ในเมื่อนางอยากเล่น ซูจิ่งสิงก็จะเล่นกับนางหลังจากเก็บนกพิราบได้สิบตัว และนกอื่นๆ อีกห้าตัว กู้หว่านเยว่ก็พาพวกมันออกไปเมื่อถึงเวลา เดินกลับมาพร้อมกับตะกร้าในเมื่ออย่างมีความสุขทันทีที่กลับมา นางก็อดไม่ได้ที่จะขดตาเสี้ยว ส่งจูบหวานๆ ให้ซูจิ่งสิงไปหนึ่งครั้ง“ท่านพี่ ท่านยิงนกพิราบได้เยอะเลยเจ้าค่ะ เก่งเกาจเหลือเกิน! เยี่ยมมากเจ้าค่ะ!”นกพิราบทั้งหมดที่นางซื้อและปล่อยออกมาจากเวทีซื้อขาย ถูกซูจิ่งสิงโจมตีจนเกลี้ยง ไม่เหลือเลยสักตัวเดียวผู้ชายคนนี้เจ๋งมากเลย!ซูจิ่งสิงเป็นภาระมาตลอดทาง แต่ทันใดนั้นก็ได้รับการชื่นชมและเป็นที่ต้องการ ทั้งยังถูกกู้หว่านเยว่ส่งจูบมาให้อีก ทำให้หูของเขาแดงแจ๋ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ที่แท้ ได้รับคำชมจากนี้ รู้สึกดีเช่นนี้เอง“รอให้ขาของข้าดีขึ้น ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องลำบากอีก”เขามั่นใจไว้อย่างเงียบๆรู้สึกได้ว่า วันที่ว่านั้นอีกไม่นานเกินรอเมื่อเห็นพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่เดินถือนกพิราบกลับมาหลายตัว ซูจิ่นเอ๋อร์และซู่จื่อชิงก็รีบวิ่งไปพร้อมกับผักป่าต่างคนต่างก็อ้าปากค้าง พวกเขารีบก่อฟืนจุดไฟอย่างมีความสุขคนอื่นๆ ได้แต่มองดูนกพิราบตัวอ้วนในตะกร้าด้วย
ยามนี้ จิตใจของกู้หว่านเยว่กลับมาอยู่ที่นกพิราบย่างอีกครั้งอย่าละเลยอาหารโอชะและบุรุษองอาจ แต่ให้ทิ้งปัญหาทั้งหมดที่มีเอาไว้ก่อนซูจิ่งสิงหยิบนกพิราบย่างออกจากมือของนางอย่างระมัดระวัง “ข้าเอง เจ้าพักผ่อนเถอะ”“ท่านทำได้หรือ?” กู้หว่านเยว่สงสัยซูจิ่งสิงสีหน้ามืดมน เขาถูกดูถูกหรือ?“ได้หรือไม่ ลองแล้วก็รู้เอง”โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ เขาหยิบไม้เสียบนกพิราบย่างที่วางอยู่บนตะแกรงมา แล้วเริ่มย่างมันทันทีกู้หว่านเยว่มองดูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางหยิบผงยี่หร่าออกมาจากกระเป๋า แล้วโรยลงบนนกพิราบย่าง ร่วมมือกับเขาหลังจากนั้นไม่นาน นกพิราบย่างรสเผ็ดร้อนสีเหลืองกรอบก็ถูกยกขึ้นมาจากเตา อยู่ภายใต้มือของสองท่านพี่ภรรยาแล้ว“กลิ่นหอมมากเลย!” กู้หว่านเยว่อุทานขึ้นมาผงยี่หร่านี้ ได้มาจากร้านอาหารเลิศรส มีกลิ่นหอม รสชาติเผ็ดร้อนจนน้ำลายสอซูจิ่งสิงฉีกชิ้นเนื้อออกแล้วส่งเข้าปากนาง “เจ้ากินก่อน ระวังร้อน”ในแววตามีสิ่งที่เขาไม่สังเกตเห็นได้ ทอประกายขึ้นมาหยางซื่อ ซูจิ่นเอ๋อร์และซูจื่อชิงแอบมองจากด้านข้าง ยิ้มจนเห็นคิ้วไม่เห็นตาขณะกินเนื้อที่จ่อเข้าปาก กู้หว่านเยว่ก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาอย่างหาได
กู้หว่านเยว่ระงับความตื่นเต้นเอาไว้สุดกำลัง อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากจากนี้ไป นางจะมีอิสระทางการเงิน ซื้อของในเวทีซื้อขายได้ตามต้องการ!ด้วยอารมณ์ตื่นเต้นนี้ นางกลับไปที่เวทีซื้อขาย ค้นหาสมุนไพรที่จำเป็นตามเทียบยาหลังจากนั้นไม่นาน สมุนไพรทั้งหมดก็ถูกกว้านซื้อไปทันทีที่นางกดปุ่มชำระเงิน สมุนไพรก็ปรากฏขึ้นในตะกร้าของนางโดยอัตโนมัติกู้หว่านเยว่ซื้อกระต่ายเนื้ออีกห้าตัวและไก่ฟ้าห้าตัว ท้ายสุด จึงถือของใหญ่เล็กกลับมาเต็มไม้เต็มมือเมื่อเห็นนางกลับมาพร้อมของมากมาย ทุกคนต่างก็ตกใจ“แม่นางน้อยกู้ ท่านไปเอาไก่ฟ้ากับกระต่ายมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน?”กู้หว่านเยว่โกหกตาไม่กะพริบ “ข้าโชคดีน่ะเจ้าค่ะ ตอนที่เก็บสมุนไพร เจอรังกระต่ายกับรังไก่ฟ้าพอดี เลยเก็บมันมาพร้อมกันเลยทีเดียว”แล้วยื่นไก่ฟ้าและกระต่ายเนื้อให้พวกเขา“เหมือนเดิม พวกท่านจัดการกับไก่ฟ้าและกระต่าย อีกประเดี๋ยวจะแบ่งให้พวกท่านหนึ่งตัว”การแสดงออกของทุกคนเปลี่ยนจากอิจฉาเป็นตื่นเต้น แม่นางน้อยกู้ใจดีกับพวกเขามาก แบ่งอาหารให้พวกเขาทุกครั้งหลังจากได้ยิน หลายคนก็เลิกเสแสร้ง รีบหยิบกระต่ายและไก่ฟ้าขึ้นมาจากนั้นก็ตามหาแหล่งน
“ครอบครัวฮูหยินตระกูลซูเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเขาถึงน้ำลายฟูมปากกันหมดเลย?”คนอื่นๆ ต่างหวาดกลัว รวมตัวกันมาดูความสนุก แต่ไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไปเพราะกลัวจะติดโรค“แม่นางน้อยกู้ พวกเขาไม่ใช่ว่าติดโรคเข้าแล้วกระมัง?”ซุนอู่เอ่ยถามคำถามที่ทุกคนกังวลในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังแอบตัดสินใจในใจว่า หากตระกูลซูเก่าป่วยติดโรคจริงๆ พวกเขาจะต้องถูกโยนลงไปในป่าภูเขาลึกไม่อาจให้มาทำร้ายทั้งกลุ่มเนรเทศได้“หลีกทาง ให้ข้าดูหน่อย”กู้หว่านเยว่รับรู้ถึงความเคร่งเครียดของเรื่องนี้ สีหน้านางจริงจังขึ้นมาทันที เดินไปตรวจสอบสถานการณ์ของตระกูลซูเก่าแต่เพียงมองแวบเดียว นางก็แน่ใจได้ในทันที ว่าตระกูลซูเก่าไม่ได้ทรมานจากโรคระบาด แต่เป็นเพราะอาหารเป็นพิษ“ทุกท่านไม่ต้องกลัวไป พวกเขาไม่ได้ติดโรคหรอก พวกเขาแค่กินเห็ดพิษ และตอนนี้พิษก็เริ่มออกฤทธิ์แล้ว”ข้าบอกพวกเขาไปแล้วว่าเห็ดมีพิษ แต่ถ้าพวกเขาก็ยังไม่เชื่อ รู้เพียงว่าตนต้องได้เห็ดเหล่านั้นไปกินแต่ไม่เป็นไรหรอก การลงโทษมาแล้วกู้หว่านเยว่ไร้ความสงสารแต่คนพวกนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวตายจับจิต เพราะคิดว่าตัวเองติดโรคระบาด แต่เมื่อได้ยินกู้หว่านเยว่บอกว่าเป็
นอกกระโจม หลี่ซือซือด้านหนึ่งอาเจียนด้านหนึ่งร้องไห้ เสียงของนางโศกเศร้ากว่าใครในนั้นกู้หว่านเยว่ไม่ได้เห็นใจนางเลยสักนิด คนใจไม้ไส้ระกำต้องโดนเกลียดชังเป็นการตอบแทน นี่คือการลงโทษของนางวันต่อมา ตระกูลซูเก่าถูกทรมานเสียจนไร้เรี่ยวแรงคร่ำครวญ ทุกคนนอนราบลงกับพื้น อาการร่อแร่ใกล้ตายไม่อาจไม่พูด คนชั้นยอดพวกนี้หนังเหนียวดีจริงๆ โดนไปขนาดนั้นแล้วยังไม่ตายอีกเมื่อเห็นว่าอาหารและสมุนไพรหมดลงอีกครั้ง กู้หว่านเยว่จึงกล่าวทักทายซุนอู่ แสร้งทำเป็นออกไปค้นหาอาหารตามปกติมองลงมาจากที่สูง น้ำท่วมลดลงมากแล้ว ดูเหมือนว่าภายในสองวันนี้ พวกเขาก็สามารถลงจากภูเขาได้แล้วทันใดนั้น ดวงตาของกู้หว่านเยว่ก็หรี่กระชับขึ้นนางมองเห็นอะไรบางอย่าง ดูเหมือนจะมีสองคนที่นอนอยู่ที่ตีนเขา ห่างจากนางไม่ไกลในตอนที่ลังเลว่าจะลงไปตรวจสอบดีหรือไม่ ชายคนหนึ่งก็โบกมืออย่างแรง และตะโกนว่า“แม่นางน้อย ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”เยี่ยม ตอนนี้ไม่ลงไปก็ไม่ได้แล้วกู้หว่านเยว่เดินลงมาพร้อมตะกร้าในมือ ปรี่มาหาพวกเขาทั้งสองทั้งสองเป็นชายฉกรรจ์ คนหนึ่งหมดสติ อีกคนสีสติ ดูคล้ายนายกับบ่าวในแวบแรกที่มู่ชิงมองเห็นกู้หว่านเยว
จนกระทั่งได้ยินเสียงของกู้หว่านเยว่ดังขึ้นอีกครั้ง เขาจึงรู้สึกโล่งใจ รีบปลดผ้าที่ปิดตาออก แล้วหันหลังวิ่งไปหานาง“นายท่านของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไปดูเองเถอะ”ไม่ต้องให้กู้หว่านเยว่บอก มู่ชิงก็ก้มลงไปตรวจสอบอาการของชายคนนั้นแล้วเมื่อเห็นไม้ที่ปักอกชายคนนั้นถูกดึงออกมา และลมหายใจก็เริ่มคงที่ เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก“แม่นางน้อย บุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ ข้าจะไม่มีวันลืม หากมีโอกาส ข้าจะตอบแทนแม่นางน้อยอย่างดีแน่นอน”พูดจบ เขาก็สังเกตเห็นว่ากู้หว่านเยว่มีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก และใบหน้าของนางดูเหนื่อยล้าอย่างมากจากการช่วยชีวิตนายท่านของเขาในใจก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณ จากนั้นรีบหยิบจี้หยกออกมา“นี่คือสิ่งยืนยันตัวตนของสกุลอวิ๋น ข้าน้อยเป็นคนรับใช้ของสกุลอวิ๋น วันนี้แม่นางน้อยช่วยชีวิตคุณชายของสกุลอวิ๋นเอาไว้ หากแม่นางน้อยต้องการความช่วยเหลือ สามารถไปหาพวกเราได้ที่เมืองตงโจว”“เมืองตงโจว?”นั่นไม่ใช่จุดหมายต่อไปของพวกเขาหรอกหรือ?แต่สกุลอวิ๋นนี้ กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนกู้หว่านเยว่เก็บจี้หยกเอาไว้ในอกอย่างเงียบๆ จากนั้นพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข
กู้หว่านเยว่ พวกเจ้าตามไป อาจจะหาอาหารไม่เจอก็ได้“พวกเจ้าจัดการกระต่ายกับไก่ฟ้าก่อน ข้าจะไปดูข้างในเต็นท์หน่อย”กู้หว่านเยว่เปิดเต็นท์ แล้วเดินเข้าไปข้างในพอเข้าไป ก็เห็นซูจิ่งสิงที่มีสีหน้าร้อนรนซึ่งนั่งพิงอยู่บนก้อนหิน แล้วมองมาทางประตูเป็นระยะ ๆเมื่อเห็นเงาร่างของนาง แววตาของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึม“เจ้าไปไหนมา เหตุใดถึงกลับมาช้าขนาดนี้?”ขณะพูด สายตาของเขาก็มองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูว่านางบาดเจ็บหรือไม่ทันใดนั้น เขาสังเกตเห็นว่ามีรอยเลือดที่ชายเสื้อของกู้หว่านเยว่จริง ๆ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันทีคราวนี้แม้อยากจะแกล้งทำเป็นดุก็ทำไม่ได้แล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นมาตรง ๆ ด้วยความร้อนใจ“เหตุใดถึงมีเลือด เจ้าบาดเจ็บหรือ บาดเจ็บตรงไหน รีบมาให้ข้าดู”“ไม่มี ๆ”กู้หว่านเยว่รู้ดีว่าข้อแก้ตัวของนางอาจหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกเขาไม่ได้ เขาคงพอจะเดาได้ว่าเหยื่อของนางไม่ได้หามาจากในป่า จึงตัดสินใจพูดความจริง“เลือดนี้ไม่ใช่ของข้า”“แล้วเป็นของใคร?”“ตอนที่ข้าลงจากเขา ข้าเจอนายบ่าวคู่หนึ่ง นายได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าจึงช่วยพวกเขาไว้ จริงสิ พว
ขณะที่ซุนอู่กำลังยื่นเอกสารแสดงตัวให้กับทหารรักษาประตูเมือง กู้หว่านเยว่ก็มองไปรอบๆทุกที่ที่นางมองไป เต็มไปด้วยผู้อพยพที่ไม่มีที่อยู่อาศัยชายหญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ แต่ละคนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซูบผอมไม่ต้องพูดถึงศพที่ลอยอยู่ในแม่น้ำ ริมถนนก็เต็มไปด้วยผู้คนอดอยากล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วนหลังจากภัยพิบัติน้ำท่วมในเมืองตงโจว สถานการณ์ก็เลวร้ายกว่าที่นางคิดไว้มากได้กลิ่นโคลนผสมกับกลิ่นเน่าเหม็นในอากาศ กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่างนางรู้สึกว่าโรคระบาดกำลังแพร่กระจายอย่างเงียบๆ รอวันปะทุออกมา“พี่ใหญ่ซุน พวกเราอย่าอยู่ที่เมืองตงโจวนานนักเลย รีบจัดการเรื่องเอกสารแล้วออกจากที่นี่กันเถอะ”“รีบขนาดนั้นเลยหรือ?” ซุนอู่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจตามความคิดเดิมของเขา ตั้งใจว่าจะอยู่ในเมืองตงโจวนานหน่อย เพื่อเติมเสบียงให้เต็มที่ก่อนออกเดินทางกู้หว่านเยว่ลดเสียงลง “ข้าสงสัยว่าเมืองตงโจวอาจเกิดโรคระบาดหนัก”“อะไรนะ?”ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนภูเขาก็เคยได้ยินกู้หว่านเยว่พูดถึงเรื่องโรคระบาด ทำให้เขารู้สึกกังวลมาหลายวันแล้วหลังจากเห็นว่าทุกอย่างเรี
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ
“ลุกขึ้นเถอะ”ซูจิ่งชิงโบกมือให้ลุก เขามีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่ต้องมากพิธีเขาเปิดเรื่องถามทันที “ทะเลสาบที่เกิดเรื่องอยู่ไหน?”“ด้านหลังหมู่บ้าน เชิญท่านอ๋องตามข้าน้อยมา”ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก เดิมทีคิดว่าเรื่องนี้คงไม่มีใครสนใจ คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเดินทางมาด้วยตัวเองจากปากทางหมู่บ้านไปถึงทะเลสาบยังห่างไปอีกช่วงหนึ่ง กู้หว่านเยว่จึงถือโอกาสถามทันทีว่า“ผู้ใหญ่บ้าน ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ให้เราฟังหน่อยเจ้าค่ะ”ผู้ใหญ่บ้านสังเกตเห็นว่าข้างกายของท่านอ๋องนั้นยังมีสตรีหน้าตางดงามอีกหนึ่งคนตั้งแต่ที่ท่านอ๋องจูงมือของนาง แสดงท่าทางปกป้องมากเป็นพิเศษ ผู้ใหญ่บ้านพอจะเดาสถานะของกู้หว่านเยว่ได้ครั้นเห็นนางเอ่ยปากถาม จึงรีบกล่าวทันที“รายงานพระชายา ทะเลสาบแห่งนี้ชื่อว่าทะเลสาบโก่วสยง”เดิมทีหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบ ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างตกปลาเลี้ยงชีพจากทะเลสาบแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อน กลับเกิดพายุครั้งใหญ่เกิดฟ้าผ่าสายหนึ่งกลางทะเลสาบโก่วสยงแห่งนี้“ยามนั้นเรียกได้ว่าแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง จนชาวบ้านต้องพากันออกมาดูสถานการณ์ ผลปรากฏว
“ว่ามา”“เช้าตรู่วันนี้ หมู่บ้านชาวประมงมีชาวประมงสูญหายอีกสองคน หนานหยางอ๋องทรงรับสั่งให้รุดหน้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าหลังจากที่มาถึงกลางทะเลสาบ เรือและคนก็ล้วนหายไปพร้อมกันขอรับ”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของกู้หว่านเยว่เปลี่ยนไป “หนานหยางอ๋องไปที่นั่นได้อย่างไร?”“พระชายาทรงยังไม่ทราบ เดิมทีหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นเป็นที่ตั้งหลักของกองทัพทหารหนานหยางอ๋อง”ฉู่เฟิงกล่าวอธิบาย คิ้วของกู้หว่านเยว่ขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม“ท่านพี่ เรารีบไปดูกันเถอะ”ก่อนที่ทั้งสองคนจะออกเดินทาง คาดไม่ถึงว่าหนานหยางอ๋องจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก่อน ดังนั้นแผนการเดิมคือการสำรวจหมู่บ้านชาวประมงอย่างช้า ๆ หากหมู่บ้านชาวประมงแห่งนั้นอันตรายมากจริง ๆ ก็ต้องล้อมทะเลสาบนั้นไว้ ห้ามใครเข้าไปเด็ดขาดแต่ตอนนี้หนานหยางอ๋องดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เรื่องราวกลับเลวร้ายมากขึ้นทุกที“เราต้องไปดูก่อน ฉู่เฟิงเจ้ามาบังคับม้า เร่งความเร็วกว่านี้”ฉู่เฟิงพยักหน้า ทันทีที่กระโดดขึ้นรถม้าก็เห็นรถม้าอีกคันไล่ตามมา“พี่หญิงหว่านเยว่!”เมี่ยชิงหว่านเปิดม่านหน้าต่างรถม้า ก่อนจะชะโงกหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาออกมา“ท่านพ่อเกิดเรื่องแล้ว
เช้าวันที่สอง ในที่สุดซูจื่อชิงก็ลืมตาหลังจากเมาค้างมาหนึ่งคืนเต็ม อาการปวดหัวของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น วินาทีต่อจากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดลงฉับพลัน“ชิวจู๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกฝ่ายนอนอยู่บนเตียงของเขา อีกทั้งบนตัวของนางก็สวมใส่เพียงเสื้อเอี๊ยมชิ้นเดียวซูจื่อชิงกระโดดลงจากเตียงทันที จากนั้นก็มองไปยังเสื้อผ้าที่ร่วงอยู่บนพื้นด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “เมื่อคืนคุณชายรองคิดว่าข้าเป็นผู้อื่น จึงถอดเสื้อผ้าของข้า...”“ว่าอย่างไรนะ?” สีหน้าของซูจื่อชิงซีดเผือดลง เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ อีกฝ่ายพูดเป็นนัยอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เวลานี้อาการปวดหัวของเขาทวีคูณมากขึ้น เขาไม่มีความภาพความประทับใจของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย เขาคิดไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรชิวจู๋หรือไม่“เราสองคนทำอะไรกันแน่?”เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่เคยนึกชอบชิวจู๋“เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายรองยังอยากจะให้ข้าพูดออกมาอีกอย่างนั้นหรือ แล้วข้ายังจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ?”นัยน์ตาของชิวจู๋แดงก่ำ น้
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง