่ยงของพวกท่าน โจวเซ่อยิ่งหน้าแดงก่ำ“จะ เจ้าไปทำอะไรมาถึงเป็นแบบนี้?”ฮูหยินผู้เฒ่าโจวบีบจมูก มองโจวเซ่อที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยอุจจาระ ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าเขาดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้เห็นโจวเซ่อแล้วอยากจะอาเจียน“เจ้าออกไปให้ห่างจากพวกเราหน่อย”โจวเหล่าลากฮูหยินผู้เฒ่าโจวถอยมาข้างหลัง กล
ซ่งเสวี่ยก็ไม่รู้เช่นกัน“คุณชายโจวมักจะบอกว่าเขาไม่มีเพื่อน ตอนนี้ดูเหมือนว่า ถึงแม้จะไม่มีเพื่อน แต่ก็มีศัตรู” แม่นมฉินกล่าวเสริม“ฮูหยินน้อย ต่อไปนี้ท่านต้องระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว”ซ่งเสวี่ยมองคราบสกปรกที่หยดลงบนพื้น จากนั้นก็พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ พยายามกลั้นอาเจียน “รีบกวาดของสกปรกบนพื้นนี่ออกไป แล้วราดน้ำสะอาดสักสองสามรอบ จากนั้นก็ย้ายกระถางดอกไม้มาวางสักสองสามกระถางเพื่อดับกลิ่น”แม่นมฉินรีบไปเรียกคนมา “อมิตาภพุทธ ฮูหยินน้อยของพวกเราเป็นคนที่รักความสะอาดที่สุด คราวนี้คงแย่แน่ พวกเจ้ารีบทำความสะอาดจวนทั้งข้างในและข้างนอกสักหนึ่งรอบ”ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าโจวเซ่อโดนคนสาดอุจจาระใส่กลางถนนทางด้านนี้ หลังจากที่โจวเซ่อกลับมาถึงห้องของตัวเอง เขาก็ใช้น้ำสะอาดชำระล้างร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าทั้งข้างในและข้างนอกหนึ่งรอบแต่กลิ่นเหม็นแบบนี้จะล้างออกง่าย ๆ ได้อย่างไร กลิ่นมันซึมเข้าไปในตัวเขาหมดแล้ว“บนตัวข้ายังมีกลิ่นอีกหรือไม่?”“ยังมีอีกนิดหน่อย...แหวะ”บ่าวชายที่เข้าไปดมกลิ่นอดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมา ทำให้โจวเซ่อคลั่ง เขารีบวิ่งไปที่บ่อน้ำแล้วตักน้ำสาดใส่ตัวเองหลังจากทำแบบน
ยังมีบางคนที่จำได้ว่าเขาคือคนที่ชนกับรถขนถ่ายสิ่งปฏิกูลบนถนนในวันนั้น พวกเขาต่างซุบซิบนินทาลับหลัง ทำให้โจวเหล่าหน้าเขียวด้วยความโกรธก่อนจะมาร่วมงานเลี้ยงวันนี้ เขาเคยแนะนำโจวเซ่อแล้วว่าอย่าเพิ่งมา รอให้เรื่องรถขนถ่ายสิ่งปฏิกูลเมื่อหลายวันก่อนสงบลงก่อน แล้วค่อยปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนแต่โจวเซ่อไม่ยอมฟัง คราวนี้เป็นอย่างไรเล่า พอปรากฏตัว ก็ถูกคนจำได้ทันทีโชคดีที่แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงวันนี้ ล้วนเป็นผู้มีมารยาท จึงไม่มีใครชี้หน้าพูดต่อว่าเขา“เสวี่ยเอ๋อร์ พวกนางกำลังหัวเราะเยาะข้า” โจวเซ่อมองสายตาแปลก ๆ เหล่านั้น แล้วหันไปบ่นกับซ่งเสวี่ยด้วยความไม่พอใจซ่งเสวี่ยย่นจมูก แล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ท่านคิดมากไปแล้ว ทุกคนไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย”“ข้าได้ยินหมดแล้ว พวกเขาบอกว่าข้าถูกรถขนถ่ายสิ่งปฏิกูลชน...”“ท่านถูกรถขนถ่ายสิ่งปฏิกูลชนก็เป็นเรื่องจริงมิใช่หรือ พวกเขาก็ไม่ได้พูดผิด”ซ่งเสวี่ยเหลือบไปเห็นกู้หว่านเยว่กำลังอุ้มลูกน้อยออกมา จึงรีบสาวเท้าเดินตรงไปหากู้หว่านเยว่ทันที จนกระทั่งเดินมาไกลจากโจวเซ่อแล้วจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกอากาศสดชื่นดีจริง“เสี่ยวจ้านจ้าน ให้ป้าอุ้มหน่อยได้หรือไม่?”
ในที่สุดสายตาก็จับจ้องไปที่เสี่ยวนานนาน อาจเป็นเพราะอายุใกล้เคียงกัน เขาจึงส่งเสียงอ้อแอ้ไปหาเสี่ยวนานนานซ่งเสวี่ยรีบวางเสี่ยวนานนานให้นั่งข้างเขา พลางยิ้มหวานแล้วเอ่ยขึ้น “ดูพี่สาวน้องชายคู่นี้สิ สนิทกันตั้งแต่เด็กเลยนะ”กู้หว่านเยว่บีบแก้มยุ้ย ๆ ของนานนานเบา ๆ นานนานยิ้มแป้น “อา อา...”“โอ้”กู้หว่านเยว่เห็นท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของนาง ใจแทบละลายแล้วทุกคนกำลังมีความสุข โจวเซ่อก็เดินเข้ามาพูดแทรกพร้อมกับหัวเราะ “พี่สาวน้องชายอะไรกัน ข้าว่าเป็นคู่เด็กชายเด็กหญิงมากกว่า ไม่เช่นนั้นก็ให้พวกเขาหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก สองสกุลก็จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน”ซ่งเสวี่ยหน้าเปลี่ยนสีโจวเหล่าและฮูหยินผู้เฒ่าโจวก็หน้าเปลี่ยนสีรอยยิ้มของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงหายวับไปในพริบตา เปลี่ยนเป็นความเย็นชาเล็กน้อยซ่งเสวี่ยทะนุถนอมลูกสาวราวกับไข่ในหิน ไม่เคยคิดเรื่องที่ลูกสาวจะแต่งงานมาก่อน พูดเรื่องหมั้นหมายตั้งแต่เด็กได้อย่างไรกัน? น่ารังเกียจสิ้นดีโจวเหล่าและฮูหยินผู้เฒ่าโจวรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของเสี่ยวจ้านจ้าน เป็นพระนัดดารัชทายาทของฮ่องเต้องค์ก่อน เชื้อพระวงศ์ที่สืบเชื้อสายโดยตรง ในอนาคตอาจ
นายท่านโจวพยักหน้า “ข้าทราบแล้ว”หลังจากกลับไป เขาควรจะพิจารณาเรื่องการแต่งงานของซ่งเสวี่ยและโจวเซ่อใหม่เสียแล้ว“ท่านแม่ ข้าไปเล่นกับน้องชายน้องสาวได้หรือไม่?” เว่ยเสียวฉู่ดึงชายเสื้อของเจียงหรง วันนี้พวกเขาก็ได้รับเชิญมางานเลี้ยงเช่นกันเจียงหรงเหลือบมองไปรอบ ๆ ตัวเสี่ยวจ้านจ้าน เห็นคนมากมายมุงล้อม แต่ละคนล้วนมีฐานะไม่ธรรมดา ทำให้รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย“นี่ นี่คงไม่ค่อยดีสักเท่าไร เสียวฉู่ จ้านจ้านเป็นคุณชายน้อยของจวนอ๋อง พวกเรายืนห่าง ๆ หน่อยดีกว่า...”“ไม่ดีตรงไหนกัน เด็ก ๆ ชอบเล่นด้วยกันเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อเสียวฉู่ชอบเล่นกับจ้านจ้าน ก็ให้นางไปเล่นกับจ้านจ้านสิ ข้าว่าลูกสะใภ้เจ้าต้องเปลี่ยนความคิดบ้าง พระชายาดีกับพวกเรา และไม่ได้ดูถูกพวกเรา ไม่เช่นนั้นคงไม่เชิญพวกเรามางานฉลองวันเกิดครบเดือนหรอก หากเจ้ายังขี้ขลาดตาขาวแบบนี้ ต่อไปเสียวฉู่คงไม่ประสบความสำเร็จอะไรหรอก” แม่เฒ่าเว่ยแคะฟัน พลางเอ่ยอย่างจริงจังแม้ว่านางจะเกิดมาในครอบครัวชาวนา แต่ก็มีวิสัยทัศน์ที่ไม่ธรรมดา ไม่แปลกใจเลยที่สามารถเลี้ยงดูเว่ยเฉิงคนเก่งแบบนั้นขึ้นมาได้เจียงหรงเข้าใจแล้ว รู้สึกละอายใจอย่างมาก รีบพูดกับ
ภายในห้อง ซ่งเสวี่ยสวมรองเท้าเสร็จ ก็ตั้งใจจะกลับไปที่งานเลี้ยงฉลอง แต่เพิ่งจะลุกขึ้นยืน ก็รู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย“เกิดอะไรขึ้น มึนหัวจัง...”“เสวี่ยเอ๋อร์”ร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตู แล้วหันกลับไปปิดประตูซ่งเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่าคนผู้นี้คือโจวเซ่อ“ทะ ท่านเข้ามาทำอะไร? รีบออกไปเดี๋ยวนี้”แม้ว่านางและโจวเซ่อจะหมั้นหมายกันแล้ว แต่ซ่งเสวี่ยก็ยังคงยึดถือหลักปฏิบัติระหว่างชายหญิง ไม่เคยฝ่าฝืนจารีตประเพณี“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าไม่ไป ข้าจะมาปรนเปรอเจ้าต่างหาก” ใบหน้าที่ดูซื่อตรงและจริงใจของโจวเซ่อเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา แล้วคว้าซ่งเสวี่ยเข้ามากอดไว้“เสวี่ยเอ๋อร์ ตั้งแต่สามีเจ้าตายไป เจ้ายังไม่เคยมีชายอื่นเลยใช่หรือไม่?เช่นนั้น ให้ข้ามาปรนเปรอเจ้าดีกว่า”“ทะ ท่านทำแบบนี้ไม่ได้” ซ่งเสวี่ยพยายามจะผลักเขาออก แต่ร่างกายกลับอ่อนแรง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือ “พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกันอย่างเป็นทางการ ทำเช่นนี้ไม่ได้”โจวเซ่อหัวเราะหึ ๆ เมื่อก่อนเขายังคงแสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษ แต่ในเมื่อตอนนี้ใกล้จะได้ครอบครองแล้ว เขาก็ไม่คิดจะเสแสร้งอีกต่อไป“ทำไมจะทำไม่ได้ เจ้าจะแสร้งทำตัวเป็น
ชิงเหลียนพูดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพียงกู้หว่านเยว่ได้ยิน ก็แน่ใจยิ่งขึ้นว่าซูจิ่งสิงอยู่ที่วัดเทียนหวัง เกินครึ่งคือถูกเหยลวี่เจิงพบเบาะแส นี่จึงถูกเขาล้อมไว้ที่วัดเทียนหวังเวลารอช้าไม่ได้ กลุ่มคนขึ้นรถม้าโดยตรงพวกชิงเหลียนอยู่ที่เมืองอูถ่านหลายวัน รู้จักสิ่งปลูกสร้างละแวกนี้อย่างชัดเจน เพียงครู่เดียวก็ขับรถม้าพาพวกเขามาหยุดบริเวณห่างจากวัดเทียนหวังไม่ไกล“มีทหารมากเหลือเกิน”กู้หว่านเยว่แหวกผ้าม่านออกกลัวเผยพิรุธ รถม้ามิได้เข้าไป แต่จอดที่ข้างทางอยู่ไกลๆกู้หว่านเยว่หยิบกล้องส่องทางไกลออกจากมิติ มองสถานการณ์ภายนอกของวัดเทียนหวังอยู่ไกลๆ ภายนอกวัดถูกทหารล้อมไว้อย่างแน่นหนา“วัดเทียนหวังเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาของเชื้อพระวงศ์ทูเจวี๋ยพวกเรา อีกทั้งยังเป็นสถานที่แห่งความศรัทธาของคนทูเจวี๋ย วัดเทียนหวังบูรณะ มีนานนับพันปี ภายในวัดมีเส้นทางลับมากมาย เพียงเจดีย์ที่สูงที่สุดของวัดก็มีถึงเก้าชั้น”เสี่ยวถ่านนั่งข้างกายกู้หว่านเยว่ อธิบายกับนาง“ข้าเดา พี่ใหญ่ของพวกเราน่าจะซ่อนอยู่ภายในวัดเทียนหวัง เหยลวี่เจิงกำลังส่งคนมาค้นหาพวกเขา”เพราะวัดเทียนหวังได้รับความศรัทธามาก ดังนั้นเหย
“ไม่ได้”กู้หว่านเยว่ห้ามนางไว้ “เจ้าอยากพาตนเองไปตกหลุมพรางหรือ?”หากวังหลวงถูกเหยลวี่เจิงควบคุมไว้แล้วจริง เช่นนั้นหากเสี่ยวถ่านเข้าไป ก็คือแกะเข้าปากเสือ“พี่หญิงกู้ เช่นนั้นข้าจะทำเช่นไร?”ขอบตาเสี่ยวถ่านแดงเรื่อ พูดไปแล้วนางเองก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุเก้าขวบ จิตใจแข็งแกร่งอย่างมาก“รอก่อน”กู้หว่านเยว่ลูบเส้นผมเสี่ยวถ่าน ย่อตัวลงในระนาบเดียวกันกับนาง“รอพวกเราเข้าใจสถานการณ์เมืองอูถ่านก่อน ค่อยวางแผนระยะนี้เจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม ห้ามมิให้ไปที่ใด ทั้งยังห้ามเปิดเผยฐานะเป็นอันขาด”เสี่ยวถ่านจับชายเสื้อไว้อย่างเจ็บปวด นางอยากเหินบินไปที่วังหลวงมากเหลือเกินแต่มองเห็นสายตากู้หว่านเยว่แล้ว นางรู้พี่หญิงกู้พูดได้ไม่ผิด“ข้ารู้แล้ว”“เด็กดี”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เสี่ยวถ่านได้ฟังคำพูดนางแล้ว นี่ทำให้นางลดปัญหาไปได้ไม่น้อย“เดิมทีคิดว่ามาถึงเมืองอูถ่าน ข้าก็สามารถเข้าวังไปพบเสด็จพ่อได้ บัดนี้ต้องรบกวนพี่หญิงกู้ให้ดูแลข้าอีกด้วย”เสี่ยวถ่านรู้สึกผิด พี่หญิงกู้และนางพบกันโดยบังเอิญ ไม่เพียงช่วยชีวิตนางไว้ ยังพานางมาถึงเมืองอูถ่านอย่างปลอดภัยแต่นางไม่เพียงไม่สามารถ
“ในเมื่อเป็นคนของเจ้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวล ข้าอยู่ที่เมืองอูถ่านก็ไม่มีคนรู้จัก แทนที่จะไปหาโรงเตี๊ยมใหม่อีกครั้ง มิสู้ไปพร้อมกับเจ้า”กู้หว่านเยว่เองก็คิดเช่นนี้ บัดนี้ไม่แน่ว่าซูจิ่งสิงและเยียนสือซานอาจอยู่ด้วยกัน เช่นนั้น นางและเยียนอวิ๋นชูอยู่ด้วยกันก็ไม่มีอันใดผิดถึงตอนนั้นก็ให้ซูจิ่งสิงพาเยียนสือซานมาหา พวกเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องเสียแรงออกไปตามหาเบาะแสของเยียนอวิ๋นชูอีกยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่กู้หว่านเยว่คิดมาก นางมักคิดว่าด้วยอุปนิสัยเจ้าเล่ห์ของเหยลวี่เจิง ไม่แน่ว่าอาจลงมือกับเยียนอวิ๋นชูได้ทุกเมื่อ ดังนั้นคนผู้นี้อยู่ข้างกายนางย่อมปลอดภัยที่สุดหลังสองคนปรึกษากันดีแล้ว ก็ให้ชิงเหลียนขับรถม้าออกเดินทางในทันที มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมหลังเวลาผ่านไปราวครึ่งถ้วยชา รถม้าก็มาถึงโรงเตี๊ยมกู้หว่านเยว่รอคนลงจากรถม้า เข้าไปภายในโรงเตี๊ยม เหตุเพราะห้องพักถูกจองไว้ตั้งนานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงขึ้นไปบนชั้นสองเลยก็พอ ไม่จำเป็นต้องทักทายปราศรัยกับเสี่ยวเอ้อร์มองออกว่าต่อจากนี้กู้หว่านเยว่ยังมีธุระให้จัดการ ดังนั้นเยียนอวิ๋นชูจึงเลือกไม่รบกวน แต่กลับเข้าห้องของตนอย่างรู้ความหลังกู้หว่า
เสี่ยวถ่านรีบพยักหน้า ตลอดทางมานี้นางฝ่าฟันอันตรายทั้งหมดมา เบื้องหน้าก็คือเมืองอูถ่าน นางใกล้จะได้พบหน้าเสด็จพ่อแล้วนางรู้บัดนี้มิใช่เวลาทำตัวน่ารำคาญ ดังนั้นจึงรีบเช็ดน้ำตา“รีบเข้าไปเถอะ หลังฟ้ามืด ประตูเมืองก็จะปิดแล้ว”คนเหล่านั้นมาถึงเมืองอูถ่าน อีกครึ่งชั่วยาม ประตูเมืองก็จะปิดลงพวกเขาจะต้องเข้าเมืองอูถ่านก่อนประตูปิด หาไม่แล้วก็ทำได้เพียงนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ภายนอก“ไป”กู้หว่านเยว่รีบพาคนเหล่านั้นไปเข้าแถวเสี่ยวถ่านเข้าออกเมืองอูถ่านหลายครั้ง รู้ว่าต้องประจบเอาใจทหารรักษาการณ์เยี่ยงไรเพียงสามคำสองประโยค ก็พาพวกเขาลอบเข้าเมืองอูถ่านได้หลังเข้าเมืองอูถ่านแล้ว กู้หว่านเยว่กลับไปนั่งรถม้าอีกครั้ง มองบ้านเรือนสองข้างทางบ้านเรือนเหล่านี้พื้นฐานล้วนคือบ้านหินเตี้ยๆ สายตาทอดมองไป สองข้างทางมีร้านรวงไม่น้อย กำลังวางขายของเมืองอูถ่านเทียบกับคูเมืองอื่นของทูเจวี๋ย ล้วนเงียบสงบ เจริญรุ่งเรืองมองไปแล้วเทียบกับเมืองหลวงของต้าฉี นอกจากการก่อสร้าง กลับไม่มีอันใดแตกต่างสองสามคนเข้าเมืองอูถ่านได้ไม่นาน เงาร่างสายหนึ่งก็ขวางรถม้าไว้“คุณชาย”เสียงคุ้นหูพลันดังขึ้นจากภ
“ผ่อนคลายไปทั้งตัว”เยียนอวิ๋นชูยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า แม้ว่าตอนนี้เขายังเดินเหมือนคนปกติไม่ได้ แต่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่ถูกพิษ ไม่รู้สึกกระสับกระส่ายและกดดันอีกต่อไป แม้แต่จิตใจก็ยังเบิกบานขึ้นมาก“ดี เดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาเพื่อบำรุงร่างกายให้ท่าน”หลังจากตื่นแล้ว กู้หว่านเยว่ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของซูจิ่งสิงเขามุ่งหน้าไปส่งจดหมายที่เมืองอูถ่านตามลำพัง และไม่รู้ว่าได้พบกับเยียนสือซานหรือไม่เช่นเดียวกับกู้หว่านเยว่ เยียนอวิ๋นชูก็เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ชายของตัวเองเช่นกัน กลัวว่าเขาจะตกหลุมพรางของเหยลวี่เจิงทั้งสองตัดสินใจทันทีว่าจะรับประทานอาหารกลางวันบนรถม้า ตอนนี้พวกเขาจะไปเก็บสัมภาระ มุ่งหน้าไปยังเมืองอูถ่านทันที“ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่ใหญ่จะเป็นอย่างไรบ้าง”สีหน้าของเยียนอวิ๋นชูเป็นกังวล เสี่ยวถ่านจับจ้องไปที่ใบหน้าที่หล่อเหลาจนทั่วหล้าต้องขุ่นเคืองของเขา พลางถามอย่างอ่อนแรง“พี่รอง ควรอำพรางตัวให้พี่รองเยียนด้วยหรือไม่?ท่านดูสิเขาหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ ออกไปเดินบนท้องถนนต้องดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายเป็นแน่ ทัน
เยียนอวิ๋นชูน่าสงสารนัก กู้หว่านเยว่ก็ใจอ่อนในชั่วพริบตา“เชื่อข้าเถอะ พิษในร่างกายของท่านจะถูกขับออกมาแน่นอน ต่อไปท่านจะไม่สูญเสียการควบคุมอีกแล้วแต่ขาของท่าน เนื่องจากไม่ได้เดินมานานเกินไป อาจต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี จึงจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ”“นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ”เยียนอวิ๋นชูก็ไม่ได้คาดหวังว่าขาของเขาจะหายดีได้ในชั่วข้ามคืนพิการมานานสิบกว่าปี ได้มีความหวังที่จะยืนขึ้นได้อีกครั้ง สำหรับเขาก็เป็นพรอันยิ่งใหญ่แล้วเขาดื่มยาหม้อหมดในคราเดียวในไม่ช้า ความไม่สบายก็เข้ามาภายในร่างกาย“ยาหม้อนี้มีสรรพคุณในการล้างพิษ ต่อไปท่านอาจจะรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย อาจถึงขั้นมีไข้สูง แต่ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน”กู้หว่านเยว่หยิบเข็มเงินออกมาอย่างเป็นระเบียบขั้นตอน ราวกับว่ามองเห็นเหตุการณ์นี้ไว้ล่วงหน้าแล้วน้ำเสียงสุขุมของนาง ทำให้จิตใจที่ไม่เป็นสุขของเยียนอวิ๋นชูสงบลงมากร่างกายเจ็บปวดมากเกินไป เขาจึงพยายามหลับตาทั้งสอง ข่มความเจ็บปวดนี้เอาไว้เหงื่อเย็นเยียบพรั่งพรูออกมาจากร่างกายของเขาดั่งสายฝนกู้หว่านเยว่ถือผ้าขนหนูไว้ คอยเช็ดเหงื่อให้เขาอย่างอดทน เมื่อพบว่าเขาทนไม่ไ
ความคิดของเยียนอวิ๋นชูเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาไม่คิดว่ากู้หว่านเยว่ จะหลอกลวงเขาในเรื่องแบบนี้ แสดงว่าร่างกายของเขาถูกวางยาพิษจริง ๆ และพิษนี้เริ่มตั้งแต่ขาทั้งสองของเขายืนไม่ได้ อย่างน้อยก็สิบกว่าปีแล้วเยียนอวิ๋นชูนึกย้อนกลับไปในหัวใครกันที่สามารถวางยาพิษเขาได้ในช่วงเวลานั้น แต่กลับไม่ได้อะไรเลย เวลามันเนิ่นนานเกินไปแล้วเขารู้ว่า ในขณะนี้สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การตามหาคนที่วางยาพิษ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการล้างพิษในร่างกายของเขา“เจ้า เจ้าล้างพิษในร่างกายของข้าได้ไหม?”“ตอนนี้รู้จักขอร้องข้าแล้วหรือ เมื่อครู่ยังหน้าซีดรีบร้อนขับไล่ข้าออกไปมิใช่หรือ?”กู้หว่านเยว่กะพริบตายั่วเย้า ใช้น้ำเสียงหยอกล้อ ทำให้เยียนอวิ๋นชูหน้าแดง แทบจะพาลโกรธเอาดื้อ ๆ อีกครั้ง“เจ้า...”เมื่อเห็นเขากัดริมฝีปาก กู้หว่านเยว่ก็หัวเราะคิกคัก“เอาล่ะ ข้าแค่หยอกล้อท่านเฉย ๆ ข้าสามารถล้างพิษได้ วางใจเถิด”นางปลอมตัวเป็นผู้ชาย ใบหน้าหล่อเหลาอยู่แล้ว ในเวลานี้ได้เผยรอยยิ้มที่น่าหลงใหลออกมาอย่างฉับพลันเยียนอวิ๋นชูตกตะลึงไปชั่วขณะ มองดูใบหน้าที่เปล่งประกายของนาง รู้สึกว่าหัวใจนั้นเต้นแรงเขารีบกุมหัวใจเอาไว้ แล
เซียวหลิ่นหลีกทางให้โดยจิตใต้สำนึก กู้หว่านเยว่กำลังจะจับมือของเยียนอวิ๋นชู แต่ฝ่ายหลังกลับดันรถเข็นถอยหลังอย่างไม่คาดคิดปากก็ยังด่าทอเสียงดัง“ไปให้พ้น ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาสงสารข้า เจ้าเป็นอะไรกับข้าหรือ ปล่อยข้าไว้คนเดียวให้สงบสติอารมณ์สักพัก รีบออกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”เยียนอวิ๋นชูคำรามลั่น ใบหน้าหล่อเหยเกเล็กน้อย คำพูดที่เอ่ยออกมาแย่มากจนทำให้มุมปากของเซียวหลิ่นกระตุก“คุณชายรอง!”คุณชายรองเกิดลมบ้าหมูอะไรขึ้นมา จอมยุทธหนุ่มท่านนี้เมื่อครู่สามารถใช้เข็มเงินนั่นฆ่าใครก็ได้ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านี่คือบุคคลที่มีทักษะทางการแพทย์สูงมาก หวังดีจะช่วยชีวิตเขา เหตุใดเขาถึงยังด่าทออย่างรุนแรง?“จอมยุทธหนุ่ม ขอโทษด้วยจริง ๆ”เซียวหลิ่นรีบขอโทษกู้หว่านเยว่ หวังว่านางจะใจกว้างไม่ถือสาคนต่ำทรามและกู้หว่านเยว่ก็มองดูท่าทางต่อต้านของเยียนอวิ๋นชู ครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้ว่าเขากำลังกังวลเรื่องอะไร“ท่านผู้นี้ ช่างดื้อรั้นเสียจริง!”เขาคงกลัวว่าจะสูญเสียการควบคุมและทำร้ายนาง ดังนั้นเขาจึงพูดจาดุดันเพราะต้องการขับไล่นางออกไป ทั้ง ๆ ที่นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็ยังดึงดันที่จะแสร้ง
“เจ้าจะช่วยส่งจดหมายให้พวกข้าหรือ?”เยียนอวิ๋นชูมองไปที่กู้หว่านเยว่อย่างคาดไม่ถึง ดวงตาแจ่มใสทั้งคู่ที่มองไปที่กู้หว่านเยว่ เขาเชื่อมั่นในตัวนางมากจริง ๆ“ไม่ได้ มันจะทำให้เจ้ายุ่งยากเกินไป”เยียนอวิ๋นชูใจเต้นอยู่ชั่วขณะ หันหน้าไปอย่างรวดเร็วอาจเป็นเพราะหลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาเคยชินกับการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีเฉยชา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้นการเอาตัวออกห่าง เป็นวิธีการปกป้องตัวเอง และปกป้องมิตรสหายของเขาด้วยกู้หว่านเยว่ถือโอกาสรับจดหมายของเขามา “เฮ้อ ท่านอย่ามัวชักช้าเลย ฟังจากคำพูดของท่าน พี่ชายของท่านไปที่เมืองอูถ่านแล้ว หากช้ากว่านี้ก็คงไม่ทันกาล เอาจดหมายมาให้ข้า พวกข้าจะไปส่งให้ท่านเอง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่โผงผางเช่นนี้ เยียนอวิ๋นชูก็เบิกตาทั้งสองกว้างอย่างตกตะลึง“เจ้า เจ้า...” เขาคงไม่สามารถแย่งจดหมายกลับมาได้อีกแล้วกระมัง?“คุณชายรอง ในเมื่อวีรบุรุษหนุ่มทั้งสองท่านนี้ต้องการช่วยเหลือเรา สู้เราเอาจดหมายให้พวกเขาดีกว่า สถานการณ์เร่งด่วน เราไม่อาจมัวลังเลได้”เซียวหลิ่นที่อยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยขึ้น ความจริงเขาก็กำลังคิดจะขอความช่วยเหลือจากกู้หว่านเยว่ เพีย