นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิบดาบยาวขึ้นมา ทันใดนั้นก็พบว่าดาบเล่มนี้เข้ากับซูจิ่งสิงมากทีเดียว“ท่านพี่ ดาบเล่มนี้เหมาะกับท่านมาก”“ข้าขอลองหน่อย” ซูจิ่งสิงรับดาบยาวมา ทันทีที่จับดาบไว้ในมือ ก็รู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าของดาบเล่มนี้หยิบดาบยาวขึ้นมา ฟันไปที่โซ่เหล็กข้างหนึ่งผลปรากฏว่าโซ่เหล็กนั่นขาดทันที“คมกริบ ดาบเล่มนี้เป็นของดีจริง ๆ !”กู้หว่านเยว่ร้องอุทาน เมื่อเห็นว่าซูจิ่งสิงชอบดาบเล่มนี้มาก จึงเสนอว่า“ท่านพี่ ถ้าท่านชอบดาบเล่มนี้ ก็เก็บไว้ข้างกายเถิด”“ตกลง” ซูจิ่งสิงนาน ๆ ทีจะชอบของสักอย่างมากขนาดนี้ตอนที่ทั้งสองคนเพิ่งเข้ามา พวกเขาคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสุสานของใครสักคน แต่หลังจากเดินวนไปรอบ ๆ สุสานใต้ดินแล้ว กู้หว่านเยว่ก็พบว่าที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งเคยอาศัยอยู่ดูสิ ที่ส่วนลึกของสุสานใต้ดิน ยังสามารถมองเห็นโต๊ะเครื่องแป้ง บนโต๊ะมีกระจกทองแดง ด้านหน้ายังมีกล่องใส่เครื่องประทินโฉมอีกด้วยด้านหลังยังมีเตียงหินอีกหนึ่งเตียง แม้ว่าที่นี่จะเก่าแก่มาก ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น แต่ก็มองเห็นเลือนรางว่าเป็นที่ที่ชายหญิงคู่หนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่“ท่านพี่
“ท่านพี่ เรากลับกันเถอะ”กู้หว่านเยว่เห็นว่าในมิติล้วนเต็มไปด้วยทองคำ จึงยิ้มอย่างมีความสุขมากเป็นพิเศษ มีเงินนี่ดีจริง ๆ มีเงินก็สามารถทำการใหญ่ได้“ไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ ทำความสะอาดเครื่องเรือนที่เต็มไปด้วยฝุ่นอย่างใส่ใจ ทั้งสองมองย้อนกลับไปดูทางส่วนลึกของถ้ำในสุสานใต้ดินเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจูงมือกันเดินกลับทางเดิมขณะที่ผ่านทางเดิน เห็นชาวประมงสองคนที่ถูกทับตายอย่างน่าสงสาร คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจนำศพของพวกเขากลับไปด้วยเวลานี้หนานหยางอ๋องได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว และป้อนน้ำเชื่อมที่กู้หว่านเยว่ทิ้งไว้ให้เหล่าชาวประมงตามจำนวนเรียบร้อยแล้วเมื่อเห็นทั้งสองคนพุ่งตัวออกมาจากข้างใน จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับเช็ดเหงื่อ“ท่านอ๋อง พระชายา ในที่สุดพวกท่านก็ออกมาแล้ว ข้ายังกังวลว่าพวกท่านจะพบกับอันตราย”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วแล้วยิ้ม “ไม่มีอันตรายอะไรหรอก”หนานหยางอ๋องรีบหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา “ชาวบ้านจากหมู่บ้านชาวประมงเล็กหายไปทั้งหมดสิบสองคน ตายไปสองคน ที่เหลืออยู่ที่นี่แล้ว”ที่แท้หัวหน้าหมู่บ้านก็ให้สมุดเล่มเล็กกับเขาเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการตามหาชาวประมงที
“ข้า...ข้าแอบตามหลังพวกท่านมา ก็เลยติดตามมาด้วย”ซูจื่อชิงก็ก้มหน้าเช่นกัน ทั้งสองคนเหมือนเด็กน้อยสองคนที่ทำความผิดมองดูเด็กตัวป่วนสองคนที่เพิ่งรอดตาย กู้หว่านเยว่ก็ดุพวกเขาไม่ลง“ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก มันอันตรายมาก”ซูจิ่งสิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่เมื่อเห็นการกระทำที่ซูจื่อชิงปกป้องเมี่ยชิงหว่านเมื่อครู่นี้ เขาในฐานะพี่ชายก็รู้สึกโล่งใจน้องรองโตขึ้นแล้ว“รีบเอามือเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย”เมี่ยชิงหว่านนึกอะไรขึ้นได้ รีบคว้ามือทั้งสองข้างของซูจื่อชิง เมื่อเห็นฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาของนางก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง“เหตุใดเจ้าถึงโง่เช่นนี้ เมื่อครู่ เจ้าสามารถทิ้งข้าแล้วหนีเอาตัวรอดไปได้แท้ ๆ ”ซูจื่อชิงไม่พูดอะไร ถ้าเขาคิดจะหนีเอาตัวรอด คงไม่ช่วยเมี่ยชิงหว่านตั้งแต่แรกแล้ว“พี่หว่านเยว่ พี่รีบดูแผลที่ฝ่ามือของเขาเร็ว”เมี่ยชิงหว่านร้อนใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมาบางทีอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ตกใจมากเกินไป ซูจื่อชิงจึงไม่รู้สึกเหนื่อย คิดแต่ว่าจะพายให้เร็วขึ้นอีกหน่อยตอนนี้พ้นจากอันตรายแล้ว เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่ามือทันที แขนทั้งสองข้างก็ปวดเมื่อยจนชาไปหมดแม้แต่เรี่ยวแรงที่
มองเห็นร่างของพวกเขาค่อย ๆ กลายเป็นจุดดำเล็ก ๆ จนหายไปในที่สุดกู้หว่านเยว่จึงนำชาวประมงสิบคน หนานหยางอ๋อง และศพอีกสองศพออกมาจากมิติศพทั้งสองนั้นถูกก้อนหินทับจนเละเทะไปหมด มองดูแล้วน่าสยดสยองจริง ๆ กู้หว่านเยว่จึงไปเด็ดใบไม้ใหญ่ ๆ ริมแม่น้ำ มาคลุมศพเอาไว้“ท่านพี่ ข้าจะเข้าไปดูงูหลามยักษ์ตัวนั้นในมิติก่อน”ระหว่างรอ กู้หว่านเยว่ก็บอกกับซูจิ่งสิง หลัก ๆ แล้วนางกังวลว่างูหลามยักษ์จะคลุ้มคลั่งอยู่ในมิติ“ได้ เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะคอยดูต้นทางให้เจ้าข้างนอกนี่เอง”ซูจิ่งสิงพยักหน้าอย่างอ่อนโยน กู้หว่านเยว่จึงรีบเข้าไปในมิติแต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือ หลังจากเข้าไปแล้ว กลับไม่พบฉากนองเลือดอย่างที่คิดไว้งูหลามยักษ์สีขาวกำลังนอนขดอยู่กับนกหงส์เพลิงนกตัวหนึ่ง งูตัวหนึ่ง คุยกันเจื้อยแจ้ว ราวกับกำลังรำลึกความหลังกู้หว่านเยว่ ? นกกับงูเป็นเพื่อนกันได้ด้วยหรือ?“จูเชวี่ย พวกเจ้าสองตัวเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่?”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่เข้ามา นกหงส์เพลิงก็รีบกางขาเล็กๆ สองข้าง กระพือปีกบินมาหากู้หว่านเยว่ จากนั้นเอาหัวถูไถนางอย่างสนิทสนมส่วนงูหลามยักษ์สีขาวก็เอียงหัว กะพริบตา จ
แม่ม่ายหลี่กอดเด็กสองคนไว้ในอ้อมแขน รู้สึกตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาไหลอาบแก้มนอกจากพวกเขาแล้ว ชาวประมงคนอื่น ๆ ก็สวมกอดกับครอบครัวของพวกเขาเช่นกัน“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านกลับมาแล้ว อาเฉ่าคิดถึงท่านมาก”“ลูกชายของข้าล่ะ ลูกชายของข้าทำไมไม่กลับมา?”ชายวัยกลางคนคนหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนเรืออย่างร้อนรน ก็เห็นศพสองศพบนดาดฟ้าเรือแม้ว่าศพทั้งสองจะถูกทับจนเละเทะไปหมด แต่ลุงเนี่ยก็ยังจำเสื้อผ้าบนศพทั้งสองได้ในทันที เพราะเป็นเสื้อผ้าที่เขาตัดเย็บเองกับมือ“ต้าหู่ เสียวหู่ พวกเจ้าเป็นอะไรไป?”ลุงเนี่ยร้องไห้โฮแล้ววิ่งเข้าไป ซูจิ่งสิงเรียกหัวหน้าหมู่บ้านมา แล้วบอกสาเหตุการตายของทั้งสองคนให้เขาฟัง“ตอนที่พวกเราไปถึง ทั้งสองคนนี้ก็เละเทะไปหมดแล้ว ขาดใจตายไปนานแล้ว”“ต้าหู่ เสียวหู่ พวกเจ้าลืมตาขึ้นมามองพ่อสิ พ่อจะเสียพวกเจ้าไปไม่ได้!”ลุงเนี่ยร้องไห้เสียงดังลั่น หัวหน้าหมู่บ้านรีบเข้าไปอธิบายให้เขาฟังคงเป็นเพราะรับไม่ได้ที่ลูกชายทั้งสองจากไป เขาจึงเป็นลมล้มพับไป“ใครก็ได้ เร็วเข้า พาเนี่ยต้าเหลียงกลับบ้านทีแล้วก็ศพของต้าหู่และเสียวหู่ พวกเจ้าไปหาแผ่นไม้มา แล้วนำศพกลับไปที่บ้านสกุลเนี่ย”“พวกเราจ
“เจ้าลูกคนนี้”หนานหยางอ๋องมองเพียงว่าเมี่ยชิงหว่านกำลังเขินอาย จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แต่กลับไม่รู้ว่าเมี่ยชิงหว่านนั้นปรารถนาจะสังหารเผยเสวียนเหลือเกิน“ท่านพ่อตา ชิงหว่านอาจจะได้ยินเรื่องการแต่งงาน จึงเขินอายไปหน่อย”เผยเสวียนยิ้มออกมาเหมือนสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรมหนานหยางอ๋องจะไปเข้าใจความคิดของลูกสาวได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมี่ยชิงหว่านที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากเขามาตั้งแต่เด็ก เผยเสวียนพูดเช่นนี้ เขาก็เชื่อแล้ว“ท่านพ่อตา ใช้ชาแทนเหล้า เขยขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก”“ดี ๆ ๆ เอามาจอกหนึ่ง”ทางด้านนี้หนานหยางอ๋องและเผยเสวียน “ชนแก้วแลกจอก” ดื่มด่ำสำราญร่วมกัน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งกู้หว่านเยว่ก็แอบเตะซูจิ่งสิงใต้โต๊ะทั้งสองหาข้ออ้างเดินออกมาระหว่างงานเลี้ยง แต่แล้วก็พบเมี่ยชิงหว่านยืนสองจิตสองใจอยู่นอกห้องของซูจื่อชิง“ชิงหว่าน?”กำลังลังเลใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ แต่ซูจื่อชิงก็เห็นนางก่อนแล้วมือทั้งสองถูกพันแผลจนเหมือนบ๊ะจ่างลูกใหญ่ ฉู่เฟิงกำลังป้อนอาหารเขาอยู่“เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง รีบเข้ามาสิ มัวยืนอยู่หน้าประตูทำไม?”ซูจื่อชิงเดินออกไปด้วยความตื่นเต้น ดวงตาทั้งคู่ส่อ
“เผยเสวียนรังแกเจ้าหรือ?!”“เปล่า”เมี่ยชิงหว่านส่ายหัว ทว่าสายตาที่หลบเลี่ยงกลับทำให้ซูจื่อชิงรู้สึกได้ว่ามีอะไร“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะไปถามเขาเดี๋ยวนี้”หากเผยเสวียนสามารถมอบความสุขให้นางได้จริง ๆ และนางเต็มใจ เขาก็ทำได้แค่อวยพรเท่านั้น แต่หากเผยเสวียนยังคงรังแกนางอยู่เสมอ ก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจซูจื่อชิงลุกขึ้นและกำลังจะออกไป แต่เมี่ยชิงหว่านกลับรีบขวางเขาไว้เหมือนตกใจกลัว“ท่านอย่าไป อย่าไปถามเขา?”นางดูควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ ซูจื่อชิงยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม“เป็นอะไรกันแน่?”“เอาเป็นว่าท่านไม่ต้องไปถามเขา ถ้าท่านไปถามเขาล่ะก็ ข้าจะไม่ให้อภัยท่าน”พูดจบ เมี่ยชิงหว่านก็วางถ้วยกับตะเกียบลง แล้ววิ่งออกไปข้างนอก“ชิงหว่าน?”“อย่าตามข้ามานะ ขอร้องล่ะ!”เมี่ยชิงหว่านวิ่งตรงกลับไปที่ห้องของตัวเอง ในขณะที่ซูจื่อชิงกลับยืนนิ่งอยู่กับที่ คิ้วขมวดแน่น ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง“ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่า เผยเสวียนต้องทำอะไรกับชิงหว่านแน่”กู้หว่านเยว่ดึงซูจิ่งสิงมา ดอดออกจากห้องที่ซูจื่อชิงอยู่ มาพูดคุยกันตรงที่ที่ไม่มีใครต้องบอกว่าตอนแรกนางแค่รู้สึกสงสัย แต่เมื่อเห็นท่าทางของ
เมื่อเห็นเผยเสวียนกำลังจะร้องขอความช่วยเหลือ ก็ปล่อยอีกหมัดหนึ่งกระแทกปากของเขา“เจ้าบังอาจมารังแกชิงหว่าน กล้าดียังไง?!”ซูจื่อชิงปรารถนาจะสังหารเผยเสวียนใจจะขาด หญิงสาวที่เขาคอยประคองอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ กำลังถูกเผยเสวียนหยามเกียรติและย่ำยีเช่นนี้“ปล่อย ปล่อยนะ!”ทักษะการต่อสู้งู ๆ ปลา ๆ ของซูจื่อชิงอาจกล่าวได้ว่าพอ ๆ กันกับเผยเสวียน แต่ด้วยไฟโทสะเต็มอก จึงใจร้อนซัดอีกฝ่ายจนหมอบราบคาบทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไปกว่าเมี่ยชิงหว่านจะตั้งสติได้ ใบหน้าของเผยเสวียนก็บวมปูดเป็นหัวหมูแล้ว“จื่อชิง เจ้าไปอยู่ข้างนอกตั้งแต่เมื่อไหร่?”เมื่อครู่คำพูดเหล่านั้น เขาได้ยินมากน้อยแค่ไหนกันนะ?ใบหน้าของเมี่ยชิงหว่านเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอับอายเคียดแค้น แต่ซูจื่อชิงกลับเหลือเพียงความปวดร้าวเท่านั้น“ข้าได้ยินแล้ว ข้าได้ยินทั้งหมด ข้าได้ยินเขาข่มขู่เจ้า”เขาจับมือของเมี่ยชิงหว่านไว้“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?”เมี่ยชิงหว่านทั้งอับอายและเคียดแค้นเจียนตาย อยากจะโขกหัวให้ตายไปเสีย สิ่งที่นางกลัวที่สุดคือเรื่องนี้จะมีคนรู้ ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่มีคนรู้จร
“ดูเจ้าสิ พูดเรื่องนี้กับหว่านเยว่เพื่ออะไร?”หลินรู่ไห่ดึงนางเก๋อไว้ ในใจเขาก็รู้สึกกังวลเช่นกัน แต่เขารู้ว่าการบอกเรื่องนี้กับกู้หว่านเยว่นั้นไม่มีประโยชน์เมืองเหยาอยู่ไกลจากที่นี่ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็กำลังยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับฮ่องเต้ จะเอาเวลาที่ไหนไปตามหาคนที่เมืองเหยา?พวกเขาไม่อยากให้กู้หว่านเยว่ต้องลำบากใจ“ท่านน้า ต้องขอบคุณน้าสะใภ้ที่บอกข้า เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ทำไมพวกท่านไม่พูดทันทีที่เข้ามา?”กู้หว่านเยว่ยังจำหลินเพียวเพียวได้ สาวน้อยที่สงบเสงี่ยมมาก เวลาพูดขึ้นมาก็ดูคงแก่เรียนเมื่อคนสกุลหลินไปที่โรงเตี๊ยมเตียงนอนรวมเพื่อส่งเงินให้นาง หลินเพียวเพียวก็มาด้วย แล้วยังปลอบประโลมนางอย่างนุ่มนวล“หว่านเยว่ พวกเราไม่อยากให้เจ้าเป็นกังวล”ประเด็นคือพวกเขาไม่เคยคิดว่ากู้หว่านเยว่จะสามารถช่วยหลินเพียวเพียวกลับมาได้และพวกเขาก็เป็นห่วงว่าซูจิ่งสิงจะรู้สึกว่าสกุลหลินของพวกเขาเป็นปัญหา ถึงตอนนั้นจะทำให้กู้หว่านเยว่เดือดร้อนไปด้วยกู้หว่านเยว่จำพวกเขาได้ จึงขอให้ซูจิ่งสิงส่งคนไปรับพวกเขาที่ฉูโจว พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว จะเสนอเงื่อนไขอะไรได้อย่างไร?“พวกท่าน”กู้หว
“ท่านยาย พวกท่านปลอดภัยดีตลอดเส้นทางไหม?”กู้หว่านเยว่สอบถามพวกเขา แม้ว่าซูจิ่งสิงจะส่งคนไปรับพวกเขาเองก็ตามแต่เวลานี้ทั่วแคว้น ความอดอยากแห้งแล้งได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โจรร่อนเร่ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทุกแห่งการเดินทางมาของสกุลหลินครั้งนี้ ก็คงไม่สงบสุขนัก“ระหว่างทาง ได้พบกับโจรสลัด”เมื่อนายท่านผู้เฒ่าหลินพูดถึงเรื่องนี้ ก็ยังรู้สึกสะเทือนใจ“โจรสลัดเหล่านั้นฆ่าทุกคนที่พบเจอ ไม่เว้นแม้แต่คนแก่ คนอ่อนแอ ผู้หญิง และเด็ก น่ากลัวจริง ๆ”สกุลหลินเป็นพลเมืองดีที่ทำการค้า การเข่นฆ่าใด ๆ พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนตกใจกลัวจนเหลือทน ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปก็ยังคงรู้สึกกลัวอยู่“ท่านยาย พวกท่านลำบากแย่เลย”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าโจรเร่ร่อนข้างนอกนั้นเหิมเกริมเช่นนี้“ไม่เป็นไร ทุกอย่างผ่านไปแล้ว”นายท่านผู้เฒ่าหลินลูบเครา พลางโบกมือ“โชคดีที่แม่ทัพหนุ่มที่ท่านอ๋องส่งไปฉลาดเฉลียว รู้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ก็พาพวกเราหนีไปทางเรือเล็กแต่น่าเสียดายนายท่านผู้เฒ่าหลินเผยแววตาทนไม่ได้ บนเรือใหญ่ยังมีประชาชนอยู่เป็นจำนวนมาก“พวกเราหนีออกไปได้ไม่ไกลนัก ก็เห็นเรือทั้งลำ
“ข้าไม่เป็นอะไร”ลั่วยางชักมือออกอย่างไม่เป็นธรรมชาติคนผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่?เหล่าทหารทุกคนกำลังเฝ้าดู ตอนนี้ทั้งกองทัพรู้แล้วว่าเขาชอบนางนางไม่อยากกลายเป็นจุดสนใจ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”เกาเจี้ยนถอนหายใจ มองไปทางซูจิ่งสิง ขณะที่กำลังจะโต้แย้งก็เห็นคนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะเยาะเขาอยู่ คว้ามือของกู้หว่านเยว่ไว้โดยไม่ละอาย น้ำเสียงอ่อนโยนจนแทบจะคั้นเป็นน้ำออกมาได้“น้องหญิงเหนื่อยหรือยัง หิวหรือเปล่า ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว”เกาเจี้ยนเบิกตากว้าง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”คนผู้นี้มีความรู้มากกว่าเขาเสียอีก!“ท่านมาที่นี่ทำไม?”กู้หว่านเยว่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้ซูจิ่งสิงแม้ว่าวันนี้จะไม่ร้อนมาก แต่ซูจิ่งสิงก็สวมชุดกราะตลอดเมื่ออยู่ในกองทัพ ถูกแดดตอนเที่ยงวันสาดส่อง จนเหงื่อแตกพลั่ก“เห็นเจ้าไม่กลับมาเสียที ก็เลยเป็นห่วงเจ้า”ซูจิ่งสิงมองเข้าไปในกระโจม กู้หว่านเยว่ก็อธิบายสถานการณ์ของกงซุนฉิงอย่างคร่าว ๆ ก่อนจะพาคนกลับไปเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงสกุลกงซุน สั่งให้คนแพร่ข่าวออกไปหลี่กวงถิงถูกจับแล้ว กองทัพของเจดีย์หนิงกู่ก็ไล่ล่าโจมต
ลั่วยางก็ไม่ได้โกรธเช่นกันทักษะทางการแพทย์ของกู้หว่านเยว่นั้นเหนือกว่านางอยู่แล้ว ลู่จิงจะทำทุกวิถีทางเพื่อความปลอดภัย ไปเชิญกู้หว่านเยว่มาอีกครั้งก็เป็นเรื่องปกติ“พี่หว่านเยว่”ลั่วยางมีอายุมากกว่ากู้หว่านเยว่ แต่ในด้านทักษะทางการแพทย์ ถือได้ว่ากู้หว่านเยว่อาวุโสกว่านางประโยค “พี่หว่านเยว่” ของลั่วยาง ก็ไม่ได้เรียกผิด“คุณหนูกงซุนไม่เป็นอะไร แค่เหนื่อยจนล้มไปเท่านั้น”ร่างกายของนางเคยถูกทรมานมาก่อน แม้ว่าจะได้รับการรักษาโดยกู้หว่านเยว่ แต่ถึงอย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บโชคดีที่กงซุนฉิงมีทักษะการต่อสู้ จึงปกติเหมือนคนที่ไม่ได้เป็นอะไรแต่ก็ไม่อาจทนต่อความยุ่งวุ่นวายในระดับสูงได้“ข้าฝังเข็มให้นางหนึ่งเล่ม แล้วนางก็ตื่นขึ้นมา”ลั่วยางอธิบาย“แต่ว่า นางนอนหลับ กลับช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนสู่สภาพเดิมเสียด้วยซ้ำไป”“เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางหลับต่ออีกนิดเถอะ”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน พลางจับชีพจรของกงซุนฉิงครู่หนึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ลั่วยางพูด“ส่วนทางทหารกล้าตายแนวหน้า”กู้หว่านเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ที่กงซุนฉิงเหนื่อยจนล้มไป ก็เพราะว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานักรบหมาป่าได้ให้ก
ขณะที่นำกองทหารออกจากเมืองหลวง เขาก็รู้ว่าชีวิตของตัวเอง ช้าเร็วก็ต้องถูกพรากไป“ข้าต้องการให้ท่านเขียนคำสั่งลงโทษตัวเอง”ซูจิ่งสิงพูดทีละคำ เอ่ยปากอย่างตั้งใจตอนแรกทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งกลับมาพร้อมกับชัยชนะ แต่กลับถูกฮ่องเต้ชั่วและขุนนางชั่วกลุ่มนี้เนรเทศไปที่เจดีย์หนิงกู่ในข้อหากบฏแม้ว่าฮ่องเต้ชั่วจะแต่งตั้งเขาให้เป็นเจิ้นเป่ยอ๋องอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่ความเข้าใจผิดในอดีตก็ไม่ได้รับการล้างมลทินให้เขาเวลานี้ ในสายตาผู้คนใต้หล้า เขาคืออาชญากรที่สมคบคิดกับข้าศึกและขายชาติเขาต้องการล้างมลทินให้กับตัวเองด้วยมือของเขาเอง“ท่าน”ใบหน้าชราของหลี่กวงถิงทั้งอายและโกรธเคือง“ไม่”เขาส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ต้องตายในมือของซูจิ่งสิงเช่นนี้ ก็ยังมีชื่อเสียงดี ๆ ฝากไว้แต่เมื่อคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ถูกเขียนขึ้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับความผิดอย่างเปิดเผยตอนแรกเขาให้ความร่วมมือกับฮ่องเต้ในการใส่ร้ายซูจิ่งสิงมันต่างอะไรกับขุนนางทุจริต?ผู้คนทั่วหล้าจะถ่มน้ำลายด่าประนามเขาเช่นไร?“จะฆ่าจะแกง ก็สุดแล้วแต่ท่าน ข้ายังคงยืนยันประโยคนั้นเหมือนเดิมสำหรับคำสั่งลงโทษตัวเองนี้ ข้าไม่มีทางเขียนเด
เห็นเพียงท่ามกลางหมอกหนาทึบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีแสงไฟเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับหิ่งห้อยในค่ำคืนอันมืดมิดเมื่อแสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ รองแม่ทัพที่อยู่บนเรือก็เบิกตาทั้งสองกว้าง“ไม่ได้การ ทั้งหมดเป็นลูกศรติดไฟ!”ก้นลูกศรเหล่านี้ถูกมัดด้วยลำกล้องดินปืน ภายในเป็นดินปืนทั้งหมดดินปืนตกลงมาพร้อมกับลูกศรที่ยิงขึ้นมาบนเรือราวกับเม็ดฝนทั่วท้องฟ้า ภายในเวลาชั่วพริบตา เรือก็ติดไฟ“เร็วเข้า รีบถอยกลับ”หลี่กวงถิงสั่งการ เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่าตัวเองถูกแผนชั่วของซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่เล่นงานเข้าแล้วกองทัพใหญ่ออกเดินทางแล้ว ต้องการจะถอยกลับจะทำได้ง่าย ๆ อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่บนผิวน้ำ การเดินเรือไปข้างหน้าก็ทำได้ยากลำบากอยู่แล้วคนเหล่านี้ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้บนน้ำ ไม่มีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยังโชคดีเพราะหากพบเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่าถอยอย่างเป็นระเบียบเรือติดไฟแล้ว เหล่าทหารร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ในระหว่างการล่าถอยของเรือ ต่างก็ชนกันเอง สถานการณ์วุ่นวายในระดับหนึ่งทว่าลูกศรทั่วฟ้านั้นก็ยังไม่ยอมหยุดเลยหลังจากยิงจบระลอกห
“ข้ามีความคิดดี ๆ อย่างหนึ่ง”ดวงตาของกู้หว่านเยว่กลอกไปมา ทันใดนั้นก็มีความคิดแผลง ๆ ผุดขึ้นมา“หลี่กวงถิงผู้นี้ต้องการว่าจ้างคนจากหอมือสังหารมาฆ่าท่านมิใช่หรือ? เราก็ให้คนของหอมือสังหารมาตอบรับเรื่องนี้”ซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่สบสายตากันเข้าใจทันทีว่าภรรยากำลังคิดอะไรอยู่“หนามยอกเอาหนามบ่งหรือ?”“ถูกต้อง ถึงตอนนั้นเราก็มาปิดประตูตีแมวกัน”ซูจิ่งสิงเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง นกพิราบสื่อสารก็กลับไปตามทางเดิม เพื่อส่งกลับไปที่หอมือสังหารเป็นสองวันที่สถานการณ์สงบสุขสองวันต่อมา หลี่กวงถิงก็ได้รับข่าวกรอง แจ้งว่าคนจากหอมือสังหารทำสำเร็จแล้ว“ข้าน้อยเห็นว่ากองทัพของเจดีย์หนิงกู่สงบเงียบ ดูเหมือนจะไม่มีข่าวการตายของซูจิ่งสิงแพร่ออกมา”รองแม่ทัพหลายคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าใดหลี่กวงถิงยังรู้สึกว่าต้องระมัดระวังด้วยหลังจากรออีกสองวัน ก็มีข่าวกรองออกมาอีกว่า ค่ายของผู้บัญชาการถูกรายล้อมด้วยกองกำลังทหารอากาศแบบนี้ภายนอกกระโจมกำลังตากปลาเค็มอยู่ จนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง“ตากปลาเค็ม อากาศแบบนี้ตากปลาเค็มอะไรกัน?”หลายคนนั่งวิเคราะห์ด้วยกันรองแม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างฉับพล
“ลู่จิง มองไม่ออกเลยว่า เจ้าจะรักหน้าที่การงานมากเช่นนี้”เกาเจี้ยนหัวเราะอย่างชั่วร้ายรักหน้าที่การงาน?ลู่จิงสะดุดเข้าให้ใครจะไปรักหน้าที่การงาน ชัดเจนว่าเขารักและสงสารกงซุนฉิงเขาเหลือบมองกงซุนฉิง ขณะที่คิดจะใช้โอกาสนี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างสองคน“ถูกต้อง เขารักหน้าที่การงานมาก!”ทันใดนั้นกงซุนฉิงก็เหยียบเท้าของเขา แล้วรีบเอ่ยขึ้นนางละอายใจที่จะให้ฮูหยินรับรู้เรื่องราวของพวกเขาสุดท้าย ก็จ้องเขม็งใส่ลู่จิงอย่างดุดัน พลางกระซิบว่า“หุบปาก”“ก็ได้”ลู่จิงหุบปากอย่างเชื่อฟังคำพูดของคนรักต้องเชื่อฟัง นี่จะไม่ใช่ความองอาจของชายชาตรีอย่างหนึ่งอย่างไร“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พูดคุยกันตามสบาย ใครจะเฝ้ายามก็ไม่สำคัญ หรือว่าถ้าไม่ได้จริง ๆ พวกเจ้าสองคนก็เฝ้ายามด้วยกันได้”ด้วยการเสริมทัพของเกาเจี้ยน ใบหน้าของกงซุนฉิงก็ยิ่งแดงขึ้น“เราไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ดึงแขนเสื้อของซูจิ่งสิงเงียบ ๆ พลางยิ้มคลุมเครือมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาคุยกันเรื่องความรักลับ ๆ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน“ไป”ซูจิ่งสิงจูงมือกู้หว่านเยว่จากไป“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องไปเหมือนกัน”เกาเจี้ยนถูกเตือนสต
ซูจิ่งสิงกระซิบเตือนกู้หว่านเยว่ที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา ภรรยาเป็นคนบ้าการงาน ตั้งแต่มาถึงค่ายทหาร ก็มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่าเขาเสียอีกเขาชอบท่าทางการวางแผนในกระโจมของกู้หว่านเยว่มาก เพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายของนางจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงกำชับอยู่บ่อยครั้ง“ก็ได้เจ้าค่ะ ลมแรงจริง ๆ”กู้หว่านเยว่ถือโอกาสโยนกล้องโทรทรรศน์เข้าไปในมิติ แล้วลงมาจากหอสังเกตการณ์พร้อมกับซูจิ่งสิงหอสังเกตการณ์แห่งนี้สร้างโดยทหารตามคำสั่งของกู้หว่านเยว่ก่อนหน้านี้ โดยอิงตามพิมพ์เขียวที่นางให้มาหอสังเกตการณ์สูงยี่สิบเมตรพอดี เมื่อยืนอยู่ด้านบนของหอสังเกตการณ์จะสามารถมองเห็นจุดที่อยู่ไกลออกไปได้ชัดเจน สังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้สะดวกยิ่งขึ้นทั้งสองลงมาจากหอสังเกตการณ์ ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่ในกองทัพกับเกาเจี้ยนก็ได้ยินเสียงโต้เถียงครู่หนึ่งโดยพลัน“ชู่ว์”กู้หว่านเยว่ส่งสัญลักษณ์มือให้ซูจิ่งสิง ดึงเขาให้เดินไปตามทิศทางที่ส่งเสียงมานางรู้สึกอยู่เสมอว่าเสียงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย เมื่อเดินเข้าไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยจริงดังคาด เห็นกงซุนฉิงและลู่จิงกำลังโต้เถียงกันหน้าแดงหูแดง“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านมา