ปลายนิ้วของซูจิ่งสิงสั่นระริก “หวังว่าท่านป้าจะช่วยนางได้”หมอตำแยลูบท้องของกู้หว่านเยว่อีกครั้ง ไม่ใช่ว่านางไม่เคยทำคลอดก่อนกำหนด อีกทั้งตำแหน่งของทารกในครรภ์ของฮูหยินผู้นี้ยังถูกต้องด้วย ร่างกายของผู้เป็นแม่แข็งแรงมาก คงจะไม่มีปัญหามากนัก“เชิญคุณชายออกไปก่อนเถอะ ตอนคลอด บุรุษอย่างพวกท่านไม่ควรอยู่ในนี้”ไม่ได้หมายถึงกลิ่นคาวเลือดในห้องคลอด แต่ประการที่หนึ่งคือเขาช่วยอะไรไม่ได้รังแต่จะสร้างความวุ่นวาย ประการที่สองเขาเป็นกังวลเกินจนทำให้นางเสียสมาธิ“ข้าช่วยได้”ครั้นเห็นกู้หว่านเยว่หมวดคิ้วมุ่น ซูจิ่งสิงจะกล้าทิ้งนางได้อย่างไร“บุรุษตัวใหญ่โตอย่างท่านจะช่วยอะไรได้ ออกไปเถอะ มีบุตรสาวของข้าคอยช่วยอยู่ในนี้แล้ว”ใบหน้าของหมอตำแยนิ่งสงบ แม้ว่าบุคลิกของซูจิ่งสิงจะดูสูงศักดิ์ แต่ในห้องคลอดเป็นอาณาเขตของหมอตำแย ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับนางแล้ว“ท่านพี่ ท่านออกไปก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหมดเรี่ยวแรง ที่หมอตำแยพูดก็ไม่ผิดภรรยาออกปากเอง ซูจิ่งสิงไม่คัดค้านแน่นอน ได้แต่บรรจงจูบหลังมือของนางอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะหมุนตัวออกไป“ข้าอยู่ข้างนอก หากมีอะไรก็เรียกข้าได้ทุกเมื่อ
หลังจากเปลี่ยนความคิด ชายชุดดำที่อยู่ด้านหน้าก็ตัดสินใจว่า “ฆ่าคนในบ้านก่อน”ซูจิ่งสิงรักภรรยาของเขามาก คนในบ้านคือจุดอ่อนของเขาตราบใดที่จับคนในบ้านได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทำอะไรซูจิ่งสิงไม่ได้ชายชุดดำหลายสิบคนพุ่งตรงไปยังบ้านหลังนั้น ซูจิ่งสิงรีบชักดาบออกมา ยืนขวางอยู่หน้าประตู หางตาแดงก่ำ “รนหาที่ตายแล้ว!”หมอตำแยและเด็กสาวได้ยินเสียงการต่อสู้จากด้านนอก พวกนางเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ไม่เคยมีประสบการณ์การฆ่าฟันมาก่อน ครั้นได้ยินเข่าก็แทบทรุดในทันที“เกิดอะไรขึ้นข้างนอก มีศัตรูตามล้างแค้นอย่างนั้นหรือ?” หมอตำแยมือเริ่มสั่นเด็กสาวรีบใส่กลอนประตู ก่อนจะกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “มีศัตรูตามล้างแค้นจริง ๆ เจ้าค่ะ ทุกคนถือดาบอยู่ในมือ น่ากลัวมาก”กล่าวจบก็หันไปมองกู้หว่านเยว่อีกครั้ง “แม่หนูน้อย พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ กลุ่มคนข้างนอกน่ากลัวมาก คงไม่ได้จะมาฆ่าพวกเราหรอกนะ?”ดูจากท่าทางของชายชุดดำแล้ว คงฆ่าคนไม่กะพริบตาเด็กสาวไม่ได้จะกลัว จริง ๆ แล้วนางห่วงชีวิตของนางมากกว่า นางไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้กู้หว่านเยว่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับสถานการณ์ที่มีคนตามฆ่าพวกนางเวลานี้ปากม
คนผู้นี้จริง ๆ เลย ทำไมจู่ ๆ ก็พุ่งออกมาจากทางเล็ก ๆ เช่นนี้“ให้ตายเถอะ คนผู้นี้เสียเลือดมากด้วย”“เกิดอะไรขึ้น?” จงหลี่เปิดม่าน และชะโงกหน้าออกมาดูเส้นผมยาวสีเงิน สวมชุดคลุมพระจันทร์เสี้ยวสีขาวทั้งตัว รูปร่างหน้าตาคล้ายกับเทพบนสรวงสวรรค์นัยน์ตาของเถาเอ๋อร์วูบไหวเล็กน้อย นี่คือองค์ชายแห่งเมืองตงโจว“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ดูเหมือนจะเป็นจอมลวงโลก นางพุ่งเข้ามาชนม้าของเราเอง เลือดเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องของเราพ่ะย่ะค่ะ”ชิงเยี่ยนลูบศีรษะ พลางเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมเล็กสองซี่คนผู้นี้น่ารังเกียจยิ่งนัก เลือดเต็มตัวเช่นนี้ไม่ยอมอยู่บ้าน ยังจะออกมาลวงโลกผู้อื่นอีก“ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย พวกท่านช่วยข้าด้วย....”เถาเอ๋อร์รีบปีนขึ้นไปบนรถม้า น้ำเสียงอ่อนแอมาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิงวอนท่าทางนั้นทำให้คนที่เห็นแล้วเจ็บปวดไม่น้อยเวลานี้ตัวนางเต็มไปด้วยเลือด ทั้งยังมีรอยช้ำเลือดอยู่บนคอทันทีที่นางยกมือขึ้น จี้หยกชิ้นหนึ่งก็ร่วงตกออกมาจากแขนเสื้อ“ฝ่าบาท เราไปกันเถอะ”“ช้าก่อน” นัยน์ตาของจงหลี่วูบไหวเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตามาหยุดที่จี้หยกนั้นจี้หยกอันบริสุทธิ์ สามารถมองเห็นลวดลา
ทุกคนต่างรู้ว่าตงโจวเป็นดินแดนป่าเถื่อน ชาวบ้านต่างไร้อารยธรรม แต่กลับไม่รู้ว่านั้นคือสถานที่แห่งความสุขสันต์อย่างแท้จริงเถาเอ๋อร์กระตุกมุมปาก แทบจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ นางมองไปทางจงหลี่อย่างกระตือรือร้น รอให้เขาประคองนางขึ้นรถม้า ช่วยพันแผลให้นางจงหลี่ที่อยู่บนรถม้ากลับยิ้มเยาะอย่างเยือกเย็น“อย่ามาเรียกข้ามาท่านพี่ น้องสาวของข้าไม่มีเจตนามุ่งร้ายเช่นเจ้า”เถาเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าจะเจอสถานการณ์นี้ จึงตะลึงงัน“แต่จี้หยกชิ้นนี้....”จงหลี่ลูบจี้หยกบนฝ่ามือ “หยกชิ้นนี้เป็นหยกของน้องสาวข้าจริง ๆ แต่เจ้ากลับไม่ใช่น้องสาวของข้า”น้องสาวของเขาเป็นคนที่ฉลาดและเย็นชามาก นัยน์ตาคู่นั้นจะเสแสร้งต่อหน้าอาณาประชาราษฎร์ ไม่ใช่ประจบประแจงเช่นนี้“บอกมา หยกชิ้นนี้ เจ้าไปเอามาจากไหน”จงหลี่จ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา นัยน์ตาคมกริบดุจมีดที่เย็นยะเยือก“จี้หยกชิ้นนี้เป็นของข้า ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดสิ่งใด ตอนข้าเกิดมันก็อยู่บนคอของข้า....” เถาเอ๋อร์แถอย่างบ้าคลั่ง นางยอมรับไม่ได้ว่านางเอามาจากจวนสกุลกู้ นางไม่ยอมให้กู้หว่านเยว่ทำชุดแต่งงานนางส่ายหน้า “หยกชิ้นนี้เป็นของข้า เป็นข
“อื้อ”ซูจิ่นเอ๋อร์พยักหน้าด้วยความเป็นกังวล “ข้าฝันว่าพี่สะใภ้ตกอยู่ในอันตราย พวกเขาอยู่ในสถานที่รกร้างแถวชานเมือง กำลังถูกฝูงหมาป่าที่ดุร้ายรุมโจมตี พี่สะใภ้ใหญ่ปวดท้องมาก....”หมาป่า? ฟู่หลานเหิงตบแผ่นหลังของซูจิ่นเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน“พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ไปล้างแค้นแทนเจ้า ไม่มีทางอยู่ในที่รกร้างแถวชานเมืองแน่นอน มันก็แค่ความฝัน อย่าคิดมาก....”ต่อไปต้องจำไว้ว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงจะเรียกว่าพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ เขายังไม่ค่อยชินเท่าไหร่“ในฝันเหมือนจริงมาก ข้ากลัวว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะตกอยู่ในอันตราย”สีหน้าของซูจิ่นเอ๋อร์ซีดเซียว นางที่มักจะฝันร้ายอยู่หลายครั้ง ร่างกายเริ่มทนไม่ไหว“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่กับเจ้าตรงนี้ ไว้มีข่าวคราวของพวกเขา ข้าจะบอกเจ้าทันที”ฟู่หลานเหิงยกมือปิดปากและไอกระแอมหลายครั้ง ซูจิ่นเอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น“ให้สาวใช้อยู่กับข้าก็พอ เจ้ารีบไปพักผ่อนเถอะ เจ้าจะอดนอนไม่ได้”ฟู่หลานเหิงยังอยากอยู่กับนางแต่กลิ่นคาวเลือดได้บาดคอของเขา กลัวว่าจะถูกซูจิ่นเอ๋อร์จับได้ จึงรีบเรียกสาวใช้เข้ามา ส่วนตนก็ออกไป“ข้าอยู่ห้องถัดไป มีอะไรก็เรียกข้าได้ตลอด”ฟู่หลานเหิงกล
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าไปทำอะไร แค่ปลอดภัยก็พอ”นี่คือเรื่องที่นางหยางเป็นกังวล วันนี้หนังตาของนางกระตุกตลอดเวลา จึงเป็นกังวลว่าเด็กสองคนจะตกอยู่ในอันตราย“จือชิงเด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย อยู่ดี ๆ ก็วิ่งเข้าไปล่าสัตว์บนภูเขา”นางหยางกุมขมับ เพราะปวดหัว “แม่หนู ออกแรงอีกหน่อย หัวเด็กจะออกมาแล้ว”ภายในกระท่อมมุงจาก หมอตำแยกดขาทั้งสองข้างของกู้หว่านเยว่ไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ช่วยทำคลอด พลางเร่งกล่าว“ออกแรงอีกนิด เด็กออกมาแล้ว”“กรี๊ด!”กู้หว่านเยว่ต้องกรีดร้องอย่างอดไม่ได้ เจ็บปวดยิ่งนัก ความเจ็บปวดจากการแยกของหัวหน่าว ทำให้นางเหงื่อออกเต็มหน้าดูเหมือนเด็กที่อยู่ในท้องจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของผู้เป็นมารดา จึงพยายามดันตัวเองออกมา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน กู้หว่านเยว่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายไปหมดแล้ว จนกระทั่งภาพตรงหน้าค่อย ๆ ดับวูบ“แง๊ ๆ!” เด็กทารกส่งเสียงร้องไห้เสียงแจ้วหมอตำแยร้องตะโกนด้วยความดีใจ “เด็กออกมาแล้ว ออกมาแล้ว”“เป็นบุตรชาย” เด็กสาวอุ้มเด็กมาห่อตัวด้วยผ้าฝ้าย ก่อนจะกล่าวอย่างประหลาดใจ “แม้ว่าเด็กคนนี้จะคลอดก่อนกำหนด แต่กลับดูไม่อ่อนแอเลยสักนิด”หมอตำแยชะ
กู้หว่านเยว่เริ่มกังวล ในขณะเดียวกันก็ได้เตรียมความพร้อมไว้ในใจ หากคนที่เข้ามาคือคนอื่น นางจะพาสองแม่ลูกคู่นี้และลูกน้อยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้วงมิติในเมื่อพวกนางเสี่ยงชีวิตทำคลอดแล้ว คงจะปล่อยให้ความหวังดีของพวกนางสูญเปล่าแล้วจบลงด้วยการสละชีวิตไม่ได้แน่นอนว่านี่เป็นแค่ความคิดในใจของกู้หว่านเยว่ นางมักจะรู้สึกว่าคนที่อยู่หน้าประตูคือซูจิ่งสิงแน่นอนเขาไม่มีทางปล่อยให้ชายชุดดำเหล่านั้นบุกเข้ามาเขาต้องปกป้องสองแม่ลูกคู่นี้ “หว่านเยว่ เจ้ายังสบายดีหรือไม่?”ซูจิ่งสิงกล่าวถามอย่างร้อนใจ น้ำเสียงยังคงเหนื่อยล้าครั้นได้ยินเสียงของเขา คนในบ้านก็โล่งใจป้องกันไว้ก่อน เด็กสาวมองผ่านช่องประตูก่อน ครั้นเห็นว่าหน้าประตูมีแค่ซูจิ่งสิงผู้เดียว จึงเปิดประตูออกไป“ท่านพี่” กู้หว่านเยว่กระตุกมุมปากนางที่เพิ่งคลอดลูกค่อนข้างอ่อนแอ แต่ไม่ถึงกับไม่มีแรงจะพูดขนาดนั้นเมื่อเห็นซูจิ่งสิง นางก็วางใจ“ไอหยา”ซูจิ่งสิงเอ่ยหนึ่งเสียง เสียงนั้นอ่อนโยนมาก อ่อนโยนคล้ายกับฟองน้ำที่บีบน้ำออกมาจากนั้นก็สาวเท้าสามขุมก้าวมายังข้างเตียง คว้ามือของกู้หว่านเยว่ ในขณะเดียวกันก็กวาดมองไปยังเด็กที่อยู่ในผ้
ครั้นเหมยจื่อเห็นรอยแผลเป็นของเจียงเฟิ่งก็ถึงกับพูดไม่ออก แม่เหมยจื่ออายุมากและมีประสบการณ์มากกว่า จึงรีบกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้ามาก พวกเจ้าค่อย ๆ ขัดนะ”เจียงเฟิ่งลูบศีรษะ ก่อนจะกลั้วหัวเราะและกล่าวว่า “ท่านป้าก็เกรงใจเกินไป ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณที่พวกท่านทำคลอดให้ฮูหยิน ฮูหยินเพิ่งคลอดลูกเสร็จ ต่อไปคงต้องขอรบกวนพวกท่านอีกสองวัน”เขาหยิบเศษเงินถุงหนึ่งออกมา ครั้นเห็นว่ามีจำนวนยี่สิบเหรียญ ทั้งสองคนก็ไม่กล้ารับไว้“ท่านจอมยุทธ หนึ่งถึงสองเหรียญก็มากพอแล้ว”“ที่เหลือ รบกวนท่านนำไปซื้อแม่ไก่สดใหม่สักตัวเถอะ เอาไปตุ๋นซุปให้ฮูหยิน ให้นายท่านและพี่น้องได้กินกัน”เงินก้อนนี้เป็นเงินที่ซูจิ่งสิงให้มา เขาเลยยกให้ทั้งหมดดูออกว่าซูจิ่งสิงซาบซึ้งต่อครอบครัวนี้อย่างจริงใจเหมยจื่ออยากบอกว่าการซื้อแม่ไก่ไปทำอาหารนั้น ไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนี้ก็ได้ ครั้นเห็นมารดารับเงินเตรียมจะออกไปซื้อแม่ไก่ ก็รีบปิดปากเงียบ “ข้าจะไปทำอาหารให้พวกเจ้ากิน”นางไม่กล้าอยู่กับชายฉกรรจ์เหล่านี้นานนัก จึงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องครัวแต่ไม่นาน แม่เหมยจื่อก็ถือแม่ไก่กลับมาหนึ่งตัว ทั้งยังซื้อกับแกมกลับมาอีกบางส่วน จ
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง